วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2015, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


"..ในโลกมนุษย์นี้ เราจะหลบหนีจากคำตำหนิติเตียนไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ซึ่งเป็นจอมปราชญ์ทั้งหลาย ก็ยังถูกโลกติเตียนอยู่
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า.. นัตถิ โลเก อนินทิโต แปลใจความว่า.. คนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก เราจะให้สัตว์โลกปราศจากสิ่งดังกล่าวไม่ได้
เพราะฉะนั้น..เราผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก็อย่าพากันไปเอาเรื่องของโลก มาเป็นอารมณ์ของใจ จะทำให้จิตใจของเรามัวหมอง.."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่คำดี ปภาโส



"....ควรระลึกถึงป่าช้าคือความตายบ้าง

เพราะกรรมกับป่าช้าอยู่ด้วยกัน

ถ้าระลึกถึงป่าช้าในขณะเดียวกันได้ระลึกถึงกรรมด้วย

อย่าอวดตัวว่าเก่งทั้ง ๆ ที่ไม่เหนืออำนาจของกรรม

ไม่ควรอวดตัวว่าเก่งกว่าศาสดา

สุดท้ายก็จนมุมของกรรมคือความเก่งของตัว..."

~หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต~






แรงกรรม แรงบุญ

“...เมื่อถึงเวลา บุญกุศลโยมพร้อม ไม่มีอะไรมาต้านทานได้
จำไว้นะ!...แรงกรรม แรงบุญ สองอย่างนี้ เมื่อให้ผลไม่มีอะไร้ตานทาน

...เมื่อแรงกรรมให้ผล บุญที่ทำไว้ก็ต้านไม่ได้
เช่นเดียวกับบุญ ถ้ามันถึงพร้อมแล้วด้วยองค์สาม
เมื่อพระพุทธเกิด พระธรรมเกิด พระสงฆ์เกิด
ก็ไม่มีอะไรต้านทานได้...”

คติธรรมคำสอน...สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี




“ ดวงจิตคือดวงธรรม ดวงธรรมคือตัวรู้ ตัวรู้คือปัญญา ”

ถาม : หลวงปู่เจ้าค่ะ เวลาเราตื่นนอน จะสังเกตได้ว่าบางวันจิตสดชื่นมาก แต่บางวันจิตก็หดหู่ นี้เกิดจากอะไรเจ้าค่ะ

หลวงปู่ตอบ : เกิดจากจิตดวงสุดท้ายที่โยมจะหลับไป เข้าใจไหมจ๊ะ เพราะว่าจิตนั้นมันไม่มีความเที่ยง ถ้าจิตโยมมีการเจริญภาวนาจิต มีการแผ่เมตตาแล้ว แม้โยมตื่นมา เรียกว่า “ ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข ” ถ้าในขณะหนึ่งขณะใดจิตโยมมีกังวล มีวิตกแต่ไม่ได้วิจารณ์มันออกไป คือดับเหตุนั้นไม่ได้ มันก็เข้าไปสิงสู่ในจิตวิญญาณ ในมโนทวาร โยมก็ไปฝันไปปรุงแต่ง จิตนั้นก็เรียกว่าเศร้าหมอง ตื่นขึ้นมาก็เพลีย หดหู่ใจ ใจไปทำงานในขณะจอดเครื่อง จอดถึงที่แล้วไม่ดับเครื่อง โยมว่ามันจะกินเชื้อเพลิงไหมจ๊ะ เช่นเดียวแบบนั้น...

ต้องวางอารมณ์ ดับอารมณ์ให้หมด เพราะเราจะตายแล้ว โยมจะเอาอะไรจ๊ะ การหลับนอนเขาเรียกตายเทียมใช่ไหมจ๊ะ นั่นคือการฝึกตายก่อนตาย แต่โยมไม่ปล่อยวางอารมณ์ มันก็เข้าไปสิงสู่ในอารมณ์ มันมีสังขารปรุงแต่งได้ เพราะจิตมันไม่หลับนี่จ๊ะ ดังนั้นตัวสติตามรู้นี้ จึงสำคัญนัก เพราะเอาจิตนั้นแลเมื่อไม่มีกายสังขาร ก็สามารถพิจารณาธรรมได้ “ ดวงจิตคือดวงธรรม ดวงธรรมคือตัวรู้ ตัวรู้คือปัญญา ” เข้าใจไหมจ๊ะ มันก็จะสอนด้วยตัวมันเอง แต่ถ้ามันจะสอนได้ มันต้องเอาไปสอนกายก่อน เพราะมนุษย์มีกายเป็นที่ยึดติด จึงต้องไปเรียนรู้จากกาย เมื่อไปเรียนรู้จากกาย น้อมกายเข้ามาหาจิต เมื่อนั้นแล เมื่อทิ้งกาย ก็รู้จิต จิตที่ฝึกดีแล้ว ตัวรู้มันก็มี ตัวปัญญามันก็มี ตานี้มันก็จะสอนด้วยตัวมันเอง มันก็ไม่ต้องอาศัยกายแล้ว เป็นอิสระแล้ว แต่ก่อนที่จะเป็นอิสระ ได้ประโยชน์กับสิ่งนั้นหรือยัง เข้าใจไหมจ๊ะ...

จิตดวงสุดท้ายที่จะไป แม้กายหลับก็ดี ต้องมีสติ ไม่มีอาฆาตพยาบาทและไม่มีความเศร้าหมอง นั่นคือมีเชื้อ มันก็เข้าไปต่อเชื้อข้างใน แม้หลับมันก็เข้าไปปรุงแต่งได้ จึงเรียกว่านิมิต นิมิตมันเกิดจากไหน ก็เกิดจากจิตนั้น เข้าใจไหมจ๊ะ เพราะว่างมันมีกระแสแห่งเชื้ออารมณ์อยู่ เมื่อไปใส่เข้าไปมันก็เกิดฝัน ฝันดี ฝันร้ายมันเกิดจากไหนก็เกิดจากเชื้อกระแห่งจิตที่มีอกุศล ดังนั้นโยมต้องเจริญจิตภาวนาแผ่เมตตา แล้วก็ปล่อยวาง อธิษฐานจิต เมื่อนั้นแล เมื่อใครภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ดี เรียกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสรณะ ย่อมตื่นไม่มีสะดุ้งผวา เข้าใจไหมจ๊ะ ตื่นมาดวงพระเนตรย่อมสดใสเหมือนตาวัว ตาหน้าก็มีราศี...

เทศนาธรรมของ...สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี



ฝึกให้จิตอยู่กับตัวเอง รู้สึกตัวไป ดูขันธ์มันแยก ขันธ์มันแยกแล้วก็เห็นขันธ์มันทำงาน ดูขันธ์มันทำงานถ้าเห็นจิตมันทำงานได้ยิ่งดีที่สุด กุศล,อกุศล,มรรคผลเกิดที่จิตที่เดียว ดูจิตดูใจไม่ได้ก็ดูกาย ดูไม่รู้เรื่อง ดูจิตก็ไม่ได้ดูกายก็ไม่ได้ กลับมาทำความสงบ พื้นฐานก็ถือศีล ๕ แค่นี้เอง วนไปวนมา ง่าย ๆ ไม่ยากหรอก อยู่ที่ทนเอา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี



ทำไมต้องมีศีล มีสติ ?

หากเมื่อใดจิต ที่ไร้สติกำกับควบคุม ปล่อยทิ้งละเลยไม่มีการดูแล สิ่งที่เปนมิจฉามารที่จ้องจับจองยึดครองอยู่เปนทุนอยู่แล้วจักควบคุมจิตที่ไร้สตินี้ให้ ดำดิ่งสู่ห้วงมืด ความมืดบอดแห่งจิตที่เปนทาส ไม่มีอะไรดี มีแต่ลงที่ต่ำลงไป เวียนมาเพื่อทุกข์ร่ำไปไร้ที่จบ ...

จิตเก็บกักได้เพียงทุกข์ เพียงบาป เพียงบุญเท่านี้หรือ ?

คำตอบก็สอดคล้องกับคำถามแรก ที่จิตสามารถเก็บเอาบุญบาปสุขทุกข์ไว้ ก็สามารถ น้อมเอาศีล น้อมเอาสติมาขนาบจิตได้เช่นกัน เพื่อเปนไปในการขนถ่าย มิจฉามาร ความมืดบอดให้จิตสว่างสไว ไม่เก็บงำซึ่งกรรมใดไว้ ให้จิตเศร้าหมองได้ ...

.. ว่างเปล่าดาย ไร้ตัวตน ไร้เชื้อ ไร้ทุกข์ ไร้แดนเกิดเเห่งทุกข์ทั้งปวง .. นั่นแล ..


"การผูกเวรกันนำมาซึ่งทุกข์ไม่จบไม่สิ้น
แต่เวรระงับได้ด้วยการอโหสิกรรม
เวรก็จะระงับกันไป"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2015, 10:27 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2950


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร