วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 09:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง
:b43:
คือ มันจะต่างกับคำว่า...สักแต่ว่า นะ เพราะ...สักแต่ว่า มันจะเกิดขึ้นเหมือนเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่ตรงนี้..มันแบบเพ่ง..เป็นความตั้งใจ..จึงเหมือนมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่(ไม่ใช่พูดถึงฌานนะ)
เป็นเวลาอยู่ปกตินี่แหละ...เพ่งความรู้สึกนี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ
:b43:
คำถามคือ...มันมีทั้งข้อดี..ข้อเสีย ในหลักการที่ไหนมั้ย :b10:

:b44: ที่ทำเพราะรู้สึกว่า..ใช่....ไม่มีคำอธิบายอะไรมากกว่านี้ละมั้ง
ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้คำสอนพระพุทธองค์ :b8:
ไม่ได้ติดใจอะไรมาก.. :b12: นอกจาก..วันนี้แค่อยากรู้ตามคำถามค่ะ :b9: :b9:
s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง
:b43:
คือ มันจะต่างกับคำว่า...สักแต่ว่า นะ เพราะ...สักแต่ว่า มันจะเกิดขึ้นเหมือนเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่ตรงนี้..มันแบบเพ่ง..เป็นความตั้งใจ..จึงเหมือนมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่(ไม่ใช่พูดถึงฌานนะ)
เป็นเวลาอยู่ปกตินี่แหละ...เพ่งความรู้สึกนี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ
:b43:
คำถามคือ...มันมีทั้งข้อดี..ข้อเสีย ในหลักการที่ไหนมั้ย :b10:

:b44: ที่ทำเพราะรู้สึกว่า..ใช่....ไม่มีคำอธิบายอะไรมากกว่านี้ละมั้ง
ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้คำสอนพระพุทธองค์ :b8:
ไม่ได้ติดใจอะไรมาก.. :b12: นอกจาก..วันนี้แค่อยากรู้ตามคำถามค่ะ :b9: :b9:
s005


ที่ว่าทำความรู้สึกว่า...เป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง...

ทราบเหตุผลกลไก..มั้ยครับว่า...ทำไมมันจึงเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง...

ถ้า...ทราบว่า..เหตุใดมันจึงไม่มีอยู่จริง...เช่น...นี้สังขาร..เกิดแล้วก็ดับไป...สังขารนี้จึงไม่มีอยู่จริง..
อันนี้เป็นสัญญา...ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์...สุดท้ายก็อนัตตา...ด้วยเหตุนี้..มันถึงไม่มีอยู่จริง..

เป็นต้น....อย่างนี้...การทำความรู้สึกว่า...มันไม่มีอยู่จริง...เป็นการสรุปไตรลักษณ์...เป็นวิปัสสนาภาวนา..ได้ครับ

แต่ถ้าหาก....การทำความรู้สึกว่า...เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง...บอกกับจิตตรง.ๆ..คล้ายสะกดจิต...การทำความรู้สึกอย่างนี้...ก็เป็นสมถะ..สมถะแบบพราหมณ์...
เข้าอรูปฌาน..เป็นมิจฉาสมาธิ..ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
idea เขียน:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง
:b43:
คือ มันจะต่างกับคำว่า...สักแต่ว่า นะ เพราะ...สักแต่ว่า มันจะเกิดขึ้นเหมือนเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่ตรงนี้..มันแบบเพ่ง..เป็นความตั้งใจ..จึงเหมือนมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่(ไม่ใช่พูดถึงฌานนะ)
เป็นเวลาอยู่ปกตินี่แหละ...เพ่งความรู้สึกนี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ
:b43:
คำถามคือ...มันมีทั้งข้อดี..ข้อเสีย ในหลักการที่ไหนมั้ย :b10:

:b44: ที่ทำเพราะรู้สึกว่า..ใช่....ไม่มีคำอธิบายอะไรมากกว่านี้ละมั้ง
ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้คำสอนพระพุทธองค์ :b8:
ไม่ได้ติดใจอะไรมาก.. :b12: นอกจาก..วันนี้แค่อยากรู้ตามคำถามค่ะ :b9: :b9:
s005


ที่ว่าทำความรู้สึกว่า...เป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง...

ทราบเหตุผลกลไก..มั้ยครับว่า...ทำไมมันจึงเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง...

ถ้า...ทราบว่า..เหตุใดมันจึงไม่มีอยู่จริง...เช่น...นี้สังขาร..เกิดแล้วก็ดับไป...สังขารนี้จึงไม่มีอยู่จริง..
อันนี้เป็นสัญญา...ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์...สุดท้ายก็อนัตตา...ด้วยเหตุนี้..มันถึงไม่มีอยู่จริง..

เป็นต้น....อย่างนี้...การทำความรู้สึกว่า...มันไม่มีอยู่จริง...เป็นการสรุปไตรลักษณ์...เป็นวิปัสสนาภาวนา..ได้ครับ

แต่ถ้าหาก....การทำความรู้สึกว่า...เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง...บอกกับจิตตรง.ๆ..คล้ายสะกดจิต...การทำความรู้สึกอย่างนี้...ก็เป็นสมถะ..สมถะแบบพราหมณ์...
เข้าอรูปฌาน..เป็นมิจฉาสมาธิ..ครับ


อ่านทั้งคำถาม และ คำตอบ ก็ยังงง ... มีใครพอจะช่วยแปลไทยเป็นไทยอีกรอบได้ป่าว ... :b32:

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 14:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9:

มันเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง....จะเป็น key Word ได้...หากเกิดจากการสรุปจากการโยนิโสมนสิการ..คล้ายๆ..ธรรมบท..สรุปตอนท้ายของพระธรรมเทศนาของพระองค์..

เวลากล่าวคำ Key Word พวกนี้...ก็ระลึกได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้...

แต่...กล่าวคำนี้ขึ้นมาลอย ๆ ....ไม่ได้เกิดจากการโยนิโสมนสิการของตน...คำว่า...มันเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง....ก็จะไปคล้ายๆ..กับการระลึกว่า..อากาศไม่มี....วิญญาณไม่มี..อะไรอะไรก็ไม่มี...ฯ...เป็นอรูปฌานไป


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 06 ก.ค. 2015, 07:07, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง
:b43:
คือ มันจะต่างกับคำว่า...สักแต่ว่า นะ เพราะ...สักแต่ว่า มันจะเกิดขึ้นเหมือนเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่ตรงนี้..มันแบบเพ่ง..เป็นความตั้งใจ..จึงเหมือนมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่(ไม่ใช่พูดถึงฌานนะ)
เป็นเวลาอยู่ปกตินี่แหละ...เพ่งความรู้สึกนี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ
:b43:
คำถามคือ...มันมีทั้งข้อดี..ข้อเสีย ในหลักการที่ไหนมั้ย :b10:

:b44: ที่ทำเพราะรู้สึกว่า..ใช่....ไม่มีคำอธิบายอะไรมากกว่านี้ละมั้ง
ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้คำสอนพระพุทธองค์ :b8:
ไม่ได้ติดใจอะไรมาก.. :b12: นอกจาก..วันนี้แค่อยากรู้ตามคำถามค่ะ :b9: :b9:
s005

ที่เรียกว่า ว่าง หรือ ความเป็นสิ่งสูญ
คือ ว่าง จากอุปาทานความยึดถือ
เพราะมี สิ่งของ บุคคล ตัวตน เราเขา อันเป็นที่ตั้งของความรัก ความกำหนัด ความยินดี ความพอใจ
ความยึดถือจึงตั้งอยู่บนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
เมื่อจิตเข้าถึง หรือยอมรับต่อสัจจะธรรมความจริง ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นเพียงความคิดความปรุงแต่งตามสภาพธรรมที่ปรากฏในจิต มีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ตั้งอยู่ไม่ได้ตลอดไป ความยึดความถือก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้จิตสร้างความทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ ขึ้นมาในจิตใจ

ความทุกข์นั้นๆ ยึดครองจิตก่อเกิดเป็นอุปธิ จิตจึงไม่ว่าง

ไม่ว่าง เพราะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ไม่ว่าง เพราะ ความอยากรัก อยากชัง ความกำหนัด ความปราถนา ความไม่ยินดี ไม่พอใจ

หากพิจารณาทำความเห็นแจ้ง ไม่ประมาท มีสติตลอดวันตลอดคืน จนเกิดญาณความรู้
การเห็นแจ้งต่อสภาวะธรรมตามเป็นจริง ก็จะเป็นผล อันทำให้ การรู้ผัสสะแต่ละขณะ เป็นความรู้ความเห็น "สักแต่ว่า"

หวังว่าคงเข้าใจ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง


การเพ่ง : หรือสิ่งที่เรียกว่า ฌาน
เพราะอาศัย สัญญา การเพ่งจึงเกิดได้
ฌาน เป็นสมาธิ เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จัตตุถฌาน

เมื่อเพ่งแล้ว มีความว่างเกิดขึ้น ฌานนั้น เป็น สุญญตสมาธิ

เพราะอาศัยสุญญตสมาธิเป็นบาท แล้วทำวิปัสสนา ปัญญาเกิดด้วยบาทฐานนั้น
ญาณนั้น เป็นสุญญตวิโมกข์

สิ่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เป็นสมาธิในพุทธศาสนาครับ

Quote Tipitaka:
[๒๓๖] ที่ชื่อว่า อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ๑. ฌาน ๒. วิโมกข์ ๓. สมาธิ
๔. สมาบัติ ๕. ญาณทัสสนะ ๖. มัคคภาวนา ๗. การทำให้แจ้งซึ่งผล ๘. การละ
กิเลส ๙. ความเปิดจิต ๑๐. ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
ที่ชื่อว่า ฌาน ได้แก่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
ที่ชื่อว่า วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์
ที่ชื่อว่า สมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิตสมาธิ
ที่ชื่อว่า สมาบัติ ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ
ที่ชื่อว่า ญาณ ได้แก่ วิชชา ๓
ที่ชื่อว่า มัคคภาวนา ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
ที่ชื่อว่า การทำให้แจ้งซึ่งผล ได้แก่การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล การทำให้แจ้งซึ่ง
สกทาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล
ที่ชื่อว่า การละกิเลส ได้แก่การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ
ที่ชื่อว่า ความเปิดจิต ได้แก่ความเปิดจิตจากราคะ ความเปิดจิตจากโทสะ ความเปิด
จิตจากโมหะ
ที่ชื่อว่า ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า ได้แก่ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
ด้วยปฐมฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยทุติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
ด้วยตติยฌาน ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยจตุตถฌาน.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ต้องอ้างถึง "อุตตริมนุสสธรรม" ด้วยเหตุว่า เป็นสิ่งที่ ภิกษุหรือผู้บำเพ็ญเพียรพึงพิจารณาเนืองๆ
การพิจารณเนืองๆ คือการหมั่นตั้งคำถามหาคำตอบให้กับตนเองเนืองๆ
ด้วยเหตุว่า คำถามที่ดี เป็นรากแก้วของปัญญา

ดั่งปรากฏในพระสูตร อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
ว่า "ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้วจักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง"
Quote Tipitaka:
อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิต
พึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า
เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า การเลี้ยงชีพ
ของเราเนื่องด้วยผู้อื่น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า อากัปกิริยาอย่างอื่น
อันเราควรทำมีอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมติเตียนตนเองได้
โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
เนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ บรรพชิตพึง
พิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใด
ดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
เนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณา
เนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ
ว่า ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรม
อันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว
จักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการ
นี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วใช่ไหมครับ ที่ไปเพ่งไว้

:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 15:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตสักแต่ว่าคือจิตที่รู้ทันต้นเหตุแห่งความเกิดความดับ
จิตที่รู้ไม่ทันต้นเหตุแห่งความเกิดความดับเรียกว่าจิตว่าง
สมคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สังเกตด้วยดีย่อมเกิดปัญญา เธอควรรู้ทันทุกอย่าง จิตหลุดพ้นก็รู้ว่า
จิตหลุดพ้น จิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น

ถ้ารู้ทันก็เป็นสัมมาทิฎฐิ ถ้ารู้ไม่ทันก็เป็น มิจฉาทิฏฐิ ถ้ารู้ทันก็เห็นตามความเป็นจริง ถ้ารู้ไม่ทันก็เห็นผิด รู้ให้ทันตัวจะคิด แล้วจะเห็นคำสักแต่ว่าคิด แต่ยังไม่เป็นข้อความ การปรุงแต่งจึงดับให้เห็น จึงเห็นว่าธรรมอันใดแลย่อมเกิดแต่เหตุ ธรรมนั้นก็ดับลงไป เพราะสังเกตได้ทัน เพราะว่าจิตดวงเก่าดับไป จิตดวงใหม่เกิดขึ้นเป็นหลายแสนเท่า ผู้ปฎิบัติจะรู้เองเห็นเองโดยที่ไม่ต้องถามใคร
จะคิดดับๆ
จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 17:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วใช่ไหมครับ ที่ไปเพ่งไว้


ไม่ได้ทำค่ะ..นั่นตอนเด็กโตๆ :b12:
ตอนนั้นทำแต่สมาธิ..แบบทำเพราะเวลาว่างมีเยอะ
ไม่รู้เรื่องธรรม..อะไรเลยมั้ง...ก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาพิจารณา
ทำไป..สงบไป..ก็เลยคิดเอาว่า..จับความรู้สึกว่างๆ..ไร้ตัวตน..
ไม่รู้อ่ะค่ะ..ตอนนั้น..คิดแบบนี้ได้ไง
:b43:
ก็พอดีวันนี้ฟังธรรม..สะกิดใจ(ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจรึเปล่า) :b9: :b9:
ละนึกขึ้นมาได้
ก็เลยอยากรู้ว่า
การที่รู้ในปัจจุบัน..กับ..การเพ่งแบบนี้..มันเป็นอะไร..ยังไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 17:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ..คุนกบ,,คุณmuisun
พอเข้าใจค่ะ
ขอบคุณ :b8:

:b44: :b44: :b53: :b44: :b43:
คุณเช่นนั้น
cry cry cry
เห็นพระสูตร..แล้วอัดอั้นใจจริงๆ
เหมือน"จะเข้าใจ"มันได้แค่นี้จริงๆ
ซ้ำๆ จบแล้ว..ถามว่าตนเองเข้าใจใหม..มันก็สรุปไม่ได้
จนอยากจะร้องไห้ กับความ....ไม่รู้เรื่อง
ขอโทษนะคะ ขอโทษ
ไม่เข้าใจว่า..คุณเช่นนั้นจะให้เข้าใจอะไร :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วใช่ไหมครับ ที่ไปเพ่งไว้


ไม่ได้ทำค่ะ..นั่นตอนเด็กโตๆ :b12:
ตอนนั้นทำแต่สมาธิ..แบบทำเพราะเวลาว่างมีเยอะ
ไม่รู้เรื่องธรรม..อะไรเลยมั้ง...ก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาพิจารณา
ทำไป..สงบไป..ก็เลยคิดเอาว่า..จับความรู้สึกว่างๆ..ไร้ตัวตน..
ไม่รู้อ่ะค่ะ..ตอนนั้น..คิดแบบนี้ได้ไง
:b43:
ก็พอดีวันนี้ฟังธรรม..สะกิดใจ(ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจรึเปล่า) :b9: :b9:
ละนึกขึ้นมาได้
ก็เลยอยากรู้ว่า
การที่รู้ในปัจจุบัน..กับ..การเพ่งแบบนี้..มันเป็นอะไร..ยังไง



ถ้าไปเพ่ง ก็เป็น สมถะได้ครับ

ถ้ารู้ ตามความเป็นจริง ก็เป็น วิปัสสนา

ผมก็หลงไปเพ่งจ้องไว้ นานเลยครับ ตอนเพ่งจ้องก็จะสงบดีครับ แล้วมันจะเพลินจนลืมเดินปัญญา นะสิครับ
:b34: :b23:
ตอนนั้นทุกข์ลดลงมากเลยครับ เพราะไปเพ้งจ้อง จึงไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิต (ตอนนี้เข้าใจแล้วทำไมถึงเป็นหินทับหญ้าไว้) เข้าใจตอนที่พิมนี่เลย สดๆร้อนๆ


ต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญคือ เห็น การเกิดดับ เห็นความไม่เที่ยง อันนี่ละ ของจริงเลย

ถ้าเห็นว่า ความรู็สึก ว่างๆ ก็ไม่เที่ยง ก็น่าจะใช้ได้เลยครับ
ถ้าเข้าไปอยู่กับความว่าง อันนี้อาจจะพลาดไ้ด้ครับ

s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง
:b43:
คือ มันจะต่างกับคำว่า...สักแต่ว่า นะ เพราะ...สักแต่ว่า มันจะเกิดขึ้นเหมือนเป็นอัตโนมัติ มันเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่ตรงนี้..มันแบบเพ่ง..เป็นความตั้งใจ..จึงเหมือนมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่(ไม่ใช่พูดถึงฌานนะ)
เป็นเวลาอยู่ปกตินี่แหละ...เพ่งความรู้สึกนี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ
:b43:
คำถามคือ...มันมีทั้งข้อดี..ข้อเสีย ในหลักการที่ไหนมั้ย :b10:

:b44: ที่ทำเพราะรู้สึกว่า..ใช่....ไม่มีคำอธิบายอะไรมากกว่านี้ละมั้ง
ตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้คำสอนพระพุทธองค์ :b8:
ไม่ได้ติดใจอะไรมาก.. :b12: นอกจาก..วันนี้แค่อยากรู้ตามคำถามค่ะ :b9: :b9:
s005


มันเป็นเทคนิคของแต่ละคนครับ

ที่จะหาแนวทางปฎิบัติ

ว่างไม่ว่างมันเป็นธรรมที่ตั้งใจไว้ที่จะพิจารณา

ตัวธรรมที่พิจารณา นี่แหละ พิจารณาด้วยกลไกแบบไหน?

ถ้าอาศัยเหตุผล ก็ต้องเข้าไปดูเหตุผล ด้วยอุบายที่เราฝึกมา

ถ้าใส่ความรู้สึกว่างๆลงไปอย่างนี้ เรียกความเห็น

เช่น เห็นว่าชาตินี้มี ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ เพราะร่างกายนี้ตกตายไปแล้ว ก็สูญสิ้นไป

แบบนี้คือความเห็น แต่พุทธศาสนาให้ความเห็นนี้ว่า มิจฉาทิฎฐิ คือตั้งความเห็นของตนเองจากอะไรก็ตามแต่ที่จะคิด

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2015, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
คุณเช่นนั้น
cry cry cry
เห็นพระสูตร..แล้วอัดอั้นใจจริงๆ
เหมือน"จะเข้าใจ"มันได้แค่นี้จริงๆ
ซ้ำๆ จบแล้ว..ถามว่าตนเองเข้าใจใหม..มันก็สรุปไม่ได้
จนอยากจะร้องไห้ กับความ....ไม่รู้เรื่อง
ขอโทษนะคะ ขอโทษ
ไม่เข้าใจว่า..คุณเช่นนั้นจะให้เข้าใจอะไร
อ้างคำพูด:
ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ^:^
การเพ่งความว่าง..ไม่มีตัวตน..ใส่ความรู้สึกว่างๆ
ในทุกสภาพแวดล้อม..ว่าเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง

หมายความว่า
สิ่งที่ปฏิบัติอยู่นี้ ผิดมาตั้งแต่ต้นครับ
ต้นผิด
ก็ตีบตันวกเวียนไปมาย่ำอยู่กับที่ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2015, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มันเป็นเทคนิคของแต่ละคนครับ

ที่จะหาแนวทางปฎิบัติ

ว่างไม่ว่างมันเป็นธรรมที่ตั้งใจไว้ที่จะพิจารณา

ตัวธรรมที่พิจารณา นี่แหละ พิจารณาด้วยกลไกแบบไหน?

ถ้าอาศัยเหตุผล ก็ต้องเข้าไปดูเหตุผล ด้วยอุบายที่เราฝึกมา

ถ้าใส่ความรู้สึกว่างๆลงไปอย่างนี้ เรียกความเห็น

เช่น เห็นว่าชาตินี้มี ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ เพราะร่างกายนี้ตกตายไปแล้ว ก็สูญสิ้นไป

แบบนี้คือความเห็น แต่พุทธศาสนาให้ความเห็นนี้ว่า มิจฉาทิฎฐิ คือตั้งความเห็นของตนเองจากอะไรก็ตามแต่ที่จะคิด


:b8:
อ้างคำพูด:
หมายความว่า
สิ่งที่ปฏิบัติอยู่นี้ ผิดมาตั้งแต่ต้นครับ
ต้นผิด
ก็ตีบตันวกเวียนไปมาย่ำอยู่กับที่ครับ


:b8:
:b9: :b9:
:b2: :b2:
ขอบคุณค่ะ Kiss จะหมั่นพิจารณาด้วยตนเองให้มากขึ้นค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร