วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 17:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2016, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


"เวลาเกิดมาก็ "กำมือ"
นี่ของเราๆ แต่เวลาตายก็ "แบมือ"
ให้เขารดน้ำเอาอะไรไปไม่ได้เลย
มาก็มามือเปล่า ไปก็ไปมือเปล่า
แล้วจะไปแก่งแย่ง โกงสมบัติกันทำไม จำไว้ เงินทองเป็นอสรพิษ ไม่ใช่ของเราอย่าเอาไป มันจะทำร้ายที่หลัง"
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม



บางครั้ง..
ต้นผลไม้ อย่างต้นมะม่วงเป็นดอกออกมาแล้ว บางทีถูกลมพัด มันก็หล่นลง แต่ยังเป็นดอกอย่างนั้นก็มี บางช่อเป็นลูกเล็กๆลมก็มาพัดไป หล่นทิ้งไปก็มี บางช่อยังไม่ได้เป็นลูก เป็นดอกเท่านั้น ก็หักไปก็มี

คนเราก็เหมือนกัน !!
บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องบางคนคลอดจากท้องอยู่ได้สองวัน ตายไปก็มี หรืออายุเพียงเดือนสองเดือน สามเดือน ยังไม่ทันโต ตายไปก็มีบางคนพอเป็นหนุ่มเป็นสาวตายไปก็มี บางคนก็แก่เฒ่าแล้ว จึงตายก็มี

เมื่อนึกถึงคนแล้ว ก็นึกถึงผลไม้..
ก็เห็นความไม่แน่นอน แม้นักบวชเราก็เหมือนกัน บางทียังไม่ทันได้บวชเลย ยังเป็นเพียงผ้าขาวอยู่ ก็พาผ้าขาววิ่งหนีไปก็มีบางคนโกนผมเท่านั้น ยังไม่ได้บวชขาวด้วยซ้ำ ก็หนีไปก่อนแล้วก็มี บางคนก็อยู่ได้สามสี่เดือนก็หนีไป บางคนอยู่ถึงบวชเป็นเณรเป็นพระ ได้พรรษาสองพรรษาก็สึกไปก็มี หรือสี่ห้าพรรษาแล้วก็สึกไปก็มี
เหมือนกับผลไม้เอาแน่นอนไม่ได้ ดอกไม้ผลไม้ถูกลมพัดตกลงไปเลยไม่ได้สุก จิตใจคนเราก็เหมือนกัน พอถูกอารมณ์มาพัดไป ดึงไป ก็ตกไปเหมือนกับผลไม้

พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเห็นเหมือนกัน
เห็นสภาพธรรมชาติของผลไม้ ใบไม้ แล้วก็นึกถึงสภาวะของพระเณรซึ่งเป็นบริษัท บริวารของท่านก็เหมือนกัน มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ย่อมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติถ้ามีปัญญา พิจารณาดูอยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูอาจารย์แนะนำพร่ำสอนมากมาย

พระพุทธเจ้าของเรา ที่จะทรงผนวชในพระชาติที่เป็นพระชนกกุมารนั้น ท่านก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมายท่านไปทรงเห็นต้นมะม่วงในสวนอุทยานเท่านั้น คือวันหนึ่ง พระชนกกุมารได้เสด็จไปชมสวนอุทยานกับ พวกอำมาตย์ทั้งหลาย ได้ทรงเห็นต้นมะม่วงต้นหนึ่ง กำลังออกผลงามๆมากมาย ก็ตั้งพระทัยไว้ว่า ตอนกลับจะแวะเสวยมะม่วงนั้น

แต่เมื่อพระชนกกุมารเสด็จผ่านไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันเก็บผลมะม่วงตามใจชอบ ฟาดด้วยกระบองบ้าง แส้บ้าง เพื่อให้กิ่งหัก ใบขาด จะได้เก็บผลมะม่วงมากิน

พอตอนเย็น พระชนกกุมารเสด็จกลับ ก็จะทรงเก็บมะม่วง เพื่อจะลองเสวยว่าจะมีรสอร่อยเพียงใด แต่ก็ไม่มีมะม่วงเหลือเลยสักผล มีแต่ต้นมะม่วงที่กิ่งก้านหักห้อยเกะกะ ใบก็ขาดวิ่น เมื่อไต่ถาม ก็ทรงทราบว่าพวกอำมาตย์เหล่านั้นได้ใช้กระบอง ใช้แส้ฟาดต้นมะม่วงนั้นอย่างไม่ปรานี เพื่อที่จะเอาผลของมันมาบริโภคฉะนั้นใบของมันจึงขาดกระจัดกระจาย กิ่งของมันก็หัก ห้อยระเกะระกะ

เมื่อพระองค์ทรงมองมะม่วงสักต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็ทรงเห็นมะม่วงต้นนั้นยังมีกิ่งก้านแข็งแรง ใบดกสมบูรณ์ มองดูน่าร่มเย็น จึงทรงดำริว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ก็ทรงได้คำตอบว่า เพราะมะม่วงต้นนั้นมันไม่มีผล คนก็ไม่ต้องการมัน ไม่ขว้างปามัน ใบของมันก็ ไม่หล่นร่วง กิ่งของมันก็ไม่หัก

พอพระองค์ทรงเข้าพระทัยในเหตุเท่านั้น ก็พิจารณามาตลอดทางที่เสด็จกลับ ทรงรำพึงว่า ที่ทรงมีความทุกข์ยากลำบาก ก็เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องทรงห่วงใยราษฎร ต้องคอยป้องกันแผ่นดินจากข้าศึกศัตรู ที่คอยจะมาโจมตีตรงนั้นตรงนี้อยู่วุ่นวาย แม้จะนอนก็ไม่เป็นสุข บรรทมแล้วก็ยังทรงฝันถึงอีก แล้วก็ทรงนึกถึงต้นมะม่วงที่ไม่มีผลต้นนั้น ที่มีใบสดดูร่มเย็น แล้วทรงดำริว่า จะทำอย่างมะม่วงต้นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ?

พอถึงพระราชวัง ก็ทรงพิจารณาอยู่แต่ในเรื่องนี้ในที่สุดก็ตัดสินพระทัยออกทรงผนวช โดยอาศัยต้นมะม่วงนั้นแหละ เป็นบทเรียนสอนพระทัย ทรงเปรียบเทียบพระองค์เองกับมะม่วงต้นนั้น แล้วเห็นว่าถ้าไม่พัวพันอยู่ในเพศฆราวาส ก็จะได้เป็นผู้ไปคนเดียว ไม่ต้องกังวัลทุกข์ร้อน เป็นผู้มีอิสระ จึงออกผนวช

หลังจากทรงผนวชแล้ว ถ้ามีผู้ใดทูลถามว่า
ใครเป็นอาจารย์ของท่าน?
พระองค์ก็จะทรงตอบว่า "ต้นมะม่วง"

ใครเป็นอุปัชฌาย์ของท่าน?
พระองค์ก็ทรงตอบว่า "ต้นมะม่วง" พระองค์ไม่ต้องการคำพร่ำสอนอะไรมากมาย เพียงแต่ทรงเห็นต้นมะม่วงนั้นเท่านั้น ก็ทรงน้อมเข้าไปในพระทัย เป็นโอปนยิกธรรม สละราชสมบัติทรงเป็นผู้ที่มักน้อย สันโดษ อยู่ในความสงบผ่องใส

นี้คือในสมัยที่พระองค์ (พระพุทธเจ้า) ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้ทรงบำเพ็ญธรรมเช่นนี้มาโดยตลอดอันที่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันเตรียมพร้อมที่จะสอนเราอยู่เสมอ ถ้าเราทำปัญญาให้เกิดนิดเดียวเท่านั้น ก็จะรู้แจ้งแทงตลอดในโลก

ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์เหล่านั้น มันแสดงลักษณะอาการตามความจริงตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้ามีปัญญาเท่านั้นก็ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหน ดูเอาที่มันเป็นอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น ก็ตรัสรู้ธรรมได้แล้ว เหมือนอย่างพระชนกกุมาร

ถ้าเรามีปัญญา ถ้าเราสังวร สำรวม ดูอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ตามธรรมชาติอันนั้น มันก็ปลงอนิจจัง ทุกขังอนัตตาได้เท่านั้น เช่นว่า ต้นไม้ทุกต้นที่เราเห็นอยู่บนพื้นปฐพีนี้ มันก็เป็นไปในแนวเดียวกัน เป็นไปในแนวอนิจจังทุกขัง อนัตตา ไม่เป็นของแน่นอนถาวรสักอย่าง มันเหมือนกันหมด มีเกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้น แปรไปในท่ามกลาง ผลที่สุดก็ดับไปอย่างนี้

เมื่อเราเห็นต้นไม้เป็นอย่างนั้นแล้ว ก็น้อมเข้ามาถึงตัวสัตว์ ตัวบุคคล ตัวเราหรือบุคคลอื่นก็เหมือนกันมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นในท่ามกลางก็แปรไป เปลี่ยนไป ผลที่สุดก็สลายไป นี่คือธรรมะ

ต้นไม้ทุกต้นก็เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน เพราะว่ามันเหมือนกันโดยอาการที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็แปรไป แล้วมันก็เปลี่ยนไป หายไป เสื่อมไปดับสิ้นไปเป็นธรรมดา

มนุษย์เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้มีสติอยู่รู้อยู่ ศึกษาด้วยปัญญา ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็จะเห็นธรรมอันแท้จริง คือเห็นมนุษย์เรานี้ เกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็แปรไปแล้วก็เปลี่ยนไป สลายไป ถึงที่สุดแล้วก็จบ ทุกคนเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น คนทุกคนในสากลโลกนี้ ก็เป็นอันเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนคนเดียวชัดเจนแล้ว ก็เหมือนกับเห็นคนทั้งโลก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

ทุกสิ่งสารพัดนี้เป็นธรรมะ
สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา คือใจของเรานี้ เมื่อความคิดเกิดขึ้นมา ความคิดนั้นก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็แปรไป เมื่อแปรไปแล้ว ก็ดับสูญไปเท่านั้น นี้เรียกว่า "นามธรรม" สักแต่ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นมา แล้วมันก็ดับไป นี่คือความจริงที่มันเป็นอยู่อย่างนั้น ล้วนเป็นอริยสัจจธรรมทั้งนั้น ถ้าเราไม่มองดูตรงนี้ เราก็ไม่เห็น

ฉะนั้น !!
ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า..

พระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงไหน?
พระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรม

พระธรรมอยู่ที่ตรงไหน?
พระธรรมอยู่ที่พระพุทธเจ้า อยู่ตรงนี้แหละ

พระสงฆ์อยู่ที่ตรงไหน?
พระสงฆ์อยู่ที่พระธรรม

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ในใจของเราแต่เราต้องมองให้ชัดเจน บางคนเก็บเอาความไปโดยผิวเผิน แล้วอุทานว่า "โอ! พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ อยู่ในใจของฉัน" แต่ปฏิปทานั้นไม่เหมาะไม่สมควร มันก็ไม่เข้ากันกับการที่จะอุทานเช่นนั้น เพราะใจของผู้ที่อุทานเช่นนั้น จะต้องเป็นใจที่รู้ธรรมะ

ถ้าเราตรงไปที่จุดเดียวกันอย่างนี้ ก็จะเห็นว่าความจริงในโลกนี้มีอยู่ นามธรรม คือ ความรู้สึกนึกคิดเป็นของไม่แน่นอน มีความโกรธเกิดขึ้นมาแล้ว ความโกรธตั้งอยู่แล้ว ความโกรธก็แปรไป เมื่อความโกรธแปรไปแล้ว ความโกรธก็สลายไป

เมื่อความสุขเกิดขึ้นมาแล้ว ความสุขนั้นก็ตั้งอยู่เมื่อความสุขตั้งอยู่แล้ว ความสุขก็แปรไป เมื่อความสุขแปรไปแล้ว ความสุขมันก็สลายไปหมด ก็ไม่มีอะไร มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ทุกกาลเวลา ทั้งของภายในคือ นามรูปนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ทั้งของภายนอก คือต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์เหล่านี้มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ นี่เรียกว่าสัจจธรรม

ถ้าใครเห็นธรรมชาติก็เห็นธรรมะ
ถ้าใครเห็นธรรมะก็เห็นธรรมชาติ ถ้าผู้ใดเห็นธรรมชาติ เห็นธรรมะผู้นั้นก็เป็นผู้รู้จักธรรมะนั่นเอง ไม่ใช่อยู่ไกล

ฉะนั้น !!
ถ้าเรามีสติ ความระลึกได้ มีสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ทุกอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง นอน ผู้รู้ทั้งหลายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นมา ให้รู้ ให้เห็นธรรมะตามเป็นจริงทุกกาลเวลา

พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านยังไม่ตาย
แต่คนมักเข้าใจว่าท่านตายไปแล้ว นิพพานไปแล้ว ความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นท่านไม่นิพพาน ท่านไม่ตายท่านยังอยู่ ท่านยังช่วยมนุษย์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ทุกเวลา พระพุทธเจ้านั้นก็คือธรรมะนั่นเอง ใครทำดีต้องได้ดีอยู่วันหนึ่ง ใครทำชั่วมันก็ได้ชั่ว นี่เรียกว่าพระธรรมพระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า และก็ธรรมะนี่แหละที่ทำให้พระพุทธเจ้าของเรา เป็นพระพุทธเจ้า

ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า !!
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นธรรมะที่มีอยู่ประจำโลก ไม่สูญหาย เหมือนกับน้ำที่มีอยู่ในพื้นแผ่นดิน ผู้ขุดบ่อลงไปให้ถึงน้ำก็จะเห็นน้ำไม่ใช่ว่าผู้นั้นไปแต่งไปทำให้น้ำมีขึ้น บุรุษนั้นลงกำลังขุดบ่อเท่านั้น ให้ลึกลงไปให้ถึงน้ำ น้ำก็มีอยู่แล้ว

อันนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น ..
พระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน ท่านไม่ได้ไปแต่งธรรมะ ท่านไม่ได้บัญญัติธรรมะ บัญญัติก็บัญญัติสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว ธรรมะคือความจริงที่มีอยู่แล้ว ท่านพิจารณาเห็นธรรมะ ท่านเข้าไปรู้ธรรม คือรู้ความจริงอันนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสรู้ธรรม และการตรัสรู้ธรรมนี่เองจึงทำให้ท่านได้รับพระนามว่า พระพุทธเจ้า

เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ก็ทรงเป็นเพียง "เจ้าชายสิทธัตถะ" ต่อเมื่อตรัสรู้ธรรมแล้ว จึงได้ทรงเป็น "พระพุทธเจ้า" บุคคลทั้งหลายก็เหมือนกันผู้ใดสามารถตรัสรู้ธรรมได้ ผู้นั้นก็เป็นพุทธะ

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงยังมีอยู่ ยังเมตตากรุณาสัตว์ทั้งหลาย ยังช่วยมนุษย์สัตว์ทั้งหลายอยู่ ถ้ามนุษย์ผู้ใดมีความประพฤติปฏิบัติดี จงรักภักดี พระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ผู้นั้นก็จะมีคุณงามความดีอยู่ตลอดทุกวันฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญา ก็จะเห็นได้ว่า เราไม่ได้อยู่ห่างพระพุทธเจ้าเลย เดี๋ยวนี้เราก็ยังนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าเราเข้าใจธรรมะเมื่อใด เราก็เห็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น ผู้ใดที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน อยู่ ณ ที่ใด ผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

ในการปฏิบัติธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่ในที่สงบ สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต นี้เป็นหลักไว้ เพราะสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ไม่เกิดที่อื่นความดีทั้งหลายเกิดขึ้นที่นี่ ความชั่วทั้งหลายเกิดขึ้นที่นี่ พระพุทธเจ้าจึงให้สังวรสำรวมให้รู้จักเหตุที่มันเกิดขึ้น

ความจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกทรงสอนไว้หมดทุกอย่างแล้ว เรื่องศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดีตลอดจนข้อประพฤติปฏิบัติทุกประการก็ทรงพร่ำสอนไว้หมดทุกอย่าง เราไม่ต้องไปคิด ไปบัญญัติอะไรอีกแล้วเพียงให้ทำตามในสิ่งที่ท่านทรงสอนไว้เท่านั้น นับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญ มีโชคอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบหนทางที่ท่านทรงแนะทรงบอกไว้แล้ว คล้ายกับว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสร้างสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์พร้อมไว้ให้เรา แล้วก็เชิญให้พวกเราทั้งหลายไปกินผลไม้ในสวนนั้น โดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำอะไรในสวนนั้นเลย เช่นเดียวกับคำสอนในทางธรรม ที่พระองค์ทรงสอนหมดแล้ว ยังขาดแต่บุคคลที่จะมีศรัทธาเข้าไปประพฤติปฏิบัติเท่านั้น

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่มีโชคมีบุญมากเพราะเมื่อมองไปที่สัตว์ทั้งหลายแล้ว จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็นต้น เป็นสัตว์ที่อาภัพมาก เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนธรรม ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ธรรม ฉะนั้นก็หมดโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ เป็นสัตว์ที่ต้องเสวยกรรมอยู่

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ คือไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ อย่าให้เป็นคนอาภัพ คือ คนหมดหวังจากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคุณงามความดี อย่าไปคิดว่าเราหมดหวังเสียแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นคนอาภัพเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย คือไม่อยู่ในข่ายของพระพุทธเจ้า

ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีเช่นนี้แล้ว จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม จะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ในชาติกำเนิดที่เป็นมนุษย์นี้ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้

ถ้าหากเราคิดไม่ถูก ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ มันก็จะกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นยักษ์ เป็นผี เป็นสารพัดอย่าง มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ก็ขอให้มองดูในจิตของเราเอง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น มันเป็นอย่างไร? นั่นแหละ!

เมื่อความหลงเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอย่างไร?นั่นแหละ!
เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอย่างไร?นั่นแหละ!
สภาวะทั้งหลายเหล่านี้แหละ มันเป็นภพ แล้วก็เป็นชาติ เป็นความเกิดที่เป็นไปตามสภาวะแห่งจิตของตน



หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่าเรื่อง "การปล่อยปู"
".......ไอ้เรื่องปล่อยสัตว์นี่ก็แปลก เมื่อปี 08 ฉันเป็นโรคอยู่อย่างหนึ่ง มันเมื่อยปวดทั้งตัว คือ มันเกินเมื่อย ให้หมอฉีดยาก็แล้ว หมอให้ยากินก็แล้ว มันก็ไม่ได้ผล ก็เลยมากรุงเทพฯ แล้วเลยไปบางปู ไปถึงบางปูก็เจอคนขายปู 3 โหล
ก็นึกในใจว่า ไอ้ปูนี่กว่ามันจะตายก็ถูกมัดอยู่นาน มันก็เมื่อยเหมือนกับเราเหมือนกัน ปลาก็เคยปล่อยมาแล้ว แต่ปูนี่ยังไม่ได้ปล่อย ไอ้ปูมันถูกมัดเป็นวัน ๆ นี่มันเมื่อยเหมือนกันใช่ไหม มันทรมานมาก ส่วนปลาขังอยู่ในบริเวณแคบ แต่มันก็ยังมีน้ำให้ว่ายใช่ไหม ก็เลยคิดถึงตัวเอง ไอ้บาปเก่า ๆ เราคงจะไปมัดเขาไว้อย่างนี้เหมือนกัน ปล่อยมันเสียเถอะ ให้มันเป็นสุข ก็เลยเหมาหมด เหมาแล้วก็ช่วยกันปล่อย
"แต่ฉันไม่มีเจตนาต้องการให้หายปวดตัวนะ ไม่ใช่"
มาอีกคราวฉันก็ไปอีกก็เหมาอีก พอถึงสามคราวไอ้อาการปวดตัวมันหายเลย หายจริง ๆ รักษามาเกือบตายไม่หาย นี่ก็แปลกเหมือนกันนะ เป็นอันว่าเราปล่อยสัตว์ด้วยมีจิตเมตตา คิดจะช่วยให้รอดพ้นจากการถูกขังก็ดี เห็นว่ามันจะต้องตายก็ดี อันนี้เป็นของดี เป็นการช่วยชีวิตเขา และเราก็รอดพ้นจาก อุปมาตกรรมด้วย
จากหนังสือ การอุทิศส่วนกุศล หน้า๓๕-๓๖



ให้มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวนี้พอแล้วกับความจำเป็นที่โลกยังละมันไม่ได้คือกามกิเลส ท่านให้อยู่ในระดับนี้จะเป็นความสุขด้วยทั่วหน้ากัน ทั้งเขาทั้งเราทั้งผัวทั้งเมีย ลูกเล็กเด็กแดง สกุลต่าง ๆ ก็เป็นสกุลมีศีลมีธรรม มีศีลข้อที่ ๓ เป็นเครื่องรักษาเย็นทั่วหน้ากันไปหมด นี่พระพุทธเจ้าก็สอนไว้แล้ว ถ้าปฏิบัติตามนี้โลกจะเย็นไปหมดเลย สันเป็นสัน คมเป็นคม อย่ามาก้าวก่ายว่าสันเป็นคม คมเป็นสัน ผัวเป็นผัว เมียเป็นเมีย ฝากเป็นฝากตายต่อกันนี้เรียกว่าคมเป็นคม สันเป็นสัน ไม่พลิกแพลงเป็นอย่างอื่น ทีนี้ก็เป็นความผาสุกเย็นใจ ถ้าพลิกเป็นร้อยสันพันคม โอ๊ย.ไม่ทราบมันจะมีกี่ผัวกี่เมีย หมาสู้ไม่ได้เลย นี่ร้อนเป็นไฟ"
..................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๕





"..ต้องการละ ความพยาบาทหรือความคิดปองร้าย
ต้องหมั่น เจริญเมตตาหรือไมตรีจิต คิดให้ผู้อื่นมีความสุข

ต้องการละ ความคิดเบียดเบียนผู้อื่น
ต้องหมั่น เจริญกรุณาหรือเอ็นดู คือช่วยเหลือผู้อื่นพ้นทุกข์

ต้องการละ ความอิจฉาริษยา
ต้องหมั่น เจริญมุทิตาหรือพลอยยินดีเมื่อผุ้อื่นได้ดี

ต้องการละ ความขัดใจ
ต้องหมั่น เจริญอุเบกขาหรือการวางใจเป็นกลาง

ต้องการละ ความกำหนัดยินดี
ต้องหมั่น เจริญอสุภะหรือเห็นความไม่งามเบื้องหลังความงาม

ต้องการละ ความถือตัวถือตน
ต้องหมั่น เจริญกฎการเปลี่ยนแปลง ให้เข้าใจ.."

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ




ขอเชิญร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก 4 ศอก ปิดทองประดับเพชร วัดหนองหญ้าปล่อง อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี (พระประธานวิหารแก้ว)




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพเครื่องกรองน้ำ เพื่อใช้ในงานวัดป่าอัมพวโนทยาราม ต.โพนทอง อ.สีดา จ.นครราชสีมา



ขอเชิญ ... ร่วมทำบุญโรงทาน
เนื่องในงานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารพระดีศรีอุบล
หลวงปู่บุญมี โชติปาโล ณ วัดสระประสานสุข บ้านนาเมือง ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 23-24 ม.ค.59
https://www.facebook.com/lika.beam.7/po ... 3649255205




ขอเชิญร่วมทำบุญช่วยเหลือที่บ้านพักคนชรา กาญจนบุรี
https://www.facebook.com/phanom.suthaph ... 5629102878




ขอเชิญร่วมซื้อทองคำ เพื่อนำไปหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม
1.) พระเกศโมฬีทองคำแท้ และพระเศียรของพระประธานสมเด็จองค์ปฐม(องค์ใหญ่) ขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร ซึ่งจะประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหาร ณ สำนักสงฆ์เจโตวิมุติ(วัดป่าเขาดิน) จ.กาญจนบุรี
2.) พระเกศโมฬีทองคำล้วน และพระเศียรของพระประธานสมเด็จองค์ปฐม ขนาดหน้าตักกว้าง 108 นิ้ว
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 847&type=3




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทาสีอุโบสถ วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น
ยังขาดเจ้าภาพอีกจำนวน 10 ถัง ร่วมบุญถังละ1500บาท หรือร่วมบุญตามกำลังทรัพย์
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 2807534411




ขอเชิญร่วมไถ่ชีวิตสัตว์
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 682&type=3



ขอเชิญเป็นเจ้าภาพหล่อพระ 23 ม.ค.59
Tel 0894755055




กำหนดการสร้างสมเด็จองค์ปฐมปี 2559
และขัดแต่ง-ทำสี องค์พระสมเด็จองค์ปฐม
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 696&type=3





วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
...ขอเชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ "กระเบื้องสำหรับมุงหลังคา" บูรณะวิหารสุทธิธรรมรังสี
https://www.facebook.com/watasokaram.or ... 27/?type=3




พระอาจารย์วิชาญ ธัมมโชโต วัดป่าโคกปราสาท ต.หนองปล่อง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ จากรายการเสียงธรรมจากวัดป่าโคกปราสาท แจ้งข่าวงานบุญในรายการวันนี้ดังนี้
1. เจ้าภาพเสาไฟฟ้า ถวายให้วัดช่องตะโก อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ จำนวน 7 ต้น ต้นละ 1,500 บาท
2. เจ้าภาพอิฐแดง เพื่อปั้นเอวขัน บัวคว่ำบัวหงาย บริเวณริมฐานอุโบสถ งบประมาณ 15,000 บาท ร่วมบุญ ทุนละ 1,000 บาท
3. เจ้าภาพตู้เย็น เพื่อใช้งานภายในวัด ทดแทนเครื่องเดิมที่เสีย เครื่องละ 13,000 บาท ร่วมบุญ ทุนละ 1,000 บาท
ร่วมบุญกับ พระวิชาญ ธัมมโชโต
โทร 089-929-2295






ขอเรียนเชิญทุกท่านที่มีจิตศรัทธา
ร่วมจัดสร้างพระดินเผาสมเด็จองค์ปฐมบรมครู
ครั้งที่สอง หลังเรียบ ๑ล้านองค์
ถวายแด่หลวงพ่อชำนาญ อุตตมปัญโญ เพื่อบรรจุใต้ฐานพระประธาน ณ พระอุโบสถ
พระเจดีย์ ของวัดวาอารามต่างๆตามแต่ความประสงของท่าน
ถวายเป็นพุทธบูชา สืบทอดพระพุทธศาสนา
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 509&type=3




ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญเพื่อสร้างพุทธมณฑลจังหวัดปัตตานีสามารถแจ้งความจำนงได้ที่
พระราชวิสุทธิคุณ เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี/เจ้าอาวาสวัดหลักเมือง อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี โทร.081-9902328
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 9750855761





ขอเชิญร่วมศาลาการเปรียญใหม่
งบประมาณใช้จ่ายค่าศาลาการเปรียญรวมอุปกรณ์ก่อสร้างจำนวน 17,000,000 กว่าบาท
https://www.facebook.com/page.watsapang ... 8866065745




ขอเชิญร่มทำบุญ ยกช่อฟ้าเอกอุโบสถ
ณ วัดปางค่า ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน
วันที่ 4-6 มีนาคม 2559
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 707&type=3




ขอเชิญหล่อพระ 21 ม.ค.59 ณ วัดหนองหญ้าปล้อง อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี



ขอเชิญร่วมสร้างจุฬามณีเจดียสถาน

ณ.วัดศรีนวล จังหวัดขอนแก่น
https://www.facebook.com/buddhatrairat/ ... 3597786580





ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระผาติกรรมสมเด็จองค์ปฐม ประดับเพชรหน้าตัก 4 ศอก เป็นพระชำระหนี้สงฆ์และบริวารกฐิน ถวายงานทอดกฐินวัดท่าซุง ปี 2559
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 304&type=3



ขอเชิญเททองหล่อพระประธานอุโบสถ
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 51/?type=3



ขอเชิญหล่อพระ
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 71/?type=3


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร