วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




8594adee3ae0c53073b61b518f4a6845.png
8594adee3ae0c53073b61b518f4a6845.png [ 318.81 KiB | เปิดดู 3945 ครั้ง ]
ไม่มีอะไรมาก ตอนเด็กๆ คุณครูเล่าสู่กันฟังจึงนำมาเล่าต่อ

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งแต่ก่อนมาชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่สามัคคีปรองดอกันด้วยดี
และได้มีหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านมีอาชีพหาน้ำผึ้งป่ามาขายจนวันหนึ่งหญิงคนนั้นหาบน้ำผึ้ง
เดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้และบังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นดินหนึ่งหยด
แมลงวันได้กลิ่นก็บินมาตอมน้ำผึ้ง เมื่อจิ้งจกมาพบก็ตรงเข้าจับแมลงวันเป็นอาหาร
มีแมวตัวหนึ่งเห็นจิ้งจกเข้าก็รีบกระโดดเข้าตะครุบกินเป็นอาหารเช่นกัน

เมื่อสุนัขเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นสุนัขมากัดแมวของตนเลยเอาไม้ไล่ตี
เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้องก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกเพื่อนบ้านไล่ตี
จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้จึงรีบออกมาช่วย
ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ออกมาช่วยเช่นกัน

การต่อสู้ดำเนินไปอย่งดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธชนิด ต่าง ๆ
จนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ พวกเข้าข้างเจ้าของสุนัข
และพวกที่เข้าข้าง เจ้าของแมว

เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่า ก็ออกไปชักชวนญาติหรือ
เพื่อน ๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย

จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง กว่าเจ้าเมืองจะส่ง คนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้เพราะต่างฝ่ายต่างขาดการยับยั้งชั่งใจ และไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล อาจถึงระดับประเทศ
และอาจไปถึงทั่วโลก

หากเจ้าของสุนัขและเจ้าของแมวเจรจาสอบถามเรื่องราว ให้เป็นที่เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุ
ก่อนที่จะหุนหันพลันแล่นทำอะไรไปตามอารมณ์แล้ว เหตุการณ์คงจะไม่ลุกลามบานปลาย
ไปทั่ว เหมือนดังกรณีของน้ำผึ้งหยดเดียวในเรื่องนี้ ..

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อคนขาดสติย่อมทำให้เกิดความเสียหายได้มากมาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2789


 ข้อมูลส่วนตัว


สติ เป็นธรรมเอก... :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2013, 14:28 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2943


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


สติเป็นสิ่งที่ดี การเจริญสติในชีวิตประจำวันเราสามารถทำกันได้ง่ายๆ เช่น เมื่อเราโกรธเราก็มีสติรู้ว่าตอนนี้กำลังโกรธและลองสังเกตุดูว่าความโกรธจะไม่เที่ยง และไม่สามารถอยู่ได้นาน และเมื่อความโกรธเกิดขึ้นมาอีกเราก็มีสติรู้ว่าเราโกรธ สักพักความโกรธก็หายไป และทำอยู่เช่นนี้ เรื่อยๆเมื่อมีความโกรธ เห็นไหมว่าถ้าเราใช้หลักของวิปัสสนากรรมฐานมาใช้ในการแก้ปัญหา ชีวิตก็จะมีความสุข และสังคมก็จะสงบสุขด้วย
ขออนุโมทนาบุญที่ได้ร่วมสนทนาธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2014, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


http://news.sanook.com/1393198/

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2014, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 19:24
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รสมน เขียน:
สติเป็นสิ่งที่ดี การเจริญสติในชีวิตประจำวันเราสามารถทำกันได้ง่ายๆ เช่น เมื่อเราโกรธเราก็มีสติรู้ว่าตอนนี้กำลังโกรธและลองสังเกตุดูว่าความโกรธจะไม่เที่ยง และไม่สามารถอยู่ได้นาน และเมื่อความโกรธเกิดขึ้นมาอีกเราก็มีสติรู้ว่าเราโกรธ สักพักความโกรธก็หายไป และทำอยู่เช่นนี้ เรื่อยๆเมื่อมีความโกรธ เห็นไหมว่าถ้าเราใช้หลักของวิปัสสนากรรมฐานมาใช้ในการแก้ปัญหา ชีวิตก็จะมีความสุข และสังคมก็จะสงบสุขด้วย
ขออนุโมทนาบุญที่ได้ร่วมสนทนาธรรมครับ


ในขณะที่ความโกรธเกิดขึ้นมานั้น ที่เห็นมันเป็นเหมือนเป็นก้อนๆในใจ ถ้าดูดีๆมันเกิดดับอยู่ในก้อนนั้นด้วยนะ จะเห็นความโกรธไม่มีตรงไหนอยู่นิ่งๆ ไม่มีตรงไหนที่เที่ยง เมื่อไม่เห็นความโกรธเที่ยง จิตจะเบื่อหน่ายและคลายความยึดถึอในความโกรธ ตัณหาคือตัวที่อยากแก้ทุกข์ในขณะที่มีความโกรธก็จะดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2014, 22:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2014, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เอาภาพมาให้ดูครับทั้ง ๒ คน ใครจำได้ไหมว่าคือใครมั่ง ?



คุ้นๆ ถ้าจำไม่ผิด คนซ้ายตายไปแล้ว ส่วนคนขวา คิกๆๆ


จำได้ไหมนี่ใคร

http://pantip.com/topic/31657547

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2014, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:




อโศกไม่ต่างจากนักเทศน์บนธรรมาสน์ คือพูดไปเรื่อยเปื่อย อ้างชื่อนั่นนี่

แต่ถ้าถามว่า จะทำยังไง ให้สติปัญญาเป็นต้นเกิดขึ้น อโศกก็ตกธรรมาสน์ คิกๆๆ จริงไม่จริง

ถ้าไม่จริง ไหนบอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาสิเอ้า :b32:

อ้างคำพูด:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ


เอ้า บอกวิธีสิทำยังไง :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2014, 17:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:

:b12:
สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)




อโศกไม่ต่างจากนักเทศน์บนธรรมาสน์ คือพูดไปเรื่อยเปื่อย อ้างชื่อนั่นนี่

แต่ถ้าถามว่า จะทำยังไง ให้สติปัญญาเป็นต้นเกิดขึ้น อโศกก็ตกธรรมาสน์ คิกๆๆ จริงไม่จริง

ถ้าไม่จริง ไหนบอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาสิเอ้า :b32:

อ้างคำพูด:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ


เอ้า บอกวิธีสิทำยังไง :b9:

:b12:
"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์.......(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)

แล้วปัญญาเขาจะสรุปเรื่องราวต่างๆเอาเองโดยอัตโนมัติ (อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า...Experience )

บางอย่างจะรู้ตรงที่ใจไม่มีคำพูด บางอย่างจะรู้เมื่อคิดวิตกวิจารณ์ตามภายหลัง

สำคัญสำหรับกรัชกายจะเข้าใจความหมายในเชิงปฏิบัติของคำนี้หรือเปล่า.....หรือเอาไปทำตามคำบอกเล่านี้ได้อย่างไร

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์"
:b32: :b13: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 01:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงเห่าหอน....บริวานลูกสมุน..ของว่าที่..เทวทัต...
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 08:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:

:b12:
สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)




อโศกไม่ต่างจากนักเทศน์บนธรรมาสน์ คือพูดไปเรื่อยเปื่อย อ้างชื่อนั่นนี่

แต่ถ้าถามว่า จะทำยังไง ให้สติปัญญาเป็นต้นเกิดขึ้น อโศกก็ตกธรรมาสน์ คิกๆๆ จริงไม่จริง

ถ้าไม่จริง ไหนบอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาสิเอ้า :b32:

อ้างคำพูด:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ


เอ้า บอกวิธีสิทำยังไง :b9:

:b12:
"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์.......(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)

แล้วปัญญาเขาจะสรุปเรื่องราวต่างๆเอาเองโดยอัตโนมัติ (อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า...Experience )

บางอย่างจะรู้ตรงที่ใจไม่มีคำพูด บางอย่างจะรู้เมื่อคิดวิตกวิจารณ์ตามภายหลัง

สำคัญสำหรับกรัชกายจะเข้าใจความหมายในเชิงปฏิบัติของคำนี้หรือเปล่า.....หรือเอาไปทำตามคำบอกเล่านี้ได้อย่างไร

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์"
:b32: :b13: :b11:

:b36:
สำรวม กาย ใจ.........ศีลมรรค.....สัมมาวาจา.....สัมมากัมมันตะ.....สัมมาอาชีวะ

นิ่ง......สัมมาสมาธิ

รู้.......


รู้ทัน....ระลึกได้.....ไม่ลืม.......สัมมาสติ

รู้ตามความเป็นจริง......สัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

สังเกต.......สัมมาสังกัปปะ.....สังเกต.......พิจารณา

ปัจจุบันอารมณ์.......ที่ตั้งแห่งความจริงที่แก้ไขได้ ที่รวม ที่เกิดแห่งธรรมทั้งปวง จุดหรือที่ทำงานของวิปัสสนาภาวนา
:b38:
มรรคทั้ง 8 ข้อ สมบูรณ์อยู่ในคำสรุป งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

อรรถาธิบายนี้ ขอให้กรัชกายลองพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญดูให้ดีๆ โดยเทียบจากสภาวะธรรมที่จักเกิดขึ้นจริงๆในการกระทำ
:b43:
จนละความเห็นผิด.......นี่คือเป้าหมายสำคัญอันดับที่ 1 ของงานเจริญมรรค 8 หรือ วิปัสสนาภาวนา
ถ้าผ่านด่านที่ 1 นี้ได้แล้ว จักถึงด่านที่ 2 คือ

"ความยึดผิด"......มานะทิฏฐิ.....

ยึดกาย.....ละได้ด้วยอนาคามีมรรค

ยึดจิต......ละได้ด้วยอรหัตมรรค
:b39:
ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู..........เป็นคำแปลให้เข้าใจว่าความเห็นผิดจริงๆคืออะไร

พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้เป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู.....เป็นโอปนะยิโกธรรมดังกล่าวไว้ในธรรมคุณ 6 ประการ
ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส.......เป็นสัมมาวายามะ เป็นการนำวิปัสสนาภาวนาหรือมรรค 8 มาเจริญในชีวิตประจำวัน

สังเกตให้ดี

ที่่ระลึกได้.....เมื่อมีสติระลึกได้ว่าเราต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์

และมีโอกาส......เมื่อมีช่องว่างเปิดให้ในเวลาทำงานของชีวิตประจำวัน เช่นช่วงพัก ช่วงระหว่างงาน ช่วงวันหยุด ช่วงวันลา ช่วงเจ็บป่วยไม่ได้ทำงานอะไร เป็นต้น
:b53:
ขยายความ หัวใจวิปัสสนาภาวนาในวันต่อไปนะกรัชกาย
:b48:
อ้อ...! การประยุกต์ปรับปรุงภาษานำธรรมะมาใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนที่มีใจดุจพระเทวทัต ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เพราะโมหะอันเนื่องมาจากอิจฉา มัจฉริยะ ที่มีต่อพระบรมศาสดาปิดบังตาไว้ จนทำปรามาสกรรม อนันตริยกรรม ถูกธรณีสูบตายไป
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:

:b12:
สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)




อโศกไม่ต่างจากนักเทศน์บนธรรมาสน์ คือพูดไปเรื่อยเปื่อย อ้างชื่อนั่นนี่

แต่ถ้าถามว่า จะทำยังไง ให้สติปัญญาเป็นต้นเกิดขึ้น อโศกก็ตกธรรมาสน์ คิกๆๆ จริงไม่จริง

ถ้าไม่จริง ไหนบอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาสิเอ้า :b32:

อ้างคำพูด:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ


เอ้า บอกวิธีสิทำยังไง :b9:

:b12:
"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์.......(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)

แล้วปัญญาเขาจะสรุปเรื่องราวต่างๆเอาเองโดยอัตโนมัติ (อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า...Experience )

บางอย่างจะรู้ตรงที่ใจไม่มีคำพูด บางอย่างจะรู้เมื่อคิดวิตกวิจารณ์ตามภายหลัง

สำคัญสำหรับกรัชกายจะเข้าใจความหมายในเชิงปฏิบัติของคำนี้หรือเปล่า.....หรือเอาไปทำตามคำบอกเล่านี้ได้อย่างไร

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์"
:b32: :b13: :b11:

:b36:
สำรวม กาย ใจ.........ศีลมรรค.....สัมมาวาจา.....สัมมากัมมันตะ.....สัมมาอาชีวะ

นิ่ง......สัมมาสมาธิ

รู้.......


รู้ทัน....ระลึกได้.....ไม่ลืม.......สัมมาสติ

รู้ตามความเป็นจริง......สัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

สังเกต.......สัมมาสังกัปปะ.....สังเกต.......พิจารณา

ปัจจุบันอารมณ์.......ที่ตั้งแห่งความจริงที่แก้ไขได้ ที่รวม ที่เกิดแห่งธรรมทั้งปวง จุดหรือที่ทำงานของวิปัสสนาภาวนา
:b38:
มรรคทั้ง 8 ข้อ สมบูรณ์อยู่ในคำสรุป งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

อรรถาธิบายนี้ ขอให้กรัชกายลองพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญดูให้ดีๆ โดยเทียบจากสภาวะธรรมที่จักเกิดขึ้นจริงๆในการกระทำ
:b43:
จนละความเห็นผิด.......นี่คือเป้าหมายสำคัญอันดับที่ 1 ของงานเจริญมรรค 8 หรือ วิปัสสนาภาวนา
ถ้าผ่านด่านที่ 1 นี้ได้แล้ว จักถึงด่านที่ 2 คือ

"ความยึดผิด"......มานะทิฏฐิ.....

ยึดกาย.....ละได้ด้วยอนาคามีมรรค

ยึดจิต......ละได้ด้วยอรหัตมรรค
:b39:
ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู..........เป็นคำแปลให้เข้าใจว่าความเห็นผิดจริงๆคืออะไร

พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้เป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู.....เป็นโอปนะยิโกธรรมดังกล่าวไว้ในธรรมคุณ 6 ประการ
ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส.......เป็นสัมมาวายามะ เป็นการนำวิปัสสนาภาวนาหรือมรรค 8 มาเจริญในชีวิตประจำวัน

สังเกตให้ดี

ที่่ระลึกได้.....เมื่อมีสติระลึกได้ว่าเราต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์

และมีโอกาส......เมื่อมีช่องว่างเปิดให้ในเวลาทำงานของชีวิตประจำวัน เช่นช่วงพัก ช่วงระหว่างงาน ช่วงวันหยุด ช่วงวันลา ช่วงเจ็บป่วยไม่ได้ทำงานอะไร เป็นต้น
:b53:
ขยายความ หัวใจวิปัสสนาภาวนาในวันต่อไปนะกรัชกาย
:b48:
อ้อ...! การประยุกต์ปรับปรุงภาษานำธรรมะมาใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนที่มีใจดุจพระเทวทัต ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เพราะโมหะอันเนื่องมาจากอิจฉา มัจฉริยะ ที่มีต่อพระบรมศาสดาปิดบังตาไว้ จนทำปรามาสกรรม อนันตริยกรรม ถูกธรณีสูบตายไป
:b7:



อโศกได้วิธีจัดนั่นมาจากไหนขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ

สติ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญามักพาเข้าสมาธิลึก เพราะสติที่มีกำลังมากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่ทันได้สังเกตพิจารณาอะไร จึงค้นหาสมุทัยไม่ค่อยเจอ

สติ กับปัญญาที่เจริญไปพร้อมกันอย่างได้สัดส่วนกันจะทำให้รู้เห็นความจริง อย่างชัดเจนตลอดเวลา

ความจริงที่ว่านั้นคือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่เรามาใส่ชื่อว่า "ไตรลักษณ์" ....ทุกขัง.....อนิจจัง.....อนัตตา

และจักได้พบเห็น สมุทัย คือความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่น ฝังลึกในกมลสันดาน แล้วถอดถอนมันออกได้ในที่สุด ด้วยกำลังการทำงานร่วมกันของ สติ ปัญญา อันมี ศีลและสมาธิเป็นกองหนุน

งานของสติ

รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)

ระลึกได้

ไม่ลืม


งานของปัญญา

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ......สังเกต (ไม่ใช้ความคิด).......พิจารณา (ใช้ความคิด)


:b38:

:b12:
สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)




อโศกไม่ต่างจากนักเทศน์บนธรรมาสน์ คือพูดไปเรื่อยเปื่อย อ้างชื่อนั่นนี่

แต่ถ้าถามว่า จะทำยังไง ให้สติปัญญาเป็นต้นเกิดขึ้น อโศกก็ตกธรรมาสน์ คิกๆๆ จริงไม่จริง

ถ้าไม่จริง ไหนบอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาสิเอ้า :b32:

อ้างคำพูด:
สติ กับปัญญา ควรเจริญไปพร้อมๆกันและได้สัดส่วนพอดีกัน จึงจะเป็นคุณ


เอ้า บอกวิธีสิทำยังไง :b9:

:b12:
"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์.......(จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา)

แล้วปัญญาเขาจะสรุปเรื่องราวต่างๆเอาเองโดยอัตโนมัติ (อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า...Experience )

บางอย่างจะรู้ตรงที่ใจไม่มีคำพูด บางอย่างจะรู้เมื่อคิดวิตกวิจารณ์ตามภายหลัง

สำคัญสำหรับกรัชกายจะเข้าใจความหมายในเชิงปฏิบัติของคำนี้หรือเปล่า.....หรือเอาไปทำตามคำบอกเล่านี้ได้อย่างไร

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์"
:b32: :b13: :b11:

:b36:
สำรวม กาย ใจ.........ศีลมรรค.....สัมมาวาจา.....สัมมากัมมันตะ.....สัมมาอาชีวะ

นิ่ง......สัมมาสมาธิ

รู้.......


รู้ทัน....ระลึกได้.....ไม่ลืม.......สัมมาสติ

รู้ตามความเป็นจริง......สัมมาทิฏฐิ......ดู.....เห็น.....รู้

สังเกต.......สัมมาสังกัปปะ.....สังเกต.......พิจารณา

ปัจจุบันอารมณ์.......ที่ตั้งแห่งความจริงที่แก้ไขได้ ที่รวม ที่เกิดแห่งธรรมทั้งปวง จุดหรือที่ทำงานของวิปัสสนาภาวนา
:b38:
มรรคทั้ง 8 ข้อ สมบูรณ์อยู่ในคำสรุป งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

อรรถาธิบายนี้ ขอให้กรัชกายลองพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญดูให้ดีๆ โดยเทียบจากสภาวะธรรมที่จักเกิดขึ้นจริงๆในการกระทำ
:b43:
จนละความเห็นผิด.......นี่คือเป้าหมายสำคัญอันดับที่ 1 ของงานเจริญมรรค 8 หรือ วิปัสสนาภาวนา
ถ้าผ่านด่านที่ 1 นี้ได้แล้ว จักถึงด่านที่ 2 คือ

"ความยึดผิด"......มานะทิฏฐิ.....

ยึดกาย.....ละได้ด้วยอนาคามีมรรค

ยึดจิต......ละได้ด้วยอรหัตมรรค
:b39:
ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู..........เป็นคำแปลให้เข้าใจว่าความเห็นผิดจริงๆคืออะไร

พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้เป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู.....เป็นโอปนะยิโกธรรมดังกล่าวไว้ในธรรมคุณ 6 ประการ
ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส.......เป็นสัมมาวายามะ เป็นการนำวิปัสสนาภาวนาหรือมรรค 8 มาเจริญในชีวิตประจำวัน

สังเกตให้ดี

ที่่ระลึกได้.....เมื่อมีสติระลึกได้ว่าเราต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์

และมีโอกาส......เมื่อมีช่องว่างเปิดให้ในเวลาทำงานของชีวิตประจำวัน เช่นช่วงพัก ช่วงระหว่างงาน ช่วงวันหยุด ช่วงวันลา ช่วงเจ็บป่วยไม่ได้ทำงานอะไร เป็นต้น
:b53:
ขยายความ หัวใจวิปัสสนาภาวนาในวันต่อไปนะกรัชกาย
:b48:
อ้อ...! การประยุกต์ปรับปรุงภาษานำธรรมะมาใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนที่มีใจดุจพระเทวทัต ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เพราะโมหะอันเนื่องมาจากอิจฉา มัจฉริยะ ที่มีต่อพระบรมศาสดาปิดบังตาไว้ จนทำปรามาสกรรม อนันตริยกรรม ถูกธรณีสูบตายไป
:b7:






โสกะ สติยังด้อยนะ และหนาแน่นด้วยอวิชชา

อธิบายเป็นคุ้ง เป็นแคว เหมือนนกแก้ว นกขุนทองเสร็จ

เผลอแว่บเดี๋ยว กล่าวคำสาปแช่งผู้อื่นอีกแล้ว


โสกะเป็นผู้ที่มี พยาบาทแรงนะ
ที่ว่ามีความพยาบาทแรง เพราะ เก็บความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไว้ภายในไม่ได้
ต้องปล่อยให้ก้าวล่วงออกมาทางตัวหนังสือ เพื่อตอกย้ำความรู้สึกของตนเอง

ที่ว่า สติยังด้อยนะ
เพราะ ยังไม่สามารถหยุดการกระทำ เพื่อหยุด การกล่าวสาปแช่งผู้อื่น ไม่ให้ก้าวล่วงออกมาได้


หากมีสติรู้อยู่ ดังคำกล่าวอ้าง ที่โสกะนำมาอธิบาย
โสกะ จะไม่มีพฤติกรรม ชอบกล่าวคำสาปแช่งผู้อื่น เดิมๆ ซ้ำๆ แบบนี้หรอก


วลัยพรถึงบอกว่า ได้แต่ท่องเป็นนกแก้ว นกขุนทอง
แค่จดจำมา แต่ยังทำไม่ได้ เหมือนที่เที่ยวนำมาเชิญชวนผู้อื่น

นี่แหละ เหตุที่โสกะ ชอบก้าวล่วงกับผู้อื่นประจำ
ประมาทผู้อื่นว่า แค่ท่องจำ เป็นนักวิชาการ

กรรมติดจรวด ไม่มีการยกเว้นหรอกนะ
ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ก็ตาม



พระอรหันต์ท่านก็ต้องชดใช้กรรมเช่นกัน
เพียงแต่ท่าน ไม่นำผัสสะที่เกิดขึ้น มาเป็นอารมณ์




ที่ว่าโสกะ หนาแน่นด้วยอวิชชา
เหตุจาก โสกะ ยังไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น


เหตุของอวิชชาที่มีอยู่(ความไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น)

ผู้ถูกครอบงำด้วยแรงผลักดันของกิเลส ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นๆ
เหตุจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ ทำให้อดรนทนไม่ได้ ต้องปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิด ก้าวล่วงออกมา
เป็นการสร้างเหตุ ของการเกิดขึ้นแห่งภพชาติปัจจุบัน ทันที(กรรมสำเร็จ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติ..อโสกะ...ก็มักพูดทำนองนั้น..
แต่...ข้างบน....อ่านอยู่หลายรอบว่า..อโสกะแช่งใครใว้ยังงัยหรอ??


:b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร