วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 04:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


เคล็ดปฏิบัติสมาธิ..

..นั่งสมาธิพึงพากันตั้งสติให้แน่วแน่อยู่ภายใน พยายามควบคุมจิตอย่าให้มันหลงคิดนึกไปในอารมณ์ที่มันเคยคิด เคยนึก เคยเกาะ เคยข้องมาแต่ก่อน ให้กำหนดลงเอาปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งเลยทีเดียว ชีวิตนี้จะอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก อยู่ที่ปัจจุบันๆ นี้เท่านั้น ให้กำหนดจำกัดลงเลย เพราะว่าที่ล่วงมาแล้ว มันก็ล่วงมาแล้วนะชีวิต แล้วอนาคตก็ยังไม่ได้ไปถึง มันก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคำนึงหามัน การงานอะไรที่ทำล่วงมาแล้ว ผิดหรือถูกมันก็ได้ล่วงมาแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงหามัน

เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจ ขอให้เตือนตนอย่างนี้ เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจในขณะนี้ เบื้องต้นนี้ก็อยากคิด อยากรู้นั้น รู้นี้ เห็นนั่น เห็นนี้ ก่อนคือพยายามตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อธิษฐานจิตถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของตนแล้ว ก็พยายามประกอบจิตนี้ให้หยุดคิด หยุดนึก ให้กำหนดรู้เฉพาะแต่ลมหายใจเข้า หายใจออกเท่านี้ก่อน เพราะเวลานี้ให้เข้าใจว่าเราพักผ่อนจิตใจ

คำว่าพักผ่อน คือหยุดคิด หยุดนึกในการงานต่างๆ เลย วางจิตลงให้สบาย สบาย ไม่ต้องกังวลข้างหน้า ข้างหลังอะไรเลย กำหนดรู้อยู่แต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักเลย ชีวิตนี้ก็ให้กำหนดว่ามีอยู่แค่ปัจจุบันๆ นี้ เท่านั้นแหละ

ในเบื้องต้นเราก็รู้ไม่ได้ว่าจะไปถึงไหน เบื้องหลังมันก็ล่วงมาแล้ว ดังนั้น เราต้องกำหนดรู้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้นเอง คือการทำสมาธินี่ สำคัญอยู่ที่สตินั้นแหละ ขอให้ได้พากันจำเอาไว้ให้ดี สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกเข้าไปในจิตเลยทีเดียว ระลึกให้หยั่งเข้าไปให้มันถึงจิต อย่าให้มันระลึกเฉไปทางอื่น จิตนี้ที่มันตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ก็เพราะมันขาดสติ สติไม่ได้เข้าไปควบคุมอยู่ใกล้ชิด สตินั้น จะระลึกออกไปทางอื่นห่างออกไปจากจิต เมื่อจิตนี้ปราศจากสติแล้วมันก็ว้าเหว่ เร่ร่อนหาอารมณ์อย่างอื่น คิดส่ายไปตามความชอบใจ มันเป็นอย่างนั้น แต่จิตนี้น่ะ ถ้าสติเป็นเครื่องสอนอยู่แล้ว ไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนแล้ว ที่มันอยากคิดอะไรมาแต่ก่อนนั้น สติห้ามไว้ทันแล้วก็หยุด

ขอให้สติมันเข้มแข็งเสียอย่างเดียว หายใจเข้าก็กำหนดรู้ หายใจออกก็กำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันนั้นเลยอย่างนั้น ไม่ได้รู้สิ่งอื่นๆ ใดทั้งหมด ถ้าหากใครสามารถที่จะเพ่งเข้าไปภายในให้เกิดแสงสว่างเหมือนอย่างเราฉายไฟเข้าไปในถ้ำมืดๆ อย่างนี้ แสงไฟฉายนั้นมันจะเป็นลำ สว่างเข้าไปภายในจะมีอะไรอยู่ในนั้นก็มองเห็นได้เลย อันนี้ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราสามารถที่จะกำหนดตั้งสติแล้วเพ่งตามลมหายใจเข้าออก เข้าไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจ และก็มองเห็นอัตภาพร่างกาย อวัยวะน้อยใหญ่ภายในร่างกายได้ยิ่งดีเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ ตามลมหายใจเข้าออกไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจและก็มองเห็น

ถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ ก็ตั้งสติเพ่งเข้าไปหาความรู้อย่างเดียวเท่านั้น รู้อยู่ตรงไหน สติก็ให้หยั่งเข้าไปถึงนั่น ก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อจิตมันสงบ มันคลายจากอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้ว มันปลอดโปร่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สว่างไสวเต็มที่ แต่มันก็มีเงาแห่งความสว่างปรากฏอยู่ในจิตนั้นเองแหละ จิตไม่เศร้าหมอง หมายความว่าอย่างนั้นแหละเบิกบาน ถ้าหากมันคลายอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้วนะ ลักษณะอาการของจิตนี้จะเบิกบานผ่องแผ้ว ไม่มีกังวลใดๆ อิ่มอยู่ภายใน ไม่ปรารถนาอยากจะคิดไปไหนมาไหนแล้ว ทีนี้ถ้าจิตมันคลายอารมณ์เก่าออกไปได้ ก็ต้องอาศัยสตินั่นแหละเข้าไปควบคุมจิตไม่ให้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ

อันเมื่อจิตนี้ไม่มีโอกาสจะได้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ แล้วมันก็คลายทิ้งไปหมด อารมณ์ที่เราเก็บเอาไว้มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่มีที่ต่อ มันก็คลายออกไปเท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าไปเข้าใจวิธีอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออกนี่ เพ่งกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ มันจะค่อยเบาไปๆ หมดไปโดยลำดับ เพราะว่าจิตเราไม่ส่งเสริมมันแล้วนี่ จิตเรามาจ้องอยู่เฉพาะแต่ลมนี้ จิตนี้ไม่ส่งเสริมความคิดเสียแล้ว ทีนี้จะคิดดีคิดชั่วอย่างไรไม่เอา ในขณะนี้ปล่อยทิ้งไม่ใช่เวลาคิด เวลานี้ เวลาสงบ เวลาเพ่ง เวลากำหนดรู้ ไม่ใช่เวลาคิด ให้มีสติเตือนจิตอย่างนี้เสมอไป

จิตนี้เมื่อถูกสติเตือนเข้าบ่อยๆ มันก็รู้ตัว รู้ตัวแล้วมันก็คลาย มันก็ปล่อยวางอารมณ์ ไม่ส่งเสริม ไม่คิดไม่ปรุงไปอีก มันสำคัญ เรื่องสมาธินี่สำคัญมากทีเดียว เรื่องปัญหานั้นมันเกิดจากสมาธิ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถจะทำสมาธิให้บังเกิดได้ ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ ปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธินี้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ในนาม ในรูป ไม่ปรารถนารู้อย่างอื่น

ในการปฏิบัติสมาธิแรกๆ อย่าไปสงสัยคลางแคลงใจว่า เอ๊ะ !! ทำไมเราจึงปฏิบัติไปไม่ได้ ทำไมใจจึงไม่สงบ ? กำหนดลมหายใจก็กำหนดแล้ว มันก็ยังไม่สงบอย่างนี้ อย่าไปสงสัย ให้นึกว่าเราทำยังไม่พอก็แล้วกันแหละ เราทำยังไม่มากพอ คือว่าเรายังกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกนี้ ยังไม่พอ เราจะต้องทำอีก..

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ..


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 19:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
[b]กรัชกายน่าจะได้มาอ่านกระทู้นี้จริงๆ จะได้รู้ว่าทำไมอโศกะจึงย้ำนักย้ำหนาเรื่องปัจจุบันอารมณ์[/b]
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 20:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

คำเหมือนกัน....แต่ของอโศกะ...มีดับไปต่อหน้าต่อตา..ว่าหลงว่าเป็นวิปัสสนา...นะ...อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

คำเหมือนกัน....แต่ของอโศกะ...มีดับไปต่อหน้าต่อตา..ว่าหลงว่าเป็นวิปัสสนา...นะ...อิอิ

:b8:
เจริญสุข เจริญธรรม คุณกบ

นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา เป็นเพียงบัญญัติคำพูดที่ทำให้สั้น แต่สภาวะที่จะเกิดขึ้นจริงๆนั้น มีสิ่งที่ไม่ได้บอกและบอกไม่ได้อีกหลายอย่างซึ่งผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เอง

ได้แย้มไว้นิดหนึ่งในกระทู้ใดจำไม่ได้ถ้าพบจะก้อปกลับมาให้อ่าน แต่ความโดยสรุปก็คือว่า

เมื่อนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนดับไปได้ทุกอารมณ์ คือไม่มียินดียินร้ายเกิดขึ้น ตัณหาเกิดไม่ได้ มโนกรรมไม่เกิด จิตจะได้พักและรวมตัวจนถึงความเป็นสัมมาสมาธิคือฌาน 4 หลังจากนั้น กระบวนการไถ่ถอนอุปาทาน เขาจะทำงานต่อโดยอัตโนมัติ คืออนุสัยตัวใดที่มาแสดงตัวเป็นปัจจุบันอารมณ์ตามกำลังแห่งวิบากและเหตุปัจจัย เมื่อถูกปัญญาสัมมาสังกัปปะ (สังเกต)ปัญญาสัมมาทิฏฐิ (รู้) โดยมีสติจับทัน แล้วไม่เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ (ยินดียินร้าย) อนุสัยนั้นๆจะถูกขุดถอนให้เบาบางจางไปหรือหมดไป ไม่กลับมาให้ต้องเป็นภาระอีก

นี่คือประเด็นสำคัญของวิปัสสนาภาวนา คือ ขุดถอนอนุสัย ทุกปัจจุบันขณะเมื่อสติและปัญญาสมังคีกันทำงานอย่างไร้เจตนาหรืออัตตา

อธิบายอย่างนี้คงจะเข้าใจยากสักนิดถ้าไม่พิจารณาสภาวะจริงเปรียบเทียบ แต่จะง่ายสำหรับท่านผู้เคยสัม ผัสสภาวะอย่างนี้มาก่อนครับ

:b36: :b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 05:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบอย่าไปขัดท่านเลยครับ อโศกอยากเป็นอะไรก็ปล่อยๆให้เป็นๆไปเถอะ เป็นสะให้หายอยาก :b1: พอรู้ว่าเป็นแล้วไม่ได้อะไร ก็เลิกไปเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 07:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: มีห้าม....อิอิ
เอาละ...ไม่ขัด..ไม่ขัด....แต่จะให้อโศกะแสดงเพื่อเพิ่มปัญญา...คงได้เน๊าะ
:b13:
asoka เขียน:
[color=#000080][b]เจริญสุข เจริญธรรม คุณกบ
.......
เมื่อนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนดับไปได้ทุกอารมณ์ คือไม่มียินดียินร้ายเกิดขึ้น ตัณหาเกิดไม่ได้ มโนกรรมไม่เกิด จิตจะได้พักและรวมตัวจนถึงความเป็นสัมมาสมาธิคือฌาน 4 หลังจากนั้น กระบวนการไถ่ถอนอุปาทาน เขาจะทำงานต่อโดยอัตโนมัติ
.....
:b36: :b36:


หลังจากฌาน ๔ ของโยคีไม่ว่าจะเป็น ชลิล3พี่น้อง หรือ อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เขาทำงานเป็นอัตโนมัตมั้ย?...ทำไม?.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: มีห้าม....อิอิ
เอาละ...ไม่ขัด..ไม่ขัด....แต่จะให้อโศกะแสดงเพื่อเพิ่มปัญญา...คงได้เน๊าะ
:b13:
asoka เขียน:
[color=#000080][b]เจริญสุข เจริญธรรม คุณกบ
.......
เมื่อนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนดับไปได้ทุกอารมณ์ คือไม่มียินดียินร้ายเกิดขึ้น ตัณหาเกิดไม่ได้ มโนกรรมไม่เกิด จิตจะได้พักและรวมตัวจนถึงความเป็นสัมมาสมาธิคือฌาน 4 หลังจากนั้น กระบวนการไถ่ถอนอุปาทาน เขาจะทำงานต่อโดยอัตโนมัติ
.....
:b36: :b36:


หลังจากฌาน ๔ ของโยคีไม่ว่าจะเป็น ชลิล3พี่น้อง หรือ อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เขาทำงานเป็นอัตโนมัตมั้ย?...ทำไม?.

:b12:
ฐานที่มาของการได้ฌาณ 4 หรือสัมมาสมาธิเป็นคนละอันกัน
คือของโยคีทั้งหลายเขาทำกรรมฐานหรือกสิณมา

แต่ที่จะได้อัตโนมัตินั้นเป็นการเจริญปัจจุบันอารมณ์และสติปัฏฐาน 4 มาแล้วมาได้สัมมาสมาธิเต็มตัวเป็นผล
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 22:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 12:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?

:b16:
สมาธิธรรมดา เป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับกรรมฐานหรือ งานทั่วๆไป จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4

สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"

"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"

onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?

:b16:
สมาธิธรรมดา เป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับกรรมฐานหรือ งานทั่วๆไป จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4

สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"
"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"



มั่วแระอาจารย์ :b32:

พูดไปทำไมมี ไหนๆก็คิดแล้ว ก็คิดนึกให้มันทะลุทะลวงถึงนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลยจะได้จบๆสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที :b9: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 13:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?


asoka เขียน:

:b16:
สมาธิธรรมดา เป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับกรรมฐานหรือ งานทั่วๆไป จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4


สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับ การรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"


แล้ว..กายคตานุสติ....ในความเห็นของอโศกะ..เป็นกรรมฐานที่ทำให้เป็นสมาธิธรรมดา...หรือ..ว่าเป็นวิปัสสนา..เป็นสัมมาสมาธิได้...??

asoka เขียน:

"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"

onion onion

อโศกะครับ...ไอ้ที่จิตนิ่งอยู่....กับ...กับนิ่งรู้อารมณ์...มันเป็นแค่..วิตก...วิจารณ์...ในสมาธิแค่นั้นเองครับ...หลังจากนี้...หากวิตก..วิจารณ์สิ้นไป....ก็จะเข้าฌาน2 เท่านั้นเอง..คือ..เหลือปิติ..สุข...เอกคัตตารมณ์..ดังนั้น...หากยังรู้อารมณ์จากผัสสะอยู่...ก็ยังไม่ใช่ฌาน4 อย่างที่อโศกะเข้าใจ...นะครับ
..
นี้ยังไม่พูดว่า..เป้นสัมมา..หรือ..มิจฉา...นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 13:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
.....
สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"

"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"



มั่วแระอาจารย์ :b32:
......


ดี....ดี....ครับ...ช่วยๆกัน...คอมเมนท์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 05:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?

:b16:
สมาธิธรรมดา เป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับกรรมฐานหรือ งานทั่วๆไป จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4

สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"
"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"



มั่วแระอาจารย์ :b32:

พูดไปทำไมมี ไหนๆก็คิดแล้ว ก็คิดนึกให้มันทะลุทะลวงถึงนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลยจะได้จบๆสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที :b9: :b32:

:b16: :b16:
กรัชกายซิยิ่งมั่วใหญ่ มั่วด้วยความมัวเมาในความรู้มากจนเหลิงลืมตัว สัมปชัญญะขาด ขวางธรรม

ที่เอามาสรุปให้ฟังนี้เป็นผลจากการปฏิบัติจริงแล้วนำมาสรุปเป็นบัญญัติสั้นๆให้จำง่าย ปฏิบัติง่าย ให้เป็นหลักและข้อสังเกตไว้ ไม่มีในตำราทั่วไป

กรัชกายก็ยังอดขวางไม่ได้ตามนิสัยไม่ดีของตน แถมไม่พอยังเข้าใจว่าคนอื่นคิดเอาเหมือนตน ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่า เข้าใจหรือคิดไปว่าตนบรรลุธรรมไปถึงอรหันแล้วด้วยภาคทฤษฎี ที่รู้มามากหลากหลายเหลือเกินดูความคิดเขาสิ

อ้างคำพูด:
ก็คิดนึกให้มันทะลุทะลวงถึงนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลยจะได้จบๆสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที

:b34: :b34:
เรียนทฤษฎีให้ได้เยอะๆ แล้วคิดเหตุคิดผลเอาจนเข้าถึงนิพพานนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะกรัชกาย

หยุดคิด ถึงรู้จริง รู้จริง ก็ถึงจริง ถึงจริงแล้วค่อยกลับมาคิด จึงจะแตกฉาน อ่านคัมภีร์พิเศษเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อย่างนั้น....ต้องวกไปที่...สมาธิ...ละซิ...
อโศกะครับ....สมาธิธรรมดาๆ...ต่างกับสัมมาสมาธิ....จุดไหน?

:b16:
สมาธิธรรมดา เป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับกรรมฐานหรือ งานทั่วๆไป จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4

สัมมาสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่กับการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเจริญมรรค 8 จนสงบเข้าถึงระดับฌาณ 4 ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังขารุเปกขาญาณ"
"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็น สมถะภาวนา

จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"



มั่วแระอาจารย์ :b32:

พูดไปทำไมมี ไหนๆก็คิดแล้ว ก็คิดนึกให้มันทะลุทะลวงถึงนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลยจะได้จบๆสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที :b9: :b32:

:b16: :b16:
กรัชกายซิยิ่งมั่วใหญ่ มั่วด้วยความมัวเมาในความรู้มากจนเหลิงลืมตัว สัมปชัญญะขาด ขวางธรรม

ที่เอามาสรุปให้ฟังนี้เป็นผลจากการปฏิบัติจริงแล้วนำมาสรุปเป็นบัญญัติสั้นๆให้จำง่าย ปฏิบัติง่าย ให้เป็นหลักและข้อสังเกตไว้ ไม่มีในตำราทั่วไป

กรัชกายก็ยังอดขวางไม่ได้ตามนิสัยไม่ดีของตน แถมไม่พอยังเข้าใจว่าคนอื่นคิดเอาเหมือนตน ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่า เข้าใจหรือคิดไปว่าตนบรรลุธรรมไปถึงอรหันแล้วด้วยภาคทฤษฎี ที่รู้มามากหลากหลายเหลือเกินดูความคิดเขาสิ

อ้างคำพูด:
ก็คิดนึกให้มันทะลุทะลวงถึงนิพพานเป็นพระอรหันต์ไปเลยจะได้จบๆสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสียที

:b34: :b34:
เรียนทฤษฎีให้ได้เยอะๆ แล้วคิดเหตุคิดผลเอาจนเข้าถึงนิพพานนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะกรัชกาย

หยุดคิด ถึงรู้จริง รู้จริง ก็ถึงจริง ถึงจริงแล้วค่อยกลับมาคิด จึงจะแตกฉาน อ่านคัมภีร์พิเศษเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


อ้างคำพูด:
ที่สรุปให้ฟังนี้เป็นผลจากการปฏิบัติจริง แล้วนำมาสรุปเป็นบัญญัติสั้นๆให้จำง่าย ปฏิบัติง่าย ให้เป็นหลักและข้อสังเกตไว้ ไม่มีในตำราทั่วไป


อ๋อๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง :b1:

อ้างคำพูด:
หยุดคิด ถึงรู้จริง รู้จริง ก็ถึงจริง ถึงจริงแล้วค่อยกลับมาคิด จึงจะแตกฉาน อ่านคัมภีร์พิเศษเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


อาจารย์ ไม่คิดแล้วจะรู้อะไรล่ะ ข้ามถนนรถไม่ชนเอาตายหรอ :b32: (หยุดคิด) เดินข้ามไม่มองซ้ายมองขวา ไม่รอสัญญาณไฟ เดินไปเรื่อยๆ (หยุดคิด - ไม่คิดอะไร) รถชนตายนะอาจารย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หายไปกะสายลม....และ.เมฆฝน....

คงไปทำธุระ....อิอิ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร