วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 14:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2015, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เขาพูดกันว่า..น้อยคนนักจะทำได้
ถ้าหากไม่มีครูบาอ.แนะนำใกล้ชิด
ใครมีประสบการณ์หรือความรู้ในด้านนี้..ชวนคุยหน่อยจิ..

:b1: :b1:

จากคำสอนพระพุทธเจ้ามีละเอียดใหม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 05:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ผมเคยรู้เรื่องพระที่ทำกสิณดิน หรือปฐวีกสิณ ท่านอยู่ที่เมืองต้างยานประเทศเมียนม่าตอนเหนือ หรือเมืองไทยใหญ่ ท่านก็เอาดินมาปั้นเป็นก้อนอย่างที่มีแนะนำในตำรานั่นแหละแล้วเพ่งพร้อมบริกรรมตามภาษาของท่าน จนได้ฌาณและผลของฌาณจากกสิณดิน โดยท่านสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่ฝังอยู่ในดินลึกตั้ง หลายเมตร

แต่ภายหลังท่านกลับมาเรียนและเจริญปัญญาวิปัสสนาตามแบบของเจ้ามาวหลวงและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นาน (เจ้ามาวหลวงเป็นฆราวาสสอนธรรมที่มีชื่อเสียงมากในเมืองต้างยาน)

ท่านมรณะแล้ว พอเผาเสร็จปั๊บกระดูกของท่านกลายเป็นอัฐิธาตุทันที น่าอัศจรรย์ใจและน่าอนุโมทนาสาธุ

อยากรู้เรื่องนี้โดยละเอียดให้ไปค้นหาและพบปะกับท่านอาจารย์ อริยะวังโส (ไทยใหญ่) ท่านไปๆมาๆระหว่างประเทศเมียนม่า ท่าขี้เหล็ก กับบ้านหาดชมพู ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ครับ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 08:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ..คุณอโศกะ :b27: :b27:
คือ..ไอเดียแค่คิดอยู่ว่า ทางกสิณนี่ก็น่าจะเจริญปัญญาได้นะ
:b46: :b39: :b46:


เพิ่งตั้งกระทู้..ก็พอดีเป๊ะอีกละ :b16:
เมื่อใกล้รุ่ง..ฝัน.. :b9: :b9:
ถึงหลวงปู่เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก แม่แตง :b8:

ท่ามกลางป่าสักเหมือนๆในวัดท่านแหละ
ท่านเดินมาทางที่เรายืนอยู่และทรุดนั่งตรงขอบฟุตบาตเป็นปูนนะ
เราจึงนั่งไหว้กับพื้น...คำถามคำตอบประมาณว่า...

"หนูขออนุญาติถามหน่อยได้ใหมคะ"
"เอ้า ว่ามาสิ" {ท่านดูสูงอายุแต่ยังไม่แก่เท่าปัจจุบัน ยิ้มแย้มดูมีเมตตามาก}...
"กสิณไฟ ทำยากมั้ยคะ"

"ตั้งใจทำจริงๆแล้วเหรอ"
.........มันไม่เหมือนเป็นแค่ความฝันอ่ะ
เหมือนได้ไปคุยกับท่านซึ่งหน้าจริงๆ......
และสะดุ้งเลยกับคำนี้ :b14: ...........ยิ้มแห้ง..แหะๆเลย.....

เราก็ถามไปอีกว่า
"แล้วควรจะเริ่มทำยังไง หนูจะทำได้ดีมีอุปสรรคยังไงใหม"
ท่านทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไร
"................."ตอบเป็นประโยคยาว ได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้
"คะ" เราทวนแต่ท่านยิ้มๆกว้าง....พูดไปยิ้มไป..เหมือนพูดเล่นๆ
แต่ประโยคยาวกว่าเดิม...ซึ่งได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้อีกแหละ
"แล้วเวลาจะลาก็จะต้องมาที่นี่..............................."
ได้ยินแค่นี้อ่ะ ก็พยายามจะถามนะ"อะไรนะคะๆๆ"
ท่านก็ยิ้มแล้วลุกเดินหายไป

แว๊บเดียวเราก็มาอยู่ริมน้ำ
คนมากมายเล่นจุดพุสวยงามมาก
ทั้งพุใหญ่ๆแตกบนท้องฟ้า
ทั้งโยนแตกระดับบนศรีษะ
ทั้งจุดแล้วพุ่งข้ามน้ำไปแตกเป็นพุ
ทั้งสวยสุดเป็นพุแบบ..ลายผีเสื้อบินติดกันเป็นกลุ่มเป็นสายสีสวยๆ
จะบินระดับลำตัวผ่านไปสวยงามมากๆ
จุดกันเล่นแบบโยนไปโยนมาแบบไม่เหมือนจะเกิดอันตรายได้อย่างนั้นแหละ

เป็นพุแบบไม่น่ากลัว..เป็นไฟแบบไม่ร้อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 08:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แฮ่ม...ฝันดี...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
Kiss
เขาพูดกันว่า..น้อยคนนักจะทำได้
ถ้าหากไม่มีครูบาอ.แนะนำใกล้ชิด
ใครมีประสบการณ์หรือความรู้ในด้านนี้..ชวนคุยหน่อยจิ..

:b1: :b1:

จากคำสอนพระพุทธเจ้ามีละเอียดใหม :b8:


พระพุทธองค์ ไม่สอน การทำวงกสิณต่างๆ
สิ่งที่พระองค์สอน มีสรุปในมหาสติปัฏฐานสูตร

กสิณอื่นใดนอกจากที่ปรากฏในมหาสติปัฐฐานสูตร ไม่มีประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์เลย

ศึกษาการปฏิบัตินอกพระศาสนา นอกพระธรรมพระวินัย ย่อมไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

เสียเวลาเปล่าครับ

อายุคนเรามีน้อยนิด .... จะมัวหลงเก็บดอกไม้ริมทางไปใย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 18:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
. พระพุทธองค์ ไม่สอน การทำวงกสิณต่างๆ
สิ่งที่พระองค์สอน มีสรุปในมหาสติปัฏฐานสูตร

กสิณอื่นใดนอกจากที่ปรากฏในมหาสติปัฐฐานสูตร ไม่มีประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์เลย

ศึกษาการปฏิบัตินอกพระศาสนา นอกพระธรรมพระวินัย ย่อมไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

เสียเวลาเปล่าครับ

อายุคนเรามีน้อยนิด .... จะมัวหลงเก็บดอกไม้ริมทางไปใย


:b8: ...
เตือนหลายรอบละ..แหะๆ :b9: :b9:
ขอโทษค่ะที่ยังดื้อ
:b3: :b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาดูพระสูตรนี้ : เรื่องราวเกิดที่ กรุงสาวัตถี

เรื่อง พระพาหิยะทูลขอพระพุทธองค์แสดงธรรมแต่ย่อๆ ก่อนที่จะออกไปอยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท เพียรเผากิเลส มีตนส่งไปในแนวธรรมนั้น ครับ


Quote Tipitaka:
[๗๔๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น ท่านพระพาหิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่
ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะฉะนั้น เธอจงชำระเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน
ก็อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม คือศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นอันตรง.

[๗๔๘] ดูกรพาหิยะ เมื่อใดแล ศีลของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอจักตรง
เมื่อนั้น เธอพึงอาศัยศีล ตั้งมั่นในศีล แล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔

สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
ดูกรพาหิยะ เธอจงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย

เมื่อใด เธออาศัยศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อย่างนี้
เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายได้ทีเดียว ตลอดราตรีหรือวันที่จักมาถึง ไม่มี
ความเสื่อมเลย.



[๗๔๙] ครั้งนั้น ท่านพระพาหิยะชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของพระผู้มีพระภาค
แล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ท่านพระพาหิยะ
หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้ง
ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี และท่านพระพาหิยะเป็นพระอรหันต์องค์
หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 04:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:



[๗๔๗] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น ท่านพระพาหิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่
ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะฉะนั้น เธอจงชำระเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน
ก็อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม คือศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นอันตรง.

[๗๔๘] ดูกรพาหิยะ เมื่อใดแล ศีลของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอจักตรง
เมื่อนั้น เธอพึงอาศัยศีล ตั้งมั่นในศีล แล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔

สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
ดูกรพาหิยะ เธอจงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย

เมื่อใด เธออาศัยศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อย่างนี้
เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายได้ทีเดียว ตลอดราตรีหรือวันที่จักมาถึง ไม่มี
ความเสื่อมเลย.


[๗๔๙] ครั้งนั้น ท่านพระพาหิยะชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของพระผู้มีพระภาค
แล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ท่านพระพาหิยะ
หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้ง
ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่
ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี และท่านพระพาหิยะเป็นพระอรหันต์องค์
หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 17:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ความว่า กสิณนั้นถ้าไม่มองในมุมลบด้านเดียวเราก็อาจใช้กสิณให้เป็นประโยชน์ทำให้บรรลุธรรมได้เร็วเสียอีก

กสิณ ไม่ได้หมายความแค่การเพ่งดิน เพ่งน้ำ เพ่งลม เพ่งไฟ เท่านั้น

สมัยผมเริ่มเรียนปฏิบัติกรรมฐานใหม่ๆได้มีโอกาสไปสอบอารมณ์กับหลวงพ่อครูบาอินทจักร์แห่งวัดน้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ 1 ครั้ง ผมกราบเรียนหลวงพ่อว่า ผมได้แต่บริกรรมปวดหนอๆๆๆๆอยู่แทบทุกวันเพราะมันมีแต่ความเจ็บปวดในหัว

หลวงพ่อบอกว่าเออ ได้เวทนากสิณ (เพราะจิตไปติดอยู่กับเรื่องความปวดหรือ ทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา มากกว่าเรื่องอื่น)

ในการทำภาวนาถ้าจิตใจและสติไปผูกแน่นอยู่กับอารมณ์ใด ก็เรียกอารมณ์นั้นเป็นกสิณก็ได้

กสิณมันดีอย่างไร มันดีตรงที่อารมณ์นั้นจะชัดขึ้นๆ จนชัดมาก จนขยายได้ ย่อได้ ทำให้เกิดขึ้นมาได้ ทำให้หายไปได้ ถ้าเป็นทุกขสัจจะ ทุกข์นั้นก็จะชัดมากชัดแรงจนอาจทำให้เกิดความกลัวทุกข์ เห็นภัยในทุกข์ เบื่อหน่ายในทุกข์ ดิ้นรนที่จะพ้นทุกข์นั้นอย่างแรงกล้า จึงส่งให้หลุดพ้นไปได้ด้วยความเห็นทุกขังชัด ออกสู่นิพพานได้ด้วยประตูทุกขัง อัปปนิหิตตนิพพาน

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 19:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
. กสิณมันดีอย่างไร มันดีตรงที่อารมณ์นั้นจะชัดขึ้นๆ จนชัดมาก จนขยายได้ ย่อได้ ทำให้เกิดขึ้นมาได้ ทำให้หายไปได้ ถ้าเป็นทุกขสัจจะ ทุกข์นั้นก็จะชัดมากชัดแรงจนอาจทำให้เกิดความกลัวทุกข์ เห็นภัยในทุกข์ เบื่อหน่ายในทุกข์ ดิ้นรนที่จะพ้นทุกข์นั้นอย่างแรงกล้า จึงส่งให้หลุดพ้นไปได้ด้วยความเห็นทุกขังชัด ออกสู่นิพพานได้ด้วยประตูทุกขัง อัปปนิหิตตนิพพาน

s005 ..ค่ะ คุณอโศกะ
ก็มีเรื่องขำๆประมาณนี้มาเล่าสู่กันฟัง
ก่อนที่จะตั้งกระทู้นี้มีทดลอง :b43:

ก็ว่าจะลองนั่งเพ่งกสิณดูสักหน่อย..
จะตั้งอารมณ์ไว้ให้อยู่กับภาพกสิณอย่างเดียว

:b44: :b44: จิตก็จับไปที่ภาพไฟ
แต่ไหงมันก็คอยแต่พิจารณาลงทุกขัง..อนิจจัง
มันจะลงเอาแต่แบบนี้ท่าเดียว
จนเหนื่อยหน่าย..ถอดถอนใจออกมาด้วยนะ..มันห้ามไม่ได้เลย..
มันไปเองค่ะ..คงจะชิน :b32:
หนูเอาภาพไฟเป็นที่ตั้ง..หลับตามองภาพไฟไป..
แต่จิตกลับมาคอยเช็คอารมณ์ยึด..อยาก..ไม่อยาก
จนเห็นความทุกข์ที่จิต..
แบบจิตมันทุกข์เหลือเกินแบบนั้นเลย.......ไม่เห็นนานละนะแบบนี้ :b9:
แถมนั่งได้นานกว่าปกติซะด้วย
ออกจากสมาธิมาแล้วก็ขำๆ
แต่ใจหนึ่งก็คิด..ถือซะว่า..เพียรใช้ไฟเผากิเลส :b16:
:b36: :b46: :b36:
:b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 14:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ปัญญา สติ สมาธิ_resize_resize.jpg
ปัญญา สติ สมาธิ_resize_resize.jpg [ 43.75 KiB | เปิดดู 4004 ครั้ง ]
idea เขียน:
อ้างคำพูด:
. กสิณมันดีอย่างไร มันดีตรงที่อารมณ์นั้นจะชัดขึ้นๆ จนชัดมาก จนขยายได้ ย่อได้ ทำให้เกิดขึ้นมาได้ ทำให้หายไปได้ ถ้าเป็นทุกขสัจจะ ทุกข์นั้นก็จะชัดมากชัดแรงจนอาจทำให้เกิดความกลัวทุกข์ เห็นภัยในทุกข์ เบื่อหน่ายในทุกข์ ดิ้นรนที่จะพ้นทุกข์นั้นอย่างแรงกล้า จึงส่งให้หลุดพ้นไปได้ด้วยความเห็นทุกขังชัด ออกสู่นิพพานได้ด้วยประตูทุกขัง อัปปนิหิตตนิพพาน

s005 ..ค่ะ คุณอโศกะ
ก็มีเรื่องขำๆประมาณนี้มาเล่าสู่กันฟัง
ก่อนที่จะตั้งกระทู้นี้มีทดลอง :b43:

ก็ว่าจะลองนั่งเพ่งกสิณดูสักหน่อย..
จะตั้งอารมณ์ไว้ให้อยู่กับภาพกสิณอย่างเดียว

:b44: :b44: จิตก็จับไปที่ภาพไฟ
แต่ไหงมันก็คอยแต่พิจารณาลงทุกขัง..อนิจจัง
มันจะลงเอาแต่แบบนี้ท่าเดียว
จนเหนื่อยหน่าย..ถอดถอนใจออกมาด้วยนะ..มันห้ามไม่ได้เลย..
มันไปเองค่ะ..คงจะชิน :b32:
หนูเอาภาพไฟเป็นที่ตั้ง..หลับตามองภาพไฟไป..
แต่จิตกลับมาคอยเช็คอารมณ์ยึด..อยาก..ไม่อยาก
จนเห็นความทุกข์ที่จิต..
แบบจิตมันทุกข์เหลือเกินแบบนั้นเลย.......ไม่เห็นนานละนะแบบนี้ :b9:
แถมนั่งได้นานกว่าปกติซะด้วย
ออกจากสมาธิมาแล้วก็ขำๆ
แต่ใจหนึ่งก็คิด..ถือซะว่า..เพียรใช้ไฟเผากิเลส :b16:
:b36: :b46: :b36:
:b55:

:b27:
จิตวิปัสสนา ๆ ๆ ๆ เป็นจิตใจของผู่ที่สร้างสมบุญบารมีมาทางปัญญา เหมาะกับ

การปฏิบัติโดยเอาวิปัสสนานำหน้าสมถะ (สติปัญญาอยู่กับปัจจุบันอารมณ์)

หรือ เอาวิปัสสนาเจริญไปควบคู่กับสมถะ(อานาปานสติ 16 ขั้นตอน)

:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 18:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขอบคุณคุณอโศกะมากค่ะ...
ทำให้ได้ข้อคิดอะไรดีๆเลย...
:b39: :b39: :b27: :b39: :b39:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร