วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 02:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


สุริยา สาแก้ว
14 พฤศจิกายน 14:46

ผมไม่รู้ถามใคร เลยฝากข้อความนี้ไว้ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ ขณะท่ีข้าพเจ้านั่งสมาธิ จะเกิดความเจ็บปวดท่ีบริเวณขาทั้งสอง 2ข้าง เมื่อเริ่มเข้าใจตามอารมณ์ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเองได้ก็ต้องหายเจ็บปวดไปเองได้อย่างๆนี้จนกระทั้งไม่รู้รู้สึกเลย หลังจากนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็จะภาวนาและเข้าใจตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งรู้สึกว่าตัวเราเริ่มกระเพื่อมไหลเหมือนน้ำไกว่ไปไกว่มา ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเราเองนั่งตรงท่ีแล้ว ก็ทำความเข้าใจเหมือนๆทุกอารมณืที่ผ่านมา จะรู้สึกว่าเย็นสบาย เบา นิ่งนุ่มนวล มีความสุขลมหายใจแผ่วเบามาก เมื่อข้าพเจ้าปล่อยอารมณ์ผ่านไป ก็กลับกลายเป็นภาพสามมิติเหมือนข้าพเจ้าอยู่ในพื้นท่ีใดพื้นท่ีหนึ่ง เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นหินสีขาวมีหลายเป็นดอกๆนั่งอยู่บนเนินที่มีหญ้ามีเขียวสูงเป็นเนินรองรับไไว้ ขณะหายใจเข้าก็ก็สูงใหญ่หายใจออกก็เล็กลงตาม เป็นอารมณ์แบบนี้ประมาณ 20 วินาที ก็หายไป ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสปฏิบัติไม่บ่อยรักแต่พอมีโอกาสก็จะตั้งใจทำตามวิธีการเดิมของข้าพเจ้าก็จะเกิดหรือกลายเป็นรูปอื่นในเวลาไม่นาน ล่าสุดมองเห็นเป็นรูปลูกแก้วสีดำมีขนาเท่ากับบาตรพระครอบตัวข้าพเจ้าอยู่ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก จะรู้สึกอึดอัดแน่นบีบรัดตัวข้าพเจ้าอยู่ตลอด ทั้งหมดที่เล่าคือสิ่งที่ไม่เข้าใจ จะแก้ไขอย่างไร วานให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ไขให้ที ขอบคุณครับ smiley
smiley
เมื่อนั่งสมาธิมาจนพบวิธีผ่านความเจ็บผ่านนิวรณ์ 5 ได้ด้วยตนเอง
จิตใจก็มีความสงบตั้งมั่นละเอียดอ่อนจนสามารถสัมผัสรู้จังหวะชีพจร คือที่เห็นกระเพื่อมเหมือนน้ำแกว่าไกวไปมา หลังจากนั้นผลของสมาธิคือปีติ ความซาบซ่าน ปัสสัทธิ ความเบากายเบาใจและนิมิตจึงเกิด ตามมาเป็นธรรมดาผลของผู้เจริญสมาธิ

สำคัญพอนิมิตเกิดแล้วถ้ามีจิตปรุงแต่งไปตามนิมิต ก็จะทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวแตกลูกแตกหลานไปอีกมากมายอย่างที่นิยมชมชอบกันอยู่ในยุคปัจจุบัน

แต่นิมิต เป็นเส้นทางสู่ความวนเวียนว่ายตายเกิด หาใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเรารู้เราเดินไม่

ทางสู่การค้นพบเหตุทุกข์เพื่อถอนเหตุทุกข์ออกแล้วจะได้พบสุขอันเป็นอมตะคือพระนิพพานต่างหากคือทางที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เดิน

ดังนั้นทางแก้สำหรับผู้ที่ทำสมาธิภาวนามาจนได้นิมิตแล้วก็จึงควรทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วต่อยอดการภาวนาจากตรงนี้ขึ้นไปเป็นวิปัสสนาภาวนา ซึ่งก็คือการเริ่มต้นสังเกตพิจารณาสภาวะที่เป็นปัจจุบันขณะอารมณ์ที่ปรากฎต่อหน้าต่อตาให้เห็นความจริงของมัน

ถ้านิมิตชัดเป็นปัจจุบัน พึงนิ่งรู้นิ่งสังเกตนิมิตนั้นๆให้ดีๆนานๆ ไม่ช้าเกินการณ์นิมิตรนั้นจะแตกสลายให้เห็นความเป็น ทุกขัง ทนไม่ได้ อนิจจังต้องเปลี่ยนแปรไปและสุดท้าย อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้

จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไรยังสงสัยอีกก็คุยกันต่อนะครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley
ก็มีคำตอบอยู่แล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สุริยา สาแก้ว
14 พฤศจิกายน 14:46

ผมไม่รู้ถามใคร เลยฝากข้อความนี้ไว้ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ ขณะท่ีข้าพเจ้านั่งสมาธิ จะเกิดความเจ็บปวดท่ีบริเวณขาทั้งสอง 2ข้าง เมื่อเริ่มเข้าใจตามอารมณ์ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเองได้ก็ต้องหายเจ็บปวดไปเองได้อย่างๆนี้จนกระทั้งไม่รู้รู้สึกเลย หลังจากนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็จะภาวนาและเข้าใจตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งรู้สึกว่าตัวเราเริ่มกระเพื่อมไหลเหมือนน้ำไกว่ไปไกว่มา ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเราเองนั่งตรงท่ีแล้ว ก็ทำความเข้าใจเหมือนๆทุกอารมณืที่ผ่านมา จะรู้สึกว่าเย็นสบาย เบา นิ่งนุ่มนวล มีความสุขลมหายใจแผ่วเบามาก เมื่อข้าพเจ้าปล่อยอารมณ์ผ่านไป ก็กลับกลายเป็นภาพสามมิติเหมือนข้าพเจ้าอยู่ในพื้นท่ีใดพื้นท่ีหนึ่ง เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นหินสีขาวมีหลายเป็นดอกๆนั่งอยู่บนเนินที่มีหญ้ามีเขียวสูงเป็นเนินรองรับไไว้ ขณะหายใจเข้าก็ก็สูงใหญ่หายใจออกก็เล็กลงตาม เป็นอารมณ์แบบนี้ประมาณ 20 วินาที ก็หายไป ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสปฏิบัติไม่บ่อยรักแต่พอมีโอกาสก็จะตั้งใจทำตามวิธีการเดิมของข้าพเจ้าก็จะเกิดหรือกลายเป็นรูปอื่นในเวลาไม่นาน ล่าสุดมองเห็นเป็นรูปลูกแก้วสีดำมีขนาเท่ากับบาตรพระครอบตัวข้าพเจ้าอยู่ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก จะรู้สึกอึดอัดแน่นบีบรัดตัวข้าพเจ้าอยู่ตลอด ทั้งหมดที่เล่าคือสิ่งที่ไม่เข้าใจ จะแก้ไขอย่างไร วานให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ไขให้ที ขอบคุณครับ smiley
smiley
เมื่อนั่งสมาธิมาจนพบวิธีผ่านความเจ็บผ่านนิวรณ์ 5 ได้ด้วยตนเอง
จิตใจก็มีความสงบตั้งมั่นละเอียดอ่อนจนสามารถสัมผัสรู้จังหวะชีพจร คือที่เห็นกระเพื่อมเหมือนน้ำแกว่าไกวไปมา หลังจากนั้นผลของสมาธิคือปีติ ความซาบซ่าน ปัสสัทธิ ความเบากายเบาใจและนิมิตจึงเกิด ตามมาเป็นธรรมดาผลของผู้เจริญสมาธิ

สำคัญพอนิมิตเกิดแล้วถ้ามีจิตปรุงแต่งไปตามนิมิต ก็จะทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวแตกลูกแตกหลานไปอีกมากมายอย่างที่นิยมชมชอบกันอยู่ในยุคปัจจุบัน

แต่นิมิต เป็นเส้นทางสู่ความวนเวียนว่ายตายเกิด หาใช่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเรารู้เราเดินไม่

ทางสู่การค้นพบเหตุทุกข์เพื่อถอนเหตุทุกข์ออกแล้วจะได้พบสุขอันเป็นอมตะคือพระนิพพานต่างหากคือทางที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เดิน

ดังนั้นทางแก้สำหรับผู้ที่ทำสมาธิภาวนามาจนได้นิมิตแล้วก็จึงควรทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วต่อยอดการภาวนาจากตรงนี้ขึ้นไปเป็นวิปัสสนาภาวนา ซึ่งก็คือการเริ่มต้นสังเกตพิจารณาสภาวะที่เป็นปัจจุบันขณะอารมณ์ที่ปรากฎต่อหน้าต่อตาให้เห็นความจริงของมัน

ถ้านิมิตชัดเป็นปัจจุบัน พึงนิ่งรู้นิ่งสังเกตนิมิตนั้นๆให้ดีๆนานๆ ไม่ช้าเกินการณ์นิมิตรนั้นจะแตกสลายให้เห็นความเป็น ทุกขัง ทนไม่ได้ อนิจจังต้องเปลี่ยนแปรไปและสุดท้าย อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้

จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไรยังสงสัยอีกก็คุยกันต่อนะครับ
:b8:


เอานิมิตเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนา เหรอคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 12:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
นิมิตชัดเอานิมิต อารมณ์อื่นชัดเอาอารมณ์อื่น
กล่าวคือเอาปัจจุบันอารมณ์เป็นที่ตั้งพิจารณา
จึงจะเห็นไตรลักษณ์เร็วและเป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นวิปัสสนาภาวนาแท้ๆ
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2014, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
นิมิตชัดเอานิมิต อารมณ์อื่นชัดเอาอารมณ์อื่น
กล่าวคือเอาปัจจุบันอารมณ์เป็นที่ตั้งพิจารณา
จึงจะเห็นไตรลักษณ์เร็วและเป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นวิปัสสนาภาวนาแท้ๆ
:b43:



นิมิตเป็นรูปหรือเป็นนาม นิมิตเป็นปัจจุบันอารมณ์อย่างไรเหรอคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2014, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
นิมิตส่วนใหญ่เป็นรูป
นิมิตที่ปรากฏชัดรู้อยู่ต่อหน้าต่อตาเป็นปัจจุบันอารมณ์
เช่น เห็นเป็นดวงแก้วชัดอยู่ข้างหน้า

ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตภาพนิมิตที่ตั้งอยู่ข้งหน้าไม่ช้าจะเห็นภาพนิมิตนั้นดับไป
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2014, 04:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอนัตตามาเป็นเครื่องหมายของอารมณ์ครับ

ทุกข์ก็ปรากฎแล้ว

อนิจจังก็ปรากฎแล้ว

ก็เหลืออนัตตา

แต่ก็ใช่ว่ากำลังมีสัมมาสมาธิ ตามสติปัฎฐาน4อยู่ เพราะไม่รู้ว่าจิตของผู้ปฎิบัติกำลังคิดอะไรอยู่

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2014, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b39:
นิมิตส่วนใหญ่เป็นรูป
นิมิตที่ปรากฏชัดรู้อยู่ต่อหน้าต่อตาเป็นปัจจุบันอารมณ์
เช่น เห็นเป็นดวงแก้วชัดอยู่ข้างหน้า

ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตภาพนิมิตที่ตั้งอยู่ข้งหน้าไม่ช้าจะเห็นภาพนิมิตนั้นดับไป
:b43:


นิมิตที่เกิดจากการสมถะ เช่น อานาปานสติ
เอามาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไม่ได้ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2014, 17:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
asoka เขียน:
:b39:
นิมิตส่วนใหญ่เป็นรูป
นิมิตที่ปรากฏชัดรู้อยู่ต่อหน้าต่อตาเป็นปัจจุบันอารมณ์
เช่น เห็นเป็นดวงแก้วชัดอยู่ข้างหน้า

ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตภาพนิมิตที่ตั้งอยู่ข้งหน้าไม่ช้าจะเห็นภาพนิมิตนั้นดับไป
:b43:


นิมิตที่เกิดจากการสมถะ เช่น อานาปานสติ
เอามาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไม่ได้ค่ะ


:b1: เห็นท่าว่าคุณโสมต้องชี้แจง ขยายความแล้วล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2014, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
SOAMUSA เขียน:
asoka เขียน:
:b39:
นิมิตส่วนใหญ่เป็นรูป
นิมิตที่ปรากฏชัดรู้อยู่ต่อหน้าต่อตาเป็นปัจจุบันอารมณ์
เช่น เห็นเป็นดวงแก้วชัดอยู่ข้างหน้า

ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตภาพนิมิตที่ตั้งอยู่ข้งหน้าไม่ช้าจะเห็นภาพนิมิตนั้นดับไป
:b43:


นิมิตที่เกิดจากการสมถะ เช่น อานาปานสติ
เอามาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไม่ได้ค่ะ


:b1: เห็นท่าว่าคุณโสมต้องชี้แจง ขยายความแล้วล่ะ



นิมิตเป็น บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


สุริยา สาแก้ว
Nov 22nd, 9:41am

ขอบคุณครับ. ต่อไปจะปฏิบัติวิปัสสนาเริ่มอย่างไรก่อนครับ
:b8:
วิปัสสนาภาวนา=เจริญการดูเข้าไปในรูป นาม กาย ใจให้เห็นสิ่งที่วิเศษ

สิ่งวิเศษที่ปรากฏขึ้นในรูป นาม กาย ใจ คือ ธรรม

ธรรม คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจหรือกำลังการกระทำของเหตุและปัจจัย

การเจริญวิปัสสนาภาวนาคือการเอาสติปัญญามานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนรู้เห็นเหตุปัจจัย ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของอารมณ์โดยตลอด ในที่สุดปัญญาจะสรุปความจริงออกมาให้รู้ว่ามีแต่ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ จึงต้องอนิจจังเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา และอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้ ไร้สาระแก่นสาร ตัวตน เพราะความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นแก่นสารตัวตนจึงก่อให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด ทำลายความเห็นผิดยึดผิดเสียได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จักกลับคืนสู่ธรรมชาติสิ้นสุดความเวียนว่ายตายเกิด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2014, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2011, 23:47
โพสต์: 298


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่คุณฝันเห็นพระพุทธรูปสีขาว ตรงกับนิมิตผมเห็นเป็นพระค่อนข้างอ้วนในนิมิตองค์ท่านลางๆสีขาว
ที่ลูกแก้วสีดำครอบตัว คือปู่พยานาคสีนิลรักษาท่านอยู่ไม่รู้ใช่ปู่อนันตะหรีือเปล่า ถ้าเห็นลูกแก้วสีนิลใหญ่ครอบตัว ลองอธิษฐานดูถ้าเลือกเงินก็จะได้เงิน ถ้าเลือกผู้หญิงก็จะได้ผู้หญิง เลือกได้ข้อเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2014, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2813


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้ศึกษากระทู้นี้คะ :b1:

• ถ้ายังไม่มีสมาธิที่แน่วแน่และชำนาญ ควรเจริญสติก่อน
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=48118


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2014, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อนุโมทนากับน้องพลอยที่นำคำสอนของครูบาอาจารย์มาช่วยทำให้การปฏิบัติง่ายขึ้น

การเจริญสติเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เพราะถ้าสติรู้ทันปัจจุบันได้ดี ความคิดนึกจะหยุดทำงาน จิตจะตั้งมั่น สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้ชำนาญในการเข้าสมาธิ นี่จึงมาเป็นประเด็นของกระทู้นี้
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สุริยา สาแก้ว
14 พฤศจิกายน 14:46

ผมไม่รู้ถามใคร เลยฝากข้อความนี้ไว้ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ ขณะท่ีข้าพเจ้านั่งสมาธิ จะเกิดความเจ็บปวดท่ีบริเวณขาทั้งสอง 2ข้าง เมื่อเริ่มเข้าใจตามอารมณ์ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเองได้ก็ต้องหายเจ็บปวดไปเองได้อย่างๆนี้จนกระทั้งไม่รู้รู้สึกเลย หลังจากนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้นก็จะภาวนาและเข้าใจตามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งรู้สึกว่าตัวเราเริ่มกระเพื่อมไหลเหมือนน้ำไกว่ไปไกว่มา ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเราเองนั่งตรงท่ีแล้ว ก็ทำความเข้าใจเหมือนๆทุกอารมณืที่ผ่านมา จะรู้สึกว่าเย็นสบาย เบา นิ่งนุ่มนวล มีความสุขลมหายใจแผ่วเบามาก เมื่อข้าพเจ้าปล่อยอารมณ์ผ่านไป ก็กลับกลายเป็นภาพสามมิติเหมือนข้าพเจ้าอยู่ในพื้นท่ีใดพื้นท่ีหนึ่ง เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นหินสีขาวมีหลายเป็นดอกๆนั่งอยู่บนเนินที่มีหญ้ามีเขียวสูงเป็นเนินรองรับไไว้ ขณะหายใจเข้าก็ก็สูงใหญ่หายใจออกก็เล็กลงตาม เป็นอารมณ์แบบนี้ประมาณ 20 วินาที ก็หายไป
smiley

:b8:


เรื่องของคุณสุริยาที่นั่งสมาธิในตนแรกนั้น คุณสุริยาครองสติไว้ได้ดีมาก ผ่านเวทนา (เหมือนมีความเจ็บปวดเราก็ไม่ไปยึด เมื่อครองสติไปเรื่อยๆ จิตนี้ได้สมาธิ มีภาพนิมิตเกิดขึ้น นิมิตที่คุณสุริยาพบ ก็ด้วยการปฏิบัติขณะนั้นทำได้ดี หากเรารักษาการปฏิบัติของอย่างนี้ไปเรื่อย เราก็เหมือนสะสมการเดินทางออกจากทุกข์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป้นที่พึง นิมิตแบบนี้ไม่ได้มาให้เห็นบ่อยๆ มักแสดงให้เห็นเพียงครั้งเดียว ผู้ที่เริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ที่เคยสะสมการปฏิบัติธรรมมา ก็ได้พบนิมิตลักษณะนี้ เหมือนมาเตือนให้หมั่นปฏิบัติธรรม ลดละอารมณ์ออกจากเรื่องของโลกียะ สะสมบุญบารมีต่อ สะสมการเดินทางให้พ้นทุกข์ต่อ

asoka เขียน:
สุริยา สาแก้ว
14 พฤศจิกายน 14:46

ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสปฏิบัติไม่บ่อยรักแต่พอมีโอกาสก็จะตั้งใจทำตามวิธีการเดิมของข้าพเจ้าก็จะเกิดหรือกลายเป็นรูปอื่นในเวลาไม่นาน ล่าสุดมองเห็นเป็นรูปลูกแก้วสีดำมีขนาเท่ากับบาตรพระครอบตัวข้าพเจ้าอยู่ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก จะรู้สึกอึดอัดแน่นบีบรัดตัวข้าพเจ้าอยู่ตลอด ทั้งหมดที่เล่าคือสิ่งที่ไม่เข้าใจ จะแก้ไขอย่างไร วานให้ท่านอาจารย์ช่วยแก้ไขให้ที ขอบคุณครับ


ที่เห็นเป็นรูปลูกแก้วสีดำ ทำให้อึดอัดแน่นทึบรัดตัวอยู่นั้น ก็เหมือนกรรมเหมือนอารมณ์ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน มีการสะสมกรรมเนื่องด้วยการใช้กายวาจาใจไปตามอารมณ์ ควรมีสติระมัดระวังไม่ใช้อารมณ์ เช่นไม่ติเดียนใดรด้วยอารมณ์ไม่ชอบใจไม่พอใจ ถ้าจำเป็นก็พูดด้วยเหตุด้วยผล ไม่พูดดูหมิ่นเฉือดเฉือนใคร ฯลฯ เรารักษากายวาจาใจของเราไว้ ไม่สะสมกรรมใหม่เข้ามา แล้วรักษาการปฏิบัติธรรมต่่อไปเรื่อย ด้วยทานบุญบารมี กรรมดำนั่นก็จะบรรเทาจางลง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร