วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 17:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมาเคยเล่าเสมอว่า รักษาอุโบสถตั้ง 30 กว่าปี ทอดกฐินเป็น 100 ครั้ง ทอดผ้าป่าไม่พัก ต...ายไปยังเป็นเปรตได้ เพราะจิตไม่ดี ไม่แยก มันยังเกาะอยู่กับสมบัติ ด้วย "อำนาจโลภะ" มีโมหจริตอยู่ในจิตมาก

คนแก่คนนี้อายุ 80 กว่าปีแล้ว ร่ำรวยเงินทองมาก ได้แบ่งสมบัติให้ลูกๆ ไปแล้ว รักลูกคนเล็กมากก็แบ่งให้มาก ลูกชายคนโตได้ไม่เท่าไร แต่ไปสร้างฐานะเป็นเศรษฐีที่เชียงใหม่ สมบัติของแม่ให้ไปก็ยังอยู่

แต่น้องสาวมีสามีแล้วเกิดนำไปเล่นการพนัน แม่เห็นลูกสุดท้องจะลำบาก จึงไปขอสมบัติลูกชายคืนด้วย "อำนาจโลภะ" ลูกคนสุดท้องก็นำไปให้สามีเล่นการพนันหมด แม่เลยเสียใจตาย ด้วยอำนาจกรรม จิตเศร้าหมอง ต้องไปนรกก่อน

บัดนี้ยังเป็นเปรตอยู่นะ ยังหาที่เกิดไม่ได้ ต้องหมดเวร หมดกรรมจากเปรตเสียก่อน จึงจะไปเกิดบนสวรรค์ เพราะทอดกฐินไว้ตั้ง 100 ครั้ง ทอดผ้าป่าไว้มาก ต้องไปเสวยกรรมที่ตนทำมาก่อน กรรมที่ไปเอาสมบัติลูกชายคืน ให้ลูกคนสุดท้อง และลูกสุดท้องนำไปให้สามีเล่นการพนันหมด

นี่ตรงนี้เป็นบาป... จิตใจก็เกาะอยู่แยกรูปแยกนามไม่ได้ เพราะคนนี้ไม่เคยนั่งกรรมฐาน รู้ซึ้งซึ่งปัญญาแต่ทางโลกีย์เท่านั้น แถมมีโมหจริตปิดบังปัญญา ปัญญาก็ไม่รู้ซึ้ง แล้วเขาก็ตายไปนรก ยังเป็นเปรตวิสัยอยู่ด้วยอำนาจโลภะ ยังไปเที่ยวเข้าเขาอยู่ ยังไม่ได้ไปไหนเลย ยังเป็นเปรตอยู่นะ

ในวัดอัมพวันนี้มีพระ ๔-๕ องค์ เป็นเปรตมารับส่วนบุญทุกวันพระ ท่านทั้งหลายจะเห็นหรือไม่ ก็ไม่ทราบกันนะ อาตมาถามว่า "ยังไม่ไปเกิดอีกหรือ"

เขาตอบว่า "ยังครับ ผมยังไม่หมดกรรม เที่ยวมาขอทานอยู่ที่วัดนี้ มีหลวงตาเฟื่องเป็นต้น"

อีกองค์ชื่อหลวงตาเก๊า ยังอยู่ที่นี่ ถ้าวันพระโผล่มาทุกที อยู่ข้างโบสถ์โน้น มารับส่วนสังฆทานที่เขาทำกัน... และก็มาด้อมๆ มองๆ ที่กุฏิกรรมฐาน ว่าคนไหนมีบุญวาสนาได้กรรมฐานก็เข้าไปขอ คนไหนค้าขายไม่ได้กำไร ขาดทุน เขาไม่ไปขอ คนที่ไร้บุญวาสนา เปรตไม่เข้าไปขอบ้านนั้น

เปรตนี่เข้าได้ทุกบ้านคือขอทาน เปรตเข้าโบสถ์ได้ไหม ได้! แต่อสุรกายดุร้ายเข้าไม่ได้

ถ้าบ้านเรามีบุญกุศล มีเทวดารักษา อสุรกายยักษ์ร้าย อมนุษย์เข้าบ้านไม่ได้ ไม่ต้องไปหาเครื่องป้องกัน ไม่ต้องเอาพระมาเขียนผ้ายันต์ ไม่ต้องหว่านทรายหรอกเขาไม่เข้าหรอก

ถ้าเราสวดมนต์ไหว้พระทุกวันนะ หมั่นเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาพวกนี้เข้าบ้านเราไม่ได้ แต่ถ้าเข้าได้อยู่อย่างหนึ่งคือเปรต ประตูเปรตนี่เป็นโลภะ ที่เป็นขอทานจะเข้าได้ทุกแห่ง ไปเที่ยวไหว้กราบขอบุญกุศล

อย่างเรามาเจริญกรรมฐานปู่ย่าตายาย ตายไปเป็นเปรต จะมาขอเลย ถ้าคนไหนได้ยินเสียงเปรตร้อง คือ ญาติของคนนั้น ถ้าเราไม่ได้ยินไม่ใช่ญาติของเรา ถ้าได้ยินเตรียมแผ่ส่วนกุศลได้เป็นญาติของเราเลยทีเดียว ร้องขึ้นมาต้องการขอบุญกุศล รีบแผ่ให้เลยนะ... นั่นแหละญาติของโยมตั้งแต่ชาติไหนก็ตาม ไม่ใช่ตายไปสวรรค์ทุกคนนะ ขอฝากไว้

# พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)



ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ"

...หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงปู่ฝากไว้



ทีฆนขสูตร เรื่องทีฆนขปริพาชก ตอน๓ (เรื่องก่อนวันมาฆบูชา) จบ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 481

บทว่า สนฺติ อคฺคิเวสฺสน พระผ...ู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภขึ้น
เพราะเหตุไรเจ้าลัทธิที่ถือว่าขาดสูญนี้ ย่อมปิดบังลัทธิของตน แต่เมื่อกล่าว
คุณของลัทธินั้นจักทำลัทธิของตนให้ปรากฏ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ทรงแสดงลัทธิที่เหลือเป็นอันเดียวกันแล้ว เพื่อทรงแสดงแยกจากกันจึงทรง
ปรารภเทศนานี้.

พึงทราบความในบทมีอาทิว่า สราคาย สนฺติเก ใกล้ข้างกิเลส
อันเป็นไปกับด้วยความกำหนัด ดังต่อไปนี้. ใกล้กิเลสเครื่องยินดีในวัฏฏะด้วย
อำนาจราคะ คือใกล้กิเลสเครื่องผูกในวัฏฏะ ด้วยเครื่องผูกคือตัณหาและทิฏฐิ
อธิบายว่า กลืนด้วยความยินดีในตัณหาและทิฏฐิ ด้วยอำนาจแห่งตัณหาและ
ทิฏฐินั่งเองแล้วใกล้ความยึดมั่นและความถือมั่น. พึงทราบความในบทมีอาทิว่า
วิราคาย สนฺติเก ใกล้เพื่อคลายความกำหนัดดังต่อไปนี้ พึงทราบความโดย
นัยมีอาทิว่า ใกล้เครื่องความยินดีในวัฏฏะ. อนึ่งในบทนี้ ความเห็นว่าเที่ยงมี
โทษน้อย มีความคลายช้า. ความเห็นว่าขาดสูญมีโทษมาก มีความคลาย
เร็ว. อย่างไร. เพราะผู้มีวาทะว่าเที่ยงย่อมไม่รู้โลกนี้และโลกหน้าว่ามีอยู่.

ย่อมรู้ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วว่ามีอยู่ จึงทำกุศล เมื่อทำอกุศลย่อมกลัวพอใจ
ยินดีในวัฏฏะ. อยู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าย่อมไม่
สามารถละความเห็นได้เร็ว ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่าความเห็นว่าเที่ยงนั้นมีโทษ
น้อยคลายช้า. ส่วนผู้มีวาทะว่าขาดสูญ ย่อมรู้โลกนี้โลกหน้าว่ามีอยู่. แต่ไม่
รู้ผลของกรรมดีและกรรมชั่วว่ามีอยู่ จึงไม่ทำกุศล. เมื่อทำอกุศลย่อมไม่กลัว
ไม่ชอบใจไม่ยินดีวัฏฏะ อยู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้า
ย่อมละความเห็นได้เร็ว สามารถบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าได้. เมื่อไม่
สามารถก็สะสมบุญบารมีเป็นสาวกแล้วนิพพาน. เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ความเห็นว่าขาดสูญมีโทษมากคลายเร็ว. แต่ปริพาชกนั้นกำหนดความนั้นไม่
ได้ จึงพรรณนา สรรเสริญ ความเห็นนั้น ครั้นกำหนดได้ว่า ความเห็นของ
เราดีแน่นอนจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อุกฺกํเสติ เม ภวํ ท่านพระโคดม ทรงยก
ย่องความเห็นของข้าพเจ้า.

บัดนี้เพราะปริพาชกนี้เปี่ยมด้วยความเห็นว่าขาดสูญเท่านั้นดุจน้ำเต้าขม
เต็มด้วยน้ำส้ม. ปริพาชกนั้นยังทิ้งน้ำส้มไม่ได้ จึงไม่สามารถใส่น้ำมันน้ำผึ้ง
เป็นต้นลงในน้ำเต้า. แม้ใส่ลงไปแล้วก็ถือเอาไม่ได้ ฉันใด ปริพาชกนั้นยังละ
ความเห็นนั้นไม่ได้ จึงไม่ควรเพื่อได้มรรคผลฉะนั้น. เพราะฉะนั้นเพื่อให้ปริ-
พาชกละทิฏฐินั้น จึงทรงเริ่มบทมีอาทิว่า ตตฺร อคฺคิเวสฺสน. บทว่า วิคฺค-
โห คือการทะเลาะ. บทว่า เอวเมตาสํ ทิฏฺฐีนํ ปหานํ โหติ การละ
คืนทิฏฐิเหล่านั้นย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้ คือ ครั้นเห็นโทษแห่งการทะเลาะ
แล้วจึงละทิฏฐิเหล่านั้นได้.
ปริพาชกนั้นคิดว่า ประโยชน์อะไรแก่เราด้วยการทะเลาะเป็นต้นนี้.
จึงละความเห็นว่าขาดสูญนั้นได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เราจักให้ปริพาชกบำเพ็ญ
โอสถอันอมตะไว้ในหทัย ดุจบุคคล ใส่เนยใสและเนยข้นเป็นต้น ลงในน้ำเต้า
ที่คายน้ำส้มออกแล้วฉะนั้น เมื่อจะทรงบอกวิปัสสนาแก่ปริพาชกนั้น จึงตรัส
พระดำรัสมีอาทิว่า อยํ โข ปน อคฺคีเวสฺสน กาโย ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ก็
กายนี้เป็นที่ประชุมมหาภูตรูปทั้ง ๔ ดังนี้. ท่านกล่าวความของบทนั้นไว้แล้ว
ในวัมมิกสูตร. แม้บทมีอาทิว่า อนิจฺจโต ก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในหนหลัง.
บทว่า โย กายสฺมึ ฉนฺโท ได้แก่ ความอยากในกาย. บทว่า เสนฺโห ความ
เยื่อใย คือความเยื่อใยด้วยตัณหา. บทว่า กายนฺวยตา คือความอยู่ในอำนาจ
ของกาย. อธิบายว่า กิเลสอันเข้าไปสู่กาย.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงรูปกรรมฐานอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อ
ทรงแสดงอรูปกรรมฐานจึงตรัสว่า ติสฺโส โข เวทนา ๓ เป็นอาทิ. เมื่อจะ
ทรงแสดงความที่เวทนา ๓ เหล่านั้นไม่ปนกัน จึงตรัสว่า ยสฺมึ อคฺคิเวสฺสน
สมเย ดูก่อนอัคคิเวสสนะในสมัยใดเป็นอาทิ ความย่อในบทนั้นมีดังนี้ สมัยใด
เสวยเวทนาอย่างเดียวในบรรดาสุขเวทนาเป็นต้น สมัยนั้นเวทนาอื่นชื่อว่านั่ง
คอยดูวาระหรือโอกาสของตนย่อมไม่มี. โดยที่แท้เวทนายังไม่เกิดหรือหายไปดุจ
ฟองน้ำแตก. บทมีอาทิว่า สุขาปิ โข ท่านกล่าวเพื่อแสดงความที่เวทนา ๓
เหล่านั้นเป็นจุณวิจุณไป. บทว่า น เกนจิ วิวทติ ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับ
ใคร ๆ คือ ย่อมไม่กล่าวร่วมกันกับแม้พวกมีวาทะว่าขาดสูญว่า เราเป็นผู้มี
วาทะว่าเที่ยงเพราะมีทิฏฐิว่าเที่ยง. ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับผู้มีวาทะว่าเที่ยง
บางพวกว่า เราเป็นผู้มีวาทะว่าเที่ยง เพราะถือเอาทิฏฐิว่าเที่ยงนั้นนั่นแหละ
พึงประกอบเปลี่ยนแปลงวาทะแม้ ๓ อย่างด้วยประการฉะนี้. บทว่า ยญฺจ
โลเก วุตฺตํ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน คือพูดไปตามโวหารที่ชาวโลกพูดกัน.

บทว่า อปรามสํ ไม่ยึดถือ คือไม่ยึดถือธรรมไร ๆ ด้วยการถือมั่น. สมดัง
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ภิกษุใด เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้วเพราะ
บรรลุพระอรหัต เป็นผู้ทรงร่างกายไว้เป็น
ครั้งสุดท้าย ภิกษุนั้น พึงกล่าวว่า เราย่อม
กล่าวดังนี้บ้าง พึงกล่าวว่า พวกเขาย่อมกล่าว
กะเราดังนี้บ้าง เป็นผู้ฉลาด รู้สิ่งกำหนดรู้กัน
ในโลก พึงพูดไปตามโวหารนั้น.

ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า ดูก่อนจิตคฤหบดี ตถาคตพูดไปตามสิ่งที่รู้กัน
ในโลก ภาษาของชาวโลก โวหารของชาวโลก บัญญัติของชาวโลก แต่ไม่
ยึดถือด้วยทิฏฐิ.

บทว่า อภิญฺญา ปหานมาห พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละธรรม
เหล่านั้นด้วยปัญญาอันยิ่ง ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความเที่ยงแห่ง
ธรรมเหล่านั้นในบรรดาความเที่ยงเป็นต้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วจึงตรัสถึงการละ
ความเที่ยง. ทรงรู้ความขาดสูญ ความเที่ยงแต่บางอย่างด้วยปัญญารู้ยิ่งแล้วจึง
ตรัสถึงการละความเที่ยงแต่บางอย่าง ทรงรู้รูปด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วจึงตรัสถึง
การละรูป พึงทราบความในบทนี้โดยนัยมีอาทิดังนี้แล. บทว่า ปฏิสญฺจิกฺขโต
เมื่อพระสารีบุตรสำเหนียกคือเห็นตระหนัก. บทว่า อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ
วิมุจฺจิ จิตพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น คือ จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
อันดับแล้วด้วยความดับสนิทคือไม่เกิดอีกเพราะไม่ถือมั่น.

ด้วยเหตุประมาณเท่านี้ ท่านพระสารีบุตรดุจบุคคลบริโภคอาหารที่เขา
ตักให้ผู้อื่นแล้ว บรรเทาความหิวลงได้ เมื่อส่งญาณไปในธรรมเทศนาที่ปรารภ
ผู้อื่นจึงเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัต แทงตลอดที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ
และปัญญา ๑๖ แล้วดำรงอยู่. ส่วนทีฆนขะได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วดำรงอยู่
ในสรณะทั้งหลาย.

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ ทรงจบเทศนานี้
แล้วเสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เสด็จไปพระวิหารเวฬุวันได้ทรงประชุมพระสาวก.

ได้มีสันนิบาตประกอบด้วยองค์ ๔. องค์ ๔ เหล่านี้คือ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ
ขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร ๑ ภิกษุ ๑,๒๕0 รูป ประชุมกันตาม
ธรรมดาของตน ๆ ไม่มีใครนัดหมายมา ๑ ภิกษุเหล่านั้นไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่
เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกกาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ผู้สุกขวิปัสสก ภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ใดอภิญญาหกทั้งนั้น ๑ มิได้ปลงผมด้วย
มีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ภิกษุทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ๑.

จบอรรถกถาทีฆนขสูตร ที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 485


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2015, 18:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2015, 10:03 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2949


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร