วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 04:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5366


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป


หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสามปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง

ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ให้้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ” ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ” ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน

ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ

แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า”จิต” อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า”ใจ” ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่

นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม



ทางบรรลุธรรม เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ถ้าจิต สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญ บารมี แก่รอบแล้ว จิตหยุดความปรุงแต่งแล้ว มันจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานจะเกิดเอง


โดยธรรมชาติของจิตนี้ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้ มีอยู่ ๓ ภพ เท่านั้น ๑ กามวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือ หาอารมณ์เพลิดเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย นึกออกมั้ย อันนี้แหละเรียกว่า กามภพ เรียกให้เต็มยศนะ เรียกว่า กามวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอยู่อย่างนี้

ถ้าหลุดออกจากกามภพแล้วนะ ก็จะเข้าไปรูปภพ หรือรูปภูมิ ก็คือ ไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่น รู้ลมหายใจแล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ

ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้าอรูปภูมิ ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นบางคนที่เขาสอนให้ภาวนาเพื่อให้ไปอยู่กับความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลย จิตแส่ส่ายออกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย จิตก็หลุดออกกามภูมิ เข้ารูปภูมิ หรืออรปภูมิ เข้าเองเลยนะ

เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา หัดเจริญสติไปเรื่อย พอ ศีล สมาธิ ปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงใหล รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย มาดึงดูจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ชั่วขณะ จิตจะตั้งมั่น รู้ว่าไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้ง เด่นดวง จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้น ถึงเราจะเจริญสติ เจริญปัญญา โดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้าย ที่จะเกิดอริยมรรค อริยผล ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค จิตจะเข้าฌานของเขาเองนะ จิตจะเข้าฌานของเขาเอง

ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิอริยมรรคเนี่ย ไม่ต้องถอยออกมาอยู่กับโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในกามภูมิก่อน จิตก็ไปตัดอยู่ข้างในได้เลยนะ นี่เป็นอีกพวกหนึ่ง

แต่รวมความก็คือ อริยมรรค ไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกาม อย่างพวกเรา อริยมรรคจะต้องเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมินะ จะเกิดกันตรงนั้น จะล้างกันตรงนั้น เพราะฉะนั้นจิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา




"คนเราถ้าจะวิ่งหาแต่เงินหรือวิ่งแต่จะทำมาหากินอย่างเดียว
กายใจของเราก็คงทนต่อสถาพที่กระทบกระเทือนไม่ไหว
เพราะไม่มีเวลาผักผ่อน ไม่มีเวลาพักจิตใจพักใจ
ใจก็เร่าร้อนอยู่อย่างสมําเสมอ เราจึงต้องพยายามเข้าหาธรรมะบ้าง"


โอวาทธรรม : หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ




หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่ต้องภาวนา ภาวนาเรื่อยๆ เรื่อย ถึงวันหนึ่งเราก็เห็น ขั้นแรกเราเห็นก่อนว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา รูปธรรมนามธรรมนี้ไม่ใช่เรานะ พอเห็นอย่างนี้ได้ จิตใจยอมรับได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เห็นว้อบแว้บๆ เดี๋ยวก็เป็นเรา เดี๋ยวก็ไม่เป็นเรา บางคนบอกเป็นพระโสดาฯนะ หลวงพ่อบอก ใจเย็นๆ โสดาฯองค์นี้ใจเย็นๆ ดูไปสัก ๓ เดือน เผลอๆมีเราขึ้นมามั้ย บางคนกลับมารายงาน ๓ เดือนแล้วก็ยังไม่มีเรา ก็บอกว่า อ๋อ อีกปีหนึ่งก็ไม่มีเพราะทำจิตเอาไว้อย่างนี้ จะเป็นเราอะไร ไม่คิดไม่นึก ทำจิตทื่อๆอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นหากว่าสงสัยนะ ใครเป็นพระโสดาฯหรือเปล่า แล้วเห็นว่าทำจิตทื่อๆนะ แกล้งมันเลย ให้จิตเคลื่อน พอจิตเคลื่อนนะ ไม่เป็นเราหรอก เป็นกู หนักกว่าเป็นเราอีก แต่ถ้าจิตนิ่งติดสมาธิอยู่ ดูไม่มีตัวตน นะ เมื่อไหร่ที่ใจยอมรับความจริงนะ ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา ยอมรับ ก็จะเป็นพระโสดาฯ ถ้าวันใดใจยอมรับความจริง ใจเห็นอย่างถ่องแท้ ว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ หาสาระแก่นสารไม่ได้เลย ไม่ควรยึดถือนะ ยึดก็คือยึดเอาก้อนทุกข์ไว้ เหมือนถือถ่านไฟแดงๆเอาไว้ในมือ จิตมันจะสลัดขันธ์ ๕ คืนให้โลก เป็นพระพระอรหันต์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี




รู้เอง เห็นเอง (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

สันทิฏฐิโก รู้เอง เห็นเอง ประกาศก้องขึ้นมา ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ไม่มี

สาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมอยู่ที่ไหน ถึงธรรมที่ไหนเรียกว่า สันทิฏฐิโกขั้นสุดยอดๆ ประกาศป้างๆ หายสงสัย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะ


สันทิฏฐิโก เป็นพระโอวาทที่ทรงประทานไว้แล้วอย่างเฉียบขาด
สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตนไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงสุดท้าย
สันทิฏฐิโก ขั้นสุดท้ายได้แก่เป็นพระอรหันต์ เป็นอย่างนั้นละ ให้พากันจำเอา

อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน การทำบุญให้ทาน เป็นทางก้าวเดินเพื่อความพ้นทุกข์ การรักษาศีล การภาวนา ให้พากันอบรมจิตใจ ถ้าจะปล่อยให้แต่กิเลสตัณหามันขยี้ขยำนี้ ก็ไม่มีวันดีคืนไหนแหละที่จะพ้นทุกข์ไปได้

ให้มีศีลมีธรรมเข้าไปเปิดไปชะไปล้าง แล้วจะค่อยบริสุทธิ์ขึ้นไป และมีทางที่จะผ่านพ้นจนกระทั่งถึงนิพพานได้ เข้าใจเหรอ เอ้า วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ

: หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน




กายนี้ เป็น “กรรมเก่า”

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้ง ไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น. ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มี ความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย). ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ : เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้,สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ; เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ; เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แกสิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่ง อวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะมี ความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล. นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓.




ผู้ไกลกิเลส เสมือน น้ำกับใบบัว

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงตรัสว่า พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไกลกิเลส ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าท่านจะไปไกลไปไหน ไม่ใช่ว่าท่านจะหนีไปจากกิเลส ไม่ใช่ว่ากิเลสจะหนีไปจากท่าน มันมีอยู่อย่างนั้น แหละ มีอยู่อย่างนั้น ท่านจึงเปรียบเสมือนกับ "น้ำกับใบบัว" ใบบัวก็อยู่ในน้ำ น้ำก็อยู่กับใบบัว ถึงแม้ใบบัวกับน้ำจะอยู่ด้วยกันก็จริง เมื่อน้ำกระเด็นขึ้นมาบนใบบัว น้ำก็กลิ้งถูกันอยู่เหมือนกัน แต่น้ำไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในใบบัวได้


กิเลสทั้งหลายก็เปรียบเสมือนน้ำ จิตของผู้ประพฤติปฏิบัติก็คือใบบัว ถูกกันอยู่ไม่หนีไปไหน แต่ว่าไม่ซึมซาบเข้าไป จิตของพระโยคาวจรเจ้า ผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ที่นั่นแหละ ความดีมาก็รู้ ความชั่วมาก็รู้ ความสุขมาก็รู้ ความทุกข์มาก็รู้ ความชอบมาก็รู้ ความไม่ชอบมาก็รู้ รู้หมด รู้หมดอยู่ที่นั่น แต่ว่าท่านรับทราบไว้เฉยๆ มันไม่ได้เข้าไปในจิตของท่าน เรียกว่าไม่มีอุปาทาน เป็นผู้รับทราบไว้เรื่อยๆไป

หลวงปู่ชา สุภทฺโท



"ตายได้ทุกฤดู ไม่ต้องบ่นร้อนหนาว"

อย่างว่าระยะนี้เป็นระยะฤดูร้อน
ความร้อนอบอ้าวเข้ามาถึงร่างกาย
ก็ไม่ให้จิตใจไปข้องแวะยึดว่า"ตัวเรา"ร้อน
"รูปขันธ์ร่างกาย" เขาร้อนต่างหาก ช่างมันเถิด
เวลาร้อนมันก็ยังมีลมมาพัดให้ ดีขนาดไหนเล่า
อย่าไปบ่นว่าร้อน..ไม่ดี


ร้อนก็เป็นบทสอนใจของเราอย่างหนึ่ง
คือในโลกมนุษย์นี้เขามีร้อนอย่างนี้แหละเมื่อถึงฤดูร้อน
เมื่อถึงฤดูหนาวที่เราผ่านมาก็หนาวอย่างนี้แหละ
เราผ่านไปไม่ได้เมื่อถึงฤดูหนาวก็หนาว ถึงฤดูร้อนก็ร้อน
ถึงฤดูฝนก็ฝน ..เปียก

ให้เตือนว่า "มรณํ เม ภวิสฺสติ"
ความตายนี้ไม่เลือกว่าฤดูร้อน ถามใจของเราดูว่า
คนเราฤดูร้อนตายได้ไหม ตายได้ทุกลมหายใจ
ฤดูหนาวแล้วคนเราตายได้ไหม ตายได้เหมือนกัน
ฤดูฝนเล่า ฤดูฝนก็ตายได้เหมือนกัน
ดูฤดูฝนนี่คนเราจะตายมากเสียด้วย เพราะอะไร
เพราะว่าฤดูฝนนั้นอาหารการบริโภคของคนเราฤดูฝนมันชักจะมากไปหน่อย
ยอดไม้ เถาวัลย์ ปู ปลา อะไรในฤดูฝนมันก็มากไปหน่อย
ทีนี้เจ้า "โลภะ" ในจิตนี้กินไม่มีประมาณเลยตายง่าย

มรณํ เม ภวิสฺสติ อย่าได้ลืม จิตเราให้นึกอยู่อย่าได้ประมาท

"พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร"
วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 09:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 19:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร