วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 00:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2015, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าสำคัญตนเอง

อย่าสำคัญว่าตนเอง
เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย
ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง
จนไม่มีวันสร่างซา
เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์
ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้
ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร

เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคำสอน
จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทำตามความอยาก
เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้
จะประสบผลคือความสุขในปัจจุบันทันตา
แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน
แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและความประพฤติดีของตน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต




วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือมนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้าหากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว

หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล




พอใจเราเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว แยกร่างกายกับใจออกจากกัน แยกกายละเอียดออกไปอีก ไปเป็นธาตุ ดินน้ำไฟลม แยกจิตใจละเอียดออกไปก็เห็นเป็นขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป

ทำไมต้องแยก ไม่แยกได้มั้ย ไม่แยกไม่ได้ การที่เราหัดแยกธาตุแยกขันธ์เนี่ย เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เป็นวิธีเรียนรู้ความจริง เพื่อจะมาดูว่าจริงๆแล้วตัวเราไม่มี เป็นวิธีการที่ท่่านพบน่ะ ถ้าเดินตามวิธีที่ท่านบอกแล้วจะรู้ว่าตัวเราไม่มี

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช



กำเนิดเป็นโกณฑัญญพราหมณ์ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
ในสมัยของพระสมณโคดมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านเกิดในเวลาก่อนที่พระบรมศาสดาของเราจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ไม่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ เมื่อเกิดแล้วพวกญาติตั้งชื่อท่านว่า โกณฑัญญมาณพ ครั้นเจริญวัยแล้วก็ได้เรียนไตรเพทจนจบ และรู้ลักษณะมนต์ทั้งหลาย (ตำราทายลักษณะ)

เข้าทำนายพุทธลักษณะ
ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระประยูรญาติก็ได้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระนาม โดยได้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาประกอบพิธี โดยถวายผ้าใหม่ให้ครอง และถวายภัตตาหาร ครั้นเสร็จภัตกิจแล้วจึงได้เลือกพราหมณ์ ๘ คน จากพราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ คนนั้น พราหมณ์ ๘ คนเหล่านี้คือ พราหมณ์ชื่อรามะ ชื่อธชะ ชื่อลักขณะ ชื่อสุชาติมันตี ชื่อโภชะ ชื่อสุยามะ ชื่อโกณฑัญญะ ชื่อสุทัตตะ ซึ่ง่พราหมณ์เหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่ได้ทำนายพระสุบินในวันที่ทรงประสูตินั่นเอง
ครั้นเมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ ได้ตรวจดูพระสรีระของพระมหาบุรุษแล้ว มีพราหมณ์ ๗ คน (อรรถกถาบางแห่งบอกว่า ๓ คน) ได้ทำนายออกเป็น ๒ แนว ว่า ถ้าอยู่ครองฆราวาสจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกทรงผนวช จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลกส่วนโกณฑัญญมาณพ ซึ่งอายุน้อยที่สุดในหมู่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ คนนั้นทำนายเป็นทางเดียว (อรรถกถาบางแห่งบอกว่า ๕ คน ทำนายเป็นทางเดียว ซึ่งทั้ง ๕ พราหมณ์นี้ก็คือปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั่นเอง) ว่าพระองค์จะเสด็จออกทรงผนวช แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลกแน่นอน พวกพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อกลับไปสู่เรือนของตัวเองแล้วก็ได้ปรารภกับบุตรทั้งหลายว่า ตัวพ่อนั้นอายุมากแล้ว คงจะไม่ได้อยู่ชมพระบารมีของพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ผู้จะบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ พวกเจ้าเมื่อพระกุมารทรงตรัสรู้แล้วเจ้าจงบวชในพระศาสนาของพระองค์เถิด

กำเนิดปัญจวัคคีย์
อีก ๒๙ ปีต่อมา เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเห็นโทษในกาม เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม ในวันที่พระราหุลกุมารประสูติ จึงได้เสด็จออกทรงผนวช ในครั้งนั้นพราหมณ์ ๗ คน ได้สิ้นชีวิตไปตามกรรมแล้ว ส่วนโกณฑัญญมาณพ ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาทั้งหมด เมื่อท่านทราบว่า พระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาพวกบุตรพราหมณ์ของพราหมณ์ทั้ง ๗ และชักชวนให้ออกบวชตามเสด็จ แต่ก็มีบุตรพราหมณ์เพียง ๔ คนเท่านั้นที่เห็นดีด้วย บุตรพราหมณ์ทั้ง ๔ คน เหล่านี้ คือ ท่านภัททิยะ ท่านวัปปะ ท่านมหานาม และท่านอัสสชิ และท่านโกณฑัญญพราหมณ์จึงได้บวช
เมื่อบวชแล้วบรรพชิตทั้ง ๕ นี้อันมีท่านโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า จึงได้มีชื่อว่า พระปัญจวัคคีย์เถระ ก็ได้เที่ยวบิณฑบาตในคามนิคมและราชธานี และได้เดินทางไปอุปัฎฐากพระโพธิสัตว์ ตลอด ๖ ปีที่พระโพธิสัตว์ทรงเริ่มกระทำทุกรกิริยา ด้วยหวังว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใดก็จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย ครั้นพระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาเห็นว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยามิใช่หนทางไปสู่อริยธรรม จึงทรงกลับมาเสวยพระกระยาเช่นเดิม หมู่ปัญจวัคคีย์คิดว่าพระมหาสัตว์ทรงละความเพียรเสียแล้ว จึงหมดความเลื่อมใส เกิดความเบื่อหน่าย พากันละพระองค์เสีย ไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์ ทรงกลับมาเสวยพระกระยาหารดังปกติ ล่วงมาถึงวันวิสาขบุรณมี ทรงเสวยโภชนะอย่างดีที่นางสุชาดาถวาย ทรงลอยถาดทองไปให้ทวนกระแสแม่น้ำตามที่ทรงอธิษฐาน จึงตกลงพระทัยที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุพระมหาอมตธรรมให้ได้ในวันนั้น จึงทรงประทับใต้ร่มมหาโพธิ บ่ายพระพักตร์ไปสู่ด้านตะวันออก นั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียร ทรงกำจัดมารและพลมารและบรรลุธรรมเป็นลำดับ จนกระทั่ง ทรงตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้นเอง
ครั้นเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงพิจารณาถึงบุคคลที่พระองค์สมควรจะแสดงธรรมให้ก่อน จึงทรงพิจารณาถึง อาฬารดาบสและอุททกดาบส ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่าบุคคลทั้งสองสิ้นชีวิตไปแล้ว เมื่อทรงพิจารณาต่อไปก็ทรงเห็นว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์ผู้อุปัฏฐากครั้งเมื่อทรงตั้งความเพียรนับว่าเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เรา อีกทั้งโกณฑัญญพราหมณ์ก็เป็นผู้กระทำกรรมสะสมบารมีมาถึง๑๐๐,๐๐๐ กัป ก็เพื่อประสงค์จะเป็นผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้สามารถบรรลุธรรมก่อนผู้อื่น
ลำดับนั้น พระศาสดา จึงเสด็จไปยังป่าอิสิปตมฤคทายวัน ที่ปัญจวัคคีย์อาศัยอยู่ เสด็จเข้าไปหาพระปัญจวัคคีย์

ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ครั้นทรงพระดำริอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จพุทธดำเนินไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ ฝ่ายปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล เข้าใจว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาผู้อุปฐาก จึงได้ตกลงกันว่า พระสมณโคดมนี้คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากแล้ว เสด็จมา ณ บัดนี้ พวกเราทั้งหลายไม่พึงไหว้ ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับ ไม่พึงรับบาตรและจีวรของพระองค์เลย แต่ว่าท่านนี้เกิดในตระกูลใหญ่ เป็นวรรณกษัตริย์ เราควรปูลาดอาสนะที่นั่งไว้ เพื่อพระองค์ปรารถนาก็จักประทับนั่ง ฯ ครั้นพระองค์เสด็จเข้าไปถึงแล้ว อาศัยความเคารพที่เคยประพฤติต่อพระองค์ มาบันดาลให้ลืมข้อตกลงที่ทำกันนั้นไว้จนหมดสิ้น ลุกขึ้นต้อนรับพระพุทธองค์ รูปหนึ่งรับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาค รูปหนึ่งปูอาสนะ รูปหนึ่งจัดหาน้ำล้างพระบาท รูปหนึ่งจัดตั้งตั่งรองพระบาท รูปหนึ่งนำกระเบื้องเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย ดังที่เคยทำมา แต่ยังพูดกับพระองค์ด้วยถ้อยคำไม่เคารพ คือ เรียกโดยการเอ่ยพระนามโดยตรง หรือเรียกโดยใช้คำแทนพระพุทธองค์ว่า อาวุโส ฯ
พระพุทธองค์ทรงห้ามพวกปัญจวัคคีย์ มิให้เรียกพระองค์เช่นนั้น (ซึ่งถือว่าเป็นการไม่เคารพ ที่ทรงห้ามก็เพื่อจะมิให้เกิดโทษแก่เหล่าปัญจวัคคีย์เหล่านั้น) และทรงตรัสต่อไปว่า ตถาคตได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังธรรมเถิด เราจะสั่งสอนอมตธรรมที่เราบรรลุแล้ว เพื่อที่เมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติตามที่เราสั่งสอนอยู่ ไม่ช้า ก็จักบรรลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์
เหล่าปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ ได้กล่าวเป็นเชิงสงสัยในจริยาของพระพุทธองค์ว่า แต่เดิมที่ท่านปฏิบัติ แม้โดยการอดอาหาร กระทำทุกรกิริยาอย่างยิ่งยวด ถึง ๖ ปี ก็ไม่สามารถแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้ มาบัดนี้เมื่อท่านคลายความเพียรนั้น กลับมาเป็นผู้มักมาก ท่านจะบรรลุธรรมใด ๆ อย่างไรได้
พระพุทธองค์ทรงมีพระดำรัสว่า ท่านไม่ได้เป็นคนมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเลย ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว และทรงขอให้เหล่าปัญจวัคคีย์ตั้งใจฟังธรรมที่ท่านจะแสดง แต่ปัญจวัคคีย์เหล่านั้นก็ยังได้กล่าวสงสัยในจริยาของพระพุทธองค์อีกถึง ๒ ครั้ง
จนในครั้งที่ ๓ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนให้เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้งหลาย นึกถึงถ้อยคำของพระพุทธองค์ในครั้งก่อนว่า วาจาที่ท่านกล่าวว่าท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว เช่นนี้ ท่านได้เคยพูดออกมาในกาลก่อนหรือไม่ พวกภิกษุปัญจวัคคีย์จึงระลึกขึ้นได้ว่า พระวาจาเช่นนี้พระองค์ไม่เคยได้ตรัสมาก่อนเลย จึงพากันตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์จะตรัสเทศนาสั่งสอนสืบไป
ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสแสดง พระปฐมเทศนาประกาศพระสัมโพธิญาณ ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่พระปัญจวัคคีย์ ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาจบ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ในวันอาสาฬหปุรณมี เพ็ญกลางเดือน ๘ นั่นเอง
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบด้วยพระญาณว่า ท่านโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ, โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ (อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ, อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ) เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านตั้งแต่นั้นมา

ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ครั้นเมื่อท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรม ดำรงอยู่ในโสดาปัตติมรรคแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาก็ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด
บัดนั้น ถือว่าโลกมี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์สาม เป็นครั้งแรก
ในวันต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถา ทรงให้พระภัททิยเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล และประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นเอหิภิกษุรูปที่ ๒ ในวันแรม ๑ ค่ำ
ในวันแรม ๒ ค่ำ ทรงให้พระวัปปเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล และประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นเอหิภิกษุรูปที่ ๓
ในวันแรม ๓ ค่ำ ทรงให้พระมหานามเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล และประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นเอหิภิกษุรูปที่ ๔
ในวันแรม ๔ ค่ำ ทรงให้พระอัสสชิเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล และประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นเอหิภิกษุรูปที่ ๕
อนึ่งในวันแรม ๕ ค่ำ ทรงเทศนาอนัตตลักขณสูตร ให้พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดตั้งอยู่ในพระอรหัตด้วย ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์
ทรงตั้งพระเถระเป็นเอตทัคคะผู้เป็นรัตตัญญูรู้ราตรีนาน
ครั้นกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ในพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อจะทรงแสดงความที่พระเถระเป็นผู้รู้แจ้งธรรมก่อนเพื่อน จึงทรงตั้งพระเถระนั้นไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัญญาโกณฑัญญะนี้ เป็นเลิศแห่งภิกษุสาวกทั้งหลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2015, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha_resize.jpg
buddha_resize.jpg [ 46.31 KiB | เปิดดู 4042 ครั้ง ]
:b27:
วิปัสสนาภาวนา เป็นวิชาที่มีอยู่เฉพาะในพุทธศานาเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา

ชาวพุทธที่ทำวิปัสสนาไม่เป็นยังไม่ควรได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธเพราะยังไม่แปลกแตกต่างจากผู้คนในศาสนาอื่นๆ

s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s006

เอ่....ชาวบ้านไปทำบุญวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา...ทำขนมข้าวต้นไปทำบุญ...สมาทานศีล..ฟังพระเทศน์...นี้พอจะเป็นวิปัสสนา...บ้างยังคับ..อโสกะ

กลัวว่า..เด้วจะไม่ได้เป็นชาวพุทธ...นะฮะ

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 07:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s006

เอ่....ชาวบ้านไปทำบุญวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา...ทำขนมข้าวต้นไปทำบุญ...สมาทานศีล..ฟังพระเทศน์...นี้พอจะเป็นวิปัสสนา...บ้างยังคับ..อโสกะ

กลัวว่า..เด้วจะไม่ได้เป็นชาวพุทธ...นะฮะ

:b9: :b9: :b9:

:b12: :b12:
ยังไม่ถึงวิปัสสนาครับ แค่ขั้นปูรากปูฐานทำทางไปให้ถึงวิปัสสนาอยู่ครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว....ถ้าเป็นอย่างนั้น...ที่ทำๆกันไป...ก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธ..ซิ...คนทำทั่วประเทศเลยนะนั้น

:b14: :b14: :b14:

ทำทาน..รักษาศีล....ฟังเทศน์...ครบ 3 แล้วเชียวหน่า..อโสกะ... :b10: :b10: :b10: .

อโสกะ...อย่าใจร้าย..นักซิ.. :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 08:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้าว....ถ้าเป็นอย่างนั้น...ที่ทำๆกันไป...ก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธ..ซิ...คนทำทั่วประเทศเลยนะนั้น

:b14: :b14: :b14:

ทำทาน..รักษาศีล....ฟังเทศน์...ครบ 3 แล้วเชียวหน่า..อโสกะ... :b10: :b10: :b10: .

อโสกะ...อย่าใจร้าย..นักซิ.. :b6: :b6:

:b13:
ก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนามตามทะเบียนบ้านตามบรรพบุรุษเพราะยังไม่ได้ลงมือเดินตามรอยเท้ารอยบาทตามสาระสำคัญของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน ยังไม่รู้จักวิปัสสนาภาวนาวิชาสำคัญของพระพุทธเจ้า
:b1:
ผมไม่ได้ใจร้ายนะกบเพราะพูดด้วยเมตตาปารถนาดี ที่จะปลุกชาวพุทธปลอมที่ถูกห้อมล้อมผูกมัดด้วยประเพณี พิธีกรรมไสยศาสตร์ ทำกามสุขัลลิกานุโยโคแข่งขันกันทั้งพระทั้งโยม
ให้ตื่นขึ้นมาพบทางสู่ความเป็นชาวพุทธที่แท้จริงครับ

:b37:
:b38:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 08:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธ..มีพุทธบริษัท 4 นะครับ

ภิกษุ..ภิกษุณี..อุบาสก..อุบาสิกา

ทำทาน..รักษาศีล..ฟังธรรม..แล้วก็อย่าใจร้ายเลย..อโสกะ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดำรงพระสัทธรรม


ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้

ย่อมเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น

เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่
มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อรรถกถาจารย์
[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมาธิ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก

ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

………………………………

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... 9&bookZ=33

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2015, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พุทธ..มีพุทธบริษัท 4 นะครับ

ภิกษุ..ภิกษุณี..อุบาสก..อุบาสิกา

ทำทาน..รักษาศีล..ฟังธรรม..แล้วก็อย่าใจร้ายเลย..อโสกะ :b16:

:b4:
ถูกต้องแล้วพุทธบริษัทมี ๔ แต่พุทธบริษัทดังที่เรียกในครั้งพุทธกาลนั้นท่านเดินตามพระพุทธเจ้าจริง นอกจากให้ทาน รักษาศีลแล้วยังเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาเพื่อให้ได้บรรลุถึงนิพพานตามพระพุทธเจ้า

ส่วนพุทธบริษัท ๔ ในยุคปัจจุบันมีพุทธบริษัทจริงๆอยู่น้อยส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัทปลอม เพราะผมเคยไปสอบถามดูพระเณรหลายรูป ผู้คนที่ไปนอนวัดรักษาอุโบสถศีล และเด็กชาวพุทธรุ่นใหม่จำนวนมากว่า

เป็นชาวพุทธกันใช่ใหมครับ อยากทราบว่า

๑.พระพุทธเจ้าของเราเป็นคนเชื้อชาติอะไร
มีคนอึกอึกอักอัก ตอบไม่ได้เป็นจำนวนมาก

๒.พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไรแล้วเอาอะไรมาสอน ชาวพุทธทั้งหลายตอบกันแทบไม่ได้ ร้อยคนจะตอบได้จริงๆสัก ๒-๓ คนเท่านั้น

๓.วิปัสสนาภาวนา คืออะไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร นี่ก็ยิ่งตอบกันไม่ค่อยได้

น่าอเน็จอนาถใจแท้ที่คนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธหรือพุทธบริษัทตอบคำถามสำคัญอันเป็นแก่นและหัวใจของพุทธศาสนาเหล่านี้ไม่ได้

คุณกบจะลองเอาคำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ไปทดสอบดูก็ได้ครับ
grin
น่าอายหลายไหมครับที่เป็นชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธเจ้าศาสดาของตนเอง ไม่รู้แก่นคำสอนของท่าน
คงต้องช่วยกันแก้ไขแล้วครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

คุณกบจะลองเอาคำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ไปทดสอบดูก็ได้ครับ
grin
น่าอายหลายไหมครับที่เป็นชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธเจ้าศาสดาของตนเอง ไม่รู้แก่นคำสอนของท่าน
คงต้องช่วยกันแก้ไขแล้วครับ
onion


จริงอย่างนั้น..จริงๆคับ...

เขาไหว้..ก็ไหว้ตาม
เขากราบ..ก็กราบตาม
เขานับถือ..ก็นับถือตาม

รู้แต่ว่าดี..แต่ไม่รู้ว่าดีอย่างไร

มีเพียงศรัทธา...ไม่มีความรู้ในเรื่องที่ศรัทธาเลย..รู้ก็รู้ผิว ๆ..เปลือก ๆ

ซึ่ง...ทั้งหมดที่ว่ามานี้..กระผมก็เป็นมาก่อน..ครับ..และก็เชื่อว่า..อโสกะก็เป็นมาก่อนเช่นกัน

น่าอายมั้ยละคับ..อโสกะ s005 s005

แล้วมาวันนี้....อโสกะรู้ได้อย่างไรละคับ..

เมื่อ...อโสกะรู้ได้อย่างไร...ผู้ไม่รู้ก็รู้ได้ด้วยอาการนั้นได้เหมือนกัน..นะครับ

เขาไม่รู้..ก็บอกเขาซิครับ.. :b32:

หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
s006

เอ่....ชาวบ้านไปทำบุญวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา...ทำขนมข้าวต้นไปทำบุญ...สมาทานศีล..ฟังพระเทศน์...นี้พอจะเป็นวิปัสสนา...บ้างยังคับ..อโสกะ

กลัวว่า..เด้วจะไม่ได้เป็นชาวพุทธ...นะฮะ

:b9: :b9: :b9:
เปลือก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลือก..กะพี้..เกล็ด..สะเก็ด..ฝอย..ปณิกะ..555...

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
อ้างคำพูด:
หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ

onion onion onion
ตรงนี้แหละครับที่สำคัญคุณกบ

บอกแค่ที่เขามีบารมี แสดงว่าไม่ยอมเปิดช่องทางให้คนเขาได้สร้างบารมีใหม่ที่สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิมละสิครับ

ปิ๊งแค่สวรรค์ก็บอกแค่ทางสวรรค์เขาไป มันก็เป็นการชวนให้ย่ำเท้า ก้าวซ้ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

ที่ถูกต้องแนะนำให้เขาได้รู้สิ่งที่ใหม่กว่าประเสริฐกว่า คือทางไปนิพพาน ให้เขารู้ เขาทราบไว้ทันทีที่เขามีโอกาสจะได้รู้หลังจากนั้นถ้าบุญบารมีของเขาส่งเขาจะเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ขวันขวายค้นหาพัฒนายกระดับจิตด้วยตัวเขาเอง
grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2015, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

คุณกบจะลองเอาคำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ไปทดสอบดูก็ได้ครับ
grin
น่าอายหลายไหมครับที่เป็นชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธเจ้าศาสดาของตนเอง ไม่รู้แก่นคำสอนของท่าน
คงต้องช่วยกันแก้ไขแล้วครับ
onion


จริงอย่างนั้น..จริงๆคับ...

เขาไหว้..ก็ไหว้ตาม
เขากราบ..ก็กราบตาม
เขานับถือ..ก็นับถือตาม

รู้แต่ว่าดี..แต่ไม่รู้ว่าดีอย่างไร

มีเพียงศรัทธา...ไม่มีความรู้ในเรื่องที่ศรัทธาเลย..รู้ก็รู้ผิว ๆ..เปลือก ๆ

ซึ่ง...ทั้งหมดที่ว่ามานี้..กระผมก็เป็นมาก่อน..ครับ..และก็เชื่อว่า..อโสกะก็เป็นมาก่อนเช่นกัน

น่าอายมั้ยละคับ..อโสกะ s005 s005

แล้วมาวันนี้....อโสกะรู้ได้อย่างไรละคับ..

เมื่อ...อโสกะรู้ได้อย่างไร...ผู้ไม่รู้ก็รู้ได้ด้วยอาการนั้นได้เหมือนกัน..นะครับ

เขาไม่รู้..ก็บอกเขาซิครับ.. :b32:

หากบุญเขาปิ๊ง...แค่สวรรค์..ก็บอกทางสวรรค์เขาไป
หากบุญเขามากพอเพียงพอที่เขาจะปิ๊งนิพพาน..ก็บอกอริยะสัจ..บอกมรรค์8 เขาไป..

บอกตามกำลังบุญบารมี....อย่าไปหักโห่มเกินกำลังบารมี..ครับ
:b8:
กบรู้เหรอว่าบารมีเขาสมควรได้รับอะไรแค่ไหน หรือกบมีความรู้เพียงเท่านี้. พระศาสดาเคยตำหนิพระสารีบุตรอย่างมากเลยที่แสดงอนาคามีมรรคแก่ปริพาชกท่านหนึ่ง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร