วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2013, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครทำได้บ้าง ทั้ง เดิน ยืน นั่ง แม้แต่การนอน ตลอด 24 ชม.
เพราะชีวิตคนเมือง ออกมาคนก็เพียบ มีมือถือ IT สีสันมากมาย เสียงก็ดัง

แต่ในชนบท ปลีกวิเวกในป่าเขา ทำได้เพราะไม่มีอะไรมาทำให้จิตวอกแวกมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามแบบนี้ทำให้รู้เลยว่า จขกทไม่รู้จักสภาวะที่เรียกว่าสติ
สติเป็นสภาวะที่ช่วยให้จิต ไม่หลงไปกับสิ่งที่มารบกวนจิต
จขกทต้องจำไว้ว่า ถ้าจิตไม่หลง สติก็ไม่มีความจำเป็น

แต่โดยธรรมชาติของจิตแล้ว จิตจะไม่อยู่นิ่ง ชอบที่จะซัดส่ายไปตามสิ่งที่มากระทบ
ดังนั้น สติจึงมีความสำคัญและจำเป็นไปโดยปริยาย


ถ้าเราจะเอาตัวอย่างสถานที่ ที่จขกทยกมาแล้วบอกว่า สถานที่ไหนจะทำให้เกิดสติมากกว่ากัน
สถานที่ในเมืองที่มีความวุ่นวาย ย่อมอำนวยให้เกิดสติมากกว่าในป่าเขาที่สงบ

อย่าลืมว่า จิตจะเกิดสติต่อเมื่อมีเหตุแห่งความหลงเกิดที่จิตก่อน
เมื่อจิตไม่หลง จิตอยู่กับสิ่งที่จิตกำหนดรู้สติย่อมไม่เกิด
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างในเมืองกับป่าเขา ในเมืองย่อมต้องวุ่นวายกว่าป่าเขา

เมื่อวุ่นวายกว่า ย่อมต้องเป็นสิ่งที่มารบกวนให้จิตหลงไปกับสิ่งที่รบกวนกว่า
เมื่อมีสิ่งที่รบกวนให้จิตหลงมากกว่า ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดสติมากกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๋ยวจะไม่เข้าใจอยากจะอธิบายว่าความหลงคืออะไร

ยกตัวอย่าง จขกทกำลังท่องนั่งสือสอบ แบบนี้เรียกว่า....จิตกำลังกำหนดรู้(ตัวหนังสือ)
แต่สักพักจขกทไปคิดถึงแฟน แบบนี้เรียกว่า.......จิตกำลังหลง

เมื่อจิตหลงต่อมาจิตกำหนดรู้ถึงความหลงนั้น จิตจะกลับมาจดจ่อกับตัวหนังสือใหม่...
แบบนี้เรียกว่า.......สติ

ที่พูดมาเป็นเรื่องของ...สติทางโลกเป็นสาสวะสติเป็นโลกียะ
แต่ถ้าเป็นสติอนาสวะหรือโลกุตตระ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่
เพราะสติที่เป็นโลกุตระมันเป็นเรื่องปัญญาไตรลักษณ์


รู้ไว้อย่างเดียวว่า ปุถุชนต้องหมั่นเจริญสติก่อน และการเจริญสติไม่ใช่การที่จะต้อง
หลบไปตามชนบทป่าเขา เพราะยิ่งเป็นสถานที่ๆวุ่นวาย สถานที่แบบนั้นย่อมก่อให้เกิดสติ

แต่สติที่อธิบายมาก่อนหน้าเป็นเพียงสติทางโลก มันช่วยให้เกิดความเพียร
เมื่อสติทางโลกพร้อมความเพียรพร้อม ก็จะมีความพยายามที่จะตามรู้ตามดูสภาวะธรรม
สภาวะธรรมที่ว่าก็คือ ความโลภ โกรธ หลง ราคะ

เมื่อจิตสามารถรู้และจดจำสิ่งที่เป็นสภาวะธรรม สติย่อมระลึกรู้สิ่งที่เป็นสภาวะธรรมได้
ตัวอย่าง.....มีคนมาด่าจขกท จขกทโมโห ในขณะที่โมโหนั้น จิตจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า
โทสะ เมื่อจขกทสามารถจดจำสภาวะนั้นได้ สภาวะนั้นจะเป็นสัญญาที่จิต

ต่อมาเมื่อจขกทเกิดความโกรธอีก จิตจะไประลึกรู้สัญญาที่เป็นสภาวะโทสะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตจะแสดงความเป็นไตรลักษณ์ให้เห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 13:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
มีใครทำได้บ้าง ทั้ง เดิน ยืน นั่ง แม้แต่การนอน ตลอด 24 ชม.
เพราะชีวิตคนเมือง ออกมาคนก็เพียบ มีมือถือ IT สีสันมากมาย เสียงก็ดัง

แต่ในชนบท ปลีกวิเวกในป่าเขา ทำได้เพราะไม่มีอะไรมาทำให้จิตวอกแวกมาก

:b8:
ถ้าเราไปตั้งมุมมองว่าการเจริญสติ คือการเอาสติไปกำหนดรู้ หรือระลึกรู้ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อย่างนี้ ย่อมจะเป็นการยากสำหรับชีวิตคนเมือง เพราะมีกิจกรรมต้องทำต้องประสบพบพาเยอะแยะ ทำให้สติหลุดจากองค์กรรมฐานได้บ่อย

แต่ถ้าเราตั้งมุมมองไว้ว่า การเจริญสติ คือการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม ซึ่งก็คือการเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นั่นเอง เราจะมีสติได้ ทั้งอยู่ในเมืองและอยู่ในป่า และทุกอิริยาบถ ตลอดวัน ตลอดชีวิต
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังแล้วคล้ายกับที่คุณโฮฮับเขียนน่ะ

วิธีฝึกจิตให้เกิดปัญญา หลวงพ่อชา



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้าเราไปตั้งมุมมองว่าการเจริญสติ คือการเอาสติไปกำหนดรู้ หรือระลึกรู้ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อย่างนี้ ย่อมจะเป็นการยากสำหรับชีวิตคนเมือง เพราะมีกิจกรรมต้องทำต้องประสบพบพาเยอะแยะ ทำให้สติหลุดจากองค์กรรมฐานได้บ่อย

โสกะพูดไปเรื่อย เละแล้วครับ
อย่างแรกที่จะบอกก็คือ การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน

และที่กล่าวถึงองค์กรรมฐาน ถ้าเป็นการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้จะแตกต่างจาก
กรรมฐานอื่นๆ เพราะการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้เป็นการระลึกรู้ปัญญาเท่านั้น
ปัญญาที่ว่าก็คือสภาวะไตรลักษณ์

asoka เขียน:

แต่ถ้าเราตั้งมุมมองไว้ว่า การเจริญสติ คือการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม ซึ่งก็คือการเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นั่นเอง เราจะมีสติได้ ทั้งอยู่ในเมืองและอยู่ในป่า และทุกอิริยาบถ ตลอดวัน ตลอดชีวิต
smiley

การเจริญสติไม่ใช่การรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ แต่การเจริญสติคือการทำให้ ....
อารมณ์ที่เคยเป็นปัจจุบัน แต่จิตหลงไปทำให้สภาวะนั้นกลายเป็นอดีต
เมื่อจิตไปดึงสภาวะอันเก่าที่เป็นอดีต ให้กลับมาเป็นปัจจุบันเหมือนเดิม แบบนี้จึงเรียก สติ
การทำสิ่งที่ว่ามาบ่อยๆมันจึงเป็นการเจริญสติ

อยากเตือนหน่อย โสกะชอบแสดงความเห็นแบบขาดความรับผิดชอบ หรือเป็นเพราะอาจไม่รู้
นั้นก็คือ ชอบเอาภาษาหรือคำศัพท์มาใช้ฟุ่มเฟือย ศัพท์ที่เอามาใช้บางคำ
มันทำให้พุทธพจน์ผิดเพี้ยน ดังนั้นกรุณาอย่าหยิบคำศัพท์มาใช้แบบมั่วๆครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2013, 19:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2013, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


deecup เขียน:
มีใครทำได้บ้าง ทั้ง เดิน ยืน นั่ง แม้แต่การนอน ตลอด 24 ชม.
เพราะชีวิตคนเมือง ออกมาคนก็เพียบ มีมือถือ IT สีสันมากมาย เสียงก็ดัง

แต่ในชนบท ปลีกวิเวกในป่าเขา ทำได้เพราะไม่มีอะไรมาทำให้จิตวอกแวกมาก


ทำได้ไม่ตลอดครับ เมื่อมีสติขึ้นมา ส่วนตัวจะพิจารณาธรรมว่า ธรรมอะไรเด่น ร้อนวูปวาบ เด่นขึ้นมา หรือ หน่วงๆชาๆ เด่นขึ้นมาตามร่างกาย อะไรแบบนี้ หรือตั้งใจฟังเสียง หรือ ตาอยู่ที่รูป หรือตามรู้การเครื่อนไหวของร่างกาย ทำได้ทั้งวัน แต่ ก็มีหลงครับ ทำไม่ได้ทั้งวัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
โฮฮับ เขียน:
โสกะพูดไปเรื่อย เละแล้วครับ
อย่างแรกที่จะบอกก็คือ การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน

และที่กล่าวถึงองค์กรรมฐาน ถ้าเป็นการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้จะแตกต่างจาก
กรรมฐานอื่นๆ
เพราะการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้เป็นการระลึกรู้ปัญญาเท่านั้น
ปัญญาที่ว่าก็คือสภาวะไตรลักษณ์

:b12: :b12: :b12:
ที่คุณโฮฮับแสดงความเห็นมาจะไม่เละกว่าหรือครับ

อันที่ 1 การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน อันนี้ก็ถูกต้องแล้ว ผมก็เขียนคำว่า "หรือ" ไว้ระหว่าง กลาง กำหนด กับ ระลึกให้เห็นแล้วนะครับ คุณโฮฮับเข้าใจคลาดเคลื่อนไปเองมั้ง

อันที่ 2 สติปัฏฐาน 4 นี่เป็นกรรมฐาน ด้วยหรือครับ
ในกรรมฐาน 40 ไม่เห็นมีบอกไว้นะครับ

Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
โฮฮับ เขียน:
การเจริญสติไม่ใช่การรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ แต่การเจริญสติคือการทำให้ ....
อารมณ์ที่เคยเป็นปัจจุบัน แต่จิตหลงไปทำให้สภาวะนั้นกลายเป็นอดีต
เมื่อจิตไปดึงสภาวะอันเก่าที่เป็นอดีต ให้กลับมาเป็นปัจจุบันเหมือนเดิม
แบบนี้จึงเรียก สติ
การทำสิ่งที่ว่ามาบ่อยๆมันจึงเป็นการเจริญสติ

:b12: :b12: :b12:
s004
จิตไปดึงสภาวะเก่าที่เป็นอดีตมาเป็นปัจจุบัน........พูดอย่างนี้นี่แหละที่พาให้คนหลงผิด....แสดงให้เห็นด้วยว่าคุณโฮฮับไม่ได้ลงมือภาวนาอย่างจริงจัง จึงไม่เข้าใจคำว่าปัจจุบันอารมณ์อย่างถูกต้อง

ทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปให้เห็นต่อหน้าต่อตานั้น ไม่มีทางจะหวนคืนกลับมาเป็นดังเดิมอีก เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับคืน

คุณโฮฮับเคยไปยืนดูของไหลผ่านหน้าแถวข้างแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำสายไหนก็ได้ หรือยังครับ

สิ่งของหรือน้ำหยดที่ไหลผ่านหน้าคุณโฮฮับไปหยกๆ มันจะไหลกลับคืนมาให้คุณโฮฮับได้เห็นอีกไหม?

เวลาชีวิตของคุณโฮฮับ หรือคุณโฮฮับจะทำให้ตนเองให้ย้อนกลับไปมีร่างกายเมื่อตอน 15 ปีได้ไหมครับ

ปัจจุบันอารมณ์นั้นมีชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชีวิตจริงก็มีอยู่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็น อดีต กับอนาคต

ใครจะทำให้เราได้รู้จักชีวิตจริงชั่วพริบตาเดียวนี้

สติ ยังไงครับ

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
โฮฮับ เขียน:
โสกะพูดไปเรื่อย เละแล้วครับ
อย่างแรกที่จะบอกก็คือ การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน

และที่กล่าวถึงองค์กรรมฐาน ถ้าเป็นการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้จะแตกต่างจาก
กรรมฐานอื่นๆ
เพราะการทำสติปัฏฐานสี่ สติที่ใช้เป็นการระลึกรู้ปัญญาเท่านั้น
ปัญญาที่ว่าก็คือสภาวะไตรลักษณ์

:b12: :b12: :b12:
ที่คุณโฮฮับแสดงความเห็นมาจะไม่เละกว่าหรือครับ

อันที่ 1 การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน อันนี้ก็ถูกต้องแล้ว ผมก็เขียนคำว่า "หรือ" ไว้ระหว่าง กลาง กำหนด กับ ระลึกให้เห็นแล้วนะครับ คุณโฮฮับเข้าใจคลาดเคลื่อนไปเองมั้ง


มัวแต่ไปสนใจกระทู้อื่น พึ่งเข้ามาอ่านก็เลยขอตอบ
และต้องเตือนโสกะให้มีสติสัมปชัญญะมากกว่านี่หน่อยครับ

โสกะแสดงความเห็นอย่างขาดสติ ทั้งๆที่นี่เป็นกระทู้เรื่อง...สติ
ขอยกคำพูดโสกะมาอ้างครับ.......
asoka เขียน:
ถ้าเราไปตั้งมุมมองว่าการเจริญสติ คือการเอาสติไปกำหนดรู้ หรือระลึกรู้ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อย่างนี้ ย่อมจะเป็นการยากสำหรับชีวิตคนเมือง เพราะมีกิจกรรมต้องทำต้องประสบพบพาเยอะแยะ ทำให้สติหลุดจากองค์กรรมฐานได้บ่อย


ดูให้ดีนะครับ ที่ผมบอกคุณไปว่า "การกำหนดรู้กับระลึกรู้เป็นคนล่ะสภาวะกัน"
นั้นเป็นเพราะ มันมีเหตุมาจากคุณกำลังพูดถึง.....สติ

สติเป็นสภาวะที่ระลึกรู้ ไม่ใช่กำหนดรู้ เข้าใจมั้ย
การที่คุณบอกว่า..."การเอาสติไปกำนดรู้หรือระลึกรู้" แบบนี้มันผิดและเละตั้งแต่คุณเอ่ยปากแล้วครับ

จำไว้ให้ขึ้นใจว่า สติเป็นสภาวะระลึกรู้ จะเอา"หรือ"อะไรต่อมิอะไรมาใส่ไม่ได้เข้าใจมั้ย :b32:

asoka เขียน:
อันที่ 2 สติปัฏฐาน 4 นี่เป็นกรรมฐาน ด้วยหรือครับ
ในกรรมฐาน 40 ไม่เห็นมีบอกไว้นะครับ
[/color]


โสกะรู้จักอานาปานสติมั้ย รู้หรือเปล่าว่า อานาปานสติเป็นหนึ่งในกรรมฐาน๔๐
และอานาปานสติอยู่ในหมวดของกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การเจริญสติไม่ใช่การรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ แต่การเจริญสติคือการทำให้ ....
อารมณ์ที่เคยเป็นปัจจุบัน แต่จิตหลงไปทำให้สภาวะนั้นกลายเป็นอดีต
เมื่อจิตไปดึงสภาวะอันเก่าที่เป็นอดีต ให้กลับมาเป็นปัจจุบันเหมือนเดิม
แบบนี้จึงเรียก สติ
การทำสิ่งที่ว่ามาบ่อยๆมันจึงเป็นการเจริญสติ

:b12: :b12: :b12:
s004
จิตไปดึงสภาวะเก่าที่เป็นอดีตมาเป็นปัจจุบัน........พูดอย่างนี้นี่แหละที่พาให้คนหลงผิด....แสดงให้เห็นด้วยว่าคุณโฮฮับไม่ได้ลงมือภาวนาอย่างจริงจัง จึงไม่เข้าใจคำว่าปัจจุบันอารมณ์อย่างถูกต้อง

ทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปให้เห็นต่อหน้าต่อตานั้น ไม่มีทางจะหวนคืนกลับมาเป็นดังเดิมอีก เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับคืน

คุณโฮฮับเคยไปยืนดูของไหลผ่านหน้าแถวข้างแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำสายไหนก็ได้ หรือยังครับ

สิ่งของหรือน้ำหยดที่ไหลผ่านหน้าคุณโฮฮับไปหยกๆ มันจะไหลกลับคืนมาให้คุณโฮฮับได้เห็นอีกไหม?

เวลาชีวิตของคุณโฮฮับ หรือคุณโฮฮับจะทำให้ตนเองให้ย้อนกลับไปมีร่างกายเมื่อตอน 15 ปีได้ไหมครับ

ปัจจุบันอารมณ์นั้นมีชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชีวิตจริงก็มีอยู่เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง นอกนั้นเป็น อดีต กับอนาคต

ใครจะทำให้เราได้รู้จักชีวิตจริงชั่วพริบตาเดียวนี้

สติ ยังไงครับ

พูดจินตนาการไปซะไกล ผมถามคุณสั้นๆ .......
ถ้าคุณจะไปต่างจังหวัด ก่อนไปสั่งภรรยาไว้ว่า "ให้ระวังคนแปลกหน้า"
คุณไปได้๒-๓วัน ก็กลับบ้าน ผมถามคุณหน่อย ถ้าคุณเรียกภรรยาคุณให้เปิดประตู
ภรรยาเห็นหน้าคุณด้วยการแง้มหน้าต่างดู คุณว่าภรรยาคุณจะเปิดประตูบ้านให้คุณมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:


พูดจินตนาการไปซะไกล ผมถามคุณสั้นๆ .......

ถ้าคุณจะไปต่างจังหวัด ก่อนไปสั่งภรรยาไว้ว่า "ให้ระวังคนแปลกหน้า"
คุณไปได้๒-๓วัน ก็กลับบ้าน ผมถามคุณหน่อย ถ้าคุณเรียกภรรยาคุณให้เปิดประตู
ภรรยาเห็นหน้าคุณด้วยการแง้มหน้าต่างดู คุณว่าภรรยาคุณจะเปิดประตูบ้านให้คุณมั้ย


เรียก แม่ๆๆ เปิดประตูหน่อย พ่อกลับมาแล้วนะ เรียกชัดออกขนาดนั้น ภรรยาจะจำเสียงไม่ได้เชียวหรอ ไป 2-3 วันเอง :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=9Cv5V6Wxg1M

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูหน้าที่ของธรรมชาติสองตัว คือ สัญญา กับ สติ ดูเขาอาศัยกันและกันทำงาน


-สัญญา กำหนดหมาย หรือหมายรู้อารมณ์ไว้ เมื่อประสบอารมณ์อีก ก็เอาข้อที่กำหนดหมายไว้นั้น มาจับเทียบหมายรู้ว่าตรงกันเหมือนกันหรือไม่ ถ้าหมายรู้ว่าตรงกัน เรียกว่าจำได้ ถ้ามีข้อต่างก็หมายรู้เพิ่มเข้าไว้ การกำหนดหมาย จำได้ หรือหมายรู้อารมณ์ไว้ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ใช่นั่น ใช่นี่ (การเทียบเคียงและเก็บข้อมูล) ก็ดี สิ่งที่กำหนดหมายไว้ (ตัวข้อมูลที่สร้างและเก็บไว้นั้น) ก็ดี เรียกว่าสัญญา ตรงกับความจำในแง่ที่เป็นการสร้างปัจจัยแห่งความจำ ลักษณะสำคัญของสัญญา คือ ทำงานกับอารมณ์ที่ปรากฏตัวอยู่แล้ว กล่าวคือ เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้า จึงกำหนดได้ หมายรู้หรือจำได้ซึ่งอารมณ์นั้น


-สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่จะผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ สติเป็น การริเริ่มเองจากภายใน โดยอาศัยพลังแห่งเจตนา หรือเจตจำนง ในเมื่ออารมณ์อาจจะไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ จึงจัดอยู่ในพวกสังขาร


สัญญา บันทึกเก็บไว้ สติดึงออกมาใช้ สัญญาดี คือ รู้จักกำหนดหมายให้ชัดเจน เป็นระเบียบ สร้างขึ้นเป็นรูปร่างที่มีความหมายและเชื่อมโยงกันดี (ซึ่ง อาศัยความใส่ใจเป็นต้นอีกต่อหนึ่ง) ก็ดี สติดี คือมีความสามารถในการระลึก (ซึ่งอาศัยสัญญาดี และการหมั่นใช้สติ ตลอดจนสภาพจิตที่สงบผ่องใส ตั้งมั่น เป็นต้น อีกต่อหนึ่ง) ก็ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความจำดี


พูดถึงนามธรรมมองไม่เห็นเข้าใจยาก ดังนั้น ดูตัวอย่างระหว่าง สัญญา กับ สติ ที่เป็นบุคลาธิษฐาน


นายแดง กับ นายดำ เคยรู้จักกันดี แล้วแยกจากกันไป ต่อมาอีกสิบปี นายแดงพบนายดำอีก จำได้ว่า ผู้ที่ตนพบนั้นคือนายดำ แล้วระลึกนึกได้ต่อไปอีกว่าตน กับ นายดำ เคยไปเที่ยวด้วยกันที่นั่นๆ ได้ทำสิ่งนั้นๆ ฯลฯ การจำได้เมื่อพบนั้นเป็นสัญญา การนึกได้ต่อไปถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เป็นสติ

วันหนึ่ง นาย ก. ได้พบปะสนทนา กับ นาย ข. ต่อมาอีกหนึ่งเดือน นาย ก. ถูกเพื่อนถามว่า เมื่อเดือนที่แล้ววันที่เท่านั้นๆ นาย ก. ได้พบปะสนทนากับใคร นาย ก. นึกทบทวนดู ก็จำได้ว่าพบปะสนทนากับ นาย ข. การจำได้ในกรณีนี้ เป็นสติ

เครื่องโทรศัพท์ตั้งอยู่มุมห้องข้างหนึ่ง สมุดหมายเลขโทรศัพท์อยู่อีกมุมห้องด้านหนึ่ง นายเขียวเปิดสมุดหา เลขหมายโทรศัพท์ที่ตนต้องการ ระหว่างเดินไปก็นึกหมายเลขนั้นไว้ตลอด การอ่านและกำหนดหมายเลขที่สมุดโทรศัพท์ เป็นสัญญา การนึกหมายเลขนั้นตั้งแต่ละจากสมุดโทรศัพท์ เป็นสติ

เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็กำหนดหมายได้ทันที แต่เมื่ออารมณ์ไม่ปรากฏอยู่ และถ้าอารมณ์นั้นเป็นธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) ก็ใช้สติดึงอารมณ์นั้นมาแล้วกำหนดหมาย อนึ่ง สติสามารถระลึกถึงสัญญา คือดึงเอาสัญญาที่มีอยู่เก่ามาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วสัญญาจะกำหนดหมายอารมณ์นั้น สำทับเข้าอีกให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือกำหนดหมายแนวใหม่เพิ่มเข้าไปตามวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เพราะคุณโฮฮับรู้และจำงานและหน้าที่ของสติมาได้เพียงอย่างเดียวคือ ระลึกได้ จึงดื้อดึงยึดมั่นในความเห็นนั้นใครเห็นต่างจากนี้ก็ไปถือว่าเขาเห็นผิด

งานและหน้าที่ของสติมีถึง 3 อย่างคือ
รู้ทัน
ระลึกได้
ไม่ลืม

ลองพิจารณาให้ดีตามธรรม ตัวอย่างเช่น เสียงกระทบหู...จิต(โสตวิญญาณธาตุ)รู้เสียง...สติรู้ทันเสียง....ระลึกได้ว่าเป็นเสียงนก เพราะจำเสียงนกได้ ไม่ลืม

สติทำงานครบ 3 หน้าที่

อีกตัวอย่างหนึ่งลองพิจารณา

นายโฮเดินบนคันนา...งูเห่าเลื้อยผ่านหน้า นายโฮมองเห็น..สติรู้ทัน...ระลึกได้ว่าเป็นงู จำได้ไม่ลืมว่าเป็นงูเห่าฉกตาย....จึงกระโดดข้ามและวิ่งหนีไปจนพ้นงูตัวนั้น
:b16: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร