วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 19:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์ประเสริฐเพราะเป็นสัตว์ทีฝึกได้


หลัก การใหญ่ของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยธรรมกับเท่านี้แหละ แต่ขยายไปสู่หลักปลีกย่อยต่างๆ จนละเอียดยิบ แล้วหลักปลีกย่อยเหล่านั้น ก็โยงถึงกันหมดทุกอย่าง

ข้อสำคัญ พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงแต่หลักเท่านั้น แต่ทรงให้กำลังใจพวกเราด้วยว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้นะ" อันนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด พร้อมกันนั้น มองอีกด้านหนึ่ง พระองค์บอกว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก"


คำว่า "ฝึกได้" นี่ทำให้เกิดกำลังใจ แต่คำว่า "ต้องฝึก" ทำให้สำนึกในหน้าที่ ว่าเราเป็นคน จะต้องฝึกฝน จะอยู่อย่างสัตว์ทั้งหลายอื่นไม่ได้

จะต้องย้ำอีกทีหนึ่ง ถึงคาวามแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์อื่นทั้งหลายว่า มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษที่ว่ามีการฝึกฝนพัฒนาได้เท่านั้นเอง ส่วนสัตว์ชนิดอื่น มันฝึกฝนพัฒนาไม่ได้ ข้อแตกต่างมีอยู่ดังนี้

สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ


มนุษย์เกิดมานี่อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรติดตัวมา มีแต่ศักยภาพรอไว้ ที่จะพัฒนาได้มากมายด้วยการฝึก


ลองพิสูจน์ก็ได้ว่า เราแพ้สัตว์อื่นทั้งหลายในเรื่องสัญชาตญาณ สัตว์อย่างอื่นนั้นเกิดมา พอออกจากท้องพ่อท้องแม่ ก็มีชีวิตอยู่ได้ ช่วยตัวเองได้แทบจะทันที หลายชนิดทีเดียวเดินได้เลย ว่ายน้ำได้ หากินได้


แต่มนุษย์นี้อ่อนแอมาก พอคลอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีใครเลี้ยงดูประคบประหงม ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีคนเลี้ยงดู จนกระทั่งแม้แต่อยู่มาได้ปีหนึ่งแล้ว ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าใครทิ้งก็ตาย ต้องเลี้ยงกันอีกหลายปี อาจเป็นสิบๆปี มนุษย์จึงจะอยู่รอด สามารถดำเนินชีวิตได้


การที่จะดำเนินชีวิตได้ ก็คือ ระหว่างที่เขาเลี้ยง ตัวเองก็เรียน คือ เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาตนไป จนกระทั่งสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง


เป็นอันว่า โดยสัญชาตญาณ มนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอไร้ความสามารถที่สุด แต่มีข้อดีพิเศษก็คือ ฝึกได้ เรียนรู้ได้



มนุษย์มีการเรียนรู้ คือการศึกษานั่น เอง เมื่อมีการเรียนรู้ คือมีการศึกษา ก็ทำให้สามารถทำอะไรต่ออะไรขยายออกไปได้ สามารถรับถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นเก่า เช่นพ่อแม่บอก ครูอาจารย์บอก คนแวดล้อมบอก ได้ความรู้เพิ่มขั้นๆ สามารถเอาความรู้ที่สะสมมาเป็นเวลาพันๆปี มาอยู่ในคนเดียวได้ อันนี้เป็นข้อประเสริฐพิเศษของมนุษย์ ไม่เหมือนสัตว์ทั้งหลายอื่น


สัตว์ทั้งหลายอื่น สะสมถ่ายทอดความรู้มาโดยทางสัญชาตญาณ แต่มนุษย์สะสมถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ได้ด้วย ใครรู้จักเพียรเรียนรู้ ก็ยิ่งรู้ยิ่งพัฒนา ใครไม่เพียรไม่รู้จักเรียนรู้ ก็ไม่ได้ความรู้ และพัฒนาตัวไม่ได้


ความ พิเศษของมนุษย์นั้น อยู่ที่การเรียนรู้อย่างที่ว่าแล้ว การเรียนรู้นี้ ก็คือการศึกษา การศึกษาเป็นของการฝึกฝนพัฒนาคน และองค์ธรรมสำคัญในการศึกษาก็คือปัญญานั่นเอง ปัญญาทำให้รู้ ทำให้คิด - พูด - ทำได้ผล ทำให้ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง แก้ปัญหา และทำการทั้งหลายได้สำเร็จ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนสัตว์ทั้งหลายอื่น อยู่ด้วยสัญชาตญาณ เคยอยู่มาอย่างไร ก็อยู่ไปอย่างนั้นตลอดชีวิต เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น

ส่วน มนุษย์นี้เกิดมาโดยไร้ความสามารถ แต่เมื่อได้เรียนรู้ ก็ฝึกฝนพัฒนาตนไปจนกระทั่งมีความสามารถพิเศษอย่างแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด ในทางกาย เกิดมาอย่างไร ก็ตายไปอย่างนั้น มาแต่ตัวก็ไปแต่ตัว แต่ในทางจิตใจ และปัญญา เกิดมาแล้วกว่าจะตาย ถ้าได้เรียนรู้ฝึกฝนพัฒนา ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลิศประเสริฐอย่างมากมาย


การที่เรามีพระพุทธเจ้าไว้นี้ เป็นประจักษ์พยานของการพัฒนามนุษย์ ให้เห็นว่ามนุษย์นี้สามารถพัฒนาได้สูงสุดจนเป็นพุทธะ


พุทธะ นั้นคือ การที่ธรรมแสดงภาวะที่พัฒนาสูงสุดของมนุษย์ว่า มนุษย์นั้นพัฒนาสูงสุดได้ถึงขนาดนี้ ความเป็นพุทธะจึงเป็นตัวแบบสำหรับมนุษย์ทั้งหมด เรากล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ก็เพราะสามารถพัฒนาได้จนเป็นพุทธะ


ขอ ย้ำว่า พระพุทธศาสนา ไม่ได้ถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐเฉยๆ มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วหาประเสริฐไม่ เราไปพูดกันว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ พูดด้วนๆ ขาดห้วนไป ต้องพูดให้เต็มว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก เมื่อฝึกแล้วประเสริฐสุด


ทั้งนี้ ตามบาลีว่า ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ (ขุ.ธ.25/33) แปลว่า ในหมู่มนุษย์นั้น ผู้ที่ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด ประเสริฐสุดจนกระทั่งแม้แต่เทวดา และพรหมก็น้อมนมัสการ


เพราะฉะนั้น จึงมีพุทธพจน์มากมาย ที่ให้กำลังแก่มนุษย์ ว่าอย่ามัวไหว้วอนรอความช่วยเหลือจากเทวดา ขอให้มนุษย์เราฝึกฝนพัฒนาตนไป แล้วเทวาพรหมทั้งหลายจะน้อมนมัสการเราเอง


เรา ไม่ได้ไปเรียกร้อง เราไม่ได้ไปดูถูกท่าน แต่เพราะคุณความดีจากการได้บำเพ็ญการฝึกฝนพัฒนาตนนั่นแหละ เทพพรหมทั้งหลาย ก็ยอมรับนับถือ หันมาน้อมมนัสการ

นี่เป็นการ เตือนมนุษย์ไม่ให้มัวสยบอยู่ มนุษย์ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น มัวแต่มองไปข้างนอกตัว ไม่มองดูตัวเองว่า เราจะต้องทำอะไร มองแต่ว่าเราจะไปขอให้เทพเจ้าองค์ไหนช่วย มองไปหาพระพรหม มองไปหาเทวดาว่า ท่านจะช่วยอะไรเราได้บ้าง แล้วก็ไปอ้อนวอน คิดแต่อย่างนั้น ไม่เอาใจใส่ที่จะฝึกฝนพัฒนาตน นี่แหละมนุษย์ชอบเป็นอย่างนี้

ที่จริง ทำอย่างนั้นมันก็ง่ายดี มนุษย์ทั่วไปก็มีความโน้มเอียงที่จะทำอย่างนั้น ขอคนอื่นง่ายกว่า ทำเองมันยาก เลยไม่คิดฝึกตนสักที คิดแต่จะขอจากเทพเจ้า ขอให้พระพรหมช่วยดลบันดาล และหาทางเอาอกเอาใจเทพเจ้า จนเกิดเป็นพิธีบูชายัญต่างๆใหญ่โต

พระ พุทธเจ้ามาแก้ปัญหานี้ ก็เรียกว่าปฏิวัติสังคม โดยดึงให้คนหันมาดูตัวเองว่า เราจะต้องทำอะไรบ้าง จากการที่ดูว่าตัวจะต้องทำอะไรบ้าง ก็เลยต้องชี้ไปที่ธรรม คือ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนี่แหละ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

พระพุทธเจ้ามาสอนให้เราสนใจเรื่องความสามารถพิเศษที่มีอยู่ในตัวเอง ความพิเศษของมนุษย์นั้น คือการเป็นสัตว์ที่ฝึกได้

คนที่ฝึกได้ ภาษาบาลีเรียกว่า "ทัมมะ" พูดสั้นๆว่า ทัมม์

สัตว์ทั้งหลายอื่นโดยทั่วไปฝึกไม่ได้ สัตว์บางชนิดฝึกได้บ้างในขอบเขตจำกัด แต่ฝึกตัวเองไม่ได้ ต้องให้คนฝึก

อันนี้เป็นข้อพิเศษ แม้สัตว์ที่ฝึกได้บ้าง ก็ยังต้องอาศัยคนฝึก ช้างฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้ ม้าฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้ ลิงฝึกตัวเองได้ไหม ไม่ได้ ต้องให้คนฝึกทั้งนั้น ท่านจึงว่า

วรมสฺสตรา ทนฺตา อาชานียา จ สินฺธวา (ขุ.ธ.25/33)

เป็นต้น แปลว่า อัสดร สินธพ ม้าอาชาไนย ช้างพลวง ช้างพลาย เมื่อได้รับการฝึกแล้วก็ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่เก่ง แต่มนุษย์ทีฝึกแล้วประเสริฐกว่านั้น คือ สัตว์ทั้งหลายนี่ฝึกไปถึงระดับหนึ่ง มันไปไม่ไหวแล้ว มันได้แค่นั้น แต่มนุษย์ฝึกตัวเองได้ และฝึกได้ไม่มีที่สิ้นสุด จนเป็นพุทธะได้ ประเสริฐเลิศที่สุด


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้น มนุษย์จะต้องหันมาดูความพิเศษของตัวเองตรงนี้ แทนที่จะไปติดอยู่กับคำว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ" แล้วหลงภูมิใจตัวเองด้วยความหลง แล้วก็ติดตันอยู่แค่นั้น ไม่พัฒนา อย่าเอาเลย หันมาสนใจที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่า ว่าความวิเศษและประเสริฐของมนุษย์นั้น อยู่ที่ความเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ อันนี้มีประโยชน์กว่า


ถ้าเรามาถือตามพุทธพจน์ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และต้องฝึกนี่ เราจะเห็นทางปฏิบัติเดินหน้าไป ทั้งที่มีพุทธพจน์ตรัสไว้ เรากลับไม่เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้านี่ บางทีเราก็เพลินมองข้ามไปเหมือนเดิม ถ้าเราจะเอาคำที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ" ก็ต้องต่อด้วยว่าเป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก จึงจะครบถ้วนใจความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้


รวมความว่า พระพุทธเจ้าได้ซื้อธรรมให้ ได้แก่ ความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นการดึงความสนใจจากเรื่องเทพมาสู่ธรรม ดึงความสนใจจากการรอคอยอำนาจดลบันดาลของเทพเจ้า มาสู่การทำความเพียรพยายามด้วยกรรมที่ของคนเอง


เมื่อดึงมาแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่ทรงชี้มาที่ในตัวมนุษย์อีกว่า อย่าท้อใจนะ ให้มีกำลังใจ เราเป็นสัตว์พิเศษที่ฝึกตนเองได้พัฒนาได้ พอมาถึงตอนนี้มนุษย์ก็มีกำลังใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ



เรื่องสัญชาตญาณของสัตว์กับมนุษย์ จะเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือ
สัญชาตญาณของความเป็นแม่ พอดีที่บ้านตอนนี้มีสุนัขตัวเมียคลอดลูกอยู่
ก็เลยทำใหเเราได้รู้ว่า สัญชาตญาณของความเป็นแม่นี่
ไม่ใช่มีอยู่แค่ในจิตของมนุษย์เท่านั้น ในสัตว์ก็มีเหมือนมนุษย์เราทุกอย่างเลย


อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ


มนุษย์เกิดมานี่อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรติดตัวมา มีแต่ศักยภาพรอไว้ ที่จะพัฒนาได้มากมายด้วยการฝึก


ลองพิสูจน์ก็ได้ว่า เราแพ้สัตว์อื่นทั้งหลายในเรื่องสัญชาตญาณ สัตว์อย่างอื่นนั้นเกิดมา พอออกจากท้องพ่อท้องแม่ ก็มีชีวิตอยู่ได้ ช่วยตัวเองได้แทบจะทันที หลายชนิดทีเดียวเดินได้เลย ว่ายน้ำได้ หากินได้


แต่มนุษย์นี้อ่อนแอมาก พอคลอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีใครเลี้ยงดูประคบประหงม ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีคนเลี้ยงดู จนกระทั่งแม้แต่อยู่มาได้ปีหนึ่งแล้ว ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าใครทิ้งก็ตาย ต้องเลี้ยงกันอีกหลายปี อาจเป็นสิบๆปี มนุษย์จึงจะอยู่รอด สามารถดำเนินชีวิตได้


การที่จะดำเนินชีวิตได้ ก็คือ ระหว่างที่เขาเลี้ยง ตัวเองก็เรียน คือ เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาตนไป จนกระทั่งสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง



เท่าที่เราสังเกตุดูในโลกนี้ สัตว์หรือมนุษย์จะได้ข้อดีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง
สัตว์ก็ได้ของเค้าอย่างหนึ่ง มนุษย์ก็ได้อย่างหนึ่ง
มนุษย์เราเกิดมามีข้อดีมากๆคือ ได้สร้างบุญบารมี
ซึ่งสัตว์แทบไม่มีโอกาส
แต่ทำไมมนุษย์เรายุคนี้น่ากลัวจริง :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 14:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่กรัชกายพูดมานี้....ก็พอเข้าใจได้..นะ
แต่....มันก็มีความอยากรู้....เหตุผลกลไกว่าไฉนหนอ....มนุษย์จึงโชคดีกว่าสัตว์อื่นๆ(ทั้งเทวดา..ทั้งพรหม)...ในแง่การเข้าสู่ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้...นะ?

การพัฒนาความรู้....ในที่นี้..ให้หมายถึง...ธรรมเพื่อความหลุดพ้นนะครับ....หากหมายรวมถึงความรู้ทั้งหมด.....ก็ไม่แน่นักว่า..สัตว์จะทำไม่ได้..(คนมักเข้าข้างตัวเอง..โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์)

สัตว์สามารถพัฒนาความรู้.ความคิดได้...ไม่งั้นเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนภพภูมิไปสู่ความเป็นมนุษย์หรือเทวดาได้เลย.นะเอ้า
แต่ขันธ์ในภพภาวะของสัตว์คงจะมีข้อจำกัดอะไรบ้างอย่างที่สามารถเข้าถึงได้แค่ไตรสรณคม....ไม่อาจเข้าสู่ความเป็นอริยะขั้นใดขั้นหนึ่งได้...

เห็นด้วยครับว่า..เป้นคนแล้วต้องฝึก....เป็นหน้าที่ในฐานะที่ได้สถานะของคน...ก็เหมือนว่า...เวลา 8:00 - 17:00 เป็นเวลาที่ต้องทำงาน...

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว....ก่อนจะได้มาเป็นคนนี้..เราทุกๆคน...มีความตั้งใจว่าจะมาทำอะไร...อยู่แล้วแหละแต่ส่วนใหญ่จะลืม..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ



เรื่องสัญชาตญาณของสัตว์กับมนุษย์ จะเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือ
สัญชาตญาณของความเป็นแม่ พอดีที่บ้านตอนนี้มีสุนัขตัวเมียคลอดลูกอยู่
ก็เลยทำใหเเราได้รู้ว่า สัญชาตญาณของความเป็นแม่นี่
ไม่ใช่มีอยู่แค่ในจิตของมนุษย์เท่านั้น ในสัตว์ก็มีเหมือนมนุษย์เราทุกอย่างเลย


อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ


มนุษย์เกิดมานี่อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรติดตัวมา มีแต่ศักยภาพรอไว้ ที่จะพัฒนาได้มากมายด้วยการฝึก


ลองพิสูจน์ก็ได้ว่า เราแพ้สัตว์อื่นทั้งหลายในเรื่องสัญชาตญาณ สัตว์อย่างอื่นนั้นเกิดมา พอออกจากท้องพ่อท้องแม่ ก็มีชีวิตอยู่ได้ ช่วยตัวเองได้แทบจะทันที หลายชนิดทีเดียวเดินได้เลย ว่ายน้ำได้ หากินได้


แต่มนุษย์นี้อ่อนแอมาก พอคลอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีใครเลี้ยงดูประคบประหงม ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีคนเลี้ยงดู จนกระทั่งแม้แต่อยู่มาได้ปีหนึ่งแล้ว ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าใครทิ้งก็ตาย ต้องเลี้ยงกันอีกหลายปี อาจเป็นสิบๆปี มนุษย์จึงจะอยู่รอด สามารถดำเนินชีวิตได้


การที่จะดำเนินชีวิตได้ ก็คือ ระหว่างที่เขาเลี้ยง ตัวเองก็เรียน คือ เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาตนไป จนกระทั่งสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง



เท่าที่เราสังเกตุดูในโลกนี้ สัตว์หรือมนุษย์จะได้ข้อดีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง
สัตว์ก็ได้ของเค้าอย่างหนึ่ง มนุษย์ก็ได้อย่างหนึ่ง
มนุษย์เราเกิดมามีข้อดีมากๆคือ ได้สร้างบุญบารมี
ซึ่งสัตว์แทบไม่มีโอกาส
แต่ทำไมมนุษย์เรายุคนี้น่ากลัวจริง


มนุษย์เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นเทวทัตก็ได้ มนุุษย์สร้างโลกได้ และทำลายโลกก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลจากการที่เราทำอานาปานสติ ทำให้เรารู้ได้อย่างหนึ่งคือ
จิตของมนุษย์นี่ จริงๆแล้วจิตของมนุษย์นี่เป็นจิตที่ใสบริสุทธิ์นะ
แต่ฝึกไปฝึกมา ยิ่งฝึกเหมือนยิ่งเอาสีมาละเลง

ทำให้เรานึกถึงพระที่ท่านปลีกวิเวกในป่า ไม่รับรู้เรื่องทางโลก
ท่านเข้าสู่ความสงบทางธรรม
เราคิดว่า จิตของท่านก็ต้องกลับเข้าสู่สภาวะเดิม คือจิตที่บริสุทธิ์นะ :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ผลจากการที่เราทำอานาปานสติ ทำให้เรารู้ได้อย่างหนึ่งคือ
จิตของมนุษย์นี่ จริงๆแล้วจิตของมนุษย์นี่เป็นจิตที่ใสบริสุทธิ์นะ
แต่ฝึกไปฝึกมา ยิ่งฝึกเหมือนยิ่งเอาสีมาละเลง

ทำให้เรานึกถึงพระที่ท่านปลีกวิเวกในป่า ไม่รับรู้เรื่องทางโลก
ท่านเข้าสู่ความสงบทางธรรม
เราคิดว่า จิตของท่านก็ต้องกลับเข้าสู่สภาวะเดิม คือจิตที่บริสุทธิ์นะ :b41: :b55: :b49:

ไม่รู้จักว่าละเลง
แล้วจะรู้ว่าใสบริสุทธิ์ ได้ยังไง ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
bbby เขียน:
ผลจากการที่เราทำอานาปานสติ ทำให้เรารู้ได้อย่างหนึ่งคือ
จิตของมนุษย์นี่ จริงๆแล้วจิตของมนุษย์นี่เป็นจิตที่ใสบริสุทธิ์นะ
แต่ฝึกไปฝึกมา ยิ่งฝึกเหมือนยิ่งเอาสีมาละเลง

ทำให้เรานึกถึงพระที่ท่านปลีกวิเวกในป่า ไม่รับรู้เรื่องทางโลก
ท่านเข้าสู่ความสงบทางธรรม
เราคิดว่า จิตของท่านก็ต้องกลับเข้าสู่สภาวะเดิม คือจิตที่บริสุทธิ์นะ :b41: :b55: :b49:

ไม่รู้จักว่าละเลง
แล้วจะรู้ว่าใสบริสุทธิ์ ได้ยังไง ^ ^



บอกเขาไปซี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
bbby เขียน:
ผลจากการที่เราทำอานาปานสติ ทำให้เรารู้ได้อย่างหนึ่งคือ
จิตของมนุษย์นี่ จริงๆแล้วจิตของมนุษย์นี่เป็นจิตที่ใสบริสุทธิ์นะ
แต่ฝึกไปฝึกมา ยิ่งฝึกเหมือนยิ่งเอาสีมาละเลง

ทำให้เรานึกถึงพระที่ท่านปลีกวิเวกในป่า ไม่รับรู้เรื่องทางโลก
ท่านเข้าสู่ความสงบทางธรรม
เราคิดว่า จิตของท่านก็ต้องกลับเข้าสู่สภาวะเดิม คือจิตที่บริสุทธิ์นะ :b41: :b55: :b49:

ไม่รู้จักว่าละเลง
แล้วจะรู้ว่าใสบริสุทธิ์ ได้ยังไง ^ ^



บอกเขาไปซี่ :b1:

เป็นเรื่องของ bbby ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ



เรื่องสัญชาตญาณของสัตว์กับมนุษย์ จะเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือ
สัญชาตญาณของความเป็นแม่ พอดีที่บ้านตอนนี้มีสุนัขตัวเมียคลอดลูกอยู่
ก็เลยทำใหเเราได้รู้ว่า สัญชาตญาณของความเป็นแม่นี่
ไม่ใช่มีอยู่แค่ในจิตของมนุษย์เท่านั้น ในสัตว์ก็มีเหมือนมนุษย์เราทุกอย่างเลย


อ้างคำพูด:
สัตว์ทั้งหลายอื่น ที่เราเรียกว่าเดรัจฉานนั้น มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก ในแง่สัญชาตญาณแล้ว สัตว์เหล่านั้นเก่งกว่าเรา เราอย่าไปเทียบเลยในเรื่องสัญชาตญาณ


มนุษย์เกิดมานี่อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย ไม่ค่อยมีความสามารถอะไรติดตัวมา มีแต่ศักยภาพรอไว้ ที่จะพัฒนาได้มากมายด้วยการฝึก


ลองพิสูจน์ก็ได้ว่า เราแพ้สัตว์อื่นทั้งหลายในเรื่องสัญชาตญาณ สัตว์อย่างอื่นนั้นเกิดมา พอออกจากท้องพ่อท้องแม่ ก็มีชีวิตอยู่ได้ ช่วยตัวเองได้แทบจะทันที หลายชนิดทีเดียวเดินได้เลย ว่ายน้ำได้ หากินได้


แต่มนุษย์นี้อ่อนแอมาก พอคลอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีใครเลี้ยงดูประคบประหงม ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีคนเลี้ยงดู จนกระทั่งแม้แต่อยู่มาได้ปีหนึ่งแล้ว ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าใครทิ้งก็ตาย ต้องเลี้ยงกันอีกหลายปี อาจเป็นสิบๆปี มนุษย์จึงจะอยู่รอด สามารถดำเนินชีวิตได้


การที่จะดำเนินชีวิตได้ ก็คือ ระหว่างที่เขาเลี้ยง ตัวเองก็เรียน คือ เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาตนไป จนกระทั่งสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง



เท่าที่เราสังเกตุดูในโลกนี้ สัตว์หรือมนุษย์จะได้ข้อดีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง
สัตว์ก็ได้ของเค้าอย่างหนึ่ง มนุษย์ก็ได้อย่างหนึ่ง
มนุษย์เราเกิดมามีข้อดีมากๆคือ ได้สร้างบุญบารมี
ซึ่งสัตว์แทบไม่มีโอกาส
แต่ทำไมมนุษย์เรายุคนี้น่ากลัวจริง



คุณเต้ดูหลัก ๓ ประการนี้ คงเห็นว่า มนุษย์เราอยู่ระดับไหน 1 2 3


เราแบ่งขั้นการพัฒนาของสังคมมนุษย์ได้ ตามระดับการพัฒนาชีวิตของคนเป็น ๓ ขั้น คือ


๑. ระดับปุถุชนดิบ ที่มนุษย์ทำการตามความชอบใจ หรือไม่ชอบใจของตน ใช้กำลังกายกำลังแขน (กายพละ, พาหุพละ) เป็นอำนาจ ทำร้าย ทำลาย แย่งชิง ข่มขี่ ข่มเหง ครอบงำกัน

ในระดับนี้ มนุษย์ไม่มีความเสมอภาค แต่มีสภาพข่มขี่ครอบงำกัน


๒. ระดับนิติธรรม ที่มนุษย์มีปัญญาและใช้ปัญญาบนฐานของคุณธรรมอันเกิดจากการที่ได้พัฒนาจิตใจขึ้นมาบ้างแล้ว บัญญัติจัดตั้งวางกฎเกณฑ์กติกาเป็นระเบียบระบบแบบแผน โดยตกลงที่จะอยู่ร่วมกันตามบัญญัตินั้น ไม่ถืออำนาจด้วยกายพละ หรือพาหุพละที่เคยใช้ทำการตามความชอบใจหรือไม่ชอบใจของตน เป็นอันอยู่กันด้วยนิติธรรม หรือเอานิติธรรมเป็นอำนาจ นับถือกฎหมายเป็นผู้ปกครอง หรือให้รัฐอยู่ใต้กฎหมาย เป็นนิติรัฐ หรืออะไรทำนองนั้น สุดแต่สมมติ คือ ตกลงกันแล้วก็บัญญัติไป

ในระดับนี้ มนุษย์ได้รับความเสมอภาคตามบัญญัติโดยนิติธรรม แต่ยังค่อนไปในทางที่จะเป็นความเสมอ แบบเพ่งจ้องแย่งชิงความเท่ากัน


๓. ระดับอริยธรรม ที่ว่าเมื่อมนุษย์ผู้มีปัญญาบัญญัติจัดตั้งวางระบบให้สังคมอยู่กันด้วยนิติธรรม มีนิติธรรมเป็นอำนาจขึ้นมาได้ เหล่ามนุษย์ก็พัฒนาตนขึ้นมา ให้ตัวเองมีชีวิตจิตปัญญาที่สอดสมกลมกลืนเข้ากับนิติธรรมที่บัญญัติจัดตั้งนั้นได้ โดยสามารถและพร้อมที่จะเป็นอยู่ทำการตามบัญญัติทั้งหลายเหมือนมีนิติธรรมอยู่ในตัวเอง ให้บัญญัติเป็นเพียงข้อที่ตกลงหมายรู้ร่วมกันว่าจะอยู่จะทำอะไรกันอย่างไร สมตามความหมายที่แท้จริงของมัน มิใช่เป็นเครื่องกำหนดกดบังคับจำใจฝืนทำ

ในระดับนี้ มนุษย์มีความเสมอภาคโดยธรรม เต็มความหมายของจิตปัญญาที่ได้พัฒนาแล้ว เป็นความเสมอแบบสมาน หรือเสมอแท้จริง


แน่นอนว่า เราย่อมหวังให้สังคมมนุษย์พัฒนาขึ้นมาถึงระดับที่ ๓ อันนับได้ว่า เป็นสังคมที่ดีอย่างมั่นใจ เป็นที่ซึ่งมวลมนุษย์มีความเสมอและอยู่กันอย่างสมาน ที่เรียกว่าเป็นเสมอแบบสมาน หรือเสมอ - สมาน รวมและร่วมกันได้จริงในความสามัคคี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์โลกรักตนเองนะอยากดีมีความสุข ไม่อยากทุกข์ อยากพ้นทุกข์ แต่ทำไมจึงพัฒนาไปให้ถึงจุดสุดท้ายไม่ได้สักที :b7: :b2:


อยากพัฒนาตัวเองค่ะ ควรเริ่มยังไงดีคะ

อยากจะดูแลตัวเองให้ดูดีทั้งภายนอกและภายในค่ะ แต่ก็ขี้เกียจที่จะเริ่มต้นค่ะ. เมื่อก่อนเป็นคนขยันกว่านี้มาก ตื่นเช้า ใส่บาตร ทำบุญ ทำงานบ้าน สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน แล้วก็ทานมังสวิรัติด้วยค่ะ ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย แต่ช่วงหลังมานี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเหมือนเดิม ก็เริ่มไม่ทานมังสวิรัติ เพราะคิดว่ามันยุ่งยาก หาซื้อได้ยาก เรื่องงานบ้านก็ทำค่ะอาทิตย์ละครั้งยังไม่อยากทำเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าล้าจาก การทำงานอยู่แล้ว เรื่องออกกำลังกายก็ไม่เคยทำเลย เลิกสวดมนต์ ไหว้พระก่อนนอน (เปลี่ยนมาเล่นpantipแทน55) คือเราอยากจะกลับมาทำให้ได้เหมือนเดิม เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากหากทำ ได้ เลยอยากขอคำแนะนำว่าเราพอจะเริ่มต้นอย่างไรดีคะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะเป็นสัตว์ฝึกได้

จั่วหัวไว้ก็ดี
แต่พออธิบาย เละ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้น เขียน

อ้างคำพูด:
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะเป็นสัตว์ฝึกได้

จั่วหัวไว้ก็ดี
แต่พออธิบาย เละ


:b32: :b32: :b32:

คุณเช่นนั้นก็มีอารมณ์ตลกดีเหมือนกันนะ :b32:

ถ้าเราจะคุยถึงเรื่องมนุษย์หรือคนเนี่ยะ เรามองว่าหาจุดจบไม่เจอ
ยังไงๆ เราก็มองว่ามนุษย์ยิ่งฝึกมากเรียนรู้มากยิ่งเละ
คือมันเป็นเส้นที่เดินเข้าหาความหลง พอเจอความหลงแล้วกู่ไม่กลับ
เหมือนที่เค้าพูดว่า"มนุษย์เราแกล้งโง่บ้างก็ดีเหมือนกัน" :b12: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณเช่นนั้น เขียน

อ้างคำพูด:
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะเป็นสัตว์ฝึกได้

จั่วหัวไว้ก็ดี
แต่พออธิบาย เละ


:b32: :b32: :b32:

คุณเช่นนั้นก็มีอารมณ์ตลกดีเหมือนกันนะ :b32:

ถ้าเราจะคุยถึงเรื่องมนุษย์หรือคนเนี่ยะ เรามองว่าหาจุดจบไม่เจอ
ยังไงๆ เราก็มองว่ามนุษย์ยิ่งฝึกมากเรียนรู้มากยิ่งเละ
คือมันเป็นเส้นที่เดินเข้าหาความหลง พอเจอความหลงแล้วกู่ไม่กลับ
เหมือนที่เค้าพูดว่า"มนุษย์เราแกล้งโง่บ้างก็ดีเหมือนกัน" :b12: :b41: :b55: :b49:

ู^ ^
หยอกกรัชกาย หรอกครับ
ต้องทำความเข้าใจใหม่ครับ

เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่ฝึกได้

ถ้ากรัชกายจะแสดงให้ดี ก็ต้องแสดงว่า ทำไมมนุษย์จึงนับเป็นสัตว์ประเสริฐ อันเป็นเหตุให้มนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน หนอน นก แมลง ฯลฯ

การที่เป็นสัตว์ฝึกได้ จึงไม่ได้บ่งบอกความประเสริฐของมนุษย์

การฝึกมนุษย์ จึงอาศัยคุณลักษณะบางประการในความประเสริฐนั้น เท่านั้น
และคุณสมบัตินั้นจึงนำมาพัฒนามนุษย์ ให้พ้นความเป็นมนุษย์ได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร