วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 02:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2014, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5351


 ข้อมูลส่วนตัว


สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ได้แก่การปฏิบัติธรรมด้วยการบริกรรม เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดย
ใช้สมาธิเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการใช้ปัญญาและ มุ่งให้จิตสงบ ระงับจากนิวรณ์ซึ่งเป็นตัวขัดขวางจิตไม่ให้บรรลุความดีเป็นสำคัญ
สมถกรรมฐานเป็นอุบายวิธีที่หยุดความฟุ้งซ่านแห่งจิตซึ่งมักจะฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ กล่าวคือ หยุดความคิดของจิตไว้

วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา, กรรมฐานทำให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง หมายถึงการปฏิบัติธรรมที่ใช้สติ
เป็นหลัก
วิปัสสนากรรมฐานบำเพ็ญได้ โดยการพิจารณาสภาวธรรมหรือนามรูป คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะอินทรีย์ให้เห็นตามความเป็นจริง
คือ เห็นด้วยปัญญาว่าสภาวธรรมเหล่านี้ ตกอยู่ในสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการ
รวมตัวของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่มุ่งอบรมปัญญาเป็นหลักคู่กับ สมถกรรมฐาน ซึ่งมุ่งบริหารจิตเป็นหลัก ในคัมภีร์ทางพระศาสนา
ทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั่ว ๆ ไปมักจัดเอาวิปัสสนาเป็นแค่ สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา เพราะในวิภังคปกรณ์พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้อย่างนั้น ทั้งนี้ก็ยังพอจะอนุโลมเอาวิปัสสนาว่าเป็นภาวนามยปัญญา[ต้องการอ้างอิง] ได้อีกด้วย เพราะในฎีกาหลายที่ท่านก็
อนุญาตไว้ให้ ซึ่งท่านคงอนุโลมเอาตามนัยยะพระสูตรอีกทีหนึ่ง และในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคท่านก็อนุโลมให้เพราะจัดเข้าได้ใน
ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุข้อ 10.
รายละเอียดวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเจริญปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ การปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 ดังบรรยาย
ไว้โดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตร ในพระไตรปิฎกระหว่างปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อผู้ปฏิบัติกำลังมนสิการขันธ์ 5 อย่างหนึ่ง
อย่างใดอยู่โดยไตรลักษณ์ ผู้ปฏิบัติอาจเกิดวิปัสสนูปกิเลส (คือ อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา 10 อย่าง) ชวนผู้ปฏิบัติให้เข้าใจผิด คิดว่าตนได้
มรรคผลแล้ว คลาดออกนอกวิปัสสนาวิถีได้โดยใช้สมาธิยึดดึงอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน40กองมาบริกรรมจนกระทั่งจิต
แนบแน่นในอารมณ์นั้นและสงบระงับไม่ฟุ้งซ่านต่อไป


ภิกษุ ท. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก เหล่านี้ มีอยู่หาได้อยู่ ในโลก.
เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ?

คนตกน้ำ...
พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบบุคคลในโลกนี้....เหมือนคนตกน้ำ
ไว้ 7 ประเภท...นับว่าน่าสนใจ และอาจใช้เปรียบเทียบกับตัว
เราได้ แต่สำนวนค่อนข้างจะฟังยาก.....จึงขอสรุปเป็นภาษา
ชาวบ้านดังนี้....

บุคคลประเภทที่ 1
'ตกน้ำแล้วคราวเดียว ก็จมลงไปเลย'....
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว ชีวิตทั้งชีวิตนี้ มีแต่การประกอบ
อกุศลธรรมโดยส่วนเดียว....

บุคคลประเภทที่ 2
'ตกน้ำแล้ว ก็โผล่ขึ้นมา แต่กลับจมลงไปอีก'....
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆในกุศลธรรมทั้งปวง แต่ธรรมเหล่า
นั้น มีศรัทธาเป็นต้น ไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น ได้แต่เสื่อมไป...

บุคคลประเภทที่ 3
'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมา แล้วทรงตัวอยู่ได้'...
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือศรัทธา หิริ โอตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง แต่ธรรมเหล่า
นั้น มีศรัทธาเป็นต้น เป็นธรรมที่ไม่เสื่อม แต่ก็ไม่เจริญขึ้น...
ทรงตัวอยู่เหมือนเดิม.....

บุคคลประเภทที่ 4
'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ แล้วเหลียวไปมา'...
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละสังโยชน์
3 ได้ เป็นพระโสดาบันบุคคล มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้
เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า...

บุคคลประเภทที่ 5
'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ กำลังเตรียมตัวจะข้ามน้ำ'...
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละสังโยชน์
3 ได้ และทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้บางเบาลง เป็นพระสกทาคามี
มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้...

บุคคลประเภทที่ 6
'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำขึ้นมาก็ได้ที่พึ่ง'...
ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง เพราะละโอรัมภา-
คิยสังโยชน์ 5 ได้สิ้นไป เป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา....

บุคคลประเภทที่ 7
'ตกน้ำแล้ว โผล่พ้นน้ำได้แล้ว กลายเป็นพราหมณ์ ข้ามพ้นฝั่ง
และยืนอยู่บนบก'....

ได้แก่ บุคคลที่เกิดมาแล้ว มีธรรม...คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
วิริยะ และปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งปวง กระทำ

ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้ง
หลายสิ้นไปด้วย..'ปัญญา' อันยิ่งเองในปัจจุบัน เป็น...'พระอรหันต์'...
คนตกน้ำ 7 จำพวก ( อุทกูปมสูตร )






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2014, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
คัดกรองมาดี ๆ
แจ่มแจ้งดียิ่งนัก
อนุโมทนาสาธุ
:b27:
จากประสบการณ์จริง ถ้าสมถะกับวิปัสสนาเจริญมาควบคู่กันอย่างได้สัดได้ส่วน จะมั่นคงหนักแน่นในผลที่พึงได้รับโดยสมบูรณ์
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2014, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
คัดกรองมาดี ๆ
แจ่มแจ้งดียิ่งนัก
อนุโมทนาสาธุ

จากประสบการณ์จริง ถ้าสมถะกับวิปัสสนาเจริญมาควบคู่กันอย่างได้สัดได้ส่วน จะมั่นคงหนักแน่นในผลที่พึงได้รับโดยสมบูรณ์


นี่ล่ะอโศกเป็นสมถะหรือวิปัสสนา หรือเป็นอะไรขอรับ :b14:


อ้างคำพูด:
ผมฝึกพระกรรมฐานแนวอานาปานสติ โดยบริกรรม พุท โธ และตั้งสติกำหนดไว้ที่กลางหน้าอก (ก่อนหน้านี้เคยลองฝึก ยุบหนอ พองหนอ และมโนมยิทธิ แต่รู้สึกว่าไม่ถูกจริตครับ)

โดยส่วนตัวก็คิดว่าจิตของตัวเองยังไม่รวมลงเป็นสมาธิขนาดที่หูดับ ไม่รับรู้อารมณ์ใด ๆ จริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำได้ขั้นไหน เพราะไม่อยากไปคิด อยากทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ถึงเมื่อไหร่คงรู้เอง ตอนนี้จิตยังมีอาการวอกแวก ออกไปโน่นนี่บ้าง แต่ก็จะดึงจิตกลับมาให้มีสติอยู่ภายในกายเท่านั้น ผมก็ปฏิบัติเรื่อยมา มีความรู้สึกสงบบ้าง ลมหายใจแผ่วเบาบ้าง แต่ยังมีลมอยู่ มีความเย็นซาบซ่านขึ้นมาบ้าง บางทีก็ตัวชาไปทั้งตัวบ้าง ตัวแข็งเหมือนหินบ้าง แต่ก็ยังมีสติรู้อาการเหล่านี้อยู่ เวลาออกจากสมาธิบางทีมีอาการลืมตาไม่ค่อยขึ้น ต้องใช้มือมาลูบ หรือนวดเปลือกตาบ้าง เมื่อก่อนตอนออกสมาธิบางทีเหน็บชาที่ขา ขาแข็ง ลุกไม่ได้ ต้องนั่งสักพัก ตอนนี้แทบไม่มีอาการเหล่านี้แล้ว กลับรู้สึกเบาสบาย แทบจะไม่มีอาการปวดขาใดๆ สามารถลุกเดินได้สบาย นั่งสมาธิได้นานขึ้น ปัจจุบันนี้ผมจะนั่งสมาธิอยู่ในช่วง 1, 1.5, 2 ชม. ครับ

พอดีว่าเมื่อคืนนี้ ผมนั่งสมาธิประมาณ 2 ชม. ก็ออกจากสมาธิตามปกติ และก็ไปนอน ในขณะที่กำลังนอนก็ยังกำหนดภาวนา พุท โธ และวางสติกำหนดไว้ที่กลางหน้าอก ประมาณ 5-10 นาที เห็นจะได้ อยู่ ๆ ก็มีเสียงลึกลับ เป็นเสียงผู้ชาย มาแนะนำผมในการวางสติ โดยที่ผมยังมีสติรู้อยู่ทุกอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนี้ด้วย โดยเสียงลึกลับนั้นกล่าวว่า "หากวางสติไว้ที่กลางหน้าอกแล้วยังไม่สงบ ก็ลองเปลี่ยนฐานในการวางสติดูบ้างซิ" ผมก็ฟังและรับรู้ ในตอนแรกลองย้ายฐานไปตรงบริเวณท้องไปดูพองยุบ แต่ก็เปลี่ยนใจกลับมาไว้ที่กลางอกเหมือนเดิม กลัวว่าจิตจะสับสน เหมือนว่าเราไม่ยึดแนวปฏิบัติหลักของเรา เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้จิตสงบช้าลง ก็เลยวางสติไว้ที่เดิมที่กลางหน้าอก และกำหนดไปเรื่อย ๆ

อยากจะถามว่า เวลาปฏิบัติหากมีเสียงลึกลับมาแนะนำให้เราปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ เราควรทำตามไหม หรือว่าอย่างไร รบกวนขอคำแนะนำจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้เจริญในธรรม ช่วยให้คำชี้แนะด้วยครับ ทุกท่านอาจจะแนะนำอุบายในการทำสมาธิอื่น ๆ ด้วยก็ยินดีมากครับ



แจ่มแจ้งมั้ยขอรับ :b10: แล้วไงต่อครับอโศก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2014, 05:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกไม่หายใจไปแล้วหรืออย่างไร เงียบไปเลย :b10: รอคำตอบอยู่นะครับ นั่นสมถะหรือวิปัสสนา หรือว่าทั้งสองเข้าคู่เคียงกัน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2014, 11:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเรียนหลักการปฏิบัติ และจำหลักปฏิบัติของพระกรรมฐาน ได้แม่นแล้ว
ก็ไม่ต้องมานั่งถามกันอยู่นั่นแหละ ว่า สมถะ หรือ วิปัสสนา

จำหลักให้แม่นๆ ว่าอารมณ์สมถะเป็นอย่างไร อารมณ์วิปัสสนาเป็นอย่างไร
ท่านผู้รู้และเป็นที่พึ่งของกัลญาณมิตร ควรจะสอนหลักให้
เพื่อในยามที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติ จะได้ทราบว่า ตนกำลังทำอะไร เพื่ออะไร จะได้ผลอะไร
และโยนิโส อย่างแยบคาย ได้ด้วยจิตของแต่ละคนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2014, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณสองใจดูที่เขาประสบแล้วถามนั่น โดยภาพรวม กับตรงที่กรัชกายขีดเส้นใต้ไว้ คิดเห็นยังไงครับ :b8: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2014, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสมถะคืออบรมความสงบของจิตนั้นเป็นไปตามลำดับตั้งแต่ที่เป็นกามาวจรกุศลและละเอียดประณีตยิ่งขึ้นจนถึงฌานจิต ซึ่งถ้าขาดปัญญาแล้วก็ไม่มีทางกระทำได้เลย ซึ่งถ้าผู้ใดกล่าวว่าสมถะไม่เกี่ยวกับปัญญาแล้วก็ผิด เพราะต้องประกอบด้วยปัญญาโดยตลอด และไม่มีมาถามว่านี่อะไร นั่นอะไรให้วุ่นวาย ถ้ามีคำถามว่านี่อะไรนั่นอะไร ขณะนั้นก็ขาดปัญญา ไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ตามประสาผู้ที่ยังมีกิเลส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 11:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:
คัดกรองมาดี ๆ
แจ่มแจ้งดียิ่งนัก
อนุโมทนาสาธุ

จากประสบการณ์จริง ถ้าสมถะกับวิปัสสนาเจริญมาควบคู่กันอย่างได้สัดได้ส่วน จะมั่นคงหนักแน่นในผลที่พึงได้รับโดยสมบูรณ์


นี่ล่ะอโศกเป็นสมถะหรือวิปัสสนา หรือเป็นอะไรขอรับ :b14:


อ้างคำพูด:
ผมฝึกพระกรรมฐานแนวอานาปานสติ โดยบริกรรม พุท โธ และตั้งสติกำหนดไว้ที่กลางหน้าอก (ก่อนหน้านี้เคยลองฝึก ยุบหนอ พองหนอ และมโนมยิทธิ แต่รู้สึกว่าไม่ถูกจริตครับ)

โดยส่วนตัวก็คิดว่าจิตของตัวเองยังไม่รวมลงเป็นสมาธิขนาดที่หูดับ ไม่รับรู้อารมณ์ใด ๆ จริง ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำได้ขั้นไหน เพราะไม่อยากไปคิด อยากทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ถึงเมื่อไหร่คงรู้เอง ตอนนี้จิตยังมีอาการวอกแวก ออกไปโน่นนี่บ้าง แต่ก็จะดึงจิตกลับมาให้มีสติอยู่ภายในกายเท่านั้น ผมก็ปฏิบัติเรื่อยมา มีความรู้สึกสงบบ้าง ลมหายใจแผ่วเบาบ้าง แต่ยังมีลมอยู่ มีความเย็นซาบซ่านขึ้นมาบ้าง บางทีก็ตัวชาไปทั้งตัวบ้าง ตัวแข็งเหมือนหินบ้าง แต่ก็ยังมีสติรู้อาการเหล่านี้อยู่ เวลาออกจากสมาธิบางทีมีอาการลืมตาไม่ค่อยขึ้น ต้องใช้มือมาลูบ หรือนวดเปลือกตาบ้าง เมื่อก่อนตอนออกสมาธิบางทีเหน็บชาที่ขา ขาแข็ง ลุกไม่ได้ ต้องนั่งสักพัก ตอนนี้แทบไม่มีอาการเหล่านี้แล้ว กลับรู้สึกเบาสบาย แทบจะไม่มีอาการปวดขาใดๆ สามารถลุกเดินได้สบาย นั่งสมาธิได้นานขึ้น ปัจจุบันนี้ผมจะนั่งสมาธิอยู่ในช่วง 1, 1.5, 2 ชม. ครับ

พอดีว่าเมื่อคืนนี้ ผมนั่งสมาธิประมาณ 2 ชม. ก็ออกจากสมาธิตามปกติ และก็ไปนอน ในขณะที่กำลังนอนก็ยังกำหนดภาวนา พุท โธ และวางสติกำหนดไว้ที่กลางหน้าอก ประมาณ 5-10 นาที เห็นจะได้ อยู่ ๆ ก็มีเสียงลึกลับ เป็นเสียงผู้ชาย มาแนะนำผมในการวางสติ โดยที่ผมยังมีสติรู้อยู่ทุกอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนี้ด้วย โดยเสียงลึกลับนั้นกล่าวว่า "หากวางสติไว้ที่กลางหน้าอกแล้วยังไม่สงบ ก็ลองเปลี่ยนฐานในการวางสติดูบ้างซิ" ผมก็ฟังและรับรู้ ในตอนแรกลองย้ายฐานไปตรงบริเวณท้องไปดูพองยุบ แต่ก็เปลี่ยนใจกลับมาไว้ที่กลางอกเหมือนเดิม กลัวว่าจิตจะสับสน เหมือนว่าเราไม่ยึดแนวปฏิบัติหลักของเรา เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้จิตสงบช้าลง ก็เลยวางสติไว้ที่เดิมที่กลางหน้าอก และกำหนดไปเรื่อย ๆ

อยากจะถามว่า เวลาปฏิบัติหากมีเสียงลึกลับมาแนะนำให้เราปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ เราควรทำตามไหม หรือว่าอย่างไร รบกวนขอคำแนะนำจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้เจริญในธรรม ช่วยให้คำชี้แนะด้วยครับ ทุกท่านอาจจะแนะนำอุบายในการทำสมาธิอื่น ๆ ด้วยก็ยินดีมากครับ



แจ่มแจ้งมั้ยขอรับ :b10: แล้วไงต่อครับอโศก

:b11:
ตามมาสอบอารมณ์ถึงกระทู้ของน้องรสมนเขาเลยเชียวนะ กรัชกาย

ตอบว่า เริ่มต้นด้วยสมถะและเป็นสมถะมาโดยตลอด เป็นวิปัสสนานิดๆ ตอนที่มารู้อาการต่างๆในกาย
ตอนท้ายที่มีเสียงกระซิบ ก็เป็นผลของสมถะนั่นแหละ แต่เป็นการนิมิตหรือเนรมิตว่ามีอีกคนหรือจิตอีกดวงมาสอนธรรม เป็นวิปัสสนากลายๆพอได้ เพราะนักสมถะทั้งหลายก็ได้เสียงกระซิบนี้เป็นครูสอนมาพอสมควร เสียงกระซิบนี่บางคนก็นิมิตเป็นหลวงปู่นั้น อาจารย์นี้ หรือบางคนนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้ามาสอนด้วยซ้ำไป หลังจากนั้นเมื่อสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แล้วจึงจะเป็นผู้รู้ของตนเองสอนตนเอง คือเป็นวิปัสสนาเต็มตัว
คงต้องใช้เวลาพัฒนาตนเองไปอีกสักระยะหนึ่ง

อ้างคำพูด:
ถามว่า เวลาปฏิบัติหากมีเสียงลึกลับมาแนะนำให้เราปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ เราควรทำตามไหม หรือว่าอย่างไร


เรื่องนี้อยู่ที่ตัวเจ้าของ จะเชื่อและอาศัยเสียงกระซิบช่วยสอนไปสักระยะหนึ่งก่อนก็ได้ แต่ระวังจะติดยึดจนเป็นจริงเป็นจังแล้วจะหลงทาง

หรือจะถอนตัวออกมาตั้งอยู่บนลำแข้งของตัวเอง เพราะสมาธิได้พัฒนามาพอสมควรแล้วจนเกิด ปีติ ปัสสัทธิ นิมิตได้ ก็เพียงแต่ มาคบหาครูบาอาจารย์กัลยาณมิตรทางด้านวิปัสสนาภาวนาช่วยต่อยอด มาเจริญปัญญา พิจารณาเข้าไปในรูป นาม กาย ใจ ตามหลักวิปัสสนาภาวนา
:b38:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 25 มี.ค. 2014, 11:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
หลักพิจารณาง่ายๆว่าใดเป็นสมถะ ใดเป็นวิปัสสนาภาวนา

"จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์ เป็นสมถะภาวนา"

"จิตนิ่งรู้อารมณ์ เป็นวิปัสสนาภาวนา"


ถ้าเข้าใจหลักนี้จะสังเกตเห็นได้ว่า สมถะกับวิปัสสนานั้นเขาอิงอาศัยกันขึ้นไปตลอดเวลา

ถ้าเปรียบกับการทำงานของคนเราทั่วไป จังหวะที่ทำงาน เป็นวิปัสสนาภาวนา จังหวะที่พักผ่อนเอาแรง เป็นสมถะภาวนา

ทำงาน พัก ทำงาน พัก ทำงาน พัก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เลิกงาน พักผ่อนนอนหลับ

ตื่นขึ้นมาวันใหม่ ทำกิจวัตร ทำงาน พัก ทำงาน พัก ทำงาน พัก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เลิกงาน พักผ่อนนอนหลับ.....................

ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนี้ไปจนกว่าจะเสร็จงาน
:b36:
:b38:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 12:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

:b12: :b12: :b12:
สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5
:b11:
onion onion onion
"วิปัสสนา ภาวนา" องค์ธรรมคือ รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันได้แก่ เกิด - ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
:b11:
onion onion onion


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 25 มี.ค. 2014, 12:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 12:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:

:b12:
กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ กรัชกาย
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 5782 ครั้ง ]
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:



กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ กรัชกาย



ถามว่า ไปไหนมา แน่ะๆ ตอบ 3 วา 2 ศอก แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมเนี่ยะขอรับ คิกๆๆ

ฟังเพลงดีฝ่า :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=lzhaLSO-lEo

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:



กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ กรัชกาย



ถามว่า ไปไหนมา แน่ะๆ ตอบ 3 วา 2 ศอก แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมเนี่ยะขอรับ คิกๆๆ

ฟังเพลงดีฝ่า :b32:
:b32:
ตาฟางหรือเปล่ากรัชกาย คำตอบอยู่ข้างบนไง เลยถามแบบเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมา บ๊ะ กลับไม่รู้ตัวอีก
:b12: :b12: :b12: :b12:



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร