วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 01:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




20180521_065609.jpg
20180521_065609.jpg [ 90.03 KiB | เปิดดู 2753 ครั้ง ]
ในพระไตรปิฏกมีจารึกเอาไว้ว่า สมัยก่อนพุทธกาล มีมาณพหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ“โรหิตัสสะ” อยากจะรู้ความเป็นจริงของโลก ว่าที่สุดของโลกหรือที่สุดของจักรวาลอยู่ที่ไหน เมื่อเรียนจบศิลปวิทยาทั้ง ๑๘ สาขาแล้ว ก็พยายามศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง โดยออกบวชเป็นฤาษี ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง จนสามารถทำฌานสมาบัติให้เกิดได้ เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์มีเดช สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปได้ตามความปรารถนา เวลาจะไปแสวงหาอาหารและผลไม้ ท่านก็จะเหาะไปยังป่าหิมพานต์ หรือไม่ก็เหาะข้ามไปยังอุตตรกุรุทวีป แล้วก็กลับมาบำเพ็ญภาวนาต่อในมนุษย์โลก

ท่านฝึกทำสมาธิจนใช้งานได้แคล่วคล่อง นึกอยากไปไหนก็ไปได้ทันที เมื่อมีฤทธานุภาพมากแล้ว จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปให้สุดโลก ได้เข้าฌานสมาบัติ แล้วเหาะไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพักในระหว่างทาง มีปีติสุขอยู่ในฌานเป็นภักษาหาร ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่ต้องเสียเวลานอนหลับพักผ่อน ท่านใช้เวลาเดินทางอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานถึง๑๐๐ ปี จากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง ถึงแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ก็ยังไปไม่สุด

ลูกธนูที่นายขมังธนูยิงออกจากแล่ง ว่ามีความเร็วปานใด ท่านยังมีความเร็วยิ่งกว่านั้นเป็นแสนเป็นล้านเท่า แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถไปให้สุดจักรวาลได้ ต้องหมดอายุขัยลงในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปบังเกิดในโลกสวรรค์ เป็นเทพบุตร ผู้มีรัศมีกายสว่างไสว

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก โรหิตตัสสเทพบุตรได้ออกจากวิมาน มาถวายบังคมพระพุทธองค์ ซึ่งกำลังประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ได้กราบทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสถานที่ใด ที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายบ้างไหมหนอ ข้าพระองค์ได้เดินทางตลอดชีวิตเมื่อเป็นมหาฤาษี แต่ต้องตายเสียในระหว่างทาง ยังไม่สามารถเดินทางให้พ้นจากโลก พ้นจากภพได้เลย แล้วจะมีมนุษย์ที่สามารถไปให้ถึงที่สุดโลก ได้หรือเปล่า พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่าน เทพบุตร ที่สุดโลกนั้น บุคคลไม่อาจไปได้ด้วย การเดินทางไกล ถ้าหากตถาคตยังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่บัดนี้ ตถาคตบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางที่ให้ถึงความดับโลก ว่ามีอยู่ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี้”

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


การสิ้นสุดแห่งโลก ไม่ได้อยู่แม้แต่ในอดีต หรือจะอยู่ในอนาคต
แต่จะอยู่ที่ตรงปัจจุบันนี้เอง อย่าไปหวังว่าในอดีตนั้นเราสะสมบารมีอะไรมาบ้าง
ในอนาคตเราควรจะทำอะไรบ้าง จงทำความหวังที่สุดแห่งโลกตรงปัจจุบันนี้เถิด
เพราะว่าอดีตกับอนาคตเป็นของว่างเปล่าหาที่สุดมิได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
การพบกัลยาณมิตร เป็นด่านแรกของการไปสู่ความสิ้นสุดของโลก

ด่านที่ ๒ ความรู้ เข้าใจคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนำไปปฏิบัติได้

ด่านที่ ๓ การชำระศีล ๕

ด่านที่ ๓ การชำระนิวรณ์ ๕ ด้วยสมถะและวิปัสสนาภาวนา

ด่านที่ ๔ การชำระจิตให้ขาวรอบด้วยวิปัสสนาภาวนา

เมื่อถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติวิปัสนาภาวนาก็ถึงที่สุดแห่งโลก

:b44:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 07:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ในพระไตรปิฏกมีจารึกเอาไว้ว่า สมัยก่อนพุทธกาล มีมาณพหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ“โรหิตัสสะ” อยากจะรู้ความเป็นจริงของโลก ว่าที่สุดของโลกหรือที่สุดของจักรวาลอยู่ที่ไหน เมื่อเรียนจบศิลปวิทยาทั้ง ๑๘ สาขาแล้ว ก็พยายามศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง โดยออกบวชเป็นฤาษี ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง จนสามารถทำฌานสมาบัติให้เกิดได้ เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์มีเดช สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปได้ตามความปรารถนา เวลาจะไปแสวงหาอาหารและผลไม้ ท่านก็จะเหาะไปยังป่าหิมพานต์ หรือไม่ก็เหาะข้ามไปยังอุตตรกุรุทวีป แล้วก็กลับมาบำเพ็ญภาวนาต่อในมนุษย์โลก

ท่านฝึกทำสมาธิจนใช้งานได้แคล่วคล่อง นึกอยากไปไหนก็ไปได้ทันที เมื่อมีฤทธานุภาพมากแล้ว จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปให้สุดโลก ได้เข้าฌานสมาบัติ แล้วเหาะไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพักในระหว่างทาง มีปีติสุขอยู่ในฌานเป็นภักษาหาร ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่ต้องเสียเวลานอนหลับพักผ่อน ท่านใช้เวลาเดินทางอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานถึง๑๐๐ ปี จากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง ถึงแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ก็ยังไปไม่สุด

ลูกธนูที่นายขมังธนูยิงออกจากแล่ง ว่ามีความเร็วปานใด ท่านยังมีความเร็วยิ่งกว่านั้นเป็นแสนเป็นล้านเท่า แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถไปให้สุดจักรวาลได้ ต้องหมดอายุขัยลงในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปบังเกิดในโลกสวรรค์ เป็นเทพบุตร ผู้มีรัศมีกายสว่างไสว

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก โรหิตตัสสเทพบุตรได้ออกจากวิมาน มาถวายบังคมพระพุทธองค์ ซึ่งกำลังประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ได้กราบทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสถานที่ใด ที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายบ้างไหมหนอ ข้าพระองค์ได้เดินทางตลอดชีวิตเมื่อเป็นมหาฤาษี แต่ต้องตายเสียในระหว่างทาง ยังไม่สามารถเดินทางให้พ้นจากโลก พ้นจากภพได้เลย แล้วจะมีมนุษย์ที่สามารถไปให้ถึงที่สุดโลก ได้หรือเปล่า พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่าน เทพบุตร ที่สุดโลกนั้น บุคคลไม่อาจไปได้ด้วย การเดินทางไกล ถ้าหากตถาคตยังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่บัดนี้ ตถาคตบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางที่ให้ถึงความดับโลก ว่ามีอยู่ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี้”

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


:b8: :b8: :b8:

อ้างคำพูด:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

โรหิตัสสสูตรที่ ๑


[๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
โรหิตัสสเทวบุตร เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหาร
เชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ
ในโอกาสใดหนอแล พระองค์อาจหรือหนอเพื่อจะทรงทราบ เพื่อจะทรงเห็น
หรือเพื่อจะทรงถึงซึ่งที่สุดแห่งโลกด้วยการเสด็จไปในโอกาสนั้น

พระผู้มีพระภาค
ตรัสตอบว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ
ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก
ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึงด้วยการไป ฯ


โร. อัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมีได้มีขึ้น พระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มี
พระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย
ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใดแล เราย่อมไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็น
ที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เป็นฤาษีชื่อโรหิตัสสะ
เป็นบุตรนายบ้าน มีฤทธิ์ไปในอากาศได้ ความเร็วของข้าพระองค์นั้นเปรียบได้กับ
นายขมังธนู ผู้มีธนูอันมั่นเหมาะ ศึกษาดีแล้ว เชี่ยวชาญ เคยแสดงให้
ปรากฏแล้ว พึงยิงลูกศรอันเบาให้ผ่านเงาตาลด้านขวางไปได้โดยไม่สู้ยาก ฉะนั้น
การยกย่างเท้าแต่ละก้าวของข้าพระองค์ เปรียบด้วยสมุทรด้านตะวันตกไกล
จากสมุทรด้านตะวันออก ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเห็น
ปานนี้ว่า เราจักถึงที่สุดแห่งโลกด้วยการไป เกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น
ผู้ประกอบด้วยกำลังเร็วเห็นปานนั้น และด้วยการยกย่างเท้าเห็นปานนั้น ข้าพระองค์
นั้นแล เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจากการถ่าย
อุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับและการบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้มี
ชีวิตอยู่ตลอดร้อยปีในคราวที่มนุษย์มีอายุร้อยปี ไปตลอดร้อยปี ไม่ทันถึงที่สุด
แห่งโลก ได้ทำกาละเสียในระหว่างทีเดียว น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า สิ่งไม่เคยมี
ได้มีขึ้นพระเจ้าข้า เท่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรอาวุโส
สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาส
ใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง
ด้วยการไป เป็นอันตรัสดีแล้ว
พ. ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อม
ไม่จุติ ย่อมไม่อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้น ว่าเป็นที่สุด
แห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป
และเราย่อมไม่กล่าวการกระทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิด
แห่งโลก ความดับแห่งโลก และปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลก ในอัตภาพ
อันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญาและมีใจนี้เท่านั้น ฯ


ในกาลไหนๆ ที่สุดแห่งโลก อันใครๆ ไม่พึงถึงด้วยการไป
และการเปลื้องตนให้พ้นจากทุกข์ ย่อมไม่มีเพราะไม่ถึงที่สุด
แห่งโลก เพราะฉะนั้นแล ท่านผู้รู้แจ้งโลก มีเมธาดี
ถึงที่สุดแห่งโลก มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เป็นผู้มีบาป
อันสงบ รู้ที่สุดแห่งโลกแล้ว ย่อมไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า ฯ

จบสูตรที่ ๕


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 06:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โลก..เริ่มที่ไหน...
โลกก็สิ้นสุด..ที่นั้น

อวิชชา..ปัจจะยา..สังขารา

.............................
ปฏิจจสมุปบาท

อวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
สังขาระปัจจะยา วิญญานัง
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
ผัสสะปัจจะยา เวทนา
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เวทะนายะปัจจะยา ตัณหา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
ภะวะปัจจะยา ชาติ
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ
การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

อวิชชายะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ
สังขาระนิโรธา วิญาณะนิโรโธ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
วิญญาณะนิโรธา นามรูปะนิโรโธ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง
เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจจึงดับ
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ
การดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ



.............................
http://www.trisarana.org/Zmenu/sng/Bsng_08.htm


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โลก..เริ่มที่ไหน...
โลกก็สิ้นสุด..ที่นั้น

อวิชชา..ปัจจะยา..สังขารา

.............................
ปฏิจจสมุปบาท


แล้วอะไร เป็นปัจจัย ให้ อวิชชา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 07:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าให้พูดเลยคับ....เด้วจะบ้าไป....เกินพระพุทธเจ้า
s002

เคยได้ยินมาว่า...ท่านว่า..อวิชชาจรมา..

ก็พอ...ครับ

:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่าให้พูดเลยคับ....เด้วจะบ้าไป....เกินพระพุทธเจ้า
s002

เคยได้ยินมาว่า...ท่านว่า..อวิชชาจรมา..

ก็พอ...ครับ

:b16:

555...ยกให้เป็น อจิณตรัย เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 08:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
โลก..เริ่มที่ไหน...
โลกก็สิ้นสุด..ที่นั้น

อวิชชา..ปัจจะยา..สังขารา

.............................
ปฏิจจสมุปบาท


แล้วอะไร เป็นปัจจัย ให้ อวิชชา

:b12:
ปฏิจจสมุปบาทนี่เขาเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันมันจึงทำให้เกิดการหมุนวนไงครับลุงหมาน มันไม่ใช่เรื่องอจิณไตยอย่างที่คิดกันกระมังครับ

ถ้าเราเอาบัญญัติเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาจับเรียงตามข้อเป็นเส้นตรงจะเห็นว่ามันเริ่มขึ้นที่ อวิชชา แล้วไปสิ้นสุดที่
ชาติ (ชรา พยาธิ)มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสสะ สัมภวันติ

แต่ถ้าเอาปฏิจจสมุปบาทมาร้อยเป็นวงกลม เขาจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดซึ่งกันและกันไม่รู้จบ

การจะหักวงปฏิจจสมุปบาท สำหรับท่านผู้มีกำลังสติปัญญาสมาธิสูงย่อมหักออกได้ทุกช่วงต่อแต่พระบรมศาสดาและครูบาอาจารย์ทั่งหลายท่านแนะนำให้หักออกตรงช่วงต่อของเวทนากับตัณหา จึงเป็นเหตุให้เกิดสติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาเป็นทางอันเอก
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
โลก..เริ่มที่ไหน...
โลกก็สิ้นสุด..ที่นั้น

อวิชชา..ปัจจะยา..สังขารา

.............................
ปฏิจจสมุปบาท


แล้วอะไร เป็นปัจจัย ให้ อวิชชา

:b12:
ปฏิจจสมุปบาทนี่เขาเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันมันจึงทำให้เกิดการหมุนวนไงครับลุงหมาน มันไม่ใช่เรื่องอจิณไตยอย่างที่คิดกันกระมังครับ

ถ้าเราเอาบัญญัติเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาจับเรียงตามข้อเป็นเส้นตรงจะเห็นว่ามันเริ่มขึ้นที่ อวิชชา แล้วไปสิ้นสุดที่
ชาติ (ชรา พยาธิ)มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสสะ สัมภวันติ

แต่ถ้าเอาปฏิจจสมุปบาทมาร้อยเป็นวงกลม เขาจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดซึ่งกันและกันไม่รู้จบ

การจะหักวงปฏิจจสมุปบาท สำหรับท่านผู้มีกำลังสติปัญญาสมาธิสูงย่อมหักออกได้ทุกช่วงต่อแต่พระบรมศาสดาและครูบาอาจารย์ทั่งหลายท่านแนะนำให้หักออกตรงช่วงต่อของเวทนากับตัณหา จึงเป็นเหตุให้เกิดสติปัฏฐาน 4 ขึ้นมาเป็นทางอันเอก
onion


มันไม่ใช่เรื่องของอจิณตรัยอะไรหลอกแต่คุณกบแกบอกว่าอย่างนั้น

ตามหลักปฏิจจสมุปบาทพระองค์ยกเอาอวิชชาเป็นหัวกระบวน ที่นำพาองค์ ๑๒ ให้ตาม
องค์ ๑๒ ก็มีดังนี้ คือ
อวิชชา-สังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-ชรามรณะ
ตามนี้คงจะพอมองเห็น ตั้งแต่อวิชชาเรื่อยไปนั้น คือ สังขาร วิญญาณ จนถึงมรณะ เป็นที่สุดนั้น
จะมีอวิชชาร้อยเรียงตลอดทุกองค์ไม่ขาดสาย

เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นก็จะอธิบายดังนี้
สังขารก็มีอวิชชาอยู่, วิญญาณก็มีอวิชชาอยู่, นามรูปก็มีอวิชชาอยู่, สฬายตนะก็มีอวิชชาอยู่,
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ก็ยังมีอวิชชาอยู่,

ที่นี้ในภพหนึ่งๆหรือชาติหนึ่งๆ ต้องมีมรณะเป็นที่สุดใช่หรือไม่? แต่อวิชชาหาที่สุดไม่
อวิชชานี้เป็นปัจจัยก่อภพก่อชาติขึ้มาอีก โดยอาศัยอาสวะทั้ง ๔ คือ
๑. กามาสวะ ๒. ภวาสวะ ๓. ทิฎฐาสวะ ๔. อวิชชาสวะ เหล่านี้เป็นอาหารเพื่อร้อยเรียง
เพื่อในภพชาติใหม่ต่อไป ที่เราเรียกว่า อวิชชา โดยอาศัยอาสวะทั้ง ๔ นี้เองปรุงแต่งเพื่อให้เกิดสังขาร
ไปตามสายของปฏิจจสมุปบทต่อไป หาที่สิ้นสุดมิได้

หรือกล่าวตามนี้ก็ได้
อวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
สังขาระปัจจะยา วิญญานัง
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
ผัสสะปัจจะยา เวทนา โดยเป็นไปตามนัยของปฏิจจสมุปบาทนี้

กามาสวะ, ภวาสวะ, ทิฎฐาสวะ, พระอริยะเบื้องต้นจะทำลายได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถทำลายอวิชชาสวะได้
ฉะนั้นอวิชชาสวะนี้มีพระอรหันต์เท่านั้นที่ทำลายอวิชชาสวะได้ เมื่อถึงมรณะจึงไม่เกิดสืบต่อภพชาติอีก
ที่เรียกว่าปรินิพพานนั้นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โลก..เริ่มที่ไหน...
โลกก็สิ้นสุด..ที่นั้น

อวิชชา..ปัจจะยา..สังขารา

.............................
ปฏิจจสมุปบาท


Quote Tipitaka:
อวิชชาวาร
[๑๒๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ จะพึงมีอยู่หรือ ปริยายแม้อย่างอื่น ...
ท่านพระสารีบุตรตอบว่าพึงมีท่านผู้มีอายุ

เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ...มาสู่พระสัทธรรมนี้

ก็อวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา เป็นไฉน?

ความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ในความดับทุกข์ ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่าอวิชชา

เหตุเกิดแห่งอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะเป็นเหตุให้เกิด

ความดับอวิชชา ย่อมมีเพราะอาสวะดับ
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือความเห็นชอบ ความตั้งใจชอบ ฯลฯ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับอวิชชา

ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดแล อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอวิชชา เหตุเกิดแห่งอวิชชา ความดับอวิชชา ทางที่จะให้ถึงความดับอวิชชาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละราคานุสัย ... แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้.


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2015, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอริยะเบื้องต้น ละ ทิฏฐสวะ และ กามาสวะได้

ภวาสวะ และอวิชชาสวะ มีก็พระอรหันตสาวกที่ละได้ ทำให้แจ้งได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




20180521_043525.jpg
20180521_043525.jpg [ 98.42 KiB | เปิดดู 2753 ครั้ง ]
.........

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร