วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 18:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2015, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5349


 ข้อมูลส่วนตัว


# เอาชนะใจตนเอง #

โดยมากอุปสรรคต่างๆ เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยไม่มีสาระ แต่มักจะเข้ายึดถือเป็นอารมณ์กวนใจให้เดือดร้อนไปเอง จนถึงให้ทอดทิ้งความดี ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นความฉลาด แต่เป็นความเขลาของเรา และทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า เป็นผู้แพ้


ส่วนการชนะนั้น ก็มิได้ประสงค์ให้ชนะในทางก่อเวร แต่มุ่งให้เอาชนะตนเอง คือ ชนะจิตใจที่ใฝ่ชั่วของตน และเอาชนะเหตุการณ์แวดล้อมที่มาเป็นอุปสรรคแห่งความดี เพื่อที่จะรักษาและเพิ่มพูนความดีของตนให้ดียิ่งๆ ขึ้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า..
จักรวาลนี้ประกอบด้วย 3 จักร กาล

** มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง
** ใต้เขาพระสุเมรุเป็นนรกชั้นต่างๆ
** เหนือขึ้นมาคือโลกมนุษย์
** เหนือยอดเขาพระสุเมรุเป็นสวรรค์ชั้นอินทร์
ชั้นพรหมต่างๆ


ทั้งหลายเหล่านี้..
เป็นภพที่สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนไหว้ตายเกิด

ทำดีก็ขึ้นสวรรค์
ทำชั่วก็ลงนรก
เป็นอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ...

อริยสัจ4..
เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้เราหลุดพ้นจากวัตสงสาร การเวียนไหว้ตายเกิดทั้งหลาย

เรามีเวลาไม่มากในการทำความดี..
เพื่อเลือกเกิดในภพที่ดีต่อไป

หรือสามารถหลุดพ้นวัตสงสารนี้ไปได้ด้วย
อริยสัจ4 นี้ ...

" วันคืนล่วงเลยไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ "



อย่าไปข่มความรู้สึก อย่าไปบังคับจิตให้สงบ นึกพุทโธๆๆ เอาไว้ อย่าไปนึกว่าเมื่อใดจิตจะสงบ เมื่อใดจิตจะรู้ เมื่อใดจิตจะสว่าง ให้กำหนดรู้ลงที่จิตอย่างเดียว

นึกพุทโธๆๆ พุทโธก็อยู่กับจิต จิตก็อยู่กับพุทโธ เมื่อมีการตั้งใจนึกพุทโธ สติสัมปชัญญะจะมาเอง หน้าที่เพียงนึกพุทโธๆๆ ไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร จิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ ให้เรานึกพุทโธไว้โดยไม่ขาดระยะเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งจิตมันคล่องตัวต่อการนึกพุทโธ


ในที่สุดจิตจะนึกพุทโธๆๆ เองโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อจิตนึกพุทโธเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แสดงว่าการภาวนาของเรากำลังจะได้ผลแล้ว

ในเมื่อจิตนึกอยู่ที่พุทโธๆๆ พุทโธก็เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก ผู้ปฏิบัติตั้งใจปฏิบัติให้มากๆ กระทำให้มากๆ ในที่สุดจิตจะเกิดความสงบ

โอวาทธรรมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หนังสือ "พุทโธ อยู่กับลมหายใจ" (แนวทางการฝึกอานาปานของท่านพ่อลี) ตอนที่ ๑๙
...ถ้างานของเราแล้วเสร็จเรียบร้อย เราจะไปไหนก็ไปได้สะดวก
สบาย ใจก็ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง คนเราที่ทำงานกันไม่เสร็จนั้น ก็เพราะ
๑.ไม่ตั้งใจ
๒.ไม่ทำจริง
...ทิ้งหน้าที่ของตน หยุดเถลไถลเสียบ้าง ถ้าเราตั้งใจทำงานกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว งานนั้นก็จะต้องสำเร็จโดยไม่ต้องสงสัย
...เมื่อเรารู้กันอยู่ทุกคนแล้วว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และบังคับบัญชาไม่ได้ เราก็ควรจะวางใจให้เป็นปกติต่ออาการเหล่านี้ คำว่า “ไม่เที่ยง” หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปร ส่วนคำว่า “ทุกข์” นี้ไม่ใช่หมายถึงความไม่สบายอย่างเดียว ย่อมหมายถึงความสบายที่เป็นสุขด้วยความสุขนั้นก็เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่เหมือนกัน สุขน้อยมันอาจเพิ่มให้เป็นสุขมากขึ้นก็ได้ หรือสุขแล้วก็อาจจะกลายเป็นทุกข์ ทุกข์แล้วอาจจะกลับมาเป็นสุขอีกก็ได้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปมา คนเราถ้ามีแต่ทุกข์ไปอย่างเดียวทั้งหมดก็ต้องตายกันเท่านั้น
...เหตุนี้เราจึงไม่ควรเดือดร้อนวิตกกังวลกับเรื่องของมันเลย
...ร่างกายเราก็มีอยู่ ๒ ซีก เหมือนผลมะม่วง เมื่อขณะใดเราไป อยู่ในซีกสบาย ใจของเราก็สงบ
...ส่วนความไม่สบายมันก็อยู่อีกซีกหนึ่ง
...ฉะนั้น ถ้าเรามีกรรมฐานแล้วเราก็จะต้องไปอยู่ในซีกที่สบาย ซีกที่
ไม่สบายเราก็ไม่ไปอยู่ เหมือนคนที่มีบ้านเรือนอยู่เป็นสุขสบายแล้วจะต้องลงไปนอนใต้ถุนทำไม
....คนเราไม่ใช่มีแต่ทุกข์ประจำอยู่ทีเดียว บางทีมันก็ปวดหลัง บางที
ก็ปวดขา บางทีก็เลื่อนจากขาไปปวดเอว บางทีวันนี้เจ็บ พอรุ่งขึ้นวันพรุ่งนี้ก็หาย หรือบางทีหายแล้วก็กลับมาเจ็บอีก ดังนี้ก็มี เพราะเป็นของไม่แน่นอน ไม่คงที่ ฉะนั้นส่วนใดที่มันไม่ดีจัดให้เป็นส่วนของบาปเสีย ส่วนใดดีเป็นส่วนของบุญ แล้วเราก็ถามตัวเราดูว่า เราอยากจะมีบาปหรืออยากจะมีบุญเล่า ถ้าเราไม่ชอบบาปเราก็วางเสียข้างหนึ่ง ชอบบุญก็อยู่ในส่วนของความสบาย ถ้าทำได้ดังนี้เจ้าตัวทุกข์มันก็จะหายไป เจ้าตัวบุญก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดขันธ์ห้ามันก็จะเป็นสุขไปหมด คือ
...รูป มันก็สบาย
...เวทนา มันก็สบาย
...สัญญา ก็สบาย
...สังขาร ก็สบาย
...และวิญญาณ ก็สบาย
...เมื่อความสบายทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว ดวงใจนั้นก็จะนั่งกินแต่
บุญ นอนกินแต่บุญที่เรียกว่า ปิติ หรือ ปัสสัทธิ นี่แหละเป็น ธมฺมวิจย คือ การค้นคว้า




“เราไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียไปกับอดีต กับอนาคต เพราะทั้งอดีตและอนาคตต่างก็เป็นธรรมเมาด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้เขาผ่านไป สิ่งใดที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มี ยังไม่เกิด ถ้าปัจจุบันดี อดีตมันก็ดี อนาคตมันก็ดี เพราะปัจจุบันเมื่อผ่านไป มันก็กลายเป็นอดีต ถ้ามัน ยังไม่ผ่านไป มันก็เป็นทางดำเนินไปสู่อนาคต เป็นเข็มชี้บอกอนาคต ดังนั้น เราต้องทำเหตุให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจึงจะได้สิ่งที่เราปรารถนา...”


ธรรมโอวาทโดย
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่



......อำนาจจิต
...ให้พยายามใช้สติกำหนด ตามลมหายใจเข้า-ออก ไม่ให้เผลอ ไม่
ให้ลืม พยายามปลดปล่อยสัญญาอารมณ์ทั้งหมด ทั้งอดีต อนาคต แล้วภาวนาในใจว่า พุทโธๆ ให้ พุท ตามเข้าไปกับลมหายใจเข้าทุกครั้งและ โธ ก็ตามออกมาพร้อมกับลมหายใจออกทุกครั้งไปจนกว่าใจจะอยู่นิ่งจึงค่อยทิ้งคำภาวนา
...ต่อจากนี้ไปจงสังเกตดูลมที่หายใจเข้าออก ว่าช้า-เร็ว ยาว-สั้น
หนัก-เบา กว้าง-แคบ หยาบ-ละเอียดอย่างไร ถ้าอย่างใดดีเป็นที่สบาย ก็จงรักษาสมนั้นๆ ไว้ให้คงที่ ถ้าอย่างใดไม่ดีไม่สะดวก ไม่สบาย ก็จงปรับปรุงแก้ไข และตกแต่งให้พอดี ใช้ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นหลักพิจารณา ต้องคอยระวังจิตอย่าให้วอกแวก หวั่นไหว และแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอก วางใจเฉยเหมือนกับมีตัวเรานั่งอยู่คนเดียวในโลกกระจายลมหายใจออกไปให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจดปลายมือ ปลายเท้า ข้างหน้า ข้างหลัง ทรวงอก ส่วนกลางช่องท้อง ตลอดถึงลำไส้ และกระเพาะอาหารไปตามเส้นโลหิตทะลุผิวหนังออกขุมขน สูบลมหายใจให้ยาวๆ เข้าไปในตัวจนเต็มอิ่ม กายก็จะเบาโปร่งโล่ง เหมือนกับรัง
บวบที่อมน้ำไว้ได้ชุ่ม และบีบเอาน้ำออก ก็จะไหลกลับออกมาได้ทั้งหมดโดยง่ายไม่ติดขัด
...ตอนนี้ร่างกายก็จะรู้สึกเบาสบาย ใจก็จะเย็นเหมือนกับน้ำที่ซึม
ซาบไปตามพื้นดินหรือที่เข้าไปหล่อเลี้ยงในลำต้นไม้ให้สดชื่น จิตก็จะตั้งตรงเที่ยง ไม่มีอาการเอียงไปทางซ้าย เอียงไปทางขวาหรือเอียงไปข้างหน้า เอียงมาข้างหลัง คือไม่ยื่นออกไปในสัญญาอารมณ์ๆ สัญญาทั้งหมดเป็นตัวสังขารคือ จิตคิดนึกไปในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีต อนาคต แล้วก็เกิดความปรุงแต่งเป็นดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ชอบใจ เพลิดเพลินไปเป็นตัวโมหะ ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็เกิดความไม่ชอบใจ ทำจิตให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ กลายเป็นตัวพยาบาท
...สิงที่ทำให้ดวงจิตเกิดความไม่สงบวุ่นวายเหล่านี้จัดเป็นตัวนิวรณ์
ธรรมทั้งสิ้น เป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่งใจ เป็นตัวที่จะคอยทำลายคุณความดีในการเจริญสมาธิ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องขจัดทั้งให้หมด ตัวสังขารนี้ ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของโลก ก็เป็นสังขารโลก ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของธรรมก็เป็นสังขารธรรม ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเกิดจาก อวิชชา คือความไม่รู้ ถ้าตัวไม่รู้นี้ดับก็จะเกิด วิชชา ขึ้นแทนที่ฉะนั้น เราต้องพยายามเพิ่มกำลังแห่งสมาธิขึ้นอีกจนสังขารเหล่า
นี้ดับไป เมื่อนั้น อวิชชาก็จะดับไปด้วย คงเหลือแต่ วิิชชา คือตัวรู้
...ตัวรู้อันนี้เป็นตัว ปัญญา แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ใช่
เกิดจากครูบาอาจารย์สั่งสอน เกิดขึ้นจากความสงบนิ่งของดวงจิตที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรม เป็นตัวความรู้ที่ลึกซึ้งมาก แต่ตัวรู้นี้ก็ยังเป็น โลกิยปัญญาไม่ใช่ โลกุตรปัญญา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากสัญญา ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชาติภพอยู่ บางทีก็รู้ไปในเรื่องอดีต รู้เห็นชาตภพของตัวเองที่เป็นมาแล้ว เรียกว่า บุพเพนิวาสนุสสติญาณ บางทีก็รู้ไปในอนาคต รู้เรื่องของคนอื่น รู้ถึงการเกิด การตายของเรา เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
...ความรู้ทั้ง ๒ อย่างนี้ยังมีความยึดถือเข้าไปเจือปนเป็นเหตุให้ดวง
จิตหวั่นไหวไปตามเรื่องที่ชอบแลไม่ชอบ เป็นตัว วิปัสสนูปกิเลส
...บางคนได้รู้เห็นไปในเรื่องอดีตของตัวเองที่เป็นชาติภพที่ดี ก็เกิด
ความเพลิดเพลินยินดี ตื่นเต้นไปกับเรื่องนั้นๆ ถ้าไปพบเรื่องราวที่ไม่ดี ก็เกิดความน้อยใจเสียใจ นี่ก็เพราะจิตยังมีความยึดถืออยู่ในชาติในภพของตัวนั่นเอง ชอบในเรื่องที่ดีที่ถูกใจ ก็เป็น กามสุขัลลิกานุโยค ไม่ชอบในเรื่องที่ไม่ดีไม่ถูกใจ ก็เป็น อัตตกิลมถานุโยค จัดเป็นมิจฉามรรคทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ดำเนินตามทางที่ถูกต้องคือ สัมมาทิฏฐิ เรื่องอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ถึงแม้จะเป็นธรรมก็ยังเป็นสังขาร ใช้ไม่ได้
...ฉะนั้นต่อจากนี้จะต้องพยายามใช้อำนาจสมาธิเพิ่มกำลังจิตขึ้นอีกจนดับโลกิยปัญญานี้ได้ จิตก็จะก้าวขึ้นสู่โลกุตรปัญญา เป็นปัญญาที่สูงขึ้นเป็นความรู้ที่นำมาให้จิตหลุดพ้นจากความยึดถือเป็น สัมมาสติ สัมมามรรคคือถึงจะรู้เห็นในเรื่องดีหรือไม่ดีของตัวหรือของคนอื่น ก็ไม่ดีใจเสียใจ มีแต่นิพพิทา เกิดความเบื่อหน่าย สลด สังเวช ในการเกิดการตายของสัตว์โลก เห็นเป็นของไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย หมดความยินดียินร้าย หมดความยึดถือในตัวของตนและสิ่งทั้งหลาย จิตก็มีความมัธยัสถ์ เป็นกลางวางเฉย เป็น ฉฬังคุเบกขา ปล่อยเรื่องราวที่รู้ ที่เห็น ที่ีเกิดขึ้นให้เป็นไปตามสภาพแห่งธรรมดาโดยไม่ติดใจ ระดับของจิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
...ต่อจากนี้จงเพิ่มอำนาจแห่งกำลังจิตให้สูงขึ้นอีกจนพ้นจากความ
ยึดถือ แม้แต่ในความรู้ความเห็นที่ตัวมีตัวได้ รู้ก็สักว่าแต่รู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น กันจิตไว้คนละทาง ไม่ให้ตามออกไปกับความรู้ รู้ก็รู้เฉยๆ เห็นก็เห็นเฉยๆ ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา จิตก็จะมีอำนาจเต็มที่ เกิดความสงบขึ้นโดยลำพัง ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใดๆ สังขารดับสนิทเหลือแต่สภาพธรรมล้วนๆ คือความไม่มีอะไร เป็นวิสังขารธรรม เป็นวิมุติธรรม จิตก็จะเป็นอิสระ พ้นจากโลก ตกอยู่ในกระแสธรรมฝ่ายเดียวไม่มีการขึ้นลงก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญขึ้นหรือเสืิ่อมลง ใจเป็นหลักปักแน่นอยู่ที่เดียว เหมือนกับเชือกที่เขาผูกต้นไม้ไว้กับหลักพอตัดต้นไม้โค่นเชือกก็ขาด แต่หลักยังคงมีอยู่ ใจที่คงที่ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ใดๆ เป็นจิตของพระอริยเจ้าผู้พ้นแล้วจากอาสวกิเลส บุคคลใดปฏิบัติใจให้เป็นไปตามที่กล่าวมาแล้วก็ย่อมจะ
ประสบความร่มเย็นสันติสุข ปราศจากความทุกข์เดือดร้อนใดๆ....


เมื่อได้หลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ถึงขั้นวิมุตติเต็มหัวใจแล้ว พ้นแล้วจากวิสัยของสมมุติทั้งหลายที่จะเอื้อมถึง จิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วน้ันจึงไม่มีคำว่า "ไตรลักษณ์" ไม่มีคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สุข ทุกข์ เวทนาท้ังหลายจึงเข้าไม่ถึง เพราะอันนี้เป็นสมมุติ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมมุติท้ังนั้น จิตน้ันเป็นจิตวิมุตติเข้ากันได้ เข้าไม่ได้ รู้เอง อ๋อ เป็นอย่างนี้ เวทนาในจิตพระอรหันต์ไม่มีก็รู้เอง ก็มีแต่ในธาตุในขันธ์ เจ็บนั่น ปวดนี่ก็รู้ แต่ไม่สามารถเข้าไปซึมซาบในใจได้ เพราะใจเป็นอฐานะที่สิ่งเหล่านี้จะซึมซาบได้แล้ว
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

การพิจารณาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
พิจารณากายของเรามีอาการ ๓๒ กายนั่งก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่กายนั่ง
กายเดินก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่ความเคลื่อนไหวก้าวไปก้าวมา
กายนอนก็พิจารณาอาการนอนของกาย กายทำอะไร เราก็พิจารณา กายกิน
กายเดิน กายนั่ง กายนอน เอาจิตจับไว้กับกาย ความรู้สึกก็ตามอยู่กับกายตลอต
หลับตาลืมตาโยกโคลง จิตอยู่กับกาย จิตก็มีสติ เมือสติติดต่อกันไปนานๆ
ก็เป็นสมาธิขึ้นมาทันที ตรงที่เป็นสมาธินี่เราจึงรู้ว่า
อานิสงส์ของการทำความรู้กับกายนี้ทำให้จิตของเราสงบ
เมื่อเห็นกายมากๆ ขึ้นมาก็เห็นทุกข์ของกาย เห็นทุกข์ของใจ จิตก็เกิดขึ้น
เวลาเราคิดอะไรเราก็ทันจิตตัวเอง เรียกว่า "รู้จิตเห็นจิต"


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมบุญไถ่ชีวิตโคกระบือ เพื่อน้อมถวายเป็นกุศลในโอกาสมุทิตาสักการะครบรอบอายุวัฒนมงคล ๙๘ ปี ๖๗ พรรษา พระคุณเจ้าหลวงปู่เจือ สุภโร (ลูกศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร) วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร