วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 20:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2013, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


คือ เขาไม่บาดเจ็บจุติกันไปเกิดกันหรอ รบกันก็ต้องมีการเสียชีวิตใช่ป่ะครับ หรือแค่แพ้เฉยๆ

อีกอย่างโกรธมากไฟก็ไหม้ดวงในหนิ่ครับ


เช่น ท้าวสักกะ ขับไล่พวกท้าวเวปจิตติและพวกเมาสุราลงไปใต้ทะเล ท้าวเวปจิตติก็รอล้างแค้นนะครับ

ปล.ถามในฐานะผู้สงสัยครับ ขอบคุณทุกท่านครับ onion

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ท้าวสักกเทวาธิราช

เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว ณ ชนบทแห่งหนึ่งของแคว้นมคธ ยังมีบุรุษอยู่คน หนึ่งชื่อว่า มฆมานพ เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามมีความยึดมั่นอยู่ในศีลในธรรมเป็นอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าผู้ใดทำดีตายไปแล้วย่อมขึ้นสวรรค์ ผู้ใดทำชั่วตายไปแล้วต้องตกนรก วันหนึ่งเขาไม่มีกิจอันใดจักทำจึงเดินออกจากบ้านไป เวลานั้นเป็นยามเที่ยงวันพอดี ระหว่างทางขณะกำลังเดินไปอย่างไร้จุดหมายนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ข้างทาง มีกิ่งก้านสาขาแผ่สยายออกไปเป็นร่มเงาครึ้มเหมาะสำหรับจะนั่งพักเหนื่อยหลบแดดคลายร้อนได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากโคนต้นของมันมีวัชพืชจำพวกไม้เถาขึ้นอยู่หนาแน่นจนรก ไม่สามารถจะเข้าไปนั่งพักผ่อนหลับนอนได้

ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับบ้าน คิดจะไปหยิบเอาจอบเอาพร้ามาทำการถากถาง หวังจักทำให้เป็นรัมมณียสถานสำหรับพักผ่อนนั่งเล่นนอนเล่น หลังจากที่ได้ทำความสะอาดจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะจะเข้าไปนั่งพักเหนื่อยภายใต้ร่มเงาของมัน เวลานั้นปรากฏว่าได้มีบุรุษผู้หนึ่งผ่านทางมาพอดี บุรุษผู้นี้มองเข้าไปเห็นโคนไม้ที่มฆมานพได้เก็บกวาดถากถางเอาไว้ดีแล้ว ร่มรื่นสะอาดสะอ้าน น่านั่งน่านอนเสียนี่กระไร

ดังนั้นจึงไม่ฟังอีร้าคร่าอีรม รีบวิ่งเข้าไปยังโคนไม้นั้นทันที โดยไม่สนใจว่าการที่ตนพุ่งเข้าไปเช่นนั้นจะไปชนถูกใครหกล้มบาดเจ็บหรือไม่ ฝ่ายมฆมานพผู้กำลังหย่อนก้นลงนั่งยังไม่ทันที่จะถึงพื้นดินดี มิได้คาดคิดมาก่อนว่าจู่ๆจะมีคนพรวดพราดพุ่งเข้ามาอย่างนั้น จึงมิได้มีการระวังป้องกันแต่อย่างใด ครั้นถูกชายแปลกหน้าที่มาจากไหนไม่รู้พุ่งเข้าชนอย่างจัง เลยเสียหลักถลาล้มขมำไปข้างหน้า ศรีษะทิ่มดินนอนกินฝุ่นไปในทันที หลังจากพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนได้อย่างงงๆเขาก็หันไปเห็นว่าบุรุษผู้นั้นได้เข้าไปนอนหลับตาไข้วขาอยู่อย่างเป็นสุขใต้โคนต้นไม้นั้นแล้ว

ดังนั้นนั้นเขาจึงได้แต่เดินออกไปจากร่มไม้นั้น พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า “ บุรุษผู้นี้ ถึงแม้จักแย่งเอาร่มไม้ซึ่งเราได้ทำความสะอาดเอาไว้ดีแล้ว ไปเป็นสมบัติส่วนตนก็ตามเถอะ แต่ทว่าเราก็หาได้โกรธเขาไม่ มิหนำซ้ำยังรู้สึกเป็นสุขด้วยต่างหากที่เห็นเขานอนอย่างสุขสบายบนลานดินที่เราทำไว้ดีแล้ว อย่ากระนั้นเลย เราควรจักหาร่มไม้ใหม่มาทำให้เป็นรัมมณียสถานเพิ่มขึ้นอีก น่าจักเป็นการดี”

เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นเขาจึงออกตระเวณหาต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายๆกันกับต้นที่ผ่านมา โดยขึ้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ห่างไปจากเส้นทางสัญจรไปมาของผู้คนมากนัก มีกิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงา ครึ้ม เมื่อพบต้นที่เหมาะเขาก็จะลงมือเก็บกวาดถากถางทันที จนกระทั่งมีรัมมณียสถานแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาได้ใช้สำหรับเป็นที่พักผ่อนหลับนอนหลบแดดหลบร้อนได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่กระทั่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในย่านละแวกนั้นหรือในละแวกใกล้เคียงที่ไม่รู้ว่าจะหนีไปนั่งหลบแดดหลบร้อนที่ไหน พวกเขาก็พลอยได้อาศัยใช้เป็นที่พักผ่อนหลับนอนกันได้อย่างสุขสบายทั่วกัน

ไม่แต่เพียงเท่านี้ร่มไม้ที่เขาเก็บกวาดถากถางจนสะอาดสะอ้านแล้วนั้นยังมีโอ่งน้ำดินเผาขนาดย่อมใบหนึ่งวางอยู่ที่โคนต้นของมันด้วยอีกต่างหาก ใส่น้ำดื่มที่ใสแจ๋วเย็นเจี๊ยบจนเต็มเปี่ยม มีฝาครอบอย่างดีพร้อมกระบวยสำหรับตักดื่ม ตั้งรอท่าเอาไว้พร้อมสรรพ หากผู้ใดผ่านมาแล้วเกิดกระหายน้ำก็สามารถตักดื่มได้ทันที ไม่ต้องลำบากลำบนเที่ยวไปตระเวนหาน้ำให้มันเสียแรงเสียเวลา

ยิ่งกว่านั้นครั้นถึงฤดูหนาว มฆหนุ่มผู้นี้ก็ยังยอมทนอดตาหลับขับตานอนลุกขึ้นมาก่อกองไฟให้ความอบอุ่นกับผู้ผ่านทางที่มานอนพักอาศัยค้างแรมอยู่ใต้โคนต้น ไม้ของเขาอีก โดยเขามักจักคิดอย่างมีความสุขอยู่คนเดียวว่า“ขึ้นชื่อว่ารัมมณียสถานแล้ว ย่อมเป็นสถานที่รักที่ชอบของชนทั้งปวง ชนใดไม่ชอบนั้น ย่อมไม่มี ”

หลังจากที่เขาได้เปลี่ยนแปลงสถานที่ที่รกชัฏให้กลายมาเป็นรัมมณียสถานเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งแล้ว อยู่มาวันหนึ่งเขาก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาว่าถนนหนทางที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มันยังรู้สึกว่ามียังมีความยาวไม่เพียงพอ และนอกจากนั้นพื้นผิวก็ยังไม่เหมาะที่จักใช้ในการสัญจรไป มาด้วยต่างหาก เนื่องจากบางแห่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางแห่งก็มีกิ่งไม้ใบหญ้ายื่นล้ำเข้ามาเกะกะขวางทาง น่าที่จักต้องมีการปรับปรุงกันแบบขนานใหญ่เสียที

เมื่อเกิดความคิดดังนี้ ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนเขาจึงหยิบเอามีดเอาจอบออกจากบ้านแต่เช้า ไปทำการถากถางตัดแต่งเส้นทางที่มันรกมันชัฏ มีกิ่งไม้ใบหญ้ายื่นออกมาเกะกะขวางทาง หรือที่มันเป็นหลุมเป็นบ่อผู้คนวัวควายเดินทางไม่สะดวก ให้มันโล่งมันเตียน แลให้มันราบมันเรียบขึ้นมา จนกระทั่งกลายเป็นถนนหนทางหลักสำหรับให้ผู้คนสัญจรไปมาได้สะดวกสบาย ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเหมือนดังแต่ก่อน

เขาเฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นอาจิณจนเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่อยู่แถวละแวกนั้นเกิดความสงสัยขึ้นมา ในที่สุดเมื่ออดใจเอาไว้ไม่ได้จึงเดินเข้าไปถาม“ เออแน่ะสหาย ! ตั้งแต่เช้าจรดเย็นข้าพเจ้าเห็นท่านเอาแต่หักร้างถางพงอยู่ได้ทุกวี่ทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ท่านทำอย่างนี้ไปเพื่ออันใดรึ ? ” มฆมานพเมื่อได้ยินเพื่อนบ้านผู้นี้ถามเช่นนั้น จึงตอบไปว่า “ เพื่อนเอ๋ย ! เรากำลังทำหนทางไปสู่สวรรค์นะซิ ”

พอเขาได้ยินมฆมานพตอบเช่นนั้น ก็ยิ่งเกิดความสงสัยเพิ่มมากขึ้นไปอีก จึงถามต่อไปว่า “ เออแน่ะ ! ท่านผู้เปี่ยมด้วยความขยัน การที่ท่านบอกว่าท่านกำลังทำทางไปสู่สวรรค์นั้นข้าพเจ้ายังคงมิเข้าใจ ขอวานจงช่วยอธิบายแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ” มฆหนุ่มเมื่อเห็นบุรุษผู้นี้ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูดเขาจึงอธิบายให้ฟังว่า

“ ดูก่อนสหาย ! การที่ข้าพเจ้าออกจากบ้านแต่เช้ามาทำการถากถางเส้นทางที่มันรกมันชัฏ ที่มันเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือที่มันคับมันแคบนั้น ก็เพื่อต้องการจักทำให้เส้นทางนี้มันเกิดความสะอาดสะอ้าน หรือว่าราบเรียบขึ้นมา ปราศจากกิ่งไม้ใบหญ้าหรือว่าหลุมบ่ออันเป็นอุปสรรคต่อการสัญจรไปมาของผู้คน ส่วนการที่ข้าพเจ้าเบิกถนนให้มันกว้างหรือว่าให้มันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนั้น ก็เพื่อต้องการอำนวยความสะดวกต่อผู้เดินทาง จักได้ไม่ต้องระแวดระวังเวลาที่ต้องเดินสวนกัน

ดังนั้นทุกครั้งที่คนหรือแม้แต่กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ตามเถอะมาใช้เส้นทางที่ข้าพเจ้าได้ทำเอาไว้ดีแล้ว เขาเหล่านั้นย่อมจักสำนึกในบุญคุณของข้าพเจ้าที่ได้สร้างได้ทำถนนนี้ไว้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องลำบากลำบนในการเดินทาง ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาในการหักร้างถางพง เมื่อพวกเขาสำนึกในบุญคุณของข้าพเจ้า พวกเขาก็จักพากันอำนวยอวยพรให้กับข้าพเจ้าทื่ได้สร้างได้ทำถนนหนทางนี้

แลพรใดที่พวกเขาได้พากันเอ่ยพากันกล่าวออกมาแล้ว พรเหล่านั้นย่อมจักกลายเป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าทุกครั้งไปด้วยเช่นกัน ตราบใดที่ถนนเส้นนี้ยังคงอยู่เคียงคู่กับผืนแผ่นดิน ตราบนั้นข้าพเจ้าก็จัก มิมีวันที่จักสูญสิ้นบุญไปได้ ” บุรุษผู้นี้ครั้นได้ฟังมฆมานพอธิบายดังนี้แล้ว เขาก็เกิดความปรารถนาขึ้นมาอย่างแรงกล้าคิดอยากจักได้บุญเหล่านี้ขึ้นมาทันทีทันใดเหมือนกัน

ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามมฆมานพไปว่า “ นี่แน่ะสหายผู้เปี่ยมปัญญา ! ท่านจักรังเกียจไหมหากข้าพเจ้าจักขอมีส่วนแบ่งในบุญนี้ด้วย โดยการร่วมกับท่านช่วยกันสร้างถนนเส้นนี้ ” มฆมานพพอได้ฟังเขากล่าวเช่นนั้นก็ให้รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบตอบไปทันทีว่า “ จะเป็นไรไปเล่าเพื่อนเอ๋ย ! อันว่าบุญนี้ยิ่งแบ่งออกไปให้ผู้อื่นได้มากเท่าไหร่ มันก็มีแต่จักยิ่งเพิ่มขึ้นไปมากเท่านั้น หาจักได้ลดน้อยถอยลงไปไม่ มาเถิดเพื่อน เราจงมาช่วยกันสร้างหนทางไปสู่สวรรค์ร่วมกันเถิด” เพื่อนบ้านผู้นี้พอได้ฟังคำตอบของมฆมานพ เขาก็ให้รู้สึกยินดีปรีดาเป็นล้นพ้น รีบกลับบ้านไปหยิบเอามีดเอาพร้ามาในทันใด

จากนั้นก็ช่วยมฆมานพหักร้างถางพง บุกเบิกถนนกันอย่างชื่นบานสำราญใจ นับจากนั้นเป็นต้นมาบรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เขาทั้งสองตั้งบ้านเรือนอยู่ก็มักจะเห็นเขาสองคนช่วยกันหักร้างถางพง สร้างถนนหนทางกันอย่างขะมักเขม้นไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนเส้นทางที่แต่เดิมมีความยาวไม่มากได้ขยายยาวออกไปเรื่อยๆ

และจากคนแค่เพียงสองคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างถนนในตอนแรกๆ พอถนนขยายยาวออกไปก็ได้มีผู้อาสาเข้ามาช่วยสร้างเพิ่มขึ้น จนบัดนี้กลุ่มของพวกเขาได้มีผู้มาช่วยรวมทั้งตัวของมฆมานพด้วย เป็นจำนวนถึง ๓๓ คนแล้ว พฤติการณ์ของมฆมานพและพวกทั้ง ๓๓ นี้ ได้ถูกจับตามองจากนายบ้านมาโดยตลอดโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่นายบ้านเห็นพวกเขาอุทิศตนเพื่อส่วนรวม นายบ้านผู้นี้ก็มักจักเกิดความหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที เนื่องจากว่าเขาเป็นผู้ที่มีนิสัยเป็นพาลทนเห็นใครมาทำความดีเกินหน้าตนไม่ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่กลุ่มคนทั้ง ๓๓ นี้กำลังทำการขยายถนนอยู่ตามปกตินั้น นายบ้านผู้ซึ่งเฝ้าดูการกระทำของพวกเขาอยู่เป็นเวลานานแล้วก็ถึงกาลสุดจักอดทนต่อไปได้ จึงเดินเข้าไปหาพวกเขาพร้อมกับถามว่า“ นี่แน่ะ! พวกเจ้าทั้งหลาย ทำไมพวกเจ้าถึงไม่เอาเวลาเหล่านี้เข้าป่าไปล่าสัตว์หาเนื้อ หาปลามาปิ้งย่างกินแกล้มกับสุรา มันจักไม่ดีกว่าหรือ ไฉนจึงมามัวเสียเวลากระทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เยี่ยงนี้ด้วยเล่า ? ”

มฆมานพพอได้ฟังนายบ้านกล่าวเช่นนั้น จึงตอบไปว่า“ ข้าแต่นายบ้าน พวกข้าพเจ้าหาได้กระทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่ หาก แต่กำลังสร้างหนทางไปสู่สวรรค์ต่างหาก การที่ท่านจักให้พวกข้าพเจ้าเข้าป่าไปล่าสัตว์นั้น พวกข้าพเจ้าหาได้มีความปรารถนาเช่นนั้นไม่ เพราะว่านั่นคือหนทางไปสู่อบาย ธรรมดาแล้วบัณฑิตผู้มีปัญญา ย่อมแสวงหาหนทางอันเป็นสุขคติสำหรับสัมปรายภพ หาใช่ทุคติไม่ ”

นายบ้านเมื่อได้ฟังบุรุษหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากล่าวกับตนเช่นนี้ พร้อมกับชี้ แจงเหตุผลเสมือนหนึ่งจักเป็นการสั่งสอนอยู่ในที ก็ให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันใด จึงโต้กลับไปว่า “ ชะ ! เจ้าพวกผู้เยาว์ สะพานที่ข้าเดินข้ามมาแล้วหากเอาระยะทางทั้งหมดมารวมกัน ยังยาวกว่าหนทางที่เจ้าเดินมาตั้งแต่เกิดจวบจนบัดนี้เสียอีก หนอย ! บังอาจกล้ามาสอนข้าได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ฟังคำแนะนำของข้าก็ตามใจ แล้วเราค่อยพบกันใหม่ก็แล้วกัน ”

ว่าแล้วนายบ้านผู้เป็นพาลก็สะบัดหน้า หันหลังเดินออกไปจากที่นั้นทันที พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่า “ เราจักต้องทำให้เจ้าพวกคนเหล่านี้ถึงกาลฉิบหายให้จงได้ คอยดูเถอะ !” หลังจากที่เดินออกมาจากกลุ่มของมฆมานพแล้ว เขาก็รีบมุ่งตรงกลับไปยังบ้านของตนทันที รีบหยิบเสื้อผ้าสองสามชุดโยนลงบนผ้าผืนหนึ่ง แล้วมัดขึ้นสะพายบ่า

จากนั้นก็ก้าวลงจากเรือนบ่ายหน้าขึ้นสู่เมืองหลวงทันใด หวังจักไปเพ็ดทูลต่อพระ ราชาว่าพวกของมฆมานพทั้ง ๓๓ คนนี้เป็นโจร ชอบรวมตัวกันเป็นกลุ่มออกเที่ยวปล้น สดมภ์ชาวบ้านชาวช่องให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เป็นอาจิณ ขอให้ทางการรีบส่งกำลังทหารเข้าไปปราบปรามเป็นการด่วน ฝ่ายพระราชาเมื่อได้ฟังนายบ้านแจ้งมาเช่นนั้นก็ไม่รอช้า ทรงมีบัญชาให้แม่ทัพนายกองนำกำลังทหารจำนวนหนึ่งไปทำการจับกุมบุคคล เหล่านี้มาลงโทษในทันที จ

ากนั้นเพียงไม่กี่วันกองทหารที่ไปทำการจับกุมก็ได้นำตัวบุคคลทั้ง ๓๓ นี้มาเข้าเฝ้าพระองค์ ณ ท้องพระโรง พระราชาครั้นทรงเห็นทหารของพระองค์จับโจรร้ายทั้ง ๓๓ คนนี้มาได้อย่างรวดเร็ว โดยมิได้เสียกำลังพลไปเลยแม้แต่เพียงสักผู้เดียวก็หาได้เฉลียวใจไม่ กลับทรงมีพระบัญชาให้เพชฌฆาตรีบนำตัวคนทั้ง ๓๓ นี้ไปให้ช้างเหยียบทันทีโดยที่มิได้ทำการไต่สวนแต่ประการใด

เหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นก็พลอยเป็นไปด้วย จักได้มีผู้ใดลุกขึ้นมาคัดค้านคำตัดสินของพระ ราชาแม้แต่เพียงสักผู้เดียวก็หาไม่ กลับปล่อยให้เลยตามเลยไปเสียนี่ ดังนั้นเพชฌฆาตจึงให้ทหารนำตัวบุคคลทั้ง ๓๓ นี้ไปยังแดนประหารทันที พอถึงก็สั่งให้พวกเขาทุกคนนอนคว่ำหน้าลงไปบนพื้น จากนั้นก็สั่งให้ช้างซึ่งทำหน้าที่เป็นมือเพชฌฆาตที่แท้จริง เข้าไปทำการเหยียบย่ำบุคคลเหล่านี้ให้แดดิ้นสิ้นชีพในทันที

ขณะนั้นมฆมานพมองเห็นพวกพ้องของตนต่างพากันหน้าซีดตัวสั่น ตกใจกลัวกันไปตามๆกัน เขาจึงตะโกนออก ไปด้วยเสียงอันดังว่า“ สหายเอ๋ย! เว้นจากเมตตาเสียแล้ว ที่พึ่งอย่างอื่นของพวกเราไม่มี ขอเพื่อนทั้งหลายจงทำความไม่โกรธให้มีขึ้นในจิตใจเถิด แหละขอให้พวกเราทุกคนจงพร้อมใจกันแผ่เมตตาจิตให้กับ พระราชา นายบ้าน แหละช้างตัวนี้ ด้วยกันถ้วนทั่วทุกคนเถิด ”

บรรดาพวกพ้องทั้ง ๓๓ คนเมื่อได้ฟังมฆมานพกล่าวเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันกำหนดจิตสำรวม พร้อมกันนั้นก็แผ่เมตตาไปให้กับพระราชา นายบ้าน แหละช้างที่กำลังจะเข้ามาเหยียบพวกตนตามที่เขากล่าว บัดนั้นเองด้วยอำนาจแห่งเมตตาจิตที่พวก เขาทั้ง ๓๓ แผ่ให้ไป ก็ปรากฏให้เห็นเป็นเหตุอัศจรรย์ขึ้นมา ช้างที่เคยดุร้ายเกรี้ยวกราดเห็นนักโทษนอนอยู่ที่พื้นไม่ได้ จักต้องวิ่งเข้าไปเหยียบไปย่ำให้มันบี้แบนทันทีนั้น จู่ๆก็บังเกิดมีความเมตตาสงสารขึ้นมา แทนที่จะพุ่งเข้าไปเหมือนเช่นทุกครั้ง มันกลับยืนนิ่งเฉยเป็นท่อนไม้ไปเสียอย่างงั้น มิว่านายควาญจักทำการจิกการสับอย่างไร มันก็หาจักได้ย่างเท้าออกไปแม้แต่เพียงก้าวเดียวไม่

ในที่สุดผู้เป็นควาญก็จนปัญญา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชามันได้ เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเมื่อเห็นเหตุการณ์ผิดแผกไปจากที่ควรจักเป็น จึงรีบนำความเข้าไปกราบทูลให้พระราชาได้ทรงรับทราบ องค์ราชาครั้นพอได้ฟังคำกราบทูลก็ทรงดำริอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรัสกับนายเพชฌฆาตว่า “ ช้างมันคงจักเห็นผู้คนเป็นจำนวนมาก มันก็เลยขยาดไม่กล้าที่จักเข้าไปเหยียบ ไม่ใช่เป็นด้วยเหตุอัศจรรย์อันใดดอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันท่านนายเพชฌฆาต เราจักสั่งให้ทหารนำเสื่อลำแพนไปคลุมปิดร่างกายของนักโทษเหล่านี้เสีย จากนั้นท่านค่อยให้นายควาญช้างไสช้างเข้าไปเหยียบพวกมันอีกที แล้วดูซิว่าครานี้มันจักยังมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกหรือไม่ ”

เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเมื่อได้รับพระบัญชาเช่นนั้นจึงรีบไปดำเนินการทันที แต่ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะเอาเสื่อลำแพนไปปิดคลุมร่างกายของนักโทษทั้ง ๓๓ นี้แล้วก็ตาม ทว่าเจ้าช้างเพชฌฆาตเชือกนี้ มันก็หาจักกล้าก้าวเท้าออกไปเหยียบบุคคลเหล่านี้ไม่ มิว่าจะบังคับอย่างไรมันก็ยังยืนนิ่งเหมือนเดิม ดังนั้นนายเพชฌฆาตจึงต้องกลับเข้าไปเรียนให้องค์ราชาได้ทรงรับทราบอีกครั้งเป็นหนที่สอง

พระราชาเมื่อทรงสดับคำกราบทูลในครั้งนี้จึงทรงครุ่นคิดอยู่ในพระทัยว่า “ ชะรอยหรือเรื่องนี้จักมีสาเหตุความนัย อย่ากระนั้นเลย เราควรจักเรียกบุคคลเหล่านี้เข้ามาสอบถามดูก่อน น่าจักเป็นการดี ” เมื่อทรงมีความคิดดังนี้แล้ว จึงทรงรับสั่งให้ทหารนำตัวนักโทษทั้ง๓๓ คนมาเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงอีกครั้ง จากนั้นจึงตรัสถามพวกเขาว่า “ นี่แนะ ! พวกเจ้าทั้งหลาย ข้าปกครองบ้านเมืองไม่ดีหรือไร ไฉนพวกเจ้าถึงได้ประพฤติตนเป็นโจรด้วยเล่า?”

มฆมานพครั้นได้ฟังองค์ราชาตรัสเยี่ยงนั้นก็ให้แสนประหลาดใจเป็นล้นพ้น จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระบาทแลพวกทั้ง ๓๓ นี้ หาได้ประพฤติตนเป็นโจรเยี่ยงดังที่พระองค์รับสั่งไม่ พระพุทธเจ้าข้า ” องค์ราชาเมื่อได้ฟังคำกราบทูลเช่นนั้นก็ให้นึกสงสัยขึ้นมา จึงตรัสถามไปว่า “ ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธว่ามิได้เป็นโจร แล้วไฉนนายบ้านจึงบอกต่อเราว่าพวกเจ้าชอบก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่ม เที่ยวออกตระเวนปล้นสะดมชาวบ้าน ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เป็นประจำด้วยเล่า ? ”

มฆมานพพอได้ฟังจอมราชาตรัสดังนั้น จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ข้าพระบาทแลพวกทั้ง ๓๓ นี้ หาได้ประพฤติตนเยี่ยงดังที่นายบ้านกราบทูลไว้ไม่ การที่ข้าพระบาทแลพวกได้มารวม ตัวกันเป็นกลุ่มนั้น ก็เพื่อจักร่วมกันทำถนนหนทางที่แต่เดิมมันรกมันชัฏ เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือขรุขระไม่ราบเรียบอยู่นั้น ให้มันโล่งมันเตียน แลให้มันราบมันเรียบขึ้นมา เพื่อผู้คนสัญจรไปมา จักได้เดินทางกันได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเหมือนดังแต่ก่อน แหละผลจากการนี้ก็คือ อานิสงส์ผลบุญที่พวกข้าพระบาททั้งหลายจักพึงได้เก็บเอาไว้เป็นเสบียงสำหรับไว้ใช้ในสัมปรายภพภายภาคหน้า หาได้ออกเที่ยวปล้น สดมภ์ชาวบ้านตามคำกล่าวของนายบ้านไม่

ส่วนเหตุที่นายบ้านกล่าวหาว่าข้าพระบาทแลพวกเป็นโจรนั้น คงเป็นเพาะว่ามีอยู่วันหนึ่งนายบ้านได้เข้ามาพูดกับพวกของข้าพระบาทว่า พวกข้าพระบาทควรจะเอาเวลาเหล่านี้เข้าป่าไปล่าสัตว์ หาเนื้อหาปลามาปิ้งมาย่างกินกัน ยังจักดีกว่ามามัวเสียเวลาหักร้างถางพงอยู่อย่างนี้ ซึ่งมันมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นมา พอข้าพระบาทแลพวกได้ฟังนายบ้านกล่าวเช่นนั้น ก็มิได้มีผู้ใดใครคนหนึ่งจักกระทำตามที่เขากล่าวแม่แต่เพียงสักผู้เดียว เนื่องจากสิ่งที่นายบ้านกล่าวออกมานั้น มันคือหนทางที่จักนำสัตว์โลกทั้งหลายไปสู่ อบาย ทุคติ หรือวินิบาต ซึ่งข้าพระบาททั้งหลายหาได้ต้องการเช่นนั้นไม่

นายบ้านเมื่อเห็นพวกข้าพระบาทมิได้กระ ทำตามที่เขาแนะนำ ก็คงคิดผูกใจเจ็บเสียเป็นแน่แท้ ด้วยว่าตนนั้นมีนิสัยเป็นพาล เหตุ นั้นเขาจึงได้นำความเท็จมากราบทูลต่อพระองค์ว่าข้าพระบาทแลพวกเป็นโจร เรื่องราว ก็เป็นดังที่ได้กราบทูลมาด้วยประการฉะนี้ พระพุทธเจ้าข้า ”

องค์ราชาเมื่อได้ทรงรับ ทราบถึงข้อเท็จจริงแล้ว ก็ให้แสนพิโรธโกรธเคืองนายบ้านเป็นอย่างยิ่ง ทรงตวาดออก ไปด้วยเสียงอันดังว่า “ เหม เหม่ ! เจ้าพาลต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน การกระทำของเจ้านี้มันช่างชั่วช้าน่าชิงชังนัก อันที่จริงข้าควรจักสั่งประหารเจ้านั้นแล ถึงจึงจักสาสมกับความผิดที่กล้าบังอาจมาหลอกลวงข้าได้ แต่หากข้าทำเช่นนั้น เห็นทีตัวข้าก็คงไม่แคล้วต้องตามเจ้าไปลงอบายด้วย อย่ากระนั้นเลย ข้าขอปลดเจ้าออกการเป็นนายบ้านนับตั้ง แต่บัดนี้เป็นต้นไป แหละขอแต่งตั้งให้เจ้าหนุ่มหัวหน้าผู้นี้ ขึ้นเป็นนายบ้านแทนเจ้า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เป็นของเจ้าไม่ว่าจักเป็นที่ดินบ้านช่อง ข้าทาส บริวาร ช้างม้าวัวควาย ตลอดจนถึงบุตรภรรยา ก็ขอให้ตกเป็นของเขาด้วยเช่นกัน แลสำหรับเจ้าช้างเพชฌฆาตเชือกนี้ เมื่อมันไม่กล้าเหยียบพวกเจ้าให้แดดิ้นสิ้นใจไป ก็ถือเสียว่าพวกเจ้าแลมันเคยมีวาสนาผูกพันกันมาก่อน ดังนั้นข้าจักขอยกมันให้เป็นสมบัติของพวกเจ้าทั้ง ๓๓ คนด้วย ก็แล้วกัน
คำตัดสินของข้ามีดังนี้ พวกเจ้าทั้ง ๓๓ จักมีความคิดเห็นเป็นประการใด ”

มฆหนุ่มและพวกเมื่อได้ฟังจอมราชาตัดสินความเช่นนั้นก็ให้แสนลิงโลดดีใจเป็นล้นพ้น รีบก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทโดยพร้อมเพียงกันพร้อมกับกราบทูลว่า“ ทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อพวกของข้าพระบาทอย่างล้นพ้นพระพุทธเจ้าข้า” หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พากันกราบบังคมทูลลาองค์ราชา กลับคืนสู่ยังบ้านเรือนของตน ระหว่างทางกลับบ้านนั้นต่างคนต่างก็พากันวิพากย์วิจารณ์ถึงความอัศจรรย์แห่งอานิสงส์ผลบุญที่พวกเขาได้พากันสร้างพากันทำไว้

ซึ่งไม่มีใครคาดคิดเลยว่ามันจักเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่บุญจะมาให้ดอกออกผลได้อย่างรวดเร็วถึงปานฉะนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือ เชื่อเสียจริงๆ นี่แหละหนาที่เหล่าบัณฑิตเขากล่าวกันว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ที่ประพฤติธรรม นั้น มันช่างเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนเสียนี่กระไร หลังจากที่ได้วิพากย์วิจารณ์ถึงความอัศจรรย์แห่งอานิสงส์ผลบุญกันอย่างไม่รู้จักเบื่อจักหน่ายกันแล้ว พวกเขาต่างก็แย่งกันสลับกันขึ้นขี่ช้างกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางกลับบ้านนั้นเอง

หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วิกฤตมาได้อย่างไม่คาดฝัน มฆมานพแลพวกทั้ง ๓๓ ต่างก็มีศรัทธามั่นคงเหนียวแน่นในบุญมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก ทุกคนต่างพยายามที่จะประกอบกองการกุศลกันแทบจะไม่เว้นในแต่ละวัน จักได้มีผู้ใดปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ไร้ค่านั้น ก็หาไม่ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งพวกเขาได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า หลังจากที่พวกเขาได้สร้างถนนหนทางให้ผู้คนได้ใช้สัญจรไปมา จนเป็นที่สะดวกสบายแล้ว ระยะเวลาที่ผ่านมานี้พวกเขายังมิได้มีการสร้างอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน อันจักก่อให้เกิดอานิสงส์ผลบุญใหญ่ๆขึ้นมาเลย พวกเขาควรที่จักสร้างอะไรสักอย่างที่มันยิ่งใหญ่ และเป็นมหาบุญมหากุศลสำหรับพวกเขาอีกสักครั้ง ท่าจะเป็นการดี เอาให้มันเป็นที่โจษขานของประชาชนคนทั่วไปเลย แต่ทว่าจะสร้างอะไรดีหนอ ?

หลังจากที่ได้พยายามระดมความคิดกันเองภายในกลุ่มแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า พวกเขาควรจักสร้างศาลาหลังใหญ่ๆขึ้นมาสักหลัง ตั้งอยู่บนทางสี่แพร่งมีถนนสองสายมาตัดกัน แหละศาลาหลังนี้ต้องเป็นศาลาที่กว้างขวางใหญ่โตกว่าศาลาใดๆทั้งหมดที่เคยมีมา ต้องเป็นศาลาที่แข็งแรงทนทาน สามารถกันแดดกันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี โดยจักต้องเป็นศาลาที่สร้างขึ้นจากไม้เนื้อแข็งชั้นดีเท่านั้นมาประกอบกันขึ้น

เมื่อทุกคนต่างมีความเห็นพ้องตรงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงพากันไปว่าจ้างช่างไม้ให้มาดำเนินการก่อสร้างทันที แต่มีข้อแม้อยู่ประการหนึ่งว่า ศาลาหลังนี้พวกเขาตกลงกันว่าจะไม่ให้พวกมาตุคาม( พวกผู้หญิง ) เข้ามายุ่มย่าม หรือมามีส่วนร่วมด้วยเป็นอันขาด เนื่องจากหากปล่อยให้พวกนางเข้ามามีสิทธิ์มีเสียง หรือมาร่วมบุญด้วยแล้ว เห็นทีว่าโครงการนี้คงไม่แคล้วจักต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นแน่ เผลอๆดีไม่ดีโครงการอันสวยหรูของพวกเขาอาจจักถึงขั้นล้มเหลวลงไม่เป็นท่าก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าปล่อยให้พวกนางได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยจักเป็นการดีที่สุด

หลังจากที่ได้ทำการตกลงว่าจ้างช่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถัดจากนั้นมาไม่กี่วันพวกเขาทั้ง ๓๓ คนพร้อมด้วยนายช่างก็ได้มารวมตัวกันที่บ้านของมฆมานพเพื่อพูดคุยกันในรายละเอียดเรื่องการก่อสร้าง ระหว่างที่พวกเขากำลังประชุมปรึกษาหารือกันอยู่นั้น นางสุธรรมา ซึ่งเป็นหนึ่งในภรรยาของมฆมานพในจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ด้วยกันสี่คนคือ สุธรรมา สุนันทา สุจิตรา และสุชาดา ก็ได้สังเกตุเห็นว่าสามีตนแลบรรดาเพื่อนๆกำลังคิดทำการอันใดสักอย่างเป็นแน่แต่มิได้บอกให้พวก นางที่เป็นภรรยารับทราบ

ดังนั้นหลังจากที่การประชุมเสร็จสิ้นลงทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับบ้าน นางจึงแอบเดินตามนายช่างไป ครั้นพอเห็นว่าปลอดคนจึงตะโกนเรียกให้เขาหยุดก่อน จากนั้นจึงเข้าไปพูดเรียบเคียงถามถึงสาเหตุความนัย นายช่างแรกๆนั้นก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกความจริงว่าพวกของมฆมานพทั้ง ๓๓ คนว่าจ้างตนให้มาทำอะไร แต่พอนางรบเร้าหนักเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินจ้างรางวัลที่นางนำขึ้นมาล่อนั้น มันช่างยั่วใจยวนตาเสียนี่กระไร ในที่สุดก็ทนไม่ได้ ต้องหลุดปากบอกความจริงให้นางได้รับ ทราบ นางสุธรรมาพอทราบว่าสามีและเพื่อนๆคิดจักสร้างกองการมหากุศลแต่ไม่ยอมบอกให้พวกนางที่เป็นภรรยารับรู้ เพราะกลัวว่าพวกนางจะมาขอมีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ด้วย ก็เกิดความคิดที่จักแก้ลำเสียให้เข็ด

ดังนั้นจึงพูดหว่านล้อมนายช่างหวังจักให้เข้ามาเป็นพวกว่า “ พี่ช่างเอ๋ย! อันว่าบุญนั้นใช่ว่าจักจำกัดด้วยเพศก็หาไม่ หรือว่าจักจำกัดด้วยวัยก็หาไม่ มิว่าจักเป็นบุรุษฤาสตรี หรือมิว่าจักเป็นชราฤาทารก ย่อมมีสิทธิ์ที่จักประกอบกองการกุศลได้เท่าเทียมกันหมด พี่ช่างว่าจริงมั้ยจ๊ะ? ขอวอนพี่ช่างจงให้ฉันได้มีส่วนร่วมในการสร้างกองการกุศลครั้งนี้ด้วยเถิด นะพี่นะ”

ไม่เพียงแต่แค่วิงวอนด้วยคำพูดเท่านั้น ว่าแล้วนางก็หยิบเอาห่อผ้าที่พกติดตัวออกมา พร้อมกับคลี่ออกเผยให้เห็นถึงสิ่งของที่อยู่ข้างใน ซึ่งล้วนแต่เป็นทองคำก้อนขนาดประมาณหัวแม่มือ เหลืองอร่ามเปล่งปลั่งสะดุดตาสะดุดใจเสียยิ่งนัก นายช่างเพียงแค่ได้เห็นรัศมีแห่งทองคำเท่านั้น ก็ ถึงกับเกิดอาการตาลายพร่างพราย คำปฏิเสธที่กำลังจะหลุดจากปากอยู่นั้นก็พลันเงียบหายไปโดยปริยาย รีบตกปากรับคำไปทันทีว่าจะให้นางได้มีส่วนร่วมในการสร้างกองการกุศลครั้งนี้ด้วยอย่างแน่นอน นางสุธรรมาครั้นเมื่อเห็นว่าตนกำลังเป็นต่อ จึงรีบบอกนายช่างต่อไปอีกว่า “ พี่ช่างจ๊ะ! ศาลาที่พี่จะสร้างนี้ ขอให้ฉันได้เป็นใหญ่เหนือกว่าใครทั้งหมดได้มั้ยจ๊ะ ? ”

นายช่างหลังจากที่รับเอาห่อทองคำจากนางมาแล้ว ระหว่างที่กำลังผูกมัดผ้าที่ใช้ห่อทองคำที่นางให้มาอย่างแน่นหนานั้น พอได้ฟังนางขอร้องมาก็มิ ได้คิดหน้าคิดหลังอันใด รีบตกปากรับคำไปทันทีว่า “ จะเป็นไรไปเล่าแม่หญิงสุธรมมา ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจักรีบไปตัดเอาไม้ที่จักใช้สำหรับไว้ทำเป็นช่อฟ้า มาตากรอท่าไว้เลย พอแห้งดีเมื่อไหร่ก็จะสลักชื่อของแม่หญิงลงบนไม้แผ่นนี้ และจะแอบเอาไปซ่อนไว้ที่เรือนของแม่หญิง พอศาลาสร้างเสร็จเมื่อไหร่จักทำพิธีเปิดศาลา ข้าพเจ้าก็จักแกล้งบอกบรรดานายท่านทั้งหลายว่าข้าพเจ้าลืมจัดเตรียมแผ่นไม้สำหรับใช้ทำช่อฟ้าไว้

ทีนี้เมื่อถึงเวลาจักทำพิธีเปิดศาลาแต่หาแผ่นไม้มาทำช่อฟ้าไม่ทัน พวกเขาก็จักต้องมาวอนง้อขอเอากับแม่หญิงเอง ทีนี้แหละแม่หญิงเอ้ย ! แม่จักเรียกร้องอย่างไพวกเขาหรือจักกล้าปฏิเสธขัดใจแม่หญิงได้ แหละพอเมื่อพวกเขาเอาช่อฟ้าของแม่หญิงไปติดแล้ว ทีนี้พอแขกไปใครมาได้มาพักที่ศาลาหลังนี้แล้ว พวกเขาก็จักเห็นว่าศาลาหลังนี้มีชื่อว่า ศาลาสุธรรมา รับรองเลยว่านับแต่นี้ต่อไป ชื่อเสียงของแม่หญิงจักต้องขจรขจายจนเป็นที่รู้จักกันดีของชนทั่วไปเป็นแน่ ”

นางพอได้ฟังนายช่างช่างจำนรรจากล่าวเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกเป็นสุขใจอย่างยิ่ง รีบกำชับกำชาเขาเป็นอย่างดีว่าอย่าได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้แก่และกันเป็นอันขาด จากนั้นจึงได้อำลาเขากลับไปยังเคหสถานบ้านเรือนตน

จำเนียรกาลผ่านไป ในที่สุดศาลาหลังใหญ่ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นแรมปีก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยมิได้มีอุปสรรคใดๆขัดขวางทั้งสิ้น จากที่เร่งวันเร่งคืนอยาก จะให้ศาลาเสร็จโดยไว ทันทีที่ศาลาเสร็จมฆมานพและพวกก็แทบจะอดใจเอาไว้ไม่ไหว อยากจะเปิดศาลาให้ผู้รอนแรมเดินทางได้ใช้สำหรับเป็นที่พักผ่อนหลับนอน กันในวันนี้พรุ่งนี้เสียเลยถ้าเป็นไปได้ ขณะที่กำลังสนทนากันอย่างมีความสุขอยู่นั้น

จู่ๆพวกเขาทั้ง ๓๓ ก็ได้ยินเสียงอุทานของนายช่างดังขึ้นมาว่า“ ตายจริงนายท่าน ! ข้าพเจ้าลืมเสียสนิทเลยว่ายังมิได้จัดทำช่อฟ้าที่จักใช้เป็นป้ายชื่อของศาลาหลังนี้เอาไว้ นายท่านทั้งหลายก็อยากจักเปิดศาลาให้ได้กันในวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วย แล้วอย่างนี้จักทำเช่นไรกันดีเล่าขอ- รับ?” มฆมานพและพวกเมื่อได้ฟังนายช่างบอกอกเช่นนั้น ก็สั่งให้เขารีบไปดำเนินการจัดทำช่อฟ้าเป็นการด่วนเลย เพราะพวกตนต้องการที่จะเปิดศาลาหลังนี้ให้ได้ภายในเช้าวันพรุ่งนี้ เนื่องจากหากช้าไปหนึ่งวันบุญของพวกเขาก็ต้องหายไปหนึ่งวันด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้

นายช่างเจ้าเล่ห์ครั้นเมื่อเห็นพวกของมฆมานพต่างพากันร้อนใจในเรื่องนี้จึงแกล้งตอบไปอย่างอิดๆออดๆว่า“ เรียนนายท่าน ไม้ที่จักใช้นำมาทำเป็นช่อฟ้านั้น ไม่สามารถที่จักใช้ไม้ที่เพิ่งตัดออกมาใหม่ๆสดๆมาทำได้ นะขอรับ ไม้ที่จักทำได้ต้องเป็นไม้ที่ผ่านการตากจนแห้งสนิท ไม่สามารถที่จักยืดหรือหดตัวได้อีก อย่างน้อยต้องตากทิ้งไว้ปีหรือครึ่งปี น่ะขอรับ”

มฆมานพและพวกเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ต่างก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน“ อ้าว ! แล้วอย่างนั้นจักทำอย่างไรกันดีเล่า ? ” นายช่างหัวใสเมื่อเห็นว่าพวกของมฆมานพทั้ง ๓๓ หลวมตัวเข้าแผนของตนแล้ว จึงเสทำเป็นยืนคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “ ใจเย็นๆไว้ก่อนนายท่าน ในเมื่อพวกเราไม่สามารถที่จะจัดหาแผ่นไม้ที่มีคุณสมบัติดังว่ามาทำเป็นช่อฟ้าได้ทันภายในเวลาที่กำหนด ไฉนเราจึงไม่หาขอซื้อเอาจากผู้ที่มีแผ่นไม้ดังกล่าว เล่าขอรับ ”

เมื่อทุกคนได้ฟังข้อเสนอของนายช่างเช่นนั้นก็มีผู้หนึ่งในจำนวน ๓๓ คนได้ถามนายช่างไปว่า“ แล้วพวกเราจักไปหาซื้อกันได้ที่ไหนเล่าท่านนายช่าง ? ” ช่างใหญ่เมื่อได้ฟังคำถามก็แกล้งทำเป็นหลับตานิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทำเป็นตาลุกวาวตอบไปว่า“ ข้าแต่นายท่านทั้งหลาย หากจำไม่ผิดดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจักเคยเห็นแผ่นไม้ลักษณะนี้วางทิ้งอยู่บนเรือนของนางสุธรรมาแผ่นหนึ่ง พวกเราน่าจักไปขอซื้อเอาจากนางได้ ขอรับ”

เมื่อทราบดังนั้นพวกเขาทั้ง ๓๓ คนพร้อมด้วยนายช่าง จึงรีบพากันไปยังเรือนของนางสุธรรมาทันที ด้านนางสุธรรมาเมื่อเห็นสามีและเพื่อนๆต่างพากันยกโขยงมายังบ้านตน ก็รู้แล้วว่าแผนที่นางได้วางไว้กับนายช่างเจ้าเล่ห์เริ่มสัมฤทธิ์ผลแล้ว ดังนั้นจึงรีบลุกออกจากเรือนไปทำการต้อนรับพวกเขาด้วยกิริยาที่ยิ้มแย้มเบิกบาน หลังจากทักทายปราศรัยกันตามมารยาทเป็นที่เรียบ ร้อยนางจึงเอ่ยปากถามไถ่ถึงสาเหตุว่าที่มาหานางนั้นมีด้วยกิจธุระอันใดฤา หรือต้องการจะให้นางรับใช้ในสิ่งใด ก็ขอให้บอกมาได้เลย

มฆมานพเมื่อได้ฟังนางกล่าวออกมาเหมือนกับจักเป็นการเปิดทางให้กรายๆ จึงค่อยๆเรียบๆเคียงๆ หวังจักตะล่อมให้นางมิทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกตนว่า “ น้องหญิงสุธรรมาของพี่จ๊ะ! พี่ได้ยินมาว่าที่เรือนของเจ้านั้นมีแผ่นไม้ที่เก่าคร่ำคร่าอยู่แผ่นหนึ่ง วางทิ้งอยู่เฉยๆมิได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อันใด รังแต่จักเป็นที่เกะกะ ทำให้บ้านช่องห้องหอไม่สะอาดสะอ้านงดงาม เผลอๆดีไม่ดียังอาจจักพานกลายไปเป็นอาหารของพวกบรรดาปลวกมอดทั้งหลายอีก ก็เป็นได้ แล้วจักพลอยพาให้บ้านเรือนต้องถึงการพินาศฉิบหาย ด้วยถูกเจ้าพวกแมลงชั่วร้ายเหล่านี้กัดกิน

พี่พอได้ยินนายช่างเล่าให้ฟังแล้วก็ให้รู้สึกไม่ใคร่สบายใจเลย เกรงว่าเพราะเรื่องแค่เพียงเล็กน้อยอันเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของน้อง มันจักพานกลายไปเป็นเรื่องราวลุกลามใหญ่โต จนถึงกับทำให้บ้านช่องต้องพินาศลงได้ มันช่างเป็นการที่ไม่สมควรจริงๆเลยใช่มั้ยจ๊ะ บังเอิญแท้ๆเพลานี้พวกพี่มีความจำเป็นจักต้องใช้ไม้ ที่มีลักษณะดังกล่าวนี้อยู่พอดี ดังนั้นจึงถือเป็นโชคของน้องเสียจริงๆ ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองจ้างใครให้เอาไปทิ้งให้มันสิ้นเปลือง ประเดี๋ยวพวกพี่จักจัดการเอง ไม่ทราบว่าน้องหญิงมีความคิดเห็นเป็นประการใด ? ”

มฆมานพระหว่างที่พูดว่านล้อมภรรยาอย่างยืดยาวนั้นเขาก็มักแอบชำเรืองสายตาไปทางพรรคพวกของตนอยู่บ่อยครั้ง เหมือนดังกับจะถามพรรคพวกว่า เป็นงัยล่ะ ? ตัวเขาแน่มั๊ย ? ซึ่งบรรดาสหายทั้ง ๓๒ คนเมื่อได้เห็นลีลาการตะล่อมภรรยาของมฆมานพในครั้งนี้ ทุกคนต่างก็นิยมยกย่องเขา กันจนหมดหัวใจ พากันก้มหัวพยักหน้าให้ปลกๆทุกครั้งที่เขาพูดจบประโยค จนทำให้นางสุธรรมาแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ นางรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียยิ่งนักเมื่อได้ฟังผู้เป็นสามีกล่าวคำหวานหลอกล่อตนโดยการชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อจักขอเอาแผ่นไม้นี้ไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพูดจบนางจึงแสร้งตอบกลับไปว่า

“ พ่อทูนหัวของน้องเอ๋ย ! การที่พวกพ่อต่างมีน้ำจิตน้ำใจคิดจักช่วยน้องด้วยการนำแผ่นไม้นี้ไปนั้น น้องรู้สึกซาบซึ้งในความปรารถนาดีของพวกพ่อเสียเหลือเกิน แต่ทว่าจริงๆแล้วแผ่นไม้นี้มันมิได้ถูกทิ้งขว้างอย่างเปล่าประโยชน์ดอก น้องตั้งใจจักเก็บเอาไว้ใช้ทำเป็นช่อฟ้าของศาลาที่น้องคิดจักสร้างขึ้นมาในวันข้างหน้าถ้ามีโอกาส เพราะว่าไม้ที่จักใช้นำมาทำเป็นช่อฟ้าได้นั้น จักต้องเป็นไม้ที่ตากจนแห้งสนิท ไม่ยืดหรือหดตัวได้อีก อย่างน้อยต้องตากทิ้งไว้เป็นปีหรือครึ่งปีนั้นแล จึงจักใช้ได้ แหละไม้แผ่นนี้ก็ตากจนแห้งอยู่ตัวแล้ว ไม่มีการยืดหรือหดอีก เหมาะที่จักใช้ทำเป็นช่อฟ้าที่สุด

ฉะนั้นน้องต้องขอขอบใจในความเป็น หว่งเป็นใยของพวกพ่ออีกครั้ง แต่น้องคงจักให้พวกพ่อไปไม่ได้ดอก ส่วนเรื่องของปลวกของมอดนั้นขอพ่อทั้งหลายอย่าได้เป็นหว่งเลย น้องคอยหมั่นตรวจตราดูแลในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นขอพ่อจงวางใจได้ในเรื่องนี้ นอกจากเรื่องของไม้แผ่นแล้ว ไม่ทราบพวกพ่อยังมีธุระอันใดกับน้องอีกหรือไม่ เห็นยกพวกพากันมาตั้งมากตั้งมายถึงปานฉะนี้ ”

บรรดาชายฉกรรจ์ทั้งหลายเมื่อได้ฟังนางตอบกลับมาเป็นที่ผิดคาดเช่นนั้น แถมยังพูดเป็นทำนองเหมือนกับจักระแคะระคายถึงแผนการของพวกตนด้วยอีกต่างหาก ต่างก็พากันแสดงอาการอึกๆอักๆออกมา ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะสบตากับนางตรงๆ ฝ่ายมฆมานพผู้เป็นหัวหน้า เมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกผลันไป เพื่อต้องการลดความกระดากอายของพรรคพวกตน จึงเสแกล้งพูดไปว่า

“โอ๊ะโอ้น้องหญิงของพี่ ! แม่ช่างเป็นหญิงที่มีจิต ใจเป็นบุญเป็นกุศลเสียนี่กระไร พี่และพวกๆเมื่อทราบถึงความประสงค์ของน้องเช่นนี้ ก็ขออนุโมทนาในบุญกับน้องด้วย แต่ทว่าศาลาที่น้องคิดจักสร้างนั้นมันยังเป็นเพียงแค่ความปรารถนาเท่านั้นมิใช่ รึ ? มิรู้ว่าจักสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉะนั้นหากพวกพี่จักขอซื้อเอาไม้แผ่นนี้ไป แม่จักเห็นเป็นประการใด ?” นางสุธรรมาพอได้ฟังสามีผู้มากคารมต่อ รองเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าตนเองเริ่มที่จะเป็นต่อ จึงตอบไปว่า




“ โอ๊ะโอ๋พ่อคนดีของน้องเอ๋ย ! ไฉนพ่อจึงได้กล่าวเช่นนั้นฤา เราต่างเป็นสามีภรรยากัน
มาก็นานโขแล้ว ไฉนกับเพียงแค่ไม้แผ่นหนึ่ง ถึงจึงจักต้องถึงขั้นซื้อขายกันเชียวหรือ ? เห็นทีไม้แผ่นนี้คงจักมีความ สำคัญต่อพ่อแลสหายมากทีเดียว ไม่ทราบว่าพอจักบอกน้องได้ไหมว่าพ่อจักเอามันไปทำอะไร ”

เมื่อได้ฟังนางถามกลับมาเช่นนั้นมฆหนุ่มแลพวกจึงต่างพากันหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักตอบนางอย่างไรดี ในที่สุดเมื่อไม่มีใครกล้าตอบ มฆมานพผู้ทำหน้าที่เจรจาอยู่แล้วจึงตัดสินใจตอบภรรยาแทนสหายไปว่า

“ น้องหญิงของพี่ ในเมื่อเจ้าถามพี่มาเช่นนี้ก็ดีแล้ว ไหนๆเจ้าก็ต้องจักทราบความจริงอยู่แล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งในภายภาคหน้า อย่างนั้นพี่จักขอบอกให้เจ้าได้ทราบในวันนี้เลยก็แล้วกัน เหตุที่พี่แลสหายพากันมาหาเจ้าถึงเรือนนั้น ก็เพราะทราบมาว่าที่เรือนของเจ้านั้นมีแผ่นไม้อยู่แผ่นหนึ่ง เหมาะที่จักใช้ทำเป็นช่อฟ้า เนื่องจากพวกพี่ได้ร่วมกันสร้างศาลาหลังใหญ่ขึ้นมาหลังหนึ่ง แลมันก็ได้สำเร็จลุล่วงบริบูรณ์แล้วในวันนี้

พี่แลสหายทั้งหมดตั้งใจกันว่าจักทำพิธีเปิดศาลาให้เป็นที่พักอาศัยแก่สาธารณะชนกันในวันพรุ่งนี้ แต่บังเอิญพวกพี่กลับลืมเสียสนิทไปว่า ยังมิได้จัดทำช่อฟ้าเตรียมรอไว้ มารู้อีกทีก็ไม่ทันการแล้ว ไม่รู้จักหาไม้ที่ไหนมาทำช่อฟ้าได้ โชคดีนายช่างบอกว่าห็นมีอยู่ที่เรือนเจ้าแผ่นหนึ่ง ดังนั้นพวกพี่จึงได้ยกพวกกันมาที่เรือนเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล ”

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของสามีทั้งๆที่ทราบเรื่องดีอยู่แล้ว นางสุธรรมาจึงกล่าวกับพวกเขาทั้งหลายไปว่า “ พ่อคุณเอ๊ย ! พวกพ่อทั้งหลายนี่ช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามเสียนี่กระไร พ่อยอมลำบากลำบน พ่อยอมทนเหน็ดทนเหนื่อย ยอมเสียกำลังกายกำลังทรัพย์ ยอมเสียสละเวลา แทนที่จักเอาไปหาความสุขใส่ตน ด้วยการเที่ยวเตร่กินเหล้าเมายา เกี้ยวพานารี เยี่ยงดังบุรุษมากมีเขาทำกัน แต่พวกพ่อกลับนำมาทุ่มเทให้กับการสร้างสาธารณประโยชน์ มันช่างเป็นโชคของผู้คนเสียจริงๆ จักได้มีที่พักพิงหลับนอน ระหว่างแรมรอนไกลบ้าน ไม่ต้องไปนอนค้างอยู่กลางป่า ให้มันเสี่ยงต่อภัยนานาสารพัด อานิสงส์แห่งการนี้ คงจักมากมีเสียยิ่งนัก หากพวกพี่ๆไม่ติดขัด น้องจักขอแบ่งรับด้วยเป็นไร สำหรับเรื่องของช่อฟ้า น้องขออนุโมทนาพร้อมยกให้ ผองพี่ยาเห็นเป็นประการใด โปรดดสินใจบอกมา ”

บรรดาบุรุษทั้งหลายเมื่อได้ฟังนางกล่าววาจาไพเราะเสนาะโสต ชมเชยพวกตนต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ต่างก็พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันไปตามๆกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าภรรยาของมฆมานพผู้นี้ นางช่างเป็นหญิงที่มีกิริยาอ่อนหวาน วาจานุ่มนวลเสียนี่กระไร แต่ทว่าพอนางเอ่ยถามประโยคสุดท้ายเท่านั้น ยิ้มที่กำลังบานอยู่จนแทบจักเห็นฟันหมดทั้งปากนั้น ต่างก็พากันหุบลงกันแทบจะไม่ทัน ต่างคนต่างก็มองหน้ากันให้เลิ่กลั่ก ไม่มีผู้ใดกล้าที่จักตอบคำถามของนางแม้สักคนเดียว

ฝ่ายนายช่างเจ้าเล่ห์ที่ตั้งแต่มาถึง ก็ได้เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลา ครั้นมาถึงบัดนี้ หากว่าเขาไม่กระทำการอันใดสักอย่างแล้วไซร้ เห็นทีว่าการนี้สัญญาที่เขาได้ตกลงไว้กับนางสุธรรมา อาจจักต้องถึงขั้นล้มเหลวลงไปก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นพูดไปว่า

“ นายท่านทั้งหลายนี่ก็กระไรเลย ! เว้นจากพรหมโลกเสียแล้ว มีที่ไหนบ้างเล่าที่ไม่มีสตรี ข้าพเจ้าเห็นว่าความคิดที่ว่าจักมิให้มาตุคามมามีส่วนร่วมในกองการกุศลครั้งนี้นั้น ควรจักตัดไปก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ จักทำอย่างไรถึงจักเปิดศาลาให้ประชาชนคนทั่วไปที่ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือผู้ที่รอนแรมเดินทางไปมา ได้พักอาศัยหลับนอนในศาลาหลังนี้ต่างหาก นายท่านทั้งหลายเห็นเป็นประการใด ? หากให้นางได้มีส่วนร่วมในกองกุศลครั้งนี้ พรุ่งนี้พวกเราก็จักได้ฉลองกระทำพิธีเปิดศาลากัน เอาให้มันเป็นที่อึกทึกครึกโครมเลยทีเดียว ”

มฆมานพและพวกพอได้ฟังนายช่างผู้มีศิลปะในการเจรจา ชี้แจงให้เห็นถึงเหตุแลผลแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ยอมให้นางสุธรรมาได้มีส่วนร่วมในกองการกุศลครั้งนี้ด้วย ดังนั้นศาลาหลังนี้จึงได้ชื่อว่า ศาลาสุธรรมา นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ลักษณะโดยทั่วไปของศาลานี้ เป็นศาลาชั้นเดียว ยกสูงเหนือพื้นประมาณสองศอก พื้นของศาลาปูด้วยกระดานเนื้อแข็งอย่างดีจำนวน ๓๓ แผ่น ซึ่งมฆมานพและพวกต่างก็พากันไปคัดสรรเลือกเฟ้นกันมาคนละแผ่น พื้นที่โดยรวมทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆด้วยกันคือ ส่วนหนึ่งใช้สำหรับเป็นที่พักของคนยากจนเข็ญใจ อีกส่วนหนึ่งใช้สำหรับเป็นที่อาศัยของผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยอนาถา และส่วนที่สามใช้สำหรับเป็นที่พักผ่อนของผู้ที่สัญจรผ่านทาง

ในพื้นที่ส่วนที่สามนี้ ถ้าหากว่าแขกผู้มาพักจำเป็นจักต้องค้างแรม พวกของมฆมานพ
ก็ได้ทำการตกลงกันว่า หากแขกผู้นั้นนั่งหรือนอนอยู่บนกระดานของใคร เจ้าของ กระดานแผ่นนั้นก็จักต้องนำแขกคนนั้นขี่ช้างพระราชทานไปพักค้างแรมที่ยังบ้านของตน พร้อมทั้งทำการปรนนิบัติพัดวีเขาให้ได้รับความสุขความสบาย

โดยอย่าให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด เช่นจัดเตรียมของอุปโภคแลบริโภคมาให้ ตักหาน้ำท่ามารอไว้ นำหมอนนำมุ้งตลอดจนผ้าห่มผ้าคลุมมาให้ใช้กางกันยุงหรือห่มกันหนาว หากแขกผู้นั้นเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็ต้องนำหยูกยามาให้ พร้อมทั้งดูแลจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติดี เป็นต้น

จากการที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้ที่มาพักอาศัยอย่างดีเลิศนี้เอง ในเวลามิช้ามินานเท่าใด ศาลาสุธรรมาแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นรัมมณียสถาน ที่ผู้คนทั้งหลายต่างพากันก็รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จนมีชื่อเสียงเลื่องลือขจรขจายไปไกลถึงต่างแคว้นแดนเมือง

ย้อนมาทางด้านของนางสุนันทาแลนางสุจิตราบ้าง นางทั้งสองนี้เมื่อได้เห็นนางสุธรรมาได้มีส่วนร่วมในกองการกุศลครั้งใหญ่กับสามี แต่ทว่าพวกตนทั้งสองกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย ก็ให้รู้สึกว่าตนนั้นช่างเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญาเสียนี่กระไร กลับปล่อยให้นางสุธรรมาได้มีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ไปแต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้นพวกนางจึงได้ปรึกษาหา รือกันว่าจักทำอย่างไรดี ถึงจักได้เข้าไปมีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้กับเขาด้วย ในที่สุดนางสุนันทาก็เกิดความคิดว่า นางน่าจักจ้างให้ใครมาขุดสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ๆขึ้นมาสักสระ เผื่อว่าในยามที่อากาศเกิดร้อนอบอ้าวแขกที่มาพักยังศาลาอยากจักอาบน้ำชำระร่างกายให้มันสดใสแช่มชื่น ก็จักได้สามารถลงไปสระสรงคงคาในสระของนางได้เลย ไม่ต้องทนอมเหงื่ออมไคลให้มันเหนียวเหนอะหนะไม่เป็นที่สบายเนื้อสบายตัว

ฝ่ายนางสุจิตราเมื่อเห็นว่านางสุนันทาคิดวิธีการที่จักมีส่วนร่วมในบุญได้แล้ว นางก็ให้รู้สึกว่าชักจักไม่ได้การแล้ว นางจักต้องรีบหาวิธีการที่จักเข้าไปมีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ให้ได้ คิดมาคิดไปในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้ว่า หลังจากที่แขกผู้มาพักอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว พวกเขาก็ควรที่จักประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอมถึงจักเป็นที่รื่นเริงอุราอย่างแท้จริง เมื่อมีความคิดเช่นนี้

ดังนั้นนางจึงจ้างคนมาปลูกสวนไม้ดอกขึ้นอยู่ข้างๆศาลา ซึ่งพันธ์ไม้ที่นางหา
มาปลูกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นพันธ์ที่มีสีสันของดอกสวยงาม มีกลิ่นอันจรุงหอมฟุ้ง ทุกๆยามสายของแต่ละวัน หากแม้ใครเดินผ่านกรายใกล้เข้าไปในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของศาลา
พวกเขาต่างก็จักได้กลิ่นอันจรุงหอมฟุ้งของมวลไม้ดอกเหล่านี้ ขจรขจายไปทั่วอาณาบริ- เวณนั้น ฝ่ายมฆมานพเมื่อเห็นภรรยานางนี้ปลูกสวนดอกไม้ขึ้นมาข้างๆศาลา เขาจึงไปหาเอาต้นทองหลางมาต้นหนึ่งนำมาปลูกไว้ไม่ไกลไปจากศาลามากนัก เพื่อที่จักให้มีร่มเงาสำหรับเป็นที่นั่งเล่นภายนอกศาลาบ้าง แหละใต้ต้นทองหลางนี้ เขาก็ยังอุตส่าห์ไปหาเอาแผ่นหินขนาดใหญ่ พอที่ผู้คนจักนั่งจักนอนเล่นได้อย่างสบายๆมาแผ่นหนึ่ง เอามาตั้งทำเป็นเหมือนแคร่หรือที่นั่ง ไว้สำหรับให้ผู้คนนั่งเล่นนอนเล่น หรือไม่บางทีตัวเขาเองก็มานั่งเพื่อชื่นชมในบุญในกุศลที่ตนได้ทำลงไป

มีแต่นางสุชาดาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มิได้รู้สึกรู้สาอันใด คิดอยู่แต่เพียงว่านางเป็นถึงภรรยาสุดที่รักของสามีและแถมยังเป็นลูกของลุงด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นสิ่งที่มฆมานพทำลงไปก็เหมือนดังกับสิ่งที่นางได้ทำด้วยเช่นกัน จักต้องไปเสียแรงเสียสมองครุ่นคิดให้มันเหนื่อยยากทำไม สู้เอาเวลามาแต่งหน้าทาปากไว้รอท่าสามีไม่ดีกว่ารึ? ดังนั้นกองการกุศลครั้งนี้นางจึงมิได้กระทำสิ่งใดเลยอันจักก่อให้เกิดอานิสงส์ผลบุญขึ้นกับตัวนาง แม้แต่เพียงสักเล็กน้อย

กาลเวลายังคงหมุนไปไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหามีสิ่งใดในโลกนี้ที่จักอยู่มั่นคงถาวรโดยมิมีเสื่อมสลายนั้นไม่มี หลังจากที่มฆมานพแลเหล่าสหาย พร้อมด้วยภรรยาทั้งสี่ของเขาได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ตัวเขาได้ไปเกิดเป็นถึงเทพราชาทรงพระนามว่าท้าวสักกเทวาธิราช (พระอินทร์) อยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ทรงทำหน้าที่ปกครองดูแลบรรดาเหล่าเทพบริษัททั้งหลายที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นนี้ร่วมกับพระสหายของเขาที่เป็นเทพอีกสามสิบสองพระองค์ ส่วนนางสุธรรมา นางสุนันทา แลนางสุจิตรานั้น พวกนางทั้งสามก็ได้ตามมาเกิดเป็นเทพนารีอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน และก็ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นพระมเหสีของท้าวสักกเทวาธิราชเหมือนดังเช่นสมัยที่ยังเคยเป็นมนุษย์อยู่เหมือนเดิม

มีแต่นางสุชาดาภรรยาน้องนุชสุดที่รักเท่านั้นที่มิได้ติดตามมาด้วย เนื่องจากพอสิ้นอายุขัยในภูมิมนุษย์แล้ว นางได้ไปถือกำเนิดเกิดอยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉาน คือไปเกิดเป็นนกยางเที่ยวหาจิกกินปลาเล็กปลาน้อย อยู่แถวบริเวณสระน้ำของซอกเขาแห่งหนึ่ง

เพราะว่าสมัยในชาติที่เป็นมนุษย์มิได้ประกอบกองการกุศลอันใด ที่เป็นชิ้นเป็นอัน คอยจักสนใจแต่ในเรื่องไร้สาระ ดังนั้นชาตินี้เกิดมาจึงอาภัพอับวาสนา ได้เป็นแค่เพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น เมื่อมฆมานพได้มาอุบัติเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้แล้ว ด้วยเทพวิสัยเขาจึงตรวจดูว่าภรรยาทั้งสี่ของเขานั้น

บัดนี้พวกนางได้พากันไปเกิดในภพภูมิไหนกันบ้าง ซึ่งก็พบว่านางสุธรรมา นางสุนันทา แลนางสุจิตรานั้น ได้ตามตนมาเกิดเป็นเทพนารีอยู่บนสรวงสวรรค์ ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน มีแต่นางสุชาดาเท่านั้นที่ไปเกิดเป็นนกยางอยู่ที่สระน้ำของซอกเขาแห่งหนึ่ง

ด้วยความที่รักใคร่ในตัวภรรยาคนนี้มากที่สุด เมื่อเห็นนางต้องมาตกระกำลำบาก หาเลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาต ก็ให้รู้สึกสงสารแลเห็นใจภรรยาผู้นี้ขึ้นมาจับจิตจับใจทันที อยากที่จักรับนางมาอยู่บนแดนสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งตาวติงสาภูมินี้ด้วย ดังนั้นจึง
ทรงมีเทวดำริว่า“ เราน่าจักให้นางได้มาเห็นถึงความวิจิตรงดงาม แลความสะดวกสบายจากความเป็นทิพย์ของเหล่าเทพยดาบ้างน่าจักเป็นการดี เพื่อที่นางจักได้มีความมุมานะพยายาม ยกตนให้พ้นจากสภาพของสัตว์เดรัจฉานนี้ไปได้ ”

เมื่อทรงมีความคิดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นท้าวเธอจึงรีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาปรากฏกาย ณยังซอกเขาที่นางอาศัยอยู่อย่าง ทันทีทันใด นางนกยางสุชาดาขณะที่กำลังเที่ยวเดินจิกกินปลาเล็กปลาน้อยอยู่อย่างสุขกายสบายใจนั้น จู่ๆเมื่อเห็นองค์อมรินทร์ทรงมาปรากฏกายยืนห่างจากตนไม่ไกลเท่าใด ก็ให้รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที จึงถามไปว่า

“ท่านผู้นี้เป็นใครหรือไฉนจึงมีรูปร่างแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา”
“ ดูก่อนนางนกยาง เรานี้คือจอมเทพแห่งสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นามว่าท้าวสักกเทวา
ธิราช ผู้ซึ่งมีอดีตชาติเป็นสามีของเจ้า ”
“ ท่านหรือคือจอมเทพแห่งสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แลคือสามีของข้าพเจ้าเมื่ออดีตชาติ”
“ ถูกต้อง ! เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพื่อนของเจ้าอีกสามคนซึ่งเป็นภรรยาของเรานั้น ขณะนี้
พวกนางอยู่ที่ไหนกันบ้าง ”
“ อยากทราบเจ้าค่ะ ”
“ ดีแล้ว ! อย่างนั้นข้าจักพาเจ้าไปดูถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนาง เจ้าจักได้เห็นว่า
พวกนางนั้น อยู่กันอย่างสุขสบายถึงเพียงใด ”

ว่าแล้วท้าวโกสีย์(พระนามหนึ่งของพระอินทร์) ผู้เป็นใหญ่เหนือเทพใดๆทั้งหมดในดาวดึงส์เทวโลก ก็พานางนกยางเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งตรงไปยังดินแดนแห่งตาวติงสาภูมิโดยเร็วพลัน พอมาถึงก็ได้นำนางไปปล่อยไว้ที่สระนันทาโบกขรณี จากนั้นจึงเสด็จกลับไปยังไพชยนต์ปราสาท เพื่อทรงแจ้งข่าวให้นาง สุธรรมา สุนันทา แลสุจิตราเทพนารีมเหสีทั้งสามรับทราบ

ฝ่ายนางเทพนารีทั้งสามพอได้ฟังพระสวามีตรัสว่าได้ทรงพานางสุชาดามายังดาวดึงส์เทวโลกด้วย ก็อยากที่จักเห็นหน้านางขึ้นมาอย่างทันทีทันใดว่า นางยังจักมีรูปร่างหน้าตาที่สวยสดงดงามเหมือนเดิมหรือไม่ จึงรีบซักถามเอากับพระสวามีว่านางพักอยู่ยังสถานที่ใด ครั้นพอทราบก็รีบมายังนันทาโบกขรณีทันที เมื่อมาถึงนางเทพนารีทั้งสามจึงเห็นว่าแท้จริงแล้วนางสุชาดา ณ ชาติปัจจุบัน มีกำเนิดเป็นเพียงแค่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น

ดังนั้นพวกนางทั้งสามจึงต่างพากันหัวเราะออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ได้ทันที มิหนำซ้ำยังพากันพูดจาเยาะเย้ยถากถางนางให้ได้รับความอับอายกันไปต่างๆ นานาอีกว่า“ โอ๊ะโอ๋ ! นี่หรือแม่นางสุชาดาผู้ซึ่งมีรูปกายอันอ้อนแอ้นโสภา ดูผิวของแม่ซิ! ช่างขาวนวลผุดผ่องเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นลำคอ แข้งขา หรือแม้กระทั่งจะงอยปาก ล้วนสะโอดสะองเรียวงาม จนยากจักหาเทพนารีไหนปาน งามเทียบนางได้ นับว่า เป็นบุญตาของพวกเราจริงๆนะเธอนะ ที่ได้มาเห็น ”

หลังจากที่สนุกสนานสำราญกับการพูด จาเยาะเย้ยถากถาง นางเทพนารีทั้งสามก็พากันหัวเราะให้แก่กันและกัน จากนั้นก็ชวนกันกลับไปยังไพชยนต์ปราสาท โดยที่มิได้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ที่รับฟังว่าเขาจักคิดหรือรู้สึกเช่นไร ฝ่ายนางนกยางสุชาดาผู้อาภัพ ครั้นเมื่อถูกเพื่อนๆที่เคยมีอดีตชาติเป็นภรรยาของมฆมานพด้วยกันเยาะเย้ยถากถางเอาเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชาติวาสนาของตนเสียยิ่งนัก

ดังนั้นเมื่อท้าวหัสนัยน์(พระนามหนึ่งของพระอินทร์)ผู้เป็นอดีตสามีทรงกลับมาเยี่ยมนางอีกครั้ง นางจึงขอร้องให้พระองค์ทรงช่วยพานางกลับไปยังที่อยู่เดิมของตน จักได้ไม่ต้องทนถูกใครมาดูถูกเหยีดหยามอีก องค์อมรินทร์เมื่อทรงรับ ทราบถึงความรู้สึกของนางก็มิได้ทรงขัดข้องแต่ประการใด ทรงรีบนำนางลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาปล่อยไว้ที่ยังสระน้ำข้างซอกเขาดั่งเดิมทันที แต่ก่อนที่จะทรงกลับขึ้นไปยังดาวดึงส์เทวโลกนั้น พระองค์ได้ตรัสถึงวิธีการที่จักทำให้นาง ได้พ้นไปจากอัตภาพของสัตว์เดรัจฉานนี้แก่นางว่า

“ ดูก่อนนางนกยางสุชาดา หากเจ้าปรารถนาจักพ้นไปจากสภาพของสัตว์เดรัจฉานนี้แล้ว ก็ขอให้เจ้าจงรักษาซึ่งศีลห้านี้เอาไว้ให้มั่นเถิด จงอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอันขาดไม่ว่าจักเป็นกรณีใดๆก็ตาม แม้เจ้าจักต้องแลกด้วยชีวิต เจ้าก็ต้องยอม จงอย่าได้ลืมคำกล่าวของเรา เป็นอันขาด จำเอาไว้ให้ดี” หลังจากที่ตรัสกับนางจบก็ทรงเหาะกลับไปยังเทวโลกอันไกลโพ้น เสวยสุขแห่งความเป็นทิพย์ต่อไปดังเดิม

นางนกยางสุชาดาหลังจากที่ได้ฟังพระดำรัสแห่งท้าวสักกะแล้ว นับตั้งแต่บัดนั้นต้นมานางก็ได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาหารการกินจากที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยว่าสระน้ำแห่งนี้ล้วนมีปลาเล็กปลาน้อยอาศัยอยู่อย่างชุกชุม มาบัดนี้ก็พลันกลับกลายเป็นอัตคัดขัดสน เนื่องจากตนไม่สามารถที่จะจับปลาเป็นๆที่ยังมีชีวิตอยู่มากินได้เหมือนเดิม

ร่างกายจากที่เคยเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลเรี่ยวแรงแข็งขัน มาบัดนี้แม้จักลุกขึ้นเดินไปหาปลาที่ตายมากินเป็นอาหาร นางก็ยังรู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวมีแรงพอที่จักทำได้เลย ได้แต่ฟุบหลับตานิ่งอยู่ในท่าเดิม ณ ริมสระแห่งนี้มาเป็นเวลาสองสามวันแล้ว ในที่สุดสังขารของนางก็สุดที่จักต้านทานกับความหิวโหยอันแสนจักร้ายกาจนี้ได้ จึงสิ้นชีพลงที่ริมขอบสระในเย็นวันหนึ่งนั่นเอง

เนื่องจากก่อนตายนางได้ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด ยอมสละได้แม้แต่กระทั่งชีวิตตนเอง ดังนั้นอานิสงส์จากการนี้หลังจากที่นางตายจึงทำให้นางได้มาเกิดเป็นบุตรสาวของนายช่างปั้นหม้อ ณเมืองพาราณสีในชาติถัดมา บุตรสาวของช่างปั้นหม้อนางนี้ตั้งแต่พอจักจำความได้ นางก็เริ่มรักษาศีลห้ามาโดยตลอด ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครมาบอกมากล่าวกับนางว่า การที่จักรักษาศีลห้านั้นต้องทำอย่างไร

มันเหมือนกับว่าเป็นวาสนาผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างงัยอย่างงั้นก็ว่าได้ ถึงแม้ไม่มีใครบอกนางก็สามารถที่จักรู้ได้ด้วยตนเอง นางได้รักษาศีลห้าอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดจนกระทั่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี วันหนึ่งท้าวสักกเทวาธิราชได้ทรงกำหนดจิตตรวจดูว่าบัดนี้นางสุชาดาภรรยาน้องนุชสุดที่รักของพระองค์เวลานี้ได้ไปอุบัติเกิด ณ ที่แห่งใด

ทันใดนั้นเองด้วยเทพฤทธิ์ พระองค์ก็ทรงทราบว่านางได้ไปเกิดเป็นบุตรสาวของช่างปั้นหม้อมี อาชีพช่วยบิดาปั้นหม้อขายอยู่ในเมืองพาราณสี ดังนั้นจึงทรงดำริว่า “ ถึงเวลาแล้วที่เราจักต้องไปช่วยสงเคราะห์นางอีกครั้ง เพื่อให้นางได้รักษาศีลห้าอย่างราบรื่นถาวร โดยไม่มีปัญหาเรื่องปากท้องมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง ”

เมื่อทรงดำริดั่งนี้แล้ว พระองค์จึงรีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังโลกมนุษย์ทันที จากนั้นทรงเนรมิตกายให้คนเห็นเป็นชายแก่ผู้หนึ่งขับเกวียนบรรทุกสินค้าอันได้แก่ฟักแฟงแตงน้ำเต้าอัดมาจนเต็ม เพื่อมาค้า ขายแลกเปลี่ยนสิ่งของกับผู้คนในตลาด แต่ทว่าพ่อค้ารายนี้หาได้ค้าขายเหมือนดังกับพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายไม่ เขากลับป่าวร้องว่าผู้ใดที่รักษาศีลห้าจงมารับเอาสิ่งของเหล่านี้ไปได้เลย ไม่ต้องแก้พกแก้ห่อควักเงินควักทองออกมาซื้อ หรือว่าขนข้าวขนของออกมา แลกเปลี่ยน เชิญมาหยิบเอาไปได้เลย

บรรดาผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังเช่นนั้นต่างก็พากันสงสัยกันว่า เจ้าศีลห้าที่ว่านี้ มันคืออะไรกันหนอ ? มันเป็นสัตว์หรือว่าเป็นพืช ? หรือว่าเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ? แล้วรูปร่างหน้าตาตลอดถึงขนาดหรือสีสันของมันเป็นอย่างไร เล่า ? ต่างคนต่างก็ซักถามซึ่งกันและกัน แต่ก็หาได้มี ผู้ใดใครสักคนจักเคยรู้จักก็มีไม่ จอมเทพในร่างของชายชราขับเกวียนผ่านไปตั้งแต่หัวตลาด จนเกือบจักถึงท้ายตลาดแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดใครสักคนจักเข้ามาขอเอาพืชพันธุ์เหล่านี้ไป

จนกระทั่งเกวียนของเขากำลังจะเคลื่อนผ่านหน้าบ้านของนายช่างปั้นหม้อ เสียงที่ตะโกนป่าวร้องนั้นได้ดังเข้าไปจนถึง หลังบ้านที่บุตรสาวนายช่างกำลังช่วยบิดาของนางปั้นหม้ออยู่พอดี นางพอได้ฟังว่าใครที่รักษาศีลห้าให้มารับเอาพืชผลฟักแฟงแตงน้ำเต้าเหล่านี้ไปได้เลย จึงวางมือจากการช่วยบิดาปั้นหม้อทันที รีบเดินออกมาดูที่ยังหน้าบ้าน เห็นเกวียนของพ่อค้าที่ตะโกนป่าวร้องอยู่นั้นกำลังจะเลยผ่านหน้าบ้านไปพอดี

นางจึงตะโกนบอกให้เขาหยุดก่อน จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาพร้อมกับพูดว่าขอให้เขาจงมอบฟักแฟงเหล่านี้ให้กับนางเถิด เพราะว่านางนี้เป็นผู้ที่รักษาศีลห้า มีคุณสมบัติตรงตามที่เขาบอก จอมเทพในคราบของพ่อค้าชราเมื่อได้ฟังนางกล่าวเช่นนั้น จึงขับเกวียนถอยหลังกลับมาหยุดที่ยังหน้าบ้านนาง จากนั้นก็ลงจากเกวียน แบกเอาฟักแฟงแตงน้ำเต้าเหล่านั้น ขนเอาไปเรียงเก็บไว้ที่ยังในครัวของบ้านนาง หลังจากที่ขนเสร็จพระองค์จึงทรงเนรมิตกายที่แท้จริงให้นางได้เห็นพร้อมกับตรัสว่า

“ ดูก่อนเจ้าผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวแห่งคนปั้นหม้อ ! เรานี้มีนามว่าท้าวสักกเทวาธิราช จอมเทพแห่งตาวติงสาภูมิ ฟักแฟงที่เจ้าเห็นเหล่านี้ แท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นดังพืชผักทั่วไปเหมือนเช่นที่เจ้าเห็นไม่ แต่มันคือทองคำที่เราได้นำมามอบให้แก่เจ้าโดยเฉพาะ ด้วยว่าเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในศีลห้าอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แหละศีลห้าที่เจ้าได้ปฏิบัติมานี้แล เมื่อเจ้าละจากโลกนี้ไปแล้ว มันจักสามารถนำเจ้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเทวภูมิ สมดั่งที่เจ้าตั้งความมุ่งมาดปรารถนาเอาไว้ได้ ขอเจ้าจงเพียรรักษาศีลห้านี้เอาไว้ให้มั่นเถิด แล้วเราคงได้พบกันในไม่ช้า ”

หลังจากที่ตรัสกับนางจบเทพราชาพระ องค์นี้ก็ได้หายวับไปต่อหน้าต่อตานาง นับจากบัดนั้นเป็นต้นมาบุตรสาวของนายช่างปั้นหม้อนางนี้ก็ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการรักษาศีลแลปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว จวบจนกระทั่งหมดสิ้นแห่งอายุขัยแห่งตน ด้วยอานิสงส์แห่งการรักษาศีลมาโดยตลอดนี้เอง หลังจากตายลงนางจึงมาอุบัติเกิดเป็นเทพนารี พระราชธิดาของ ท้าวสัมพรอสูร (หรือ ท้าวเวปจิตติ แล้วแต่จะเรียกกัน) ผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าอสูรใดๆทั้งหมดในอสูรพิภพ

นางอสุรกัญญานางนี้ถือได้ว่าเป็นเทพธิดาที่มีรูปโฉมงดงามผิวพรรณผุดผ่องโสภา เหนือกว่าเทพธิดาใดๆทั้งหมดที่มีอยู่ในแดนอสูร ด้วยว่านางเคยเป็นผู้ที่รักษาศีลมาดีตลอดถึงสองชาติสองภพติดต่อกัน ดังนั้นนางจึงเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดาอสูรซึ่งพวกเขาต้องการที่จักได้นางมาเป็นคู่ครอง ครั้นเมื่อถึงเวลาอันสมควรที่นางจักต้องมีคู่

ท้าวสัมพรอสูรจึงทรงมีประกาศให้บรรดาอสูรทั้งหมดที่อยู่ในอสูรพิภพ จงมารวมตัวกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อจักให้พระราชธิดาของพระองค์นางนี้ได้ทำการเลือกผู้ที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง เพลานั้นท้าวสักกเทวราชพระองค์ทรงทราบด้วยเทพฤทธิ์ว่า
ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จักต้องไปรับเอาตัวนางสุชาดา กลับมาเป็นมเหสีของพระองค์เสียที

ดังนั้นจึงทรงมีเทวบัญชาให้ท้าวมาตลีเทพบุตร นำรถม้าที่เทียมด้วยมาสินธพจำนวนหนึ่งพันตัวไปจอดพักรอไว้ระหว่างทางที่จักกลับมายังเทพนครไตรตรึงษ์ ส่วนตัวของพระ องค์นั้นได้ทรงเนรมิตกายเป็นอสูรแก่ตนหนึ่ง จากนั้นก็ทรงลักลอบเข้าไปยังดินแดนของพวกอสูรเพื่อไปร่วมงานคัดเลือกคู่ครองของพระราชธิดานางนี้

ขณะนั้นนางอสุรกัญญาระหว่างที่กำลังเดินดูเหล่าบรรดาอสูรทั้งหลาย ที่พระบิดาทรงมีบัญชาให้มายืนอวดโฉม รอให้นางคัดเลือกมาเป็นคู่ครองอยู่นั้น ปรากฏว่าที่ผ่านมาทั้งหมดหาได้มีอสูรตนใดจักทำให้นางรู้สึกพึงตาต้องใจเลยแม้แต่เพียงสักผู้เดียว จนกระทั่งนางเดินมาถึงอสูรตนสุดท้ายซึ่งเป็นอสูรที่แก่ชราภาพ ผิวหนังหรือก็แสนจักเหี่ยวย่น ผมเผ้าหรือก็ขาวเสียจนเกือบจะหมดศรีษะ จักหาเส้นดำมาแซมสักเส้นก็ยังไม่มี ไม่ว่าใครได้มาเห็นเข้าต่างก็พอจักเดาได้ว่า อีกไม่กี่เพลาก็น่าจักถึงเวลาแห่งการจุติแล้วประมาณนั้น

แต่ทว่าพระราชธิดานางนี้กลับหาได้เห็นเยี่ยงเดียวกันกับอสูรทั่วไปไม่ พอนางได้มองสบตากับเขาเท่านั้น ก็ให้รู้สึกว่าตนได้ตกหลุมรักอสูรเฒ่าตนนี้เข้าแล้วอย่างจังเลยทีเดียว ถึงขนาดที่ ว่าหากแม้นไม่ได้เขามาเป็นคู่แล้ว นางขอยอมตายเสียดีกว่าที่จักอยู่อย่างโดดเดี่ยวผู้เดียวโดยไม่มีเขา

ดังนั้นนางจึงมิได้รั้งรอแต่ประการใดรีบยกมือที่ถือพวงมาลัยคล้องลงไปยังที่คอของอสูรเฒ่าเบื้องหน้าทันที บรรดาอสูรหนุ่มทั้งหลายเมื่อเห็นพระราชธิดาตัดสิน
ใจเลือกเอาอสูรแก่ใกล้ตายมาเป็นคู่ครองแทนที่จักเลือกพวกตนผู้ใดผู้หนึ่ง ต่างก็พากันอุทานร้องลั่นกันให้ระเบงเซงแซ่

บ้างก็ให้รู้สึกแสนเสียดายรูปโฉมโนมพรรณของพระราชธิดาเสียเหลือเกิน ซึ่งมิได้คู่ควรกับเจ้าอสูรเฒ่าเลย มันเหมือนดั่งกับเอาดอกไม้ที่มีกลิ่นหมอสีสันสวยงาม ไปปักอยู่บนมูลโคแท้ๆ บ้างก็ให้รู้สึกโมโหโกรธาด้วยว่าการที่นางกระทำเช่นนี้ลงไป มันเหมือนกับเป็นการหยามเกียรติ์แลศักดิ์ศรีของพวกตนซึ่งเป็นอสูรหนุ่มจนแทบจักไม่เหลือหลอเลย

ดังนั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังในเวลานี้จึงมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าอสูรกันให้อื้ออึงไปหมด ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อทรงทอดพระ เนตรเห็นว่าอสูรพิภพเวลานี้กำลังเกิดความระส่ำระสายขึ้น ก็ให้ทรงสบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงเปล่งเสียงหัวเราะออกไปดังลั่น จนสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งอาณาบริเวณหน้าลานพระบรมมหาราชวัง

จากนั้นจึงทรงเนรมิตกายกลับคืนสู่ยังรูปร่างเดิมให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาของบรรดาเหล่าอสูรทั้งหลาย พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงรวบเอาร่างของนางอสุรกัญญาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมอกของตน เหาะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตาท้าวสัมพรอสูรพร้อมด้วยบริวารสมุนทั้งหลายที่ยืนอยู่ ณที่นั้น

พวกอสูรทั้งมวลล้วนอยู่ในอาการที่ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เพราะต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมสวรรค์ผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตพระองค์นี้ จักกล้ามาแสดงกายปรากฏ ณ ที่ นี้ได้ มิหนำซ้ำยังกำแหงกล้ามาลักพาเอาตัวพระราชธิดาของพวกตนไปต่อหน้าต่อตาได้ถึงขนาดนี้อีก มันช่างเป็นการหยามเกียรติ์จนยากที่จักรับได้จริงๆ

ดังนั้นพอตั้งสติได้ บรรดาอสูรทั้งหลายจึงพากันตะโกนด่าทอจอมเทพเจ้าเล่ห์ผู้นี้กันให้อึงคะนึง พร้อมกันนั้นก็รีบทยานตัวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เหาะตามท้าวโกสีย์ไปในทันใด ฝ่ายมาตลีเทพสารถีผู้ซึ่งนำรถม้ามาจอดเตรียมรอไว้ตามพระบัญชาแห่งองค์อมรินทร์ก่อนหน้าแล้วนั้น ครั้นพอได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ลือลั่นสนั่นฟ้ามาแต่ไกล ก็ทราบแล้วว่าจอม

เทพผู้เป็น นายกำลังเหาะหนีเหล่าศัตรูมาทางนี้แล้ว ดังนั้นจึงรีบไสรถม้าออกไปรอรับทันที จอม สวรรค์แห่งตาวติงสาภูมิซึ่งในอ้อมอกทรงอุ้มเอาไว้ด้วยราชธิดาแห่งอสูรพิภพ แถมยังต้องเหาะหนีบรรดาเหล่าอสูรทั้งหลายที่กำลังตามมา ก็ให้ทรงรู้สึกว่าค่อนข้างจักกินแรงพอสมควร

เมื่อทรงเห็นเทพคู่ใจไสราชรถมารอรับที่เบื้องหน้า ก็ให้ทรงมีเรี่ยวแรงหึกเหิมขึ้นมาทันทีทันใด รีบเหาะไปยังราชรถโดยเร็วพลัน พอถึงก็ทรงรีบวางนางอสูรพระราชธิดาแห่งท้าวเวปจิตติลงยังที่นั่งบนรถม้า พร้อมกับตรัสสั่งให้ท้าวมาตลีเทพบุตรบัง- คับราชรถบ่ายหน้ากลับสู่ยังเทพนครไตรตรึงษ์ทันที

เหล่าพลพรรคอสูรทั้งหลายที่เหาะตามมาเมื่อเห็นท้าวสักกะมาทรงเหาะหนีไปได้สักพักก็เริ่มอ่อนแรง เพราะต้องทรงอุ้มเอาพระราชธิดาของพวกตนไปด้วย ต่างก็พากันกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดอยู่ในใจว่าครานี้แหละเจ้าศัตรูตัวฉกาจ คงไม่มีวันที่จะหนีหลุดมือของพวกตนไปได้อีกแน่

แต่ทว่าจู่ๆปรากฏว่าระยะห่างที่เกือบจักเข้าใกล้อยู่แล้ว กลับยืดออกไปเสียดื้อๆอย่างงั้น ก็ให้รู้สึกประหลาดใจไปตามๆกัน เมื่อเพ่งมองไปข้างหน้าถึงจึงทราบว่า ที่แท้เจ้าหัวขโมยผู้นี้ได้นัดลูกสมุนให้มารอรับนี่เอง ดังนั้นพวกเขาจึงต่างพากันเร่งความเร็วในการเหาะเพิ่มขึ้นไปอีก หวังจักกวดให้ทันท้าวโกสีย์ให้จงได้

แต่ถึงแม้พวกเขาจะพากันทุ่มเทเร่งความ เร็วกันอย่างสุดตัวแล้วก็ตาม ทว่าระยะห่างก็หาได้สั้นเข้าไปแม้แต่น้อยไม่ มิหนำซ้ำยังกลับยืดยาวเพิ่มขึ้นออกไปอีก ฝ่ายท้าวหัสนัยน์หลังจากได้ทรงนั่งอยู่บนราชรถแล้วก็ทรงรู้สึกว่าผ่อนคลายลง จึงทรงกลับมามีอารมณ์แจ่มใสเบิกบานเหมือนเดิม

ขณะนั้นรถม้ากำลังจะเหาะผ่านเหนือป่าสัมพลิวัน(ป่าไม้งิ้ว)อันเป็นแหล่งที่อยู่ของเหล่าพญาครุฑ จู่ๆขณะที่พระองค์กำลังประทับนั่งอยู่อย่างเพลิดเพลินก็พลันบังเกิดเสียงร้องที่แปลกประ หลาดเล็กแหลมดังก้องขึ้นมา เสียงร้องนี้ได้ทำให้จอมเทพแลนางอสุรกัญญาผู้ซึ่งกำลังพักผ่อนอริยบทอยู่อย่างสบายนั้น ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัยขึ้นมาทันที

พระองค์จึงได้ตรัสถามท้าวมาตาลีไปว่า “ ท่านมาตาลี นั่นมันเสียงร้องของตัวอะไรรึ ? ” เทพมาตาลีพอได้ฟังองค์ราชาตรัสถามขึ้นมา จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะ เสียงที่ทรงได้ยินนั้นเป็นเสียงร้องของลูกพญาครุฑ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทคิดว่ากระแสลมอันเนื่องมาจากความเร็วของราชรถที่เหาะผ่านป่าไม้งิ้วนี้ คงจักไปสั่นสะเทือนต้นไม้ที่มันทำรังอยู่ จนทำให้มันตกใจ ดังนั้นลูกน้อยของมันด้วยความกลัวตาย จึงส่งเสียงร้องขึ้นมา พระพุทธ เจ้าข้า ”

จอมราชาเมื่อทรงได้ฟังคำกราบทูลเช่นนั้น จึงทรงดำริขึ้นว่า“ แค่เพียงกระแสลมแห่งรถม้าเราที่เคลื่อนผ่าน ก็ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับเหล่าเดรัจฉานได้ถึงปานฉะนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจงอย่าให้สัตว์ทั้งหลายต้องมาพลอยฉิบหายเพราะเราเลย ” เมื่อทรงมีเทวดำริดังนี้แล้ว จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่จึงตรัสกับมาตาลีเทพสารถีไปว่า “ ท่านมาตาลี พวกเราจงอย่าได้สร้างความลำบากให้กับพวกสัตว์เหล่านี้เลย ขอท่านจงหันหัวรถกลับเถิด เราจักขอสู้กับเจ้าพวกอสูรร้ายเหล่านี้เอง ”

ท้าวมาตาลีเมื่อได้รับพระบัญชาเช่นนั้น จึงค่อยๆชะลอรถม้าลง พร้อมกันนั้นก็ส่งสัญญาณให้ม้าสินธพจำนวนหนึ่งพันตัวหันหัวรถเลี้ยวกลับตามรับสั่งทันที พวกอสูรทั้งหลายที่เหาะตามมาอยู่ห่างๆ ด้วยว่าความเร็วของพวกตนแม้จักพากันเร่งอย่างชนิดที่เรียกได้ว่า สุดเรี่ยวสุดแรงกันแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับความเร็วแห่งราชรถขององค์อมรินทราธิราชได้ ต่างก็เริ่มรู้สึกท้อใจกันบ้างแล้ว

ครั้นจู่ๆเมื่อเห็นท้าวสักกะหยุดรถแล้วหันหัวรถกลับมาเผชิญ หน้าพวกตน จึงให้รู้สึกประหลาดใจกันไปตามๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าอสูรผู้ที่เป็นผู้นำ ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าจักต้องมีเรื่องอันใดที่ไม่ชอบมาพากลเสียเป็นแน่ จึงคิดขึ้นว่า“ ชะรอยเจ้าท้าวหัสนัยน์จอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ คงจักต้องซ่องสุมกำลังเอาไว้แถวนี้เป็นแน่ ไม่ เช่นนั้นไฉนถึงจึงหยุดรถด้วยเล่า ? ทั้งๆที่ตนก็สามารถจักเหาะหนีพวกเขาไปได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว สงสัยว่าการนี้จักต้องมีเลศนัยอันใดแอบแฝงเป็นแน่ หึ..หึ...หึ... อสูรอย่างพวกเขามีหรือจักหลงกลเจ้าจอมเทพเจ้าเล่ห์ผู้นี้ได้ ไม่มีวันเสียหรอก ”

เมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงร้องสั่งบรรดาอสูรทั้งหลายที่เหาะตามมาว่าให้หยุดติดตามได้แล้ว หากตามต่อไปอาจจักต้องเสียทีให้กับศัตรูก็เป็นได้ บรรดาอสูรเมื่อได้ฟังผู้เป็นนายสั่งเช่นนั้นต่างก็พากันรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น ด้วยว่าขืนหากยังให้ตามต่อไปอีกล่ะก็ เห็นทีพวกเขาคงจักต้องขาดใจตายกันเสียก่อนเป็นแน่

ทางด้านองค์อมรินทร์เมื่อทรงตัดสินใจจักยอมสู้ตายแล้ว เพราะไม่อยากสร้างกรรมสร้างเวรกับเหล่าเดรัจฉาน จู่ๆเมื่อทรงเห็นเหล่าอสูรที่ตามมาอย่างกระหายเลือดกลับหยุดนิ่งลงเสียอย่างนั้นก็ให้ทรงรู้สึกประหลาด ใจไม่แพ้กัน จนผ่านไปสักพักเมื่อทรงเห็นพวกเขาต่างพากันหันหลัง ยกพวกกลับสู่ยังอสูรพิภพแห่งตนโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ยิ่งให้ทรงรู้สึกแปลกพระทัยมากยิ่งขึ้นไปอีก ทรงหยุดรถรออยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่ทรงเห็นมีอสูรตนใดจักติดตามมา

ดังนั้นจึงมีพระราชดำรัส สั่งให้ท้าวมาตาลีเทพบุตรบังคับราชรถกลับคืนสู่ยังเทพนครไตรตรึงษ์ทันที โดยตรัสสั่งให้อ้อมผ่านป่าสัมพลิวันไป เพื่อมิให้เป็นการรบกวนเหล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ นับจากนั้นเป็นต้นมาพระองค์ก็ทรงได้อยู่ครองคู่กับนางอสูรสุชาดาอย่างมีความสุขเรื่อยมา ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ .

ที่มา สืบ ธรรมไทย
https://sites.google.com/site/prachanta ... nithan-tha

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Indra on Airavat_.jpg
Indra on Airavat_.jpg [ 58.8 KiB | เปิดดู 4722 ครั้ง ]
เทวดากับอสูรทำสงครามกัน
ในกาลนั้น พวกอสูรอยู่ในภพดาวดึงส์ อสูรเหล่านั้น คิดว่า “เทพบุตรใหม่ๆ เกิดแล้ว” จึงเตรียม (เลี้ยง) น้ำทิพย์. ท้าวสักกะได้ทรงนัดหมายแก่บริษัทของพระองค์ เพื่อประสงค์มิให้ใครๆ ดื่ม. พวกอสูรดื่มน้ำทิพย์เมาทั่วกันแล้ว. ท้าวสักกะทรงดำริว่า “เราจะต้องการอะไร? ด้วยความเป็นราชาอันทั่วไปด้วยเจ้าพวกนี้” ทรงนัดหมายแก่บริษัทของพระองค์แล้ว ให้ช่วยกันจับอสูรเหล่านั้นที่เท้าทั้งสองให้เหวี่ยงลงไปในมหาสมุทร. อสูรเหล่านั้นมีศีรษะปักดิ่งตกลงไปในสมุทรแล้ว, ขณะนั้น อสูรวิมานได้เกิดที่พื้นภายใต้แห่งเขาสิเนรุ ด้วยอานุภาพแห่งบุญของพวกเขา. ต้นไม้ชื่อจิตตปาลิ (ไม้แคฝอย) ก็เกิดแล้ว.
แลเมื่อสงครามระหว่างเทวดาและอสูร (ประชิดกัน), ครั้นเมื่อพวกอสูรปราชัยแล้ว, ชื่อว่า เทพนครในชั้นดาวดึงส์ประมาณหมื่นโยชน์เกิดขึ้นแล้ว. และในระหว่างประตูด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแห่งพระนครนั้น มีเนื้อที่ประมาณหมื่นโยชน์, ระหว่างประตูด้านทิศใต้และทิศเหนือ ก็เท่านั้น. อนึ่ง พระนครนั้นประกอบด้วยประตูพันหนึ่ง ประดับด้วยอุทยานและสระโบกขรณี. ปราสาทนามว่า เวชยันต์ สูง ๗๐๐ โยชน์แล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ๑- ประดับด้วยธงทั้งหลาย สูง ๓๐๐ โยชน์ ผุดขึ้นด้วยผลแห่งศาลาในท่ามกลางพระนครนั้น, ที่คันเป็นทอง ได้มีธงเป็นแก้วมณี, ที่คันเป็นแก้วมณี ได้มีธงเป็นทอง, ที่คันเป็นแก้วประพาฬ ได้มีธงเป็นแก้วมุกดา, ที่คันเป็นแก้วมุกดา ได้มีธงเป็นแก้วประพาฬ, ที่คันเป็นแก้ว ๗ ประการ ได้มีธงเป็นแก้ว ๗ ประการ. ธงที่ตั้งอยู่กลาง ได้มีส่วนสูง ๓๐๐ โยชน์ ปราสาทสูงพันโยชน์ ล้วนแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ เกิดแล้วด้วยผลแห่งศาลา ด้วยประการฉะนี้.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=12&p=7

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


พานางอสูรสุชาดาและสู้รบกันเพื่อแย่งสวรรค์ แต่ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่จุติไปเกิดกันเยอะแยะเลยหรือครับและถ้าเป็นงั้นจริงไม่บาปแย่เลยหรือครับ ??

คือที่ถามนี่เป็นเกร็ดความรู้นะครับ

อันตัวผมสนใจเรื่องการทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อเพิ่มพูนบุญและบารมีเรื่อยๆมากกว่าครับ rolleyes

ขอบคุณครับ

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


PaiKung26 เขียน:
พานางอสูรสุชาดาและสู้รบกันเพื่อแย่งสวรรค์ แต่ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่จุติไปเกิดกันเยอะแยะเลยหรือครับและถ้าเป็นงั้นจริงไม่บาปแย่เลยหรือครับ ??

คือที่ถามนี่เป็นเกร็ดความรู้นะครับ

อันตัวผมสนใจเรื่องการทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อเพิ่มพูนบุญและบารมีเรื่อยๆมากกว่าครับ rolleyes

ขอบคุณครับ

เท่าที่เคยอ่านพบและพอจำได้
การทำสงครามของเทวดากับอสูรย์ จะไม่มีการฆ่ากันเหมือนการทำสงครามในมนุษย์
เป็นการทำสงครามเพียงแสดงแสนยานุภาพของตน เป็นการรุกไล่ติดตามพอถึงอนาเขตของผู้แพ้
ก็เป็นการหยุดและเลิกติดตาม ก็เป็นการรู้แพ้ชนะแล้ว ผู้แพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตน
แล้วก็มาสร้างบารมีเสริมแสนยานุภาพกลับไปสู้ใหม่อีก จนกระทั้งปัจจุบันนี้ก็ยังมีการสู้รบกันอยู่บ่อยๆ
ฝ่ายอสูรย์ไม่เคยชนะแม้แต่ครั้งเดียว

ข้อควรสังเกตุ
เทวดาและอสูรย์ เขามีร่างกายละเอียดไม่มีเลือดเนื้อเหมือนมนุษย์ และภูมิของเทวดานั้น
เป็นภูมิที่เสวยสุขอย่างเดียว แต่บางครั้งถ้าทุกข์เกิดแก่เทวดาองค์ใด เทวดาองค์นั้นจะตายทันที
จึงเรื่องเล่าว่า นางฟ้าเพลิดเพลินกับการเก็บดอกไม้ ที่สวนนันทวันจนเกินเวลา จนลืมกินอาหาร
จนกระทั่งเกิดความหิวเข้าครอบงำทำให้นางฟ้าจุติจากสวรรค์มาเกิดในเมืองมนุษย์ทันที่

ฉะนั้นการทำสงครามของเทวดาและอสูรย์ไม่ได้ทำสงครามด้วยความโกรธแค้นกัน เพียงแต่อสูรย์
ขึ้นไปทำสงครามกับเทวดานั้น เพราะอสูรย์เสียดายชั้นดาวดึงส์ที่เคยเป็นที่อยู่ที่อาศัยของตนมาก่อน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
PaiKung26 เขียน:
พานางอสูรสุชาดาและสู้รบกันเพื่อแย่งสวรรค์ แต่ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่จุติไปเกิดกันเยอะแยะเลยหรือครับและถ้าเป็นงั้นจริงไม่บาปแย่เลยหรือครับ ??

คือที่ถามนี่เป็นเกร็ดความรู้นะครับ

อันตัวผมสนใจเรื่องการทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อเพิ่มพูนบุญและบารมีเรื่อยๆมากกว่าครับ rolleyes

ขอบคุณครับ

เท่าที่เคยอ่านพบและพอจำได้
การทำสงครามของเทวดากับอสูรย์ จะไม่มีการฆ่ากันเหมือนการทำสงครามในมนุษย์
เป็นการทำสงครามเพียงแสดงแสนยานุภาพของตน เป็นการรุกไล่ติดตามพอถึงอนาเขตของผู้แพ้
ก็เป็นการหยุดและเลิกติดตาม ก็เป็นการรู้แพ้ชนะแล้ว ผู้แพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตน
แล้วก็มาสร้างบารมีเสริมแสนยานุภาพกลับไปสู้ใหม่อีก จนกระทั้งปัจจุบันนี้ก็ยังมีการสู้รบกันอยู่บ่อยๆ
ฝ่ายอสูรย์ไม่เคยชนะแม้แต่ครั้งเดียว

ข้อควรสังเกตุ
เทวดาและอสูรย์ เขามีร่างกายละเอียดไม่มีเลือดเนื้อเหมือนมนุษย์ และภูมิของเทวดานั้น
เป็นภูมิที่เสวยสุขอย่างเดียว แต่บางครั้งถ้าทุกข์เกิดแก่เทวดาองค์ใด เทวดาองค์นั้นจะตายทันที
จึงเรื่องเล่าว่า นางฟ้าเพลิดเพลินกับการเก็บดอกไม้ ที่สวนนันทวันจนเกินเวลา จนลืมกินอาหาร
จนกระทั่งเกิดความหิวเข้าครอบงำทำให้นางฟ้าจุติจากสวรรค์มาเกิดในเมืองมนุษย์ทันที่

ฉะนั้นการทำสงครามของเทวดาและอสูรย์ไม่ได้ทำสงครามด้วยความโกรธแค้นกัน เพียงแต่อสูรย์
ขึ้นไปทำสงครามกับเทวดานั้น เพราะอสูรย์เสียดายชั้นดาวดึงส์ที่เคยเป็นที่อยู่ที่อาศัยของตนมาก่อน


ขอขอบคุณ ลุงหมาน มากนะครับ ได้ความรู้มากเลยครับ

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2013, 06:56 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2960


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุคะ ลุงหมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2013, 06:59 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2960


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ท่านพุทธฏีกา ส่ง PM มาให้ ตามข้างล่างเลยค่ะ

PaiKung26 เขียน:
คือ เขาไม่บาดเจ็บจุติกันไปเกิดกันหรอ รบกันก็ต้องมีการเสียชีวิตใช่ป่ะครับ หรือแค่แพ้เฉยๆ

อีกอย่างโกรธมากไฟก็ไหม้ดวงในหนิ่ครับ


เช่น ท้าวสักกะ ขับไล่พวกท้าวเวปจิตติและพวกเมาสุราลงไปใต้ทะเล ท้าวเวปจิตติก็รอล้างแค้นนะครับ

ปล.ถามในฐานะผู้สงสัยครับ ขอบคุณทุกท่านครับ onion


เหตุแห่งการจุติปฏิสนธิ ๒ เหตุใหญ่ๆ ของเทวดาและมนุษย์ ๒ เหตุคือ

๑. เพราะสัญญาเจตนา


๑.๑) เพราะสัญญเจตนาของตน
- เหตุแห่งจุติปฏิสนธิจากกาย(นั้น)ของเทวดามนุษย์ มี ๒ ลักษณะ คือจุติ(เคลื่อน)เพราะสัญญเจตนาของตน (จำพวกลืมกินเอาแต่เล่น ขิฑฑาปโทสิกะเทวดา) หรือจุติเพราะการเผาลนของโมหะ

๑.๒)จุติเพราะสัญญเจตนาของคนอื่น (จำพวกจุติเพราะถูกทำร้ายใจ หรือจำพวกโกรธตอบกันและกัน มโนปโทสิกาเทวดา) หรือจุติเพราะการเผาลนของโทสะก็ได้ มาในอรรถกถาของ สัญเจตนิยวรรควรรณนา

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=21&i=171

๒. เพราะเหตุของบุพนิมิต ๕

๒.๑) เพราะการทราบถึงบุพนิมิตแห่งความตาย ๕ ประการของตน
- คือ ดอกไม้เหี่ยว ผ้าเศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ทั้งสอง ผิวพรรณหมอง เทวดาไม่ตั้งอยู่ในเทวอาสน์ของตน ฯลฯ มาใน อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต จตุตถวรรค จวมานสูตร

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=25&i=261

และมาใน อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ฯลฯ เกี่ยวกับบุพนิมิต ๕ ประการ ^^

โดยสรุปตายเพราะสิ้นบุญก็มี ตายเพราะสิ้นอายุก็มี มีแต่วิสุทธิเทพ พระอรหันต์ถึงจะตายเพราะสิ้นกรรมและสิ้นอายุ (อนุปาทิเสสะนิพพาน)

ทำบุญไว้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ตายด้วยเหตุ ๒ ถึงความสิ้นอายุสิ้นบุญคือ

- ทำบุญไว้มาก เกิดในที่มีอายุน้อย ภพน้อยๆ (เทวดาช้ำล่างๆ [คือไม่สุขสบายเท่าพวกที่สุขมากๆ อยากได้อะไรก็มีคนเนรมิตหาให้ ฯลฯ] แต่ตายก่อนเพราะเหตุสองข้อก่อน เรียกว่าตายเพราะสิ้นอายุ

- ทำบุญไว้น้อย เกิดในที่มีอายุมาก ภพใหญ่ๆ (เทวดาหรือพรหมที่มีอายุมากๆ สุขสบายกว่าพวกก่อน) แต่ตายก่อนเพราะเหตุสองข้อเหมือนกัน เรียกว่าตายเพราะสิ้นบุญ

@@@@@@@

การสู้รบกันของเทวดา ท้าวสักกะ ท้าวเวปจิตตี เป็นบุคคลาธิษฐาน ว่าโดยสภาพธรรม หรือปรมัตถธรรมแล้ว ก็คือการต่อสู้กันระหว่างความดีความชั่ว ความยุติธรรมกับความอยุติธรรมนั่นเอง ^^

ในอรรถกถา แก้ไว้ว่า "การรบของเทวดาและอสูรเหล่านั้น เป็นเหมือนกับเด็กเลี้ยงโคเอาท่อนไม้ทุบตีกันและกัน." มาในอรรถกถา อรรถกถา อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๔ ๘. เทวสูตร

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=23&i=243

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล

ฉันนั้นเหมือนกันแล เป็นคำเปรียบเปรยเปรียบเทียบว่า ถ้าภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต มีหิริโอตัปปะ ก็เรียกว่ามี ทิพยกาย มีทิพยวิหารก็ได้ แล้วยิ่งเจริญมหัคคตจิต ฌานจิต เข้าถึงเทวกาย หรือพรหมกายที่มีอายุยั่งยืน เพื่อสงบระงับนิวรณ์ สงัดจากกาม (ทำบุญไว้น้อย แต่ไปเกิดในที่มีอายุมาก)

"ภิกษุมีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ เรามีตนได้ที่พึ่งแล้วมารจะทำอะไรเราไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้มารผู้ลามกก็มีความคิดอย่างนี้ว่าบัดนี้ ภิกษุมีตนได้ที่พึ่งแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้ ฯ"

อุบาสกอุบาสิกาคนใด รักษากายวาจาใจโดยสุจริตธรรม เมื่อนั้นแหละ ได้ชำระกายอสูร ขับไล่ ทำอสูรบุรีให้พินาศ ทำเทวะกาย เทวนครให้เจริญ

ดังนั้น คำถามของน้องเขา ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ที่พระองค์ทรงแสดงเอาไว้ ไม่เข้าถึงอรรถ ถึงเนื้อความแห่งธรรม กลายเป็นของเปล่าประโยชน์ ไม่มีเทวดาจุติปฏิสนธิในการรบแ่ย่งชิงชัยกัน อรรถกถาแก้ว่า เหมือนเด็กเลี้ยงโคเล่นเอาไม้ทุบตีกัน เขาตายกันโดยสิ้นอายุ สิ้นบุญ โดยส่วนมาก คือ ทำอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทำกาย วาจา ใจ ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ แพ้หรือชนะในสงครามระหว่างอสูรกับเทวดา ^^

บางคราวเทพแพ้ บางคราวอสูรชนะ บางคราวอสูรแพ้ บางคราวเทพชนะ ธรรมะกับอธรรม เป็นธรรมนิยามกันมาเนิ่นนานอย่างนี้ ศึกษาในพระบาลี

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 256&Z=9301

ฝากเอาไว้ โยนิโสมนสิการ กันครับเจริญพร ^^


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร