วันเวลาปัจจุบัน 25 ก.ค. 2025, 19:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2015, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 84.25 KiB | เปิดดู 4625 ครั้ง ]
ท่านเคยคิดไหมว่าเวลาเท่าที่เหลืออยู่นี้ เราจะจัดการบริหารยังไงให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด
วันเวลาได้กลืนกินอายุทุกขณะไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันและกลางคืน จะหลับหรือตื่นกลืนกินหมด
ถ้าขืนโอ่เอ้ปล่อยไปโดยไม่บริหารจัดการ ท่านจะไม่ได้อะไรเลยในการข้ามภพข้ามชาติ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2015, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ท่านเคยคิดไหมว่าเวลาเท่าที่เหลืออยู่นี้ เราจะจัดการบริหารยังไงให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด
วันเวลาได้กลืนกินอายุทุกขณะไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันและกลางคืน จะหลับหรือตื่นกลืนกินหมด
ถ้าขืนโอ่เอ้ปล่อยไปโดยไม่บริหารจัดการ ท่านจะไม่ได้อะไรเลยในการข้ามภพข้ามชาติ





เป็นเรื่องของเหตุและปัจจัยในแต่ละคน
ไม่ควรประมาณในเหตุปัจจัยของผู้อื่น


ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคลและอย่าได้ถือประมาณในบุคคล
เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน





คำที่ควรกล่าว




walaiporn เขียน:
สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่
ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต
ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน
ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.



เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว
ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ
ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น


วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว
เราจักละพวกเธอไป
สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้ว


ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี
มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี
ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด



ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.



มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2015, 01:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:
ยอดเยี่ยมครับลุงหมาน ที่มาให้สติผู้คนบริหารจัดการเวลาชีวิตของตนเองให้ดี

เวลาชีวิตของทุกคน เฉลี่ย 75 ปีอย่างลุงหมานว่านี้ เราจะบริหารอย่างไรจึงจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งหรือปิดประตูอบายได้ทัน(เป็นพระโสดาบัน)ในปัจจุบันชาตินี้

คนที่พบข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จนสามารถทำวิปัสสนาภาวนา เจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 เป็นแล้วนี่ ถ้าทำได้ตอนอายุเท่าไหร่ ก็ต้องนับต่อไปจนถึงอายุ 75 ปี นั่นคือเวลาชีวิตที่เหลือไว้ให้บริหารจัดการ

หลังจากนั้นจึงค่อยมาทำแผนงานโดยละเอียดกันต่อไป ว่าจะต้องมีเวลาเจริญวิปัสสนาภาวนา วันละกี่ชั่วโมง จึงจะถึงเป้าหมาย (นิพพาน) ก่อนตาย และน่าจะถึงได้สักตอนอายุเท่าไหร่โดยประมาณ จากนั้นจะได้ทำแผนวิเคราะห์ประเมินผลการปฏิบัติติดตามไปเป็นรายวัน รายเดือนหรือรายปีเพื่อจะได้รู้ตัวเองและไม่พลาดความถึงเป้าหมายในชาตินี้

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2015, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1527338508130.jpg
FB_IMG_1527338508130.jpg [ 11.5 KiB | เปิดดู 4002 ครั้ง ]
asoka เขียน:
:b4:
ยอดเยี่ยมครับลุงหมาน ที่มาให้สติผู้คนบริหารจัดการเวลาชีวิตของตนเองให้ดี

เวลาชีวิตของทุกคน เฉลี่ย 75 ปีอย่างลุงหมานว่านี้ เราจะบริหารอย่างไรจึงจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งหรือปิดประตูอบายได้ทัน(เป็นพระโสดาบัน)ในปัจจุบันชาตินี้

คนที่พบข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จนสามารถทำวิปัสสนาภาวนา เจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 เป็นแล้วนี่ ถ้าทำได้ตอนอายุเท่าไหร่ ก็ต้องนับต่อไปจนถึงอายุ 75 ปี นั่นคือเวลาชีวิตที่เหลือไว้ให้บริหารจัดการ

หลังจากนั้นจึงค่อยมาทำแผนงานโดยละเอียดกันต่อไป ว่าจะต้องมีเวลาเจริญวิปัสสนาภาวนา วันละกี่ชั่วโมง จึงจะถึงเป้าหมาย (นิพพาน) ก่อนตาย และน่าจะถึงได้สักตอนอายุเท่าไหร่โดยประมาณ จากนั้นจะได้ทำแผนวิเคราะห์ประเมินผลการปฏิบัติติดตามไปเป็นรายวัน รายเดือนหรือรายปีเพื่อจะได้รู้ตัวเองและไม่พลาดความถึงเป้าหมายในชาตินี้

:b27:


ก็ว่ายอดเยี่ยมแล้วนะ ยังมีคนที่ว่ายอดเยี่ยมกว่านั้นมาคอยแจม ว่าตัวเองยอดเยี่ยมกว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2015, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
asoka เขียน:
:b4:
ยอดเยี่ยมครับลุงหมาน ที่มาให้สติผู้คนบริหารจัดการเวลาชีวิตของตนเองให้ดี

เวลาชีวิตของทุกคน เฉลี่ย 75 ปีอย่างลุงหมานว่านี้ เราจะบริหารอย่างไรจึงจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งหรือปิดประตูอบายได้ทัน(เป็นพระโสดาบัน)ในปัจจุบันชาตินี้

คนที่พบข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จนสามารถทำวิปัสสนาภาวนา เจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 เป็นแล้วนี่ ถ้าทำได้ตอนอายุเท่าไหร่ ก็ต้องนับต่อไปจนถึงอายุ 75 ปี นั่นคือเวลาชีวิตที่เหลือไว้ให้บริหารจัดการ

หลังจากนั้นจึงค่อยมาทำแผนงานโดยละเอียดกันต่อไป ว่าจะต้องมีเวลาเจริญวิปัสสนาภาวนา วันละกี่ชั่วโมง จึงจะถึงเป้าหมาย (นิพพาน) ก่อนตาย และน่าจะถึงได้สักตอนอายุเท่าไหร่โดยประมาณ จากนั้นจะได้ทำแผนวิเคราะห์ประเมินผลการปฏิบัติติดตามไปเป็นรายวัน รายเดือนหรือรายปีเพื่อจะได้รู้ตัวเองและไม่พลาดความถึงเป้าหมายในชาตินี้

:b27:


ก็ว่ายอดเยี่ยมแล้วนะ ยังมีคนที่ว่ายอดเยี่ยมกว่านั้นมาคอยแจม ว่าตัวเองยอดเยี่ยมกว่า



เห็นมาเยอะละ

ไอ้ประเภทที่ ทำประมาณว่า
กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า


:b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 06:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7:
อ้างคำพูด:
เห็นมาเยอะละ

ไอ้ประเภทที่ ทำประมาณว่า
กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า

:b7: :b7: :b7:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว
Onion_R
การจำแนกแจงแจงขยายพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

การนำภาษาบาลีที่เข้าใจยากสำหรับคนยุคใหม่ มาแปล ให้ความหมาย ทำให้ง่าย อธิบายความในภาษาท้องถิ่นพื้นๆ ธรรมดา ให้ผู้คนเข้าใจในสัจจธรรม นับเป็น เมตตา กรุณา อันประเสริฐต่อเพื่อนมนุษย์ มากกว่าการจะไปแข่งขันกับพุทธบิดาดังที่บางคนบางท่านเข้าใจผิด

พึงควรพิจารณาให้ครบทุกมุมมองด้วยนะครับ

ถ้าไปเหมารวมคิดเอาว่าใครแสดงธรรมโดยไม่อ้างธรรมในคัมภีร์เป็นคนอวดเก่งอวดดีทั้งหมด แล้วที่ครูบาอาจารย์ อรรถกถาจารย์หรือแม้แต่เพื่อนฝูงผู้ร่วมแสดงธรรมและความเห็นในลานก็คงกลายเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของ


กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า ทั้งสิ้น
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
เห็นมาเยอะละ

ไอ้ประเภทที่ ทำประมาณว่า
กรูรู้ กรูเก่งเกินพระพุทธเจ้า

:b7: :b7: :b7:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



เสือกระดาษ

เขียนซะดิบดี อธิบายชักแม่น้ำ ปัจจุบันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
พอเจอคำแค่นี้ โอ๊ะ! หลุดซะแล่ว ชอบทำนักนิสัย


asoka เขียน:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว



แค่กระทบกระทั่งแค่นี้ หลุดทันที
มักแสดงเนืองๆ "กล่าวคำสาปแช่งผู้อื่น"

คำสาปย้อนกลับเข้าหา "เสือกระดาษ"
เพราะขาดความรู้สึกตัว จึงทำให้ไม่รู้


เมื่อไม่รู้ จึงทำตัวเหมือนหมาหางด้วน
ต้องวิ่งหาพวก ทุเรศจริงๆ


asoka เขียน:
ถ้าไปเหมารวมคิดเอาว่าใครแสดงธรรมโดยไม่อ้างธรรมในคัมภีร์เป็นคนอวดเก่งอวดดีทั้งหมด แล้วที่ครูบาอาจารย์ อรรถกถาจารย์หรือแม้แต่เพื่อนฝูงผู้ร่วมแสดงธรรมและความเห็นในลานก็คงกลายเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของ


ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดเลยสักนิด
แค่สะกิดคนคุยโวว่า เก่งนัก เก่งหนา
แต่หมาหางด้วนกลับกระโดดงับ

วลีนี้จำได้ดี "ทางใครทางมัน"

แต่ก็เนอะ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 11:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
คนหนึ่งกล่าวเตือนด้วยเมตตา
แต่อีกคนหนึ่งกล่าวด้วยผรุสวาจา ทิฏฐิ มานะ มัจฉริยะ พยาบาท มันเลยยิ่งเห็นชัดในวจีหรือวาทะที่สำรอกออกมาว่าใครเป็นอย่างไร
:b13:
ขอให้เจริญในทางของเธอเถิดนะ
:b7:
"กัมมุนา วัตติโลโก"
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกใจ ก็ยกยอ น้องอย่างนั้น น้องอย่างนี้

พอไม่ถูกใจ ทำท่าสุภาพ ที่แท้ สำรอก

:b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คนหนึ่งกล่าวเตือนด้วยเมตตา
แต่อีกคนหนึ่งกล่าวด้วยผรุสวาจา ทิฏฐิ มานะ มัจฉริยะ พยาบาท มันเลยยิ่งเห็นชัดในวจีหรือวาทะที่สำรอกออกมาว่าใครเป็นอย่างไร



ใช่ เห็นได้ชัด

เมตตางั้นรึ
อย่าพยามเสแสร้งหน่อยเลย
กระโดดงับซะขนาดนั้น


ดูให้ชัดๆ พยาบาท
อ่านตัวเองให้ออกก่อนเถอะ
ก่อนจะมาเสนอหน้ากล่าวเพ่งโทษผู้อื่นว่า พยาบาท

เมื่อไม่รู้ทันตัณหา
จึงหลงกระทำกรรมใหม่(กล่าวคำสาปแช่งผู้อื่น) ให้มีเกิดขึ้น


asoka เขียน:
การยึดมั่นถือมั่นเกินไปในความเห็น(มิจฉาทิฏฐิ) จนทำให้เกิดการประมาทจ้วงจาบบุคคล ครูบาอาจารย์หรืออริยบุคคลด้วยโมหะ มานะทิฏฐิและรู้ไม่รอบ ย่อมอาจเป็นกรรมอันหนัก กั้นมรรคผลนิพพานได้โดยไม่รู้ตัว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 29 ธ.ค. 2015, 11:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วลีนี้จำได้ดี "ทางใครทางมัน"


เมื่อกล่าวมาแบบนี้อีก

asoka เขียน:
ขอให้เจริญในทางของเธอเถิดนะ:




จงตั้งสติให้ดี อย่าเผลอกระโดดงับอีกล่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง เหตุปัจจัย เรื่อง ผัสสะ เอามาอ้างให้คนอื่นเชื่อจนกระทั้งตนเองก็เชื่อเช่นนั้นไปด้วย
พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศทางปัญญา รู้ล่วงหน้าจนหาที่สุดมิได้ และยังเป็นผู้เปี่ยมล้น
ไปด้วยพระเมตตาต่อสัตว์ที่มืดบอดทางปัญญา

แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความพระองค์จะต้องทำสัตว์ให้ได้พ้นทุกข์ได้
ทุกผู้ทุกนาม ท่านยังปล่อยทิ้งไว้ในนรกที่แสนจะทรมาณยิ่ง ดูตัวอย่างพระเทวฑัต
ที่ยังเป็นพระญาติกันแท้ๆ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เพราะพระเทวฑัตได้ทำกรรมที่เป็นอนันตริยกรรม
แม้กระทั้งในอดีตนานนับแสนกัปป์ พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้รู้ล่วงหน้าทั้งสิ้น
แต่พระองค์ก็ไม่สามารถฝืนกฏธรรมชาติเพราะกฏธรรมชาติ หรือกฏแห่งความเป็นจริง
ย่อมอยู่เหนือต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น

และจนมาถึงสมัยนี้ก็คนยังเชื่อทุกอย่างเป็นเรื่องของ เหตุและปัจจัยที่ดื่มด่ำจนไม่ลืมหูลืมตา
ปล่อยให้เป็นไปโดยทางสุดโต่ง โดยไม่ยอมแก้ไขใดๆทั้งสิ้น เชื่อเสียจนกลายเป็นคนโง่
เกินกว่าที่จะแก้ไขได้ ถ้ามีความเชื่ออย่างนั้นจริง สมมุติว่าอาจเกินเพลิงไหม้บ้านตนเองก็นั่งดูปล่อย
ให้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย หรือลูกจะจมน้ำตายก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยกระนั้นหรือ
แต่ความเชื่อเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยพอประมาณจนไม่ให้ถึงสุดโต่งถือว่าเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2015, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จะบอก มีแค่นี้แหละ





เหตุ


walaiporn เขียน:
สืบเนื่องจากกระทู้นี้


viewtopic.php?f=1&t=50381&start=75




ลุงหมาน เขียน:
กระทู้ของตัวเองก็มีอุตส่าห์ดันกระทู้มาให้ ก็ไม่ไปเอามาอะไรต่อมิอะไรมาแปะ





อ่านแล้ว รู้สึกสลดใจ สังเวชใจยิ่งนัก
พระธรรมคำสอน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ทั้งหมด

กลับมีผู้มืดบอด ใช้ถ้อยคำเหยียดหยามพระธรรมคำสอน

"ก็ไม่เอาอะไรต่อมิอะไรมาแปะ"






สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม









ผล



[๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ทราบชัด
ความเกิด
ความดับ
คุณ
โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออก
แห่ง ผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง
พรหมจรรย์อันเธอไม่อยู่จบแล้ว
เธอเป็นผู้ไกล จากธรรมวินัยนี้





ลุงหมาน เขียน:
เรื่อง เหตุปัจจัย เรื่อง ผัสสะ เอามาอ้างให้คนอื่นเชื่อจนกระทั้งตนเองก็เชื่อเช่นนั้นไปด้วย
พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศทางปัญญา รู้ล่วงหน้าจนหาที่สุดมิได้ และยังเป็นผู้เปี่ยมล้น
ไปด้วยพระเมตตาต่อสัตว์ที่มืดบอดทางปัญญา

แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความพระองค์จะต้องทำสัตว์ให้ได้พ้นทุกข์ได้
ทุกผู้ทุกนาม ท่านยังปล่อยทิ้งไว้ในนรกที่แสนจะทรมาณยิ่ง ดูตัวอย่างพระเทวฑัต
ที่ยังเป็นพระญาติกันแท้ๆ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เพราะพระเทวฑัตได้ทำกรรมที่เป็นอนันตริยกรรม
แม้กระทั้งในอดีตนานนับแสนกัปป์ พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้รู้ล่วงหน้าทั้งสิ้น
แต่พระองค์ก็ไม่สามารถฝืนกฏธรรมชาติเพราะกฏธรรมชาติ หรือกฏแห่งความเป็นจริง
ย่อมอยู่เหนือต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น

และจนมาถึงสมัยนี้ก็คนยังเชื่อทุกอย่างเป็นเรื่องของ เหตุและปัจจัยที่ดื่มด่ำจนไม่ลืมหูลืมตา
ปล่อยให้เป็นไปโดยทางสุดโต่ง โดยไม่ยอมแก้ไขใดๆทั้งสิ้น เชื่อเสียจนกลายเป็นคนโง่
เกินกว่าที่จะแก้ไขได้ ถ้ามีความเชื่ออย่างนั้นจริง สมมุติว่าอาจเกินเพลิงไหม้บ้านตนเองก็นั่งดูปล่อย
ให้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย หรือลูกจะจมน้ำตายก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยกระนั้นหรือ
แต่ความเชื่อเรื่องเหตุเรื่องปัจจัยพอประมาณจนไม่ให้ถึงสุดโต่งถือว่าเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง







อ่านแล้ว มีแต่โชว์ความอะไรดีล่ะ
ความถือมั่นในสิ่งที่คิดว่ารู้ไงล่ะ
ถึงพาเข้ารกเข้าพง เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ

ลุงหมาน เขียน:
เรื่อง เหตุปัจจัย เรื่อง ผัสสะ เอามาอ้างให้คนอื่นเชื่อ
จนกระทั้งตนเองก็เชื่อเช่นนั้นไปด้วย



ใครเชื่อใคร เป็นเรื่องของเหตุและปัจจัยที่มีต่อกัน
ยิ่งแสดงทิฏฐิออกมามากเท่าไหร่ ยิ่งแย่
แสดงว่า ดีแต่ท่องจำ แต่ไม่รู้จักนำสิ่งที่รู้มาสร้างประะโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง




[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บทอันประเสริฐ สงบ ไม่มีบทอื่นยิ่งกว่า
ที่ตถาคตตรัสรู้เองด้วยปัญญาอันยิ่งนี้แล คือ
ความรู้เหตุเกิด
เหตุดับ
คุณ
โทษ
และอุบายเป็นเครื่องออกไปแห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง
แล้วหลุดพ้นได้ด้วยไม่ถือมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทอันประเสริฐ สงบ
ไม่มีบทอื่นกว่านี้นั้น คือ
ความรู้เหตุเกิด
เหตุดับ
คุณ
โทษ
และอุบายเป็นเครื่องออกไปแห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง
แล้วหลุดพ้นได้ด้วยไม่ถือมั่น ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริง
ซึ่งความเกิด
ความดับ
คุณและโทษ
แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖
กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากผัสสายตนะเหล่านั้น

เมื่อนั้น ภิกษุนี้ย่อมรู้ชัด
ยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้ทั้งหมด





[๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ทราบชัด
ความเกิด
ความดับ
คุณ
โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออก
แห่ง ผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง
พรหมจรรย์อันเธอไม่อยู่จบแล้ว
เธอเป็นผู้ไกล จากธรรมวินัยนี้





หมั่นศึกษาพระธรรมคำสอนบ้างนะ
อย่าถือมั่นในสิ่งที่คิดว่ารู้จนสุดโต่ง มันจะสายเกินแก้
พระเทวทัติยังนับว่ามีเหตุดี กลับมารู้สึกตัว รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
มีแต่ผู้มืดบอดเท่านั้น ที่มองไม่เห็นตรงนี้




เหตุปัจจัย


พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางกายเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางกายแล้ว
อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา
เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย

นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ




พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้น
เพราะการกระทำทางวาจาเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางวาจาแล้ว
อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา
เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย

นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ...
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลใน สัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ



พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางใจเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจาก การกระทำทางใจแล้ว
อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา
เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย

นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ...
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ




พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น
อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน เหล่านั้นย่อมไม่มีแก่เขา
เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย


นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ...
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ



พ. ดูกรวัปปะ เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมบรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ ๖ ประการ

เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่
เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด

เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด

ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป
เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น

ดูกรวัปปะ เงาปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้
ครั้งนั้น บุรุษพึงถือจอบและตะกร้ามา เขาตัดต้นไม้นั้นที่โคน
ครั้นแล้ว ขุดคุ้ยเอารากขึ้น โดยที่สุดแม้เท่าต้นแฝกก็ไม่ให้เหลือ
เขาตัดผ่าต้นไม้นั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทำให้เป็นซีกๆ แล้วผึ่งลมและแดด

ครั้นผึ่งลมและแดดแห้งแล้วเผาไฟ กระทำให้เป็นขี้เถ้า
โปรยในที่มีลมพัดจัดหรือลอยในกระแสน้ำอันเชี่ยวในแม่น้ำ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เงาที่ปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้นั้น
มีรากขาดสูญ ประดุจตาลยอดด้วน
ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา แม้ฉันใด

ดูกรวัปปะ ฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมได้บรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองนิตย์ ๖ ประการ

เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่

เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด

เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด

ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป
เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น ฯ



จบมหาวรรคที่ ๕
จบจตุตถปัณณาสก์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2015, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 4416 ครั้ง ]
:b12: :b13: :b13:
รู้ผิด คิดผิด เห็นผิด พูดผิด ทำผิดไปเสียแล้ว วลัยพร เพราะด้วยอำนาจของโทสะ พยาบาท อัตตทิฏฐิ มานะทิฏฐิ
:b3:
ช่วยกระตุกโซ่เพราะเห็นหลุดจากฐานที่มัดมากัดคนนอกฐาน กำลังพยายามจะพากลับไปมัดที่ๆเดิมที่ชอบที่ยึด กลับแว้งกัดมาอีก

เอ้อหนอ! ชีวิตของคนที่เหมือนสาวใหญ่อยู่คนเดียวมาตั้งนานนี้ มีวิธีระบายถ่ายทอดความคับคั่งของพลังภายในอย่างนี้นี่เองนะ

เพราะโมหะบังตา แม้คำแช่งคำด่า กับคำชี้แนะกระตุ้นเตือนให้เกิดสติ สัมปชัญญะ ยังแยกแยะไม่ออกไม่ชัดจนจึงตีความหมายและความเมตตาปารถนาดีผิดไปเป็นลบไปหมด

ตีความ จับประเด็นในเรื่องง่ายๆอย่างนี้ยังผิดๆถูกๆ แล้วนี่จะไปตีความ จับประเด็นพุทธธรรมคำสอนจากคัมภีร์มาให้ถูกต้องได้นี่คงจะยากยิ่งนักกระมัง
คงจะทำให้สิ่งที่ดีๆเสียหายไปเพราะความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นที่ผิดว่าเป็นถูก


ความรู้มากชำนาญมากในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่วันไหนเอามาทำให้ลำพองยกตนข่มท่านแล้ว วันนั้นมันกลับจะกลายเป็นหอกทิ่มแทงใจตนเองให้เดือดร้อน เพราะมันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นไปโดยไม่รู้ตัว

การได้รู้กว้างขวางลึกซึ้งในคัมภีร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไปเกิดความกระหยิ่มใจเหมือนกับว่าตนได้เฝ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้าทุกวัน แต่ไม่หมั่นปฏิบัติภาวนาตามคำสอน นั่นเป็นสัญญาณอันตราย เพราะไม่มีผู้ใดกอดคัมภีร์เข้าพระนิพพานได้ มีแต่ต้องสละกาย สละใจ สลายความรู้ผิด เห็นผิด ยึดผิด จิตไร้พยศ หมดมานะ ละมิจฉาทิฏฐิได้ จึงจะเข้านิพพาน

พระธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นล้วนนำพาให้เข้าถึงนิพพานได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกแจกแจงสอนแก่บุคคลต่างๆ ตามวาระ อุปนิสัย วาสนา บารมี ของผู้ฟังคนนั้น กลุ่มนั้นๆ

วลัยพรค้นคว้าหาสิ่งอ้างอิงตลอดจนถึงคัดลอกพุทธวัจจนะมาแปะให้อ่านเสียยาวยืดนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ แต่เมื่อเอาความเห็นส่วนตัวของตนเองไปวงเล็บไว้ท้ายข้อความที่ตรงกับความเห็นของตนเอง (ผัสสะ) อย่างนี้นี้สิอันตรายเพราะนั่นคือการพยายามกล่าวตู่พุทธวัจจนะโดยไม่รู้ตัว ด้วยสำคัญผิด

ลึกๆตามธรรมและพิจารณาตามคำสอนย้ำของพระบรมศาสดาแล้ว
การระวังที่ผัสสะ มันเป็นวิธีการที่พวกฤาษี พราหมณ์ ฮินดูเขาใช้กันมานานก่อนพุทธกาลแล้วดีอยู่ บรรลุธรรมได้อยู่ แต่มันทำยาก ใช้กำลังมากและมีโอกาสหลงติดสุขในสมาธิและฌาณได้ง่าย ทั้งยังเป็นการไปปิดบังไม่ให้เห็นสมุทัยเหตุทุกข์ที่แท้จริงอีกด้วย


พระบรมศาสดา ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงสนใจให้ไปเฝ้าระวังที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะที่นั่นผู้ปฏิบัติทุกคน
จะได้พบกับเหตุทุกข์ที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลาถ้ามีความสังเกตและสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ดูสิแม้แต่สติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองพระองค์ก็ทรงสอนให้ ระวังที่เวทนา คือเอาความยินดียินร้ายออกให้ได้ กระบวนการในการเอาความยินดียินร้ายออกนี่สิที่พระบรมศาสดาทรงทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนค้นพบด้วยตนเอง มันจึงจะซึ้งและมีคุณค่า


เพราะฉนั้นพึงคลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องผัสสะ ที่วลัยพรเห็นว่าใช่ที่สุด เพื่อจะได้เอื้อให้พระธรรมสูตรอื่น ขันธ์อื่นได้เปล่งรัศมีนำผู้คนในจริตนิสัยต่างๆได้ถึงความหลุดพ้นตามนิสัย วาสนา ทัศนะและบารมีของตนเอง

วลัยพรเองก็จะได้มีจิตใจเป็นกลางมากขึ้นไม่สุดโต่ง จนใครกระทบไม่ได้ กระทบทีไรก็ปรี้ดแตกทุกทีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ไม่มีใครกล้าหาญต่อกรถกเถียงมีวาทะกับวลัยพรหรอกทั่วลานเขารู้ๆกันอยู่
แต่อโศกะด้วยความเอ็นดูจึง สะกิดสะเกาบ้างเป็นบางครั้งบางคราวส่วนใหญ่มักจะตอนที่วลัยพรเผลอแลบออกนอกฐานนอกลานของตนเองมา ดังกรณีที่เราต้องมามีวาทะกันในลานของลุงหมานนี้ ถ้าในลานของวลัยพร อโศกะก็บอกแล้วว่า

"ทางใคร ทางมัน"

ต้องกราบขออภัยลุงหมานด้วยนะครับ


"ไม่ถือสาก็ไม่เป็นไร ไม่อีนังขังขอบก็ไม่ทุกข์ใจ"

ตุ๊เจ้าเสือดาวท่านเมตตาเตือนไว้อย่างนี้ครับ
:b38:
โชคดีปีใหม่สบายใจกันดีทุกท่านทุกคนนะครับ
:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2015, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ตารางชีวิตนี้นั้น ทุกคนต่างก็มีเวลาไม่เท่ากัน

ในคนหนุ่มสาว บางคนก็คิดว่าจะทำกุศล แต่ผลัดว่าเอาไว้แก่ก่อนค่อยทำ เพราะความประมาท คิดว่ายังหนุ่มยังสาว ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำกุศล คิดว่าการเข้าวัดทำบุญหรือการทำกุศลใดๆ เป็นเรื่องของคนแก่

ปรากฏว่า ไม่ได้ทำ จากไปก่อนแก่ เสียหายไปชาติหนึ่งที่เกิดมา

ความประมาทในวัย คิดว่ายังหนุ่มสาว ยังมีเวลาอีกนาน เอาไว้ก่อน

เวลาขณะที่เกิดมาแล้ว ไปจนถึง เวลาก่อนขณะที่กำลังตายนั้น แต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากัน
บางคนเกิดมาแล้ว และอยู่ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาย
บางคนเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้ ๕ ปี บางคนก็มีชีวิตอยู่ได้ ๑๐๐ ปี

การที่คิดว่าเรายังอยู่ได้อีกนาน ผลัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี ก็คือความประมาท

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร