วันเวลาปัจจุบัน 21 ส.ค. 2025, 23:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


กระแสน้ำคือตัณหา ไหลไปทุกหนทุกแห่ง
เถาวัลย์คือกิเลส ก็ขึ้นรกไปทั่ว
เมื่อเห็น เถาวัลย์นั้นงอกงามแล้ว
พวกเธอจงตัดรากมันด้วยมีดคือปัญญา


เมื่อรากยังแข็งแรง ไม่ถูกทำลาย
ต้นไม้แม้ที่ถูกตัดแล้ว ก็งอกได้ใหม่ฉันใด
เมื่อยังทำลายเชื้อตัณหาไม่ได้หมด
ความทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นได้เรื่อยไปฉันนั้น


เราขอบอกความนี้แก่พวกเธอ
ขอให้พวกเธอผู้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ มีความเจริญ
ขอให้พวกเธอขุดรากตัณหา เหมือนถอนรากหญ้ารก
พวกเธออย่าปล่อยให้มารรังควาญบ่อยๆ
เหมือนกระแสน้ำค่อยๆเซาะต้นอ้อล้ม


เรื่องมิตตวินทุ....................
ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธ
เจ้าลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ
วิมุตตวินทุ เป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีศรัท

... ธาสส่วนมารดาบิดาเป็นผู้มีศีลมี
ศรัทธาได้เจริญวิปัสสนาจนได้
เป็นพระโสดาบันมีอยู่วันหนึ่งลูก
ชายจะไปค้าขายทางเรือแม่ห้าม
ไม่มห้ไปลูกไม่ยอมฟังแม่จับมือ
ไว้ลูกสลัดแม่ออกตีแม่ให้ล้มลง

แล้ววิ่งลงเรือไปยังทะเลหลวงพอ
ึรบ 7 วันเรือนั้นได้หยุดนิ่งไมยอม
เคลื่อนไหวชาวเรือคร่นคิดเหตุได
เรือเราจึงเป็นเช่นนี้จึงหาวิธีคิดด้วย
การจับสลากเพราะคิดว่าจักมีคน
กาฬกิณีอยู่บนเรือนี้สลากได้ตกอยู่
ในมือของ(มิตตวินทุ) ถึง 3 ครั้ง
สามคราชาวเรือเหตุเป็นเช่นนี้จึง
จับมุตตวินทุโยนลงทะเลมุตตวินทุได้

อาศัยแผ่นกระดานไปถึงเกาะแห่ง
หนึ่งซึ่งเป็น(อุสสุททนรก) มีประตู
4 ด้านแต่มุตตวินทุเห็นนรกเป็น
สวรรค์ที่สวยสดงดงามมากเพราะ
ผลแห่งกรรมที่เขาได้กระทำไว้แก่
มารดาได้บังดวงตาที่ทุบตีมารดา
ซึ่งเห็นกงจักเป็นดอกบัวเครื่องจอง
จำสัตว์นรกเป็นเครื่องประดับเห็น
เลือดที่ไหลออกจากร่างกายสัตว์
นรกเป็นแก่นจันทน์หอมเป็นเครื่อง

ลูบไล้ได้ยินเสียงสัตว์นรกคร่ำ
ครวญเป็นเสียงเพลงขับที่แสนอัน
ไพเราะเสนาะหูเขาถูกกงจักหมุน
อยู่บนศรีษะทนทุกข์ทรมานอยู่สิ้น
กาลช้านานทั้งนี้เพราะโทษที่เขา
อกตัญญูทุบตีมารดาจึงได้รับผล
เช่นนี้

บุคคลไม่นับว่าผู้ทรงธรรม
ด้วยเหตุเพียงพูดมาก
ส่วนผู้ใด ถึงได้สดับตรับฟังน้อย
แต่เห็นธรรมด้วยใจ
ไม่ประมาทในธรรม
ผู้นั้นแล เรียกว่า ผู้ทรงธรรม


คนทรามปัญญา มีความเห็นผิด ติเตียนคำสอน
ของเหล่าพระอริยะผู้อรหันต์ ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม
เขาย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเขาเอง
เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น


คนทุศีล ก็เหมือนกับต้นไม้
ที่เถาวัลย์ขึ้นจนรก
เขาทำตัวให้วอดวายเอง
มิจำต้องรอให้ศัตรูมาคอยกระทำให้

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

ควรปฏิบัติตนให้ดีก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น
บัณฑิตเมื่อทำได้อย่างนี้ จึงจะไม่สร้างมลทินแก่ตัว

ไม่ว่ายัญชนิดไหน ที่ผู้ใคร่บุญพึงบูชาตลอดปี
การบูชายัญนั้นมีค่าไม่เท่าหนึ่งในสี่ของการยกมือไหว้
ท่านผู้ปฏิบัติตรงตามอริยมรรคแม้เพียงครั้งเดียว
การไหว้บุคคลเช่นนั้นประเสริฐกว่าเป็นไหน ๆ

คนเรานี้ก็แปลก เที่ยวหลงระเริงว่าจะจะเป็นสาวขึ้นหรือเป็นชายขึ้นทุกวัน ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คนเราที่เกิดขึ้นเริ่มแก่ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มออกจากช่องคลอดของแม่แล้ว แต่คนเรามองข้ามในส่วนนี้เท่านั้นเอง ไปเที่ยวหลงติดในตัววัตถุหรือระบบสังคมทุนนิยมที่เข้ามาในเมืองไทยที่เน้นในด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจของคนเรา ว่าจะต้องเป็นอย่างโน่นอย่างนี้ ถ้าได้ดั้งใจเราทุกสิ่งทุกอย่างไรก็หาไม่ ดังหลวงพ่อพุทธทาสท่าน...กล่าวว่า"นี้ก็ของกูนั้นก็ของกู" ยึดติดมั่นเหมือนกับปลาท่องโก๋ สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ขณะที่คนซึ่งหาเช้ากินค่ำกลับมีความสุขกว่า แม้บางคนจะมีทรวดทรงองค์เอวสวยงามก็ยังกลุ่มใจจนเป็นโรคประสาท ขณะที่คนพิการ ผอมลีบทั้งตัวไปไหนก็ลำบากไปไหนด้วยตนเองไม่ได้กลับมีความสุจจนใครๆ อิจฉา เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าทำใจอย่างไรเจอสิ่งที่ดีๆ แต่ทำใจไม่ถูก บางคนบางท่านก็หลงรูปตัวเอง บางทีก็ทุกข์มหันต์ ฉลาดในอาชีพการงาน ฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ฉลาดในการสมาคมกับผู้คนอย่างมากมาย รวมทั้งฉลาดในการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้ส่วนรวม ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น แต่ไม่ควรละเลยก็คือ ฉลาดในการทำใจ โดยเฉพาะเมื่อประสบเหตุร้ายหรือความไม่สมหวัง ทำบ้านทำเรือ ทำเครื่องบิน ทำงานทำได้หมด แต่ทำใจนี้ซิทำใจยากแท้ที่เรียกว่า"การปล่อยวาง"


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ

ขอเรียนเชิญร่วมทอดผ้าป่าสร้างพระธาตุรัตนมณีแสง ที่วัดถ้ำแสงแก้ว เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ให้ญาติโยมกราบสักการบูชา
ทอดผ้าป่าวันที่ 9 มิถุนายน 2556
สนใจร่วมทำบุญติดต่อได้ที่เบอร์0884347908


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


ทางโลก..สอนให้เรา “ใช้ความคิด”
ทางธรรม..สอนให้เรา “สิ้นคิด”
ทางโลก..ชี้นำให้เรา “หลงยึดติด”
ทางธรรม..ชี้นำให้เรา “ปล่อยวาง”..!!!


"ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาภาวนานะ หลักภาวนายังไงเราเคยสอนแล้วด้วยความแน่ใจว่าไม่ผิด ให้ตั้งใจยึดไปปฏิบัติเป็นหลักเกณฑ์ของตัวเอง แล้วจิตใจจะตั้งรากตั้งฐานได้ ทำสุ่มสี่สุ่มห้านี้ไม่ได้เรื่องนะ ต้องมีหลักยึดๆ ดังที่เคยสอนแล้วคำบริกรรม เป็นสำคัญมา...กสำหรับผู้ที่เริ่มต้นปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรมใดที่ถูกกับจริตนิสัย นั้นเหมาะสมกับผู้ต้องการตามนิสัยของตน ยึดไว้เป็นหลักใจ และมีสติควบคุมในงานของตนคือคำบริกรรมนั้นๆ อย่าให้เผลอ อันนี้ละตั้งรากฐานได้ รับรองเลยทีเดียวก็ได้ อย่างไรตั้งได้

จิตไม่เคยสงบ มันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนก็ตาม บังคับให้อยู่กับคำบริกรรม คำบริกรรมนี้ให้ติดกับจิต และสติติดกับคำบริกรรม ไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น เวลานั้นเป็นเวลาที่จะรู้เรื่องของกิเลสมันผลักดันออกมา คือความคิด ความคิดอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่สำคัญมาก ออกมาจากที่เราเคยพูดแล้วว่า อวิชฺชาปจฺจยา แล้วเป็น สงฺขารา ขึ้นมา สังขารอันนี้แหละที่มันออกไปเที่ยวกว้านหากินเอาไฟมาเผาเราๆ เวลาที่เราเอางานของธรรมคือคำบริกรรมมาภาวนา เช่น พุทโธๆ เป็นต้น กับสติติดแนบกันนี้เรียกว่างานของธรรม จะระงับงานอันนี้ บังคับงานนี้ไม่ให้เป็นงานของกิเลส ไม่ให้มันออกทำงาน ให้งานของธรรมออกทำงานคือคำบริกรรมติดแนบกันไปตลอด อย่างไรต้องตั้งรากตั้งฐานได้ไม่สงสัย

มันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนก็ช่างเถอะเรื่องกิเลส มันเหนือธรรมไปไม่ได้ กิเลสแพ้ธรรมเสมอถ้าตั้งหน้าตั้งตานำมาแก้กัน ส่วนมากมีตั้งแต่ให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายธรรม ทำอะไรไปเหยาะๆ แหยะๆ อย่านะ ศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนสัตว์โลกให้เหยาะๆ แหยะๆ ไม่ว่าใครจะทำหน้าที่การงานใด ให้มีความจริงจัง มีสติสตังอยู่ในงานนั้นๆ เสมอ และใช้ความใคร่ครวญติดแนบกันไปด้วย นี่คือศาสนาพุทธท่านสอนอย่างนี้ ทำไปตามชอบใจๆ นั้นเป็นเรื่องของกิเลส ให้พากันยึดไปปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งนักภาวนาของเรา ขอให้ได้หลักเกณฑ์จากการภาวนาด้วยความตั้งอกตั้งใจ อย่างที่อธิบายให้ฟังมาแล้วนี้ จะไม่ผิดพลาดนะ จะเป็นพระผู้ทรงมรรคทรงผล ผู้ปฏิบัตินี้ละจะทรงมรรคทรงผลด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ"


อดีต" คือ สิ่งที่ต้อง "ทิ้ง"..
"ปัจจุบัน" คือ สิ่งที่ต้อง "ทำ"..
"อนาคต" คือ สิ่งที่ต้อง "หวัง"..
"ชีวิต" จะพังหรือไม่พัง ขึ้นอยู่กับ "การเลือกเดิน


"ทำความดีอยู่คนเดียวไม่มีใครเห็น มันก็ยังดีอยู่นั่นเอง"


"...อันความจริงนั้น จะทำอยู่คนเดียวมันก็จริง จะทำอยู่หลายคนมันก็จริง เราทำที่มันจริงแล้วถึงคนอื่นจะว่าไม่จริง มันก็ยังเป็นของจริง อันนั้นเรียกว่าของจริง ไปทำอยู่ที่บนอากา...ศ มันก็เป็นความจริง จะไปทำอยู่ในน้ำ มันก็เป็นความจริง จะทำอยู่บนบกมันก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงว่าธรรมะนั้นน่ะเป็นความจริง จริงทุกกาลทุกเวลาที่ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่วานนี้มันก็เป็นความจริง ในปัจจุบันนี้มันก็เป็นความจริง อนาคตมันก็ยังเป็นความจริง หมายความว่าเราทำความผิดไม่มีใครเห็น มันก็ยังเป็นความจริง เราจะทำความถูกอยู่ไม่มีใครเห็นมันก็เป็นความจริง

ฉะนั้นคนเราเมื่อจะทำความดีนั้นน่ะ ไม่ต้องให้คนอื่นเห็น บางคนทำคุณงามความดีก็ต้องการอยากจะให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นเป็นพยาน จึงจะดีอกดีใจ อันนั้นก็ดีอยู่ แต่ว่ามันยังไม่จริง ไม่บรรลุถึงความจริง...จริง ๆ ไอ้ความจริงนั้นแม้เราจะไปลอบทำอยู่คนเดียว ทำความชั่วมันก็ชั่วอยู่นั่นแหละ ทำความดีอยู่คนเดียวไม่มีใครเห็น มันก็ยังดีอยู่นั่นเอง มันเป็นเสียอย่างนั้น ไม่ต้องว่าเราทำความชั่วคนเห็นแล้ว มันจะเพิ่มชั่วขึ้นมาอีก ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อเราทำความดีจริงเมื่อคนเห็นแล้ว มันจะเพิ่มความดีขึ้นมาอีก มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น...



ธรรมะ สุภาษิต = 1.เป็นผู้ให้ สุขใจ กว่าผู้รับ. = It's better to give than to receive = ผู้ที่มี จิตใจ เมตตา เอื้อเฟื้อ ย่อมเป็น ผู้ที่จิตใจ เป็นสุข. 2.ตนนั้นแล เป็นที่พึ่ง แห่งตน. = God helps those who help themselves. = คนเรานั้น ควรจะช่วย เหลือตนเอง ไม่ใช่เอา แต่ให้คน มาช่วย (เป็นลูกกตัญญู กตเวที ที่ดี และน่ารัก ของคุณพ่อ คุณแม่ นะโยม)(อย่าลืมทำความดี วันละ 1 ข้อ นะโยม คนดี ของสังคม)

เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


..."พระศาสดา"...ได้ทรงเตือนภิกษุทั้งหลาย ให้พยายามแสวงหา
วิเวก เพื่อบรรลุคุณธรรม...ที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำตนให้บริสุทธิ์
จากกิเลส ด้วยพระพุทธพจน์ว่า....

..." ภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย "มรรคมีองค์ ๘" ประเสริฐ
... ที่สุด...บรรดาบททั้งหลาย..."บทสี่ คือ อริยสัจ" ประเสริฐที่สุด....
บรรดาธรรม ทั้งหลาย..."วิราคะ" คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี
ประเสริฐที่สุด...บรรดาสัตว์ ๒ เท้า..."พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุ"....
ประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ ๘ นี่แล เป็นไปเพื่อทรรศนะอันบริสุทธิ์
หาใช่ทางอื่นไม่....

...เธอทั้งหลาย จงเดินไปตามทางมีองค์ ๘ นี้ อันเป็นทางที่ทำมาร
ให้หลงติดตามไม่ได้...เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติ เพื่อทำทุกข์ให้
สูญสิ้นไป ความเพียรพยายาม...เธอทั้งหลาย ต้องทำเอง...
ตถาคต...เป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติตนดังนั้น...
.............พวกเธอจักพ้นจากมาร และบ่วงแห่งมาร "

บางคนคิดว่าทำความผิดอยู่ ที่ลับตาที่คนไม่เห็น ก็ทำได้อย่างสบายใจ ไม่คิดกลัวบาป สิ่งที่ ทำผิดไปนั้นกลัวแต่คนจะเห็น กลัวเพื่อนครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่จะเห็น ถ้าเป็นที่ไม่มีใครเห็นก็ทำได้ทุกอย่าง คิดดีใจว่าไม่มี ใครเห็น อันนี้มันโง่เกินไป ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ตัวเราเองก็เห็น เพราะตัวเองเป็นคนเหมือนกัน ถ้าเราคิดอย่างนี้ ก็พออยู่ได้ การปฏิบัติธรรมะท่านให้ดูตัวเอง บางคนถ้าทำสิ่งที่ผิดก็กลัวคนจะเห็น ถ้าอยู่ในที่ที่คนจะเห็นไม่กล้าทำ เพราะมีความละอาย แต่ไม่มีความละอายต่อบาป ถ้าพูดถึงธรรมะแล้ว ไปทำผิดอยู่ที่ไหนคนจะไม่เห็นไม่มี เพราะเราก็เป็นคน ตัวเราทำเองทำไมจะไม่รู้ คนเห็นทั้งนั้นแหละ (ท่านหัวเราะ ฮึ ฮึ) คนอื่นไม่เห็น...เราทำผิด เราก็เห็นเราอยู่จะดำอยู่ในน้ำก็ยังเห็น คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็นตัวเราอยู่






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อประพฤติปฏิบัติตนของคนดี ทำให้มีคุณธรรม

คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นต้องมีความเป็นธรรมอยู่ในใจ จึงได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นจะต้องได้ฝึกฝนจิตใจด้วยการประพฤติตนปฏิบัติธรรม จึงเป็นคนดีมีคุณธรรมมีความประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม คนจะเป็นผู้มาปฏิบัติธรรมได้คนๆ นั้นจะต้องได้สั่งสมบุญบารมีทางปัญญามาแต่อดีตชาติ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เข้ามานั่งใกล้ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในปัจจุบัน

การเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทุกๆคนสามารถทำได้และทำได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เพียงฝึกจิตของตนไว้เสมอๆ ด้วยการท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจ(จัดเป็นธัมมานุสสติ)ตลอดเวลาเท่าที่จะนึกได้ว่า “อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่าคิดร้ายใคร...” เป็นการสร้างความรู้ตัวหรือตัวรู้ให้กับจิตของตนสะสมไว้ อันเป็นเหตุให้จิตเกิดสติรู้ปล่อยวางไม่เกิดความรู้สึกยินดียินร้าย ความรู้สึกยินดียินร้า...ยเป็นกิเลสบาปอกุศลที่ต้องเอาออกเสีย เมื่อมีสติจิตนี้ก็เป็นบุญกุศลจิต กุศลธรรม อันเป็นเหตุให้จิตที่จะเป็นคนดีมีศีลธรรมประพฤติตนอยู่แต่ในสุจริตธรรม โดยธรรมดาของจิตย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำกว่า จึงต้องมีการปฏิบัติท่องธัมมะภาวนาเพื่อยกจิตตนให้สูงไว้เสมอๆ การทำเช่นนี้จึงจัดได้ว่าเป็นผู้ได้ปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมแล้ว และจะเป็นเหตุให้เกิดอธิศีลคือประพฤติแต่สุจริตธรรม มีอธิจิตคือความสงบสุขในสมาธิ และมีอธิปัญญาคือความรู้แจ้งในสภาวธรรม ที่จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม ๓ ประการ คือกายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต นี่แหละคือข้อปฏิบัติของคนดีมีคุณธรรม อันนำไปสู่ความเป็นผู้มีจิตว่างอย่างยิ่ง ดังนี้.

บุคคลเทน้ำล้างภาชนะลงในดินด้วยตั้งใจว่า ขอให้สัตว์ในดินได้อาศัยอาหารที่ติดน้ำล้างภาชนะนี้ได้ดื่มกินเถิด แม้เพียงเท่านี้เรายังกล่าวว่าผู้กระทำได้ประสบบุญแล้วเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นจะกล่าวไปไยในทานที่บุคคลให้แล้วแก่ปุถุชนผู้มีศีลหรือผู้ทุศีล จนถึงพระอรหันต์จะไม่มีผลมากเล่า



ภิกษุ ท.! พวกเธอได้เห็น ท่อนไม้ใหญ่โน้น
ซึ่งลอยมาโดยกระแสแม่น้ำคงคาหรือไม่

เพราะเหตุว่า ลำแม่น้ำคงคาโน้มน้อม
ลุ่มลาด เอียงเทไปสู่ทะเล, อุปมานี้ฉันใด
...
ภิกษุ ท.! อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน
แม้พวกเธอทั้งหลาย ถ้าพวกเธอ
ไม่เข้าไปติดเสียที่ฝั่งใน
ไม่เข้าไปติดเสียที่ฝั่งนอก
ไม่จมเสียในท่ามกลาง
ไม่ติดแห้งอยู่บนบก
ไม่ถูกมนุษย์จับไว้
ไม่ถูกอมนุษย์จับไว้
ไม่ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้
ไม่เน่าเสียเองในภายในไซร้

พวกเธอก็จะเลื่อนไหลไปสู่นิพพาน
เพราเหตุว่า สัมมาทิฏฐิ มีธรรมดา
ที่โน้มน้อม ลุ่มลาด เอียงเทไปสู่นิพพาน

ภิกษุ ท.! คำว่า 'ฝั่งใน'
เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ อย่าง

คำว่า'ฝั่งนอก'
เป็นชื่อของอายตนะภายนอก ๖ อย่าง

คำว่า 'จมเสียในท่ามกลาง'
เป็นชื่อของนันทิราคะ(ความกำหนัดด้วยความเพลิน)

คำว่า 'ขึ้นไปติดแห้งอยู่บนบก'
เป็นชื่อของอัสมิมานะ(ความสำคัญว่าเรามีเราเป็น)

คำว่า 'ถูกมนุษย์จับไว้'
ได้แก่ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ระคนด้วยคฤหัสถ์
เพลิดเพลินด้วยกัน โศกเศร้าด้วยกัน
มีสุข เมื่อคฤหัสถ์เหล่านั้นมีสุข
เป็นทุกข์ เมื่อคฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นทุกข์
ประกอบการงานในกิจการ
ที่บังเกิดขึ้นแก่คฤหัสถ์เหล่านั้นด้วยตน
ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้ถูกมนุษย์จับไว้

คำว่า 'ถูกอมนุษย์จับไว้' ได้แก่
ภิกษุบางรูป ในกรณีนี้
ประพฤติพรหมจรรย์โดยตั้งความปรารถนา
เทพนิกายชั้นใดชั้นหนึ่ง ว่า
ด้วยศีลนี้ หรือด้วยวัตรนี้หรือว่าด้วยตบะนี้
เราจักได้เป็นเทวดาผู้มีศักดาใหญ่
หรือเป็นเทวดาผู้ที่ศักดาน้อยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
ภิกษุนี้ เราเรียกว่าผู้ถูกอมนุษย์จับไว้

คำว่า 'ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้'
เป็นชื่อของกามคุณ ๕

ภิกษุเป็นผู้เน่าเสียเองในภายในคืออย่างไรเล่า ?
คือ ภิกษุบางรูปในกรณีนี้
เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่ลามกไม่สะอาด
มีความประพฤติชนิดที่
ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง
มีการกระทำที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น
ไม่ใช่สมณก็ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ
ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์
ก็ปฏิญญาว่าเป็นคนประพฤติพรหมจรรย์
เป็นคนเน่าใน เปียกแฉะมีสัญชาติหมักหมม
เหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอย
ภิกษุนี้ เราเรียกว่า ผู้เน่าเสียเองในภายใน



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2013, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ”


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย

“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”

อันน้ำแม้หยด ทีละหยด น้ำนั้นย่อมยังตุ่มให้เต็มบริบูรณ์ ตุ่มฉันใด
อันกุสลธัมม์ทั้งหลาย เพียรประพฤติปฏิบัติ สั่งสม บุญบารมีก็ย่อมเต็ม บริบูรณ์ ฉันนั้น

การให้ทานของคนฉลาด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ให้ของสะอาด ๑ ) ให้ของประณีต ๑ ) ให้ตามกาล ๑ ) ให้ของสมควร ๑ ) เลือกให้ ๑ ) ให้เนืองนิตย์ ๑ ) เมื่อให้จิตผ่องใส ๑ ) ให้แล้วดีใจ ๑ ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้แล

ทุกข์เท่านั้นที่เกิด มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ สรุปคือ มีแต่ทุกข์ กับทุกข์ เท่านั้น



มันยากมากการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จงพึงอย่าประมาทเลย เร่งสร้างพัฒนาจิตของตนเองให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ข้ามพ้น แห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ถ้าชาตินี้ท่านทั้งหลายยังข้ามพ้นกองทุกข์ไม่ได้ เกิดมาชาติต่อไปก็พึงอย่าให้ต่ำกว่าการเกิดเป็นมนุษย์เถิด ด้วยการดำรงค์ตั้งตนอยู่ใน พระรัตนตรัย สีล และ กุสลกัมมบทสิบ เพราะการจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น บางคนก็ตายตั้งแต่อยู่ในท้อง บางคนพอคลอดออกมาก็ตาย บางคนตายตอนเป็นเด็ก บางคนก็ตายวัยโต บางคนก็ตายในวัยหนุ่ม บางคนตายวัยกลางคน สุดท้าย ที่รอดจากการตายในวัยดังกล่าวแล้ว ก็ต้องตายในวัยแก่ชรา ช่วงมีชีวิต ณ ตอนนี้ พึงเร่งเพียรเร่งสร้าง เร่งดำเนินไปสู่ทางรอดเถิด เพื่อความปลอดภัยของดวงจิตของท่านของท่าน

เมื่อมุ่งหน้าเข้าหากิเลส อันตนไม่มีสติปัญญาต่อสู้กิเลส กิเลสนั้นย่อมเข้าทิ่มแทง ให้จมอยู่ในกองทุกข์และอำนาจมันนั้นแสนนาน

อันขนตา แม้อยู่ติดตา ก็ย่อมมองไม่เห็น แต่เมื่อเอากระจกมาส่องก็ย่อมมองเห็น ขนตาของตนเอง
ดั่งกิเลสในจิตใจของตนที่มีอยู่ ก็ย่อมมองไม่เห็นได้ ถ้าไม่ใช้สติปัญญามองเข้าไป
และเมื่อรู้ว่ามีเกิเลส ต้องใช้ปัญญา เป็นเครื่องประหาร นี้เป็นสิ่งประเสริฐเป็นสิ่งเจริญ


อันโทสะเมื่อเกิดขึ้นมา มันน่ากลัวเป็นกิเลสที่รุนแรง เป็นกิเลสที่ร้อน เป็นกิเลสทำให้มืดมิด คิดหาทางไม่เจอ มันมืดตื๊บเลยนะ อีรุงตุงนังไม่รู้ ไม่เห็น ทั้งตนเองทั้งคนอื่น จิตมันโดนปิด โดนปิดด้วยไฟโกรธ จนเกิดความ พินาศ เกิดวิบัติอย่างร้ายแรง ดังลมพายุพัดด้วยลมอันรุนแรง เมื่อลมพายุนั้นได้พัดผ่านไปแล้ว ย่อมทิ้งความพินาศฉิบหาย ไว้เบื้องหลัง เฉทเช่นเดียวกัน ไฟโทสะ เมื่อผ่านไปแล้ว ก็ย่อมทิ้งความวิบัติพินาศ ไว้ วิบัติพินาศฉิบหาย ทั้ง ข้าวของวัตถุต่างๆ วิบัติพินาศฉิบหายภายในจิตใจด้วย ข้อนี้แหละสำคัญเชียว
ไฟกองนี้อย่าได้ก่อให้เกิดขึ้นมาเด็ดขาด เพื่อป้องกันความวิบัติพินาศฉิบหาย ทั้งภายนอก และภายใน


ทางมัคค์ผล นิพพาน นั้นไม่ได้โรยด้วยดอกไม้หรอก ทางไปมัคค์ผลนิพพาน นั้นย่อมมีขวากหนาม อยู่บนถนนหนทางมากมาย คือ เหล่ากิเลสทั้งหลาย ต้องคอยถางคอยถากมันออกถึงจะดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัด โดย การใช้สติปัญญา เป็นอาวุธในการฟาดฟันมัน คอยถากคอยถางมันออกจากเส้นทางเดิน เพื่อการเดินทางดำเนิได้สะดวกสบายขึ้น เมื่อถากถางไปมีดไม่คมก็ต้องลับให้มันคม คือ ใช้สติเป็นหินลับปัญญา ให้มันคม ฟาดฟันจะได้ขาดง่ายยิ่งขึ้น เมื่อดำเนินไปเหนื่อยจากการถางทางเดิน ก็ให้หยุดเหนื่อยบ้าง หยุดพักเหนื่อยก่อน ก็ใช้สามธิเป็นบ้านพัก เพื่อให้หายเหนื่อยเพื่อให้จิตมีกำลังพลังเพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อหายเหนื่อยก็ฟาดฟันกันต่อ จนไปถึงจุดหมาย คือ มัคค์ผลนิพพาน นั่นเอง

มนุษย์ถ้าถอดหน้ากาก เข้าหากัน ก็ย่อมเห็นความเป็นจริงของกัน และกัน
ดังจิต เมื่อ มนุษย์ รู้จักถอดกิเลสออกจากจิตใจ ก็ย่อมเห็นความเป็นจริงของสัจจะได้ เช่นกัน


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ขอเชิญสายบุญสายธรรมร่วมทำบุญสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุุรี ผู้ที่สนใจจะร่วมทำบุญในครั้งนี้ สามารถติดต่อได้ที่ คณะลูกพระพุทธเจ้า ในนามคุณปราณี ศรส่ง เบอร์โทร 0898966449


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้คุณดูแลคนที่คุณรักดีพอรึยัง...
บางครั้งความสุขที่ท่านต้องการอาจจะไม่ใช่
เงินทองก็ได้นะ...ลองคิดดีๆ ว่าอะไรกันแน?
คือพ่อแม่ของเรายังไง ดูแลท่านทั้งสองดีหรือยัง

ธรรมะ สุภาษิต= ว่าพ่อแม่เปรียบเหมือนพระอรหันต์ในบ้าน เป็นครูคนแรกของเรา เป...็นพระพรหมของลูก เป็นผู้ให้ทุกอย่างแก่ลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้จริง ไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนจากลูก ลักษณะเป็น"เมตตากรุณา" เป็น"จาคะ" การเสียสละ"ให้แบบหมดใจ"ที่แท้จริง
ธรรมะ สุภาษิต= ว่าพ่อแม่เปรียบเหมือนพระอรหันต์ในบ้าน เป็นครูคนแรกของเรา เป็นพระพรหมของลูก เป็นผู้ให้ทุกอย่างแก่ลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้จริง ไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนจากลูก ลักษณะเป็น"เมตตากรุณา" เป็น"จาคะ" การเสียสละ"ให้แบบหมดใจ"ที่แท้จริง บุญคุณของพ่อแม่มากมายมหาศาลยิ่งนัก พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า .....แม้ว่าลูกจะแบกพ่อแม่ไว้บนบ่า ให้พ่อแม่กินอยู่ขี้เยี่ยวรดอยู่บนบ่าของลูกตลอดชีวิต ก็ยังใช้บุญคุณพ่อแม่ไม่หมดสิ้นเลย!!!..... พ่อแม่ป่วย พระสงฆ์ที่เป็นลูก สามารถถูกต้องเนื้อตัวแม่ได้ เป็นการปรนนิบัติวัฏฐาก ตอบแทนพระคุณท่าน อาบน้ำให้ เช็ดเนื้อตัวให้ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ท่าน ซักผ้านุ่ง เสื้อผ้าให้ท่าน ไม่ผิดวินัยแต่อย่างใด หากแต่เป็นบุญกุศลมากมายนัก.....ลูกคนใด ที่ชักนำพ่อแม่เข้ามาสู่เส้นทางธรรม รักษาศีลและปฏิบัติธรรมจนถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ บุญคุณของพ่อแม่กับลูกคนนั้น จะหมดสิ้นไปในทันที

การภาวนานะ เราถือว่าเราปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กระทั่งมรรคผลนิพพาน ก็อย่าไปอยากได้มัน คนไหนอยากได้มรรคผลนิพพาน จะไม่ได้ จำไว้นะ จะไม่ได้

ตอนได้น่ะไม่ทันตั้งหลัก อยากอยู่ไ...ม่ได้นะ หมดอยากแล้วได้ เพราะนั้นเราอย่าไปอยากปฏิบัติ เราแค่ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าไป ดีแล้วที่ได้รู้สึกตัว ดีแล้วที่ใจตั้งมั่น สักว่ารู้ สักว่าเห็น ดีแล้วเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ ตามรู้อย่างนี้ไปเรื่อย ดีแล้วที่ได้ปฏิบัติน่ะ ไม่จำเป็นว่าดีแล้วที่ได้ผลนะ ดีแล้วที่ได้ทำเหตุ ต้องตั้งใจไว้อย่างนี้

ส่วนผลมันเป็นผลพลอยได้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน ชาตินี้ยังไม่ได้ ชาติหน้ามันก็ได้จนได้แหล่ะ ต้องตั้งใจอย่างนั้นนะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ถือว่าเราได้ปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ดีที่สุดแล้ว

ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไร ถ้าเราปฏิบัติเพื่อจะเอาเนี่ย เราจะเพิ่มอัตตาตัวตนไปใช่ไหม เพื่อให้กูดีกูสุขกูสงบกูวิเศษ เพราะกูได้เป็นพระอริยฯ กูตัวเบ้อเร่อเลย แต่ถ้าเราภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าไป ฝึกอย่างนี้นะ ได้ผลเร็ว

นี่เป็นลูกเล่นนะ กิเลสหลอกเรามากแล้ว เราก็หลอกมันบ้าง แต่ส่วนมากก็มีแต่ถูกมันหลอก

บุญใดที่ทำให้เกิดมา " รูปสวย-ผิวพรรณงาม-มีเสน่ห์ " ในแบบต่างๆ

เราเคยเห็นผู้หญิงสวยๆ ซึ่งแต่ละคนจะสวยไม่เหมือนกัน เห็นดารานักแสดง นางเอก นางงาม แต่ละคนก็หน้าตาสวยไม่เหมือนกัน แต่สรุปแล้วว่าสวยก็แล้วกัน อยากรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ผู้ห...ญิงแต่ละคนสวยไม่เหมือนกัน มีเหตุมีผลหรือมีเหตุมีปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องกับความสวยของคุณผู้หญิง ซึ่งคุณประเวศ ณ เชียงใหม่ ได้รวบรวมเรียบเรียงเรื่องนี้ไว้ในชื่อเรื่อง “อิตถีเพศกับการทำบุญ” ได้พิมพ์ไว้ในหนังสือเมื่อวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ.๒๕๑๕

ผู้พิมพ์ได้อ่านพบเรื่องนี้จึงพิมพ์มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเพื่อความรู้

๑. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ เพื่อจะได้เห็นหน้าพบปะสนทนากับพระภิกษุ, สามเณรที่ตนหลงรักอยู่ “ผลบุญนั้นทำให้เธอเป็นผู้มีเสน่ห์ยั่วยวนเพศตรงข้าม คือสาวเซ็กส์ซี่นั่นเอง”

๒. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ เพื่อจะได้คุยกับชายหนุ่มซึ่งมาทำบุญที่วัดนั้นเป็นประจำ “ผลบุญนั้นทำให้เธอมีเสน่ห์อย่างลึกลับ คือไม่สวยแต่เย้ายวน”

๓. หญิงสาวริษยาความงามของสาวอื่น เพราะตนเองไม่สวยไม่มีชายใดเหลียวแล จึงทำบุญบ่อยๆ ปรารถนาจะให้เกิดชาติใหม่หน้าตาสวยงามเช่นหญิงคนอื่นบ้าง “ผลบุญทำให้เธอเป็นคนสวยงาม แต่ไม่มีเสน่ห์ คือสวยแบบกระด้างๆ”

๔. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดเพื่อแสดงความสามารถในการทำครัวให้ประจักษ์แก่สังคม หรือเพื่อแสดงความสามารถในการจัดดอกไม้ให้แท่นบูชาของวัดสวยงาม “ผลบุญนั้นทำให้เธอเป็นคนมีเสน่ห์แก่คนทั่วไป เป็นที่ชื่นชอบของชายหนุ่มที่นิยมความสามารถ”

๕. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดเพื่อช่วยเหลือวัดให้พ้นความขาดแคลนทางด้านปัจจัย อาหาร เครื่องใช้ เป็นต้น “ผลบุญทำให้เธอมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ความสวยเกิดจากสุขภาพอันดีของเธอ”

๖. หญิงสาวเบื่อหน่ายโลกมนุษย์ ทำบุญประสงค์ไปสู่สวรรค์หรือโลกทิพย์อันน่ารื่นรมย์ “ผลบุญทำให้เธอเกิดเป็นคนสวยงามแบบงามพิศ คือยิ่งมองยิ่งสวย”

๗. หญิงสาวพิถีพิถันในการทำบุญ สำรวมระวังกายวาจาขณะอยู่ต่อหน้าสมณะ และสถานที่ทำบุญ “ผลบุญทำให้เธอเป็นคนน่ารัก คือผู้คนเห็นอาจหลงชอบหลงรัก ทั้งๆ ที่เธออาจไม่มีอะไรเด่น”

๘. หญิงสาวทำบุญเสียสละต่างๆ เพื่อมุ่งสู่พรหมโลก ปฏิบัติธรรมให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น “ผลบุญนั้นทำให้เธอสวยงามสง่าดุจนางพญา เป็นความสวยที่ทำให้คนทั่วไปไม่นึกไปในทางเพศ แม้ชายคู่ครองก็ยังให้ความเกรงใจ

๙. หญิงสาวติดตามผู้ใหญ่ ติดตามสมณะที่ตนเลื่อมใส จาริกแสวงบุญ ช่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ “ผลบุญทำให้เธอสวยงามแบบเด็กๆ มีคนรักใคร่เอ็นดู สามีรักใคร่เอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน

๑๐. หญิงสาวเข้าร่วมขบวนทำบุญเป็นกลุ่มเพื่อรักษาประเพณี เพื่อความครึกครื้น เพื่อความสนุกสนานตามประสาหนุ่มสาว “ผลบุญนั้นทำให้เธอมีบุคลิกภาพดีเป็นสง่าในที่ชุมนุมชน”

๑๑. หญิงสาวนอกจากจะทำบุญให้ทานแล้วยังปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม เผยแผ่ธรรมอีกด้วย “ผลบุญนั้นทำให้เธอมีสติปัญญาเฉียบแหลม พูดจาเป็นที่น่าเลื่อมใส มีความสวยงามแบบสงบเย็น ใครได้พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ เป็นเสน่ห์ที่ใช้เวลายิ่งนานวันยิ่งรักใคร่คิดถึง”

๑๒. หญิงสาวทำบุญเพื่อเอาใจเพื่อนหรือทำบุญเพื่อให้คนรักสบายใจ “ผลบุญทำให้เธอเป็นคนที่มีความสบายใจ สวยงามแบบเรียบๆ ผู้คนพบเห็นรู้สึกว่าเธอสะอาดหมดจด มองดูแล้วประหนึ่งดมความสะอาดได้”

๑๓. หญิงสาวแต่งตัวไปทำบุญที่วัดเพื่ออวดเครื่องประดับของตัวว่าสวยเหนือกว่าคนอื่น อวดอาหารที่ตนถวายดีกว่าน่ากินกว่าของคนอื่น “ผลบุญทำให้เธอสวยงามแบบดูแล้วไม่สบายใจ ชายที่พบเห็นมองในแง่ทางเพศ”

๑๔. หญิงสาวถวายทานต่างๆ มุ่งคุณภาพ เช่น อาหารไม่สวยงามแต่รสดี มีประโยชน์ ของใช้ที่คงทนถาวร ประณีตละเอียดอ่อน พิจารณาวัตถุทานให้เป็นประโยชน์มากที่สุดแก่สมณะพราหมณ์ “ผลบุญทำให้เธอสวยและมีรสสัมผัสดี ผู้ถูกเนื้อต้องตัวเธอจะรู้สึกนุ่มนวลละมุนละไม ลูกๆ เด็กๆ ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอจะรู้สึกอบอุ่น มองว่าเธอเป็นที่พึ่งอย่างดี”

๑๕. หญิงสาวแนะนำสั่งสอนคนอื่นๆ ให้ทำบุญทำกุศล ส่วนตัวเองไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำบุญ หรือฝากเงินให้คนอื่นทำบุญแทนตน เพราะตัวเองขี้เกียจไปทำบุญเองหรือหาเวลาว่างยาก “ผลบุญทำให้เธอเป็นคนเข้าที่ไหนเข้าได้ ผู้คนให้ความเป็นกันเองให้ความสนิทสนม แม้คบกันเพียงสามสี่วันเหมือนคบกันมานานเป็นปี”

๑๖. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ ประสงค์จะแลกเปลี่ยนอาหารที่มีคนมาทำบุญหรือแลกเปลี่ยนอาหารของตนกับเพื่อนผู้มาทำบุญผู้อื่น “ผลบุญจะทำให้เธอมีผิวพรรณผ่องใส หน้าตาแช่มชื่น แต่มีรูปร่างอ้วนท้วนเหมือนตุ่ม”

๑๗. หญิงสาวชอบไปช่วยเหลือผู้อื่นหรือทางวัด ทำบุญบำเพ็ญกุศลเป็นประจำ เมื่อไปช่วยงานใดก็มักจะเรียกร้องอาหารการกินหรือสิ่งของที่ตนปรารถนาจากเจ้าภาพหรือเจ้าอาวาส เป็นอย่างนี้เสมอ “ผลบุญจะทำให้เธอมีหน้าตาสวยงาม น่ารักน่าสงสาร รูปร่างผอมเกร็งหรือผอมแห้ง”

๑๘. หญิงสาวทำบุญอย่างไม่มีความประณีตในวัตถุทาน ไม่ใส่ใจว่าของนั้นจะมีคุณภาพดีเลว จะใช้งานได้ดีแค่ไหน จะทนทานหรือไม่อย่างไรก็ไม่คำนึงถึง แต่เธอจะชอบตกแต่งประดับประดาให้วัตถุทานนั้นดูดีงดงามน่าดู “ผลบุญนั้นจะทำให้เธอมีหน้าตาสวยงาม แต่ยิ้มไม่สวย หัวเราะน่าเกลียด ท่าทางเคลื่อนไหวอิริยาบถบางอย่างไม่น่าดู”

๑๙. หญิงสาวบางคนพิจารณาคัดเลือกวัตถุทานเป็นอย่างดี ของมีคุณภาพดี ใช้ได้ทนทาน เป็นต้น แต่ไม่จัดตกแต่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น จับยัดๆ ใส่เข่งใส่ลังพอๆ ไปที แล้วให้คนนำไปส่งที่วัด หรือวางของทำบุญสุมๆ หมกไว้ตามมีตามเกิดแบบไม่ใส่ใจความเป็นระเบียบ “ผลบุญทำให้เธอมีความสวยงามแบบจืดๆ ต้องอาศัยความยิ้มแย้ม หัวเราะอันมีเสน่ห์ จึงจะดึงดูดใจได้”

๒๐. หญิงสาวตกลงร่วมทำบุญกับหมู่คณะ เช่น จัดกฐินสามัคคี จัดทอดผ้าป่า เป็นต้น แต่เธอชอบไปร่วมงานช้า ชอบไปที่หลังคนอื่น มีความรู้ความสามารถน้อยแต่ชอบไปแก้ไขวัตถุทานที่เขาตกแต่งประดับประดาไว้ดีแล้ว ฉกฉวยโอกาสเอาหน้าเอาตาว่าฉันก็ใจบุญคนหนึ่ง งานนี้ฉันเป็นหัวหน้าหัวเรี่ยวหัวแรง “ผลบุญทำให้เธอเกิดมาเป็นคนหน้าตาสวยงามพอใช้ได้ทีเดียว แต่ในความสวยงามนั้นมักจะมีความบกพร่องปะปนอยู่ด้วย เช่น หัวเบี้ยวไปนิด, รูปหน้าค่อนข้างยาวมาก, ตาเล็กมาก, มีปานที่หน้า เป็นต้น”

๒๑. หญิงสาวบางคนใจบุญชอบทำบุญ ขณะที่มีพระภิกษุผ่านหน้าบ้าน เธอจะรีบคว้าข้าวปลาอาหารอะไรก็ได้หยิบฉวยมาใส่บาตรไว้ก่อน โดยไม่คำนึงถึงว่าอาหารนั้นเป็นของพ่อแม่ญาติพี่น้องที่แบ่งไว้บริโภคในมื้อต่อไป เป็นการทำบุญใส่บาตรแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างกระทันหัน “ผลบุญนั้นไม่สะอาดบริสุทธิ์นัก จึงส่งผลให้เธอเกิดมาเป็นคนสวยงามแต่ไม่หมดจด คือแฝงความไม่น่าดูไว้ในหน้าตาหรือเรือนร่าง”

๒๒. หญิงสาวบางคนเมื่อจะทำบุญกุศลคราวใด มักจะไปเรี่ยไรเรียกร้องเอาจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง รบกวนเขา ขืนใจเขา เซ้าซี้เขาให้ช่วยทำบุญด้วยจนได้ “ผลบุญทำให้เธอไปบังเกิดเป็นเทพธิดาประจำแดนทุรกันดาร เทพธิดาคุมบริวารเปรต เทพธิดาประจำแดนปีศาจ ถ้าเกิดเป็นคนจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในดินแดนถิ่นด้อยพัฒนา เช่น รับราชการเป็นอาจารย์ใหญ่ในจังหวัดที่แร้นแค้น เป็นต้น”

๒๓. หญิงสาวบางคนมิได้เตรียมตัวมาเพื่อจะทำบุญ ครั้นประสบเหตุที่ต้องยอม อยู่ในสภาวะจำยอมทำบุญเพื่อไม่ให้เสียหน้า หรือมีภาพสะเทือนใจอยู่ต่อหน้า เช่นคนพิการมาขอเงิน เธออดสงสารไม่ได้จึงจำต้องเจียดเงินที่มีอยู่เล็กน้อยทั้งที่เสียดายอยู่ หรือจำต้องแบ่งปันอาหารที่พอมีติดตัวมาจำต้องให้ทานไป (จาคะ-การตัดออกจากกรรมสิทธิ์ กับ ทานะ-การให้ เกิดขึ้นกระชั้นชิดติดกัน ทำให้ผลบุญเป็นไปในรูปของความดีผสมกับความเสียดาย) “ผลบุญนั้นทำให้เกิดมาเป็นคนสวยงามแบบเศร้าๆ สวยปนโศก ลักษณะคล้ายๆ ผู้ดีตกยาก”

๒๔. หญิงสาวที่มีจิตฟุ้งซ่านคิดแต่อยากจะทำบุญ แต่ครั้นไปถึงบุญสถานแล้วกลับคิดถึงแต่ความสนุกสนานในงานบุญ เช่น งานบุญสงกรานต์ งานบุญประจำปีของวัด ซึ่งทางวัดจะมีงานรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ด้วยพร้อมกับงานบุญ แต่เมื่อเธอได้ไปงานบุญนั้นแล้วมักจะเพลิดเพลินสนุกสนานกับงานรื่นเริงจนใจไม่มีใจจดจ่อกับการทำบุญ “ผลบุญนั้นทำให้เธอเกิดมาสวยงาม แต่ในความสวยงามนั้นมีความเด๋อๆ ด๋าๆ แทรกปนอยู่ด้วย”

๒๕. หญิงสาวไปทำบุญที่วัดขณะรอพิธีกรรม ก็ทักทายปราศรัยกับผู้มาร่วมทำบุญ อำนวยความสะดวก ขยับขยายที่นั่งของตนให้กับผู้ใหญ่ จัดหาที่นั่ง น้ำดื่ม ให้ผู้อาวุโส “ผลบุญทำให้เธอเกิดมามีความสวยงาม ดูชุ่มชื่น แม้จะถึงวัยสูงอายุแล้วก็ยังมีหน้าตาสดใส เพราะอานิสงส์ของทานะ และโสรัจจะ”

๒๖. หญิงสาวไปทำบุญที่วัด เสร็จจากพิธีกรรมแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านก็ทักทายกันสนุกสนานกับเพื่อนฝูงมิตรสหายผู้ร่วมทำบุญ “ผลบุญเกิดภพใหม่เธอมีหน้าตาสวยงาม ดูเป็นกันเอง” , “ถ้าคุยเรื่องตลกขบขัน จะทำให้เธอมีหน้าตาชวนให้ดู ไม่ใช่ดูเพราะว่าสวย แต่ดูเพราะดูแล้วสนุกตา”

๒๗. หญิงสาวหลีกความซ้ำซากจำเจในการทำบุญด้วยอาหารที่ไม่เหมือนใคร เช่นนำอาหารแปลกๆที่ไม่ค่อยมีใครนำมาทำบุญกัน เช่นหูฉลามนึ่งซีอิ้ว เป็นต้น มาถวายพระเพื่อให้พระได้ฉันอาหารที่ไม่จำเจทั่วไป “ผลบุญนี้ทำให้เธอเกิดมาสวยงามแบบไม่ซ้ำใคร มีลักษณะดึงดูดความสนใจ คือมีหน้าตาเก๋”

๒๘. หญิงสาวยากไร้อนาถา ปรารถนาจะร่วมบุญกับคนอื่นก็ไม่มีเงินสิ่งของอันใดไปสมทบ เธอจึงไปร่วมงานด้วยมืออันว่างเปล่าและหัวใจอันเปลี่ยมด้วยศรัทธา ศรัทธาได้ข่มความน่าขยะแขยงในสิ่งโสโครกทั้งปวง เธอรับอาสาเทกระโถน เก็บกวาดขยะ ล้างถ้วยชาม ทำความสะอาดส้วม เป็นต้น “ด้วยอานิสงส์นี้เธอจะเกิดเป็นคนมีกลิ่นตัวหอม ไม่ใช่ความหอมของน้ำหอมหรือความหอมของดอกไม้ แต่ความหอมมาจากภายในตัวเธอเหนือกว่าสาวอื่น”

การทำบุญแล้วได้รับผลบุญต่างกันนั้นเนื่องจากเจตนาต่างกัน ในการทำบุญนั้นแฝงกิเลสอะไรไว้หรือไม่ ? หรือทำบุญด้วยจิตที่ไม่แฝงกิเลสใดๆ ซึ่งเจตนาอย่างไรในการทำบุญ ผลบุญนั้นก็จะให้ผลตามเหตุแห่งเจตนานั้น ความจริงการทำบุญและผลของบุญนั้น ผู้ทำจะเป็นหญิงหรือเป็นชาย ผลบุญจะทำให้สวยให้หล่อก็เกิดกับทั้งหญิงและชาย ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นความหล่อผู้หญิงก็เป็นความสวย

แม้ว่าจะทำบุญแล้วทำให้หน้าตาสวยงามได้ดั่งใจหรือไม่อย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือจุดมุ่งหมายทางพระพุทธศาสนา การทำบุญแล้วได้ผลบุญเกิดมาสวยงามก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางโลกอยู่ ซึ่งการทำบุญให้ทานนั้นเป็นพื้นฐานและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความดี มีการละชั่ว ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา และมีปัญญา เป็นเรือพาข้ามฟากข้ามฝั่งหรือเป็นหนทางให้เดินทางไปสู่เป้าหมายแห่งการพ้นทุกข์ในกาลต่อไป คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


เรียน เชิญญาติธรรมร่วมสมทบทุนสร้างกุฏิสงฆ์ถวายวัดบ้านซาด
13 เมษายน ที่ วัดบ้านซาด หมู่ ๒ ตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธ สง จังหวัดบุรีรัมย์





บอกบุญสร้างซุ้มกันแดดฝนพระพุทธเจ้า28พระองค์

โทร. 089-2378988



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมบูรณะซ่อมแซมหลังคาวิหาร ณ วัดไม้ยาใหม่

เบอร์ 085-4369094



ขอเชิญร่วมบุญสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดอินทร์แแปลงแสงสว่าง

089 5788249





ขอเชิญทุกท่านร่วมทำ บุญใส่บาตรพระกรรมฐาน 15 รูป
ทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ร.พ.วานร นิวาส
และ ไถ่ชีวิตโค-กระบือถวายพระราชกุศล
สร้างศูนย์ฟอกไต และเครื่อง ฟอกไตมอบให้ ร.พ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู

โทร 087-984-9972



ขอเชิญร่วมถวายปัจจัยเป็นเจ้าภาพกระเบื้องมุงหลังคากุฎิ
วัดปางค่า ตำบลไชยสถาน อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
บูชาเป็นเจ้าภาพแผ่นละ 69 บาท
ร่วมทำบุญได้ที่ หมายเลขบัญชี732-227401-0
ชื่อบัญชี พระกีรติกร สุธมฺมจารี ธนาคารไทยพานิชย์สาขาน่าน
หรือโทร 0861858116


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


...ยากนัก ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล5 และกุศลกรรมบท10 จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ก็ได้ด้วยยากยิ่งนัก เพราะอันตรายชีวิตทั้งภายในภายนอกมีมากต่างๆ
การที่ได้ฟังธรรม ของสัตตบุรุษ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนัก เพราะกาลที่เปล่าว่างอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบบางสมัยจึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย



จงจำไว้เสมอว่า ตัวเรามิได้ยืนอยู่คนเดียวบนโลกนี้ตามลำพัง นอกจากตัวเราเองแลใจเราเองแล้ว เราก็ยังมีคนที่คอยห่วงใยอยู่รอบๆ กายเราเสมอ เมื่อใดที่เรานิ่ง ดูดาย ไร้อารมณ์ใดๆ แต่กลับมีสติพิจารณาสว่างในธรรม เช่นนั้นมันก็ดีนะ สำหรับในทางแห่งธรรมเพราะคือทางที่สงบ จิตเป็นสุข หากแต่ในทางโลกของเรานั้น ตัวเราก็ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ที่เราเอง ก็ต้องอยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยการพิจารณานะ ความสุขใดๆ ในโลกเกิดขึ้นได้เสมอ อยู่ที่ตัวเราเรียนรู้เข้าใจชีวิต ว่าในความจริงเป็นอย่างไร จิตที่บริสุทธิ์แลเข้าใจปัญหาด้วยปัญญาจะทำให้ใจเราเป็นสุขได้เสมอทุกครา พิจารณาให้ดีเถิด ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้คงทนถาวร มีเกิด แลย่อมต้องมีดับเป็นธรรมดา




ตายก่อนกาย ตายเข้าโลง

พุทธทาส สอนธรรม ตายก่อนตาย
ชนทั้งหลาย ไม่ศึกษา ว่าฉง...น
อวิชชา ปิดปัญญา ว่าสับประดน
สาธุชน กล่าวเปรียบดัง กันทั้งเมือง

โลกนี้มี แต่คนบ้า ช่างน่าขำ
พุทธทาส สอนธรรมย้ำ ใช่ขุ่นเคือง
เขาอยากอยู่ ให้เด่นดัง มลังเมลือง
เขาเลยเคือง ว่าท่านชวน ให้ด่วนตาย

คำว่าตาย ตายก่อนตาย ความหมายมี
พิจารณา ดูให้ดี แล้วจะหาย
สงสัยธรรม ในคำว่า ตายก่อนตาย
ซึ่งความหมาย มันมี ดังนี้แล!

ตายก่อนตาย ตายความหมาย คำแรกนั้น
คือตายจาก ความยึดมั่น สิ่งผันแปร
ไปตามเหตุ หมุนเวียนไหล ตามกระแส
ตายดีแท้ ตายก่อนกาย ตายเข้าโลง เอย...






ดูก่อน อัคคิเวสสะนะ :
กายนี้เป็นที่ประชุมแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ
มีมารดา บิดา เป็นแ...ดนเกิด
เจริญขึ้นด้วย ข้าวสุก ขนม นม เนย
ต้องอบ ต้องอาบ ต้องขัดสีมลทิน อยู่เป็นนิจ
เพื่อกันกลิ่นเหม็น อันไม่พึงประสงค์

ผู้มีปัญญา ควรพิจารณาเห็นกายนี้ ว่า :
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนได้ยาก เป็นรังโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังแผลใหม่ เป็นดังลูกศร

ไม่มีทุกข์ใดเสมอ ด้วยการบริหารขันธ์
ทั้งๆ ที่เป็นดังนี้
มนุษย์ทั้งหลาย ก็ยังพอใจในกายนี้
เห็นกายนี้ เป็นของสวยงาม น่าอภิรมย์ชมชื่น
ต้องเยื้อแย่ง ฆ่าฟันกัน เพราะเหตุแห่งกายนี้
ต้องร้องไห้คร่ำครวญถึงกาย
อันเป็นดังหัวฝี เป็นดังแผลใหม่
เพราะติดใจ ในความสวยงาม
หลงเข้าใจว่า จะให้ความสุขแก่ตนได้

อันที่แท้จริงแล้ว กายนี้..
เป็นที่กักเก็บ อวัยวะน้อยใหญ่
เป็นที่กักเก็บ ปัสสาวะ
เป็นที่กักเก็บ อุจจาระ
มีน้ำเลือด มีน้ำหนอง ไหลเยิ้มอยู่ทั่วไป
มีกระดูก เป็นโครง
มีเส้นเอ็น เป็นเครื่องรึงรัด
มีเนื้อ เป็นเครื่องพอก และ
มีหนังบางๆห่อหุ้มสิ่งปฏิกูลพรางตาเอาไว้

แต่.. ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ผู้มองอย่างผิวเผินว่า
เป็นของสวยงาม น่าลูบคลำ น่าสัมผัส
ซึ่งอันที่แท้จริงแล้ว..
ความสวยงามสิ้นสุดลงแค่ผิวหนัง เท่านั้นเอง
ถ้าลอกเอาผิวหนังออกแล้ว
คนที่รักกัน เหมือนจะ กลืนกินกัน
คงวิ่งหนีเป็นแน่แท้

อนึ่ง.. ผิวหนังที่ว่าสวยปกคลุม
ก็เปรอะเปื้อน ไปด้วยเหงื่อไคล
ต้องคอยชำระขัดสี อยู่เนืองนิจ
ถ้าเว้นจากการชำระขัดสี แม้เพียงวันเดียว
ก็มี กลิ่นสาปเหม็น
เป็นที่รังเกียจแหนงหน่าย
แก่คนใกล้ชิด
หรือแม้นแห่งเจ้าของกายนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้
จง พิจารณากายอยู่เนืองๆ
ซึ่ง กายะคะตาสติภาวนา คือ คำนึงถึงกายนี้
ว่า ไม่งาม โสโครก เป็นที่ตั้งลง
และ ไหลออก แห่งสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่พอใจอะไรเลย
ข้าพระองค์ไม่พอใจในร่างกายนี้
ข้าพระองค์ไม่พอใจทุกอย่างในโลกนี้

ดูก่อนอัคคิเวสสะนะ
ถ้าเธอไม่พอใจอะไรเลย
เธอก็ต้องไม่พอใจความคิดของเธอด้วย [ความคิดคือสังขาร]

เพราะความคิดของเธอ
เป็นต้นเหตุแห่งความไม่พอใจทั้งหลายทั้งหมด

พระพุทธองค์ตรัสแก่ อัคคิเวสสะนะ [หลานพระสารีบุตร]
ที่ออกตามหาลุง จนมาพบพระสารีบุตร
ขณะถวายงานพัด พระบรมศาสดา
ที่ถ้ำ สุกรขาตา [สุ-กะ-ระ-ขา-ตา]
ตั้งอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ

ขณะที่พระพุทธองค์ตรัสกับอัคคิเวสสะนะ
พระสารีบุตรได้โน้มใจฟังพระธรรมเทศนานี้ไปด้วย

ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใดเลย
เธอต้องไม่พอใจความคิดของเธอด้วย
เพราะความคิดของเธอนั้น
เป็นต้นแห่งความไม่พอใจทั้งหลายทั้งหมด

เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระธรรมเทศนานี้
พระสารีบุตรได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์

ใจของคนเรานี่ มันคลุกคลีอยู่แต่ด้วยเรื่องโลกๆ ต่างๆ นานา
และก็ทำใจไม่ให้สบาย ทำใจให้วุ่นวายเดือดร้อนกระวนกระวาย
เพราะเราเข้าใจว่า เรื่องโลกนั้นเป็นสาระแก่นสาร
จึงทุ่มเทจิตใจเข้าไปอย่างไม่มีการตรึกตรองพิจารณา

... ถ้าเปรียบอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนแมลงเม่า
เมื่อได้เห็นเปลวไฟอย่างนั้นแล้ว พากันบินโถมเข้าไป
ผลที่สุดก็ไหม้ลง ร่วงอยู่ในกองไฟทั้งหมด...

ชีวิตของเราก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นสาระแก่นสาร
ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
คนเราเกิดขึ้นแล้วย่อมมีความตาย มีความแก่ มีความเจ็บ
มีความพลัดพราก จากสิ่งทั้งปวงในโลก.."


เมื่อใดที่เรามีสติ สติก็จะนำปัญญามาให้เราสว่าง เมื่อใดที่เราสว่างในปัญญา ก็เนื่องด้วยเรามีสมาธิก่อเกิดให้เรานิ่ง เรียนรู้ รู้จักพิจารณา นั่นคือ ทางแห่งธรรม จะเรียน เรียนอย่างไรถึงรู้ เรียนอย่างไรให้เพิ่มพูนด้วยมีสติ นำปัญญา คนรอบกายมีมากมายให้เราได้พบแลเจอ เรียนเพื่อให้เราได้รู้ รู้ รู้จักในคน เมื่อเราพบเจอคนดี ก็นำมาเป็นสติ เรียนให้เห็นเป็นปัญญา หากแต่เมื่อได้พบคนไม่ดี เราก็นำมาไว้เตือนสติ สอนใจตนด้วยสติแลปัญญา สุดท้ายต้องปล่อยวางให้ว่างในที่สุด เป็นธรรมดาในธรรมชาติของชีวิตที่เราไม่อาจหนี หรือหลบหลีกได้ พิจารณาให้ดีเถิด อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้จัก คำว่า เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ทางแห่งธรรม
คำสอนที่ทรงสั่งสอนบ่อยมาก
“พระโคดมผู้เจริญ ! ทรงนำสาวกทั้งหลายไปอย่างไร ?
อนึ่ง อนุสาสนีของพระโคดมผู้เจริญ ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย
ส่วนมาก มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างไร ?”
อัคคิเวสสนะ ! เราย่อมนำสาวกทั้งหลายไปอย่างนี้,
... อนึ่ง อนุสาสนีของเรา ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก
มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างนี้ว่า :
“ภิกษุ ทั้งหลาย. !
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน
สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน
วิญญาณไม่ใช่ตัวตน.
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง;
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน” ดังนี้.
อัคคิเวสสนะ ! เราย่อมนำสาวกทั้งหลายไปอย่างนี้,
อนึ่ง อนุสาสนีของเรา ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก
มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างนี้, ดังนี้.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อินทรีย์ ๖ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
๖ อย่างอะไรเล่า ? ๖ อย่างคือ
จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์
ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์
... กายินทรีย์ มนินทรีย์
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อใดแล อริยสาวก
มารู้จัก ความก่อขึ้น แห่ง อินทรีย์หก เหล่านี้,
รู้จักความตั้ง อยู่ ไม่ได้แห่ง อินทรีย์หก เหล่านี้,
รู้จักรสอร่อย ของ อินทรีย์ทั้งหก เหล่านี้
รู้จักโทษ อันร้ายกาจ ของอินทรีย ทั้งหกเหล่านี้
ทั้งรู้จัก อุบายที่ ไปให้พ้นอินทรีย์ ทั้งหกเหล่านี้,
ตามที่ถูก ที่จริง;
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรียกว่า
เป็น พระโสดาบัน ผู้มีอัน ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เที่ยงแท้
ต่อพระนิพพาน จักตรัสรู้ธรรม ได้ใน กาลเบื้องหน้า.

คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือ...ใจ เป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที
ไม่เห็นแก่ตัว ผลก็รั่ว รดผู้อื่น
ไม่ต้องฝืน ยื่นหยิบให้ ได้เสมอ
ไม่เท่าไร ในโลกเกลื่อน ด้วยเพื่อนเกลอ
เป็นโลกเลอ ล้นลาภ อาบไมตรี ฯ

... ไม่เห็นแก่ตัว ก็เมตตา ขึ้นมาเอง
รู้ยำเกรง รู้ใช้ธรรม นำวิถี
ไม่อาจฆ่า ไม่อาจลัก ไม่ล่วงประเวณี
ไม่หลอกลวง และไม่มี ที่เมามาย ฯ

ไม่เห็นแก่ตัว ก็หมดตัว จะยึดถือ
นั่นแหละ คือ หมดมูลเหตุ กิเลสหาย
ไม่อาจโลภ - โกรธ - หลง คงใจกาย
สะอาด - สว่าง - สงบได้ ฝ่ายนิพพาน ฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ
ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
'ทำกรรมใดแล้วไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลเป็นดี'
ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย.พึงพิจารณาดังนี้.สวรรค์ขั้นพื้นฐาน
ในโลกมนุษย์เป็นเช่นใดควรไตร่ตรอง..สวรรค์ในโลกมนุษย์..คือ
มนุษย์ผู้ใดที่มีจิตใจที่ดีงาม.ประกอบ..แต่กุศลธรรม..จนกระทั่งมี
จิตใจที่.สว่าง.สะอาด.สงบ.และดำรงชีพด้วยการมี(ศีล)ก็ขึ้นชื่อว่า
ได้ตั้งอยู่บนสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเบื้องต้น
ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย พึงพิจารณาดังนี้
ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับที่อยู่ห่างไกลจาก
ผืนโลก ก็ย่อมส่องแสงสว่างได้ฉันใด บุคคลใด
มีปัญญา ระลึก ในธรรมมะ และ เข้าใจใน หลัก
สัจธรรม เข้าใจในความเป็นจริง ในการ เกิด แก่
... เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของโลก ก็ขึ้นชื่อว่ามีแสง
สว่างแห่งปัญญา ดั่งดวงดาวที่ส่องแสงสว่างแม้
เพียงเล็กน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาฉันนั้น
ขโมยเงินพ่อแม่

ผู้ถาม หลวงพ่อคะ ขโมยเงินพ่อแม่นี่บาปไหมคะ มีคนเขาบอกว่าขโมยเงินพ่อแม่นี่ไม่บาป เพราะพ่อแม่ต้องจ่ายอยู่แล้วค่ะ
หลวงพ่อ ไอ้บาปนี้แปลว่าชั่ว การขโมยเงินมันเป็นบาปทั้งหมด ถ้าเราขโมยท่าน ท่านไม่ชอบใจ ท่านก็ทำเฉย การขโมยของพ่อแม่ท่านชอบไหมล่ะ การกระทำอย่างนี้ชั่ว ฉะนั้นจึงบาป
ผู้ถาม ถ้าหากท่านเห็นเล่าคะ แล้วเราหยิบไปเลย อย่างนี้บาปไหมคะ........?
... หลวงพ่อ ก็สาธุก็แล้วกัน ดีแล้วที่ไม่ว่าฉัน ถ้าเราหยิบไป ท่านเห็นแล้วไม่ห้ามปราม ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไร ถ้าหากท่านไม่ให้ ท่านห้ามเราก็ไม่หยิบก็หมดเรื่องไป การขโมยนี่จิตมันเริ่มชั่ว ตั้งแต่ก่อนที่จะกระทำ คิดจะขโมยน่ะ จิตมันชั่วแล้วนะ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาเรื่องศีล
“..ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา
ศีลนำความสุขมาให้ตลอดชีวิต
ศีลนำความสุขไปให้ตลอดและมีสุคติเป็นที่ไป
สีเลน โภคสมฺปทา ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ก็เพราะ
... เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์นี้แล..”



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2013, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


บอกความหมาย ให้สืบสาน
วันนี้ กับวันวาน
มีอะไร ที่ต่างกัน

ทบทวนใจ กันดูหน่อย ค่อยค่อยคิด
หากเบือนบิด จากเส้นทาง ที่สร้างสรรค์
ก็ควรคิด กลับใจ เสียให้ทัน
มีความดี เพียงเท่านั้น พ้นอบาย

รอยเท้า บนผืนทราย
บอกความหมาย ให้หยุดคิด
ทุกอย่าง เราลิขิต
อย่างมีทิศ และมีทาง

ดุ่มเดินไป บนถนน ของคนดี
ไม่ควรที่ จะละเลย หรือเว้นว่าง
เพราะชีวิต นี้แสน จะเปราะบาง
ที่เหยาะย่าง หารู้ไม่ ไหนวันตาย

อย่าลืม ทำความดี
ในภพนี้ ก่อนจะสาย
พกพา ได้สบาย
พาข้าภพ สงบเย็น

รอยเท้า ที่ฝังฝาก
เหมือนวิบาก กรรมที่เห็น
ร่องรอย ดุจแผลเป็น
สลักไว้ "บนผืนทราย"


คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นต้องมีความเป็นธรรมอยู่ในใจ จึงได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นจะต้องได้ฝึกฝนจิตใจด้วยการประพฤติตนปฏิบัติธรรม จึงเป็นคนดีมีคุณธรรมมีความประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม คนจะเป็นผู้มาปฏิบัติธรรมได้คนๆ นั้นจะต้องได้สั่งสมบุญบารมีทางปัญญามาแต่อดีตชาติ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เข้ามานั่งใกล้ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในปัจจุบัน

การเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทุกๆคนสามารถทำได้และทำได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เพียงฝึกจิตของตนไว้เสมอๆ ด้วยการท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจ(จัดเป็นธัมมานุสสติ)ตลอดเวลาเท่าที่จะนึกได้ว่า “อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่าคิดร้ายใคร...” เป็นการสร้างความรู้ตัวหรือตัวรู้ให้กับจิตของตนสะสมไว้ อันเป็นเหตุให้จิตเกิดสติรู้ปล่อยวางไม่เกิดความรู้สึกยินดียินร้าย ความรู้สึกยินดียินร้า...ยเป็นกิเลสบาปอกุศลที่ต้องเอาออกเสีย เมื่อมีสติจิตนี้ก็เป็นบุญกุศลจิต กุศลธรรม อันเป็นเหตุให้จิตที่จะเป็นคนดีมีศีลธรรมประพฤติตนอยู่แต่ในสุจริตธรรม โดยธรรมดาของจิตย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำกว่า จึงต้องมีการปฏิบัติท่องธัมมะภาวนาเพื่อยกจิตตนให้สูงไว้เสมอๆ การทำเช่นนี้จึงจัดได้ว่าเป็นผู้ได้ปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมแล้ว และจะเป็นเหตุให้เกิดอธิศีลคือประพฤติแต่สุจริตธรรม มีอธิจิตคือความสงบสุขในสมาธิ และมีอธิปัญญาคือความรู้แจ้งในสภาวธรรม ที่จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม ๓ ประการ คือกายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต นี่แหละคือข้อปฏิบัติของคนดีมีคุณธรรม อันนำไปสู่ความเป็นผู้มีจิตว่างอย่างยิ่ง ดังนี้.
• ทำดีไม่ใช่เห็นทันตา
จะทันอย่างเดียวก็คือทันใจ ใจที่มันเป็นสุข

: เชี่ยวชาญด้านดีจะสบาย
เชี่ยวชาญด้านร้ายจะลำบาก
... เชี่ยวชาญด้านเหนือดีเหนือร้าย
จะเป็นผู้หลุดพ้นจากความกลับไปกลับมาทั้งปวง


• กรรมเป็นเรื่องคาดการณ์ยาก
ผลของอกุศลบางอย่างนั้น
อาจเกิดขึ้นเรื่อยๆหาจุดจบยาก
ไม่ว่าคุณจะดีสักขนาดไหน

แต่ที่แน่นอนคือ
เมื่อศรัทธาเรื่องกรรมวิบากอย่างมั่นคงแล้ว
ใจคุณจะไม่เป็นทุกข์
เพราะเจตนาทำชั่วไม่มีด้วยกรณีใดๆ
และแม้ถูกทำร้าย
ความอาฆาตแค้นพยาบาทฝังใจก็ไม่ปรากฏ

เมื่อไม่คิดทำชั่ว ไม่ผูกใจเจ็บ
เท่านี้จิตก็ใส ใจก็เบา
เหมือนลอยคออยู่ในทะเลแห่งความสุขกันแล้วเห็นๆ
เหตุยั่วยุให้ทำชั่วจะน้อย
หรือเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อจิตคุณใส ใจคุณถึงจริงๆ

ใครจะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ช่างเขา
แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าเมื่อเกิดมาอยู่ใต้ร่มพุทธ
มีสิทธิ์ฟังคำสอนอันยิ่งใหญ่
ของพระพุทธเจ้าแล้วล่ะก็
ให้ตัดสินได้เลยว่าคุณ
มีทุนเก่ามาหนากว่าคนอื่นๆ
ในโลกที่เขาอยู่ในประเทศซึ่งขาดโอกาสแบบเรา

ปักใจเชื่อให้เด็ดเดี่ยวแบบนี้เสีย
จะได้มีกำลังใจเป็นทุนใหม่
ก่อกรรมจนได้ความอุ่นใจเป็นใบเสร็จ
คือยิ่งอุ่นใจมากแปลว่ากำไร
ใจแห้งขอดแปลว่าขาดทุน

ไม่ว่าใครจะกำไรหรือขาดทุนแค่ไหนแล้ว
ก็ขอให้ลงทุนเพิ่มเข้าไปเถิด
ที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด พูด ทำ
อยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา

ยิ่งน้ำหนักกรรมดีมีมากขึ้นเพียงใด
ความอุ่นใจก็จะยิ่งเอ่อมากขึ้นเพียงนั้น

กระทั่งถึงวันหนึ่ง
เมื่อมีความสุขจนล้นหลาม
คุณจะทราบเองว่าใจแท้ๆที่เป็นบุญเป็นกุศล
ที่มีสติสัมปชัญญะ
ที่มีปัญญาความฉลาดนั้น
จะไม่รู้สึกเลยว่าชีวิตสิ้นสุดตอนโดนเผา

คุณจะเลื่อมใสไม่ดูแคลนในบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม
และเห็นประจักษ์ตามธรรมชาติคือ
"ผู้สั่งสมบุญ" ย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน
เวลาแห่งความทุกข์ แลความสุข
มักจะเดินไปพร้อมๆ กับเราเสมอ
หากเราย้ำด้วยตนแต่คำว่า ทุกข์
เราก็จะไม่เห็นความสุขใดๆ
สุขนั้นเกิดได้ที่ใจเรา มีสติ พิจารณาให้เป็น
... ประสบการณ์สอนคนให้เป็นมนุษย์หนอ
หากจิตเปิด ใจเปิด เลือกรู้จักพิจารณาในธรรม
ย่อมสว่างในหนทางที่เลือกเดิน
พิจารณาให้ดีเถิด ตื่นในสติแลปัญญา
อยู่กับความเป็นจริงหนอ
เส้นทางชีวิต..
ทุกคนเหมือนเดินอยู่บนเส้นรอบวง..
มีจุดเริ่มต้นที่เป็นจุดเดียวกับจุดจบ..
แต่ละคนมีเส้นทางเดินสั้นยาวไม่เท่ากัน..
บางครั้งก็เดินไปทับซ้อนกับเส้นรอบวงของผู้อื่น..
... บางคนเดินเร็ว..บางคนเดินช้า.. ตามอายุไข
สุดท้ายก็ไม่วายถึงจุดจบ..หรือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่..เป็นเช่นนี้เรื่อยไปตามกฎของไตรลักษณ์..
ชีวิตมีกรรมเป็นเชื้อผู้ให้กำเนิด..
ชีวิตมีบุญเป็นทางเลือกให้เกิดมาดีมีสุข
ชีวิตมีบาปเป็นทางบังคับให้เกิดมาทุกข์ยาก
ชีวิตมีกายเป็นเครื่องสนองกรรม สร้างกรรม
ชีวิตมีจิตวิญาณเป็นนายควบคุมพฤติกรรม
ถ้าเหนื่อยไม่อยากเดินตามวงรอบชีวิต.. ก็ดับอณูของจิตเสียแต่ชาตินี้.. ด้วยการ..
ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่..
ไม่ยคดมั่นถือมั่น หวง ห่วง หวัง ในสิ่งทั้งปวง
ปล่อยวางให้ดวงจิตเบา..เพื่อพร้อมที่จะกลับ "แดนนิพพาน"
ชีวิตที่ขาดความกตัญญูเป็นชีวิตที่ไม่สดชื่น
ถ้าเราไม่มีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างให้เรากตัญญูแล้ว
จิตใจของเราคงเหี่ยวแห้งเต็มที..

ความทุกข์ของเทวดาและมนุษย์ตามธรรมชาติ
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มีรูป
เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในรูป บันเทิงแล้วในรูป ย่อม
อยู่เป็นทุกข์ เพราะความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ก็ตรัส
... อย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
รู้แจ้งความเกิด ความตั้งอยู่ไม่ได้ รสอร่อย โทษ และอุบาย
เครื่องสลัดออกแห่งรูป ตามเป็นจริง ไม่มีรูปเป็นที่มายินดี
ไม่ยินดีในรูป ไม่บันเทิงในรูป ยังคงอยู่เป็นสุขแม้เพราะ
ความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ
ธรรมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกัน).

กรรมใด ใจไม่ชอบ
อย่าประกอบ กรรมนั้น กับใครเขา
เขาก็คง ไม่ชอบ เหมือนเหมือนเรา
ยัดเยียดไป ทำไม่เล่า ให้เปล่าการ

... ถ้าเราไม่ เห็นงาม ตามระบอบ
เขาก็คง ไม่ชอบ เหมือนกับท่าน
เขาก็ใจ เราก็ใจ ใฝ่ประมาณ
อย่าคิดพาล ชมชื่น ฝืนใจใคร

ไม่ทำบุญ ก็อย่าทำ กรรมให้ทุกข์
ไม่หยิบยื่น ความสุข ส่งไปให้
ก็ไม่เห็น จะร้อนรน จนหนักใจ
แต่อย่านำ กรรมร้ายใด ให้เขาเลย

ให้เพียรเพ่งพิจารณาอสุภกรรมฐานโดยประการต่างๆ
ของร่างกาย เป็นต้นว่า ร่างกายก้อนนี้เป็นที่ประชุมซึ่ง
สรรพสิ่งทั้งหลาย คือหน้าที่บรรจุไว้แห่งซากศพ
เป็นสุสานประเทศ เช่น ซากโค ซากกระบือ ซากหมู เป็ด
ไก่ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อันเข้าไปผสมบ่มไว้ในกระเพาะ
... แล้วกรองกลั่นเป็นน้ำเลือด น้ำหนอง เปื่อยเน่า พุพอง
ซาบซ่านออกมาตามทวารต่างๆอันมนุษย์ทั้งหลายพากัน
เยียวยามิได้หยุด เป็นต้นว่าการอาบน้ำขัดสี ซักฟอกกลบกลิ่น
มิให้ปรากฏแต่ถึงกระนั้น อ้ายความโสโครกของร่างกายก็ยัง
แสดงตัวออกอยู่เสมอเป็นต้นว่า ขี้หู ขี้ตา ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เหงื่อ
ขี้ไคล ย่อมไหลซาบซ่านอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่โสโครกโสมม
ด้วยประการต่างๆ ที่เกิดก็เกิดที่โสโครก ที่อยู่ก็อยู่ที่โสโครก
คืออยู่ในป่าช้าผีดิบ หรือยิ่งกว่าป่าช้า ซากผีที่ฝังไว้ในตนแล้ว
ดูเป็นร้อยๆ อย่างเสียอีก ตัวคนเราถ้าจะดูตามลักษณะ
ก็มีอาการต่างๆ ไม่สม่ำเสมอกัน มีกลิ่นก็เหม็น
เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังหนักหนา

ธรรมะ คือ หลักความจริงของชีวิต
ทำให้เราอยู่ในโลก อย่างเข้าใจโลก
ไม่แบกโลก ไม่ถูกโลกทับ
และหากต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่อาลัยในโลก..
ความสงบ นั้นหมายถึง สถานที่ใดที่คนไม่พลุกพล่าน หรือไม่มีสิ่่งใดมารบกวนสภาพแวดล้อมมากนัก สถานที่แบบนี้เหมาะสำหรับการทำสมาธิ เพื่อเจริญปัญญาในการตัด กิเลศ ตัณหา อุปทาน
ส่วน...
ผู้สงบ นั้นหมายถึง ผู้ที่ไม่คิดทำร้าย ผู้อื่นด้วยกายและวาจา กล่าวคือ
...
โลภะ ก็คือ ความอยากได้ของเขา (การลักทรัพย์ การฉ้อโกง,
การประพฤติผิดลูกเมียเขา)

โทสะ ก็คือ ความคิดประทุษร้ายเขา (การตัดรอนชีวิตผู้อื่น(คนดี),
การพูดโกหก, หลอกลวง,ให้ร้ายเขา,พูดส่อเสียด,พูดเพ้อเจ้อ (ไม่มีเหตุผล)
พูดคำหยาบใส่เขา คือ การทำให้เขาเป็นทุกข์ใจ)
สติและสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่เกื้อกูลการทำงานและการทำความดีทุกอย่าง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าในโลกของเรานี้ มีสภาวะของธรรมและอธรรม ซึ่งสองสภาวะนี้ให้ผลที่ต่างกัน
ธรรมย่อมอำนวยผลในทางที่ดี ทางที่เจริญ หรือทางที่ก้าวหน้า ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติย่อมมีความร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นธรรมจึงเป็นเครื่องส่งเสริมการพัฒนาชีวิตคน สังคม และประเทศชาติ ขณะที่อธรรมย่อมอำนวยผลในทางที่ชั่วหรือทางที่ไม่เจริญ
คำว่า "ธรรม" หมายถึงความถูกต้อง ความดีงาม หรือความเจริญ เป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ เพื่อทำให้กาย วาจา และใจของมนุษย์ สะอาดและงดงาม เช่น ทำให้เกิดความเรียบร้อย ความเข้มแข็ง ความเสียสละ และความอดทน เป็นต้น
คำว่า "อุปการะ" หมายถึงการอุดหนุน การช่วยเหลือ การส่งเสริมให้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี การสงเคราะห์ การเกื้อกูล การจุนเจือ การมีน้ำใจ และการเือื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ ซึ่งธรรมที่มีอุปการะมากมี ๒ อย่าง คือ
๑. สติ คือความระลึกได้
๒. สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว
ธรรมสองประการนี้เป็นอุปการะที่สำคัญ และเกื้อกูลอย่างมากต่อการทำงานหรือการทำความดีทุกอย่าง
ความสามารถในการรักษาศีลและวินัยคฤหัสถ์ จะดีหรือไม่?... ขึ้นอยู่กับสติและสัมปชัญญะ ผู้ซึ่งมีธรรมสองประการนี้ย่อมเป็นคนที่รอบคอบและไม่ประมาท เมื่อจะคิด ทำ หรือพูดสิ่งใด จะไม่มีความผิดพลาดหรือจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
สติ หมายถึงการระลึกได้ถึงการกระทำ คำพูด และการคิด แม้ที่ล่วงมาแล้ว ได้ หรือการระลึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งในอนาคต เช่น เมื่อกำหนดว่าเราจะทำสิ่งหนึ่งในชั่วโมงถัดไปหรือพรุ่งนี้ เราก็สามารถนึกขึ้นได้ บทบาทของสติมีอยู่ใน ๒ กาล คืออดีตและอนาคต
สัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวว่าเรากำลังทำ พูด หรือคิดสิ่งใด ณ ปัจจุบัน เช่น ขณะนี้เรากำลังอ่านหนังสือ เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังอ่านหนังสือ หรือตอนนี้เรากำลังพูด เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังพูด หรือเมื่อเรากำลังทำสิ่งที่ผิดศีล เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังทำสิ่งที่ผิดศีล หรือขณะที่เรากำลังเล่นการพนัน เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังเล่นการพนัน เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเรากำลังกระทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็สามารถเตือนตนเองได้อย่างฉับพลัน ฉะนั้น บทบาทของสัมปชัญญะย่อมมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น

จิตกับสติ
คนเรามีจิตเป็นตัวคิดการ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่สติเป็นคุณธรรมซึ่งกำกับจิตให้คิดไปในลู่ทางที่ถูกที่ควร จิตและสติจึงเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตเป็นธรรมชาติ ขณะที่สติเป็นคุณธรรม ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่าจิตเป็นเหมือนเรือ และสติเป็นเหมือนหางเสือของเรือหรือผู้คัดท้าย ถ้าเรือขาดหางเสือหรือผู้คัดท้าย เรือนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไปตามเส้นทางที่เราต้องการได้ หรือเรืออาจเกยตื้นได้

เสียสติ
สติเป็นธรรมที่เป็นอุปการะแก่การทำความดีทุกสถาน มีธรรมเกี่ยวกับสติ แทรกอยู่หลายแห่ง ธรรมที่มีคำว่า "สติ" อยู่ เช่น สติปัฏฐานสี่ หรือสัมมาสติในอริยมรรค หรืออนุสสติในกรรมฐาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าสติเป็นอุปการะแก่ผู้ที่ระลึกถึงการทำความดีทุกชั้นทุกระดับ ดังปรากฎในพุทธภาษิตว่า "สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา" หมายถึงสติเป็นสิ่งที่ถูกต้องการในทุกแ่ห่ง
นักศึกษาอาจเคยพบคนที่เสียสติ เช่น คนที่เป็นโรคจิต เป็นต้น จริงๆ แล้ว จิตของเขาเหล่านั้นยังคิดการต่างๆ ได้ แต่เพราะไม่มีสติที่คอยกำกับจิต ความคิดจึงเลื่อนลอยหรือใช้การไม่ได้ เราจึงเรียกเขาเหล่านั้นว่าคนที่มีสติวิปลาสหรือคนเสียสติ คนเหล่านี้อาจก่อความเสียหายหรือกระทำความผิดต่างๆ ได้ แม้แต่การฆ่าผู้บังเกิดเกล้าของเขาเอง

ศัตรูของสติ
สติมีความสำัคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา หากเราขาดสติ เราก็ไม่ต่างจากคนที่ตายทั้งเป็น ซึ่งน่าสงสารและน่าเวทนายิ่งนัก ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงพร่ำสอนให้เราระมัดระวังสติของเราเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
ตามความเป็นจริง สติไม่ถูกทำให้เสียหายได้อย่างง่ายๆ เช่น เราป่วยแรมปี สติของเราก็ไม่เสียหาย หรือเราอดข้าวทั้งวัน สติของเราก็ไม่เสียหาย หรือเราทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด สติของเราก็ไม่เสียหาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สติเสียหายได้อย่างง่ายดาย สิ่งนั้นคือสุราหรือเหล้า พระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามดื่มเหล้าหรือสุราเมรัย ซึ่งเป็นหนึ่งในศีล เพราะเหล้านี้เป็นศัตรูของสติ พระพุทธองค์ได้ทรงเน้นให้เห็นความสำคัญของสติว่าเป็นสิ่งที่เราควรหวงแหนและรักษา สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งเสพติดที่ใ้ห้โทษหรือทำให้ผู้เสพมัวเมา ลุ่มหลง จนเป็นเหตุให้เราไม่สามารถครองสติได้ ล้วนเป็นอันตรายต่อสติทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรละศัตรูของสติ คือน้ำเมา เสีย

วิธีที่ช่วยทำให้เกิดสติ
๑. สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีหลากหลายวิธีที่ถูกแนะนำ เช่น บันทึกการนัดงานในสมุดปฏิทิน ติดตั้งกระดานช่วยเตือนความจำ เป็นต้น
๒. สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว เราอาจปฏิบัติตามหลักกรรมฐาน คือทำสมาธิ

สิ่งที่ถูกเสนอแนะข้างบนนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการฝึกสติ ผู้ปฏิบัติอาจหาวิธีการฝึกแบบอื่นให้สัมพันธ์กับจริตของท่านเอง

อุปการธรรม คือสัมปชัญญะ ซึ่งกล่าวในเบื้องต้นแล้วว่าทำหน้าที่ในปัจจุบันเท่านั้น มีความหมายเบื้องต้นคือการรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ พูด หรือคิดสิ่งใดอยู่ ซึ่งเป็นสัมปชัญญะในรูปแบบทั่วๆ ไป ประโยชน์ของสัมปชัญญะคือช่วยไม่ให้เผลอ ไม่ให้ประมาท ในการกระทำ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่เรารู้ตัวอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป เช่น คนบางคนที่กำลังทำทุจริต เขาก็รู้ตัวว่าเขากำลังทำทุจริต แต่เขากลับตั้งใจที่จะทำให้ทุจริตนั้นแนบเนียนยิ่งขึ้น อย่างนี้ก็มี

ลักษณะที่ดีของสัมปชัญญะ
สัมปชัญญะที่ถูกตามธรรมและหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา มี ๔ ประการ คือ
๑. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่?
๒. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเหมาะกับเราหรือไม่?
๓. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นทำให้เกิดทุกข์หรือสุขอย่างไร?
๔. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นสิ่งงมงายหรือไม่?
๕. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเลื่อนลอยหรือไร้สาระหรือไม่?

ความรู้ตัว ดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นองค์ประกอบของสัมปชัญญะ ซึ่งถือว่ามีอุปการะมาก เพราะเมื่อรู้ตัวแล้ว เราจะได้ปรับปรุงหรือแก้ไขการทำงานเพื่อทำให้งานมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ทำให้เราไม่หลงไปทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่หลงไปกับสิ่งที่ไม่เหมาะกับเพศภาวะของเรา ไม่หลงไปใช้วิธีการที่ผิด และไม่หลงในเรื่องที่งมงาย เป็นต้น
หากขาดคุณธรรมทั้งสองประการนี้ เราจะทำการงานอย่างผิดพลาดหรือเสียหาย หากเรามีทั้งสติและสัมปชัญญะ เราจะสามารถทำการงานต่างๆ ได้อย่างดีและไม่พลาดพลั้ง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ พูด และคิด ด้วยสติและสัมปชัญญะเสมอ คือก่อนทำ พูด หรือคิด ให้มีสติเพื่อระลึกเสียก่อน และขณะที่กำลังทำ พูด หรือคิด ให้รู้ตัวเสมอว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ นอกจากนี้หากจะทำสิ่งใด ไม่ควรรีบร้อน ควรไตร่ตรอง หรือทำด้วยความสุขุม สติจึงจะเกิดขึ้นทันและได้ผลเพิ่มขึ้น โดยรวมแล้ว สตินี้คือความไม่ประมาทนั่นเอง คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดล้วนลงอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตของผู้ไม่ประมาท จะมีความสมบูรณ์ การดำเนินชีวิตจะไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยมาก
สติและสัมปชัญญะจึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมสำหรับการส่งเสริมและพัฒนาตนเองเพื่อให้มีระเบียบวินัย เพราะการมีสติ สติจะกำกับให้ระลึกได้ และการมีสัมปชัญญะ ทำให้เรารู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้นผิดศีลหรือไม่ เป็นอบายมุขหรือเปล่า เป็นต้น
เราอย่าไปท้าทายพระพุทธเจ้าที่สอนว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มี
เราอย่าไปท้าทายว่าสิ่งเ...หล่านี้ไม่มีถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น
ให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลง ไม่มีใครเหนือพระพุทธเจ้าแหละ ที่ความรู้ความฉลาด ประการสำคัญก็คือว่าไม่มีใครเหนือกรรม
กรรมดีกรรมชั่ว ครอบอยู่หัวทุกคนทุกตัวสัตว์
ใครจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ไม่เหนือกรรม ทำชั่วได้ชั่วทันที ๆ อันนี้ตีตราไว้เลย ๆ ทำดีได้ดีทันที ไม่จำเป็นต้องมีที่ลับที่แจ้งอะไรละ ดีชั่วประกาศอยู่ในตัวของมันเอง ๆให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลงไม่งั้นจะจม

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กิเลสคือไฟราคะ โทสะ โมหะนี้แหละ
มันเป็นของร้อน ร้อนยิ่งกว่าไฟธรรมดา
ไฟธรรมดา อย่...างไหม้ที่สุดก็ให้ชีวิตของบุคคลผู้นั้น
แตกดับไป ก็หยุดแค่นั้น..

แต่ว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟอวิชชา ตัณหา
มานะ ทิฏฐิ ไฟอันนี้ไม่หยุดแค่นี้
จะต้องไหม้จากภพนี้ ชาตินี้ เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป
จนต่อเนื่องไปภพใหม่ ชาติใหม่ ก็ตามไปไหม้

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
หลวงปู่ขาว อนาลโย
"ศีลเป็นของคนทุกคน ศีลทำคนให้เป็นคน ทำมนุษย์ให้เป็น เทวดา คนไม...่มีศีลก็เหมือนสัตว์ ทำอะไรไปตามกิเลสชักนำ กิเลสคือ โลภ โกรธ หลง มันคอยชวนคนให้ทำผิดตลอด เวลา คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมไม่รู้จักมัน หลงเชื่อมัน ทำตามมัน"
ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้นเกิดมาก็เป็นเด็ก
แล้วก็แปรเป็นหนุ่ม เป็นคนเฒ่าคนแก่เปลี่ยนไปทุกวัน
ถ้าเรามุ่งหมายพิจารณา เราก็จะเห็นทางไปทางมาของเรา
เราต้องรู้จักว่าเรามาอย่างไรไปอย่างไร จะอยู่ไปอีกกี่วัน
กี่เดือนกี่ปี เมื่อเราระลึกได้อย่างนี้ เราก็ต้องขวนขวาย
... รีบปฏิบัติ ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น เราจะไม่รู้จักต้นทาง
กลางทาง ปลายทางว่าอยู่ตรงไหน ก็จะอยู่ไปโดย
ไม่มีสาระ อะไรในจิตใจของเรา

หากใจดี มีธรรม ประจำจิต
ใครจะคิด ด่าตอบ มอบความเศร้า
จิตไม่หมอง เพราะมีธรรม ตามดังเงา
ธรรมจะเฝ้า เป็นเกราะเพชร เผด็จมาร
"อานิสงส์ของการนั่งสมาธิ"

-เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
-เ...พื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
-จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
-ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
-ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
-เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล


บางคนคิดว่าทำความผิดอยู่ ที่ลับตาที่คนไม่เห็น ก็ทำได้อย่างสบายใจ ไม่คิดกลัวบาป ส...ิ่งที่ ทำผิดไปนั้นกลัวแต่คนจะเห็น กลัวเพื่อนครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่จะเห็น ถ้าเป็นที่ไม่มีใครเห็นก็ทำได้ทุกอย่าง คิดดีใจว่าไม่มี ใครเห็น อันนี้มันโง่เกินไป ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ตัวเราเองก็เห็น เพราะตัวเองเป็นคนเหมือนกัน ถ้าเราคิดอย่างนี้ ก็พออยู่ได้ การปฏิบัติธรรมะท่านให้ดูตัวเอง บางคนถ้าทำสิ่งที่ผิดก็กลัวคนจะเห็น ถ้าอยู่ในที่ที่คนจะเห็นไม่กล้าทำ เพราะมีความละอาย แต่ไม่มีความละอายต่อบาป ถ้าพูดถึงธรรมะแล้ว ไปทำผิดอยู่ที่ไหนคนจะไม่เห็นไม่มี เพราะเราก็เป็นคน ตัวเราทำเองทำไมจะไม่รู้ คนเห็นทั้งนั้นแหละ (ท่านหัวเราะ ฮึ ฮึ) คนอื่นไม่เห็น...เราทำผิด เราก็เห็นเราอยู่จะดำอยู่ในน้ำก็ยังเห็น คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็นตัวเราอยู่

หลวงพ่อชา สุภัทโท





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2013, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5365


 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ถ้าใจมีความสุข (คือจิตที่ฝึกมาดีแล้ว) ไม่เลือกแม้แต่สถานที่ หรือคนจะเยอะ จะน้อยเพียงใด ไม่ปฏิเสธความรู้สึกในอารมณ์ของตนเอง ว่าไม่ชอบความวุ่นวาย เพราะมีหมู่คนมาก ให้เข้าใจว่าอยู่กับโลก แก้ที่โลก หรือแก้ภายในโลกมิได้ แต่ต้องให้แก้ที่ใจของตนเองเป็นสำคัญ
ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอนในสิ่งที่บัญญัติไว้
ภิกษุทั้งหลาย ! จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ
จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว
จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว
อย่างเคร่งครัดอยู่เพียงใด,
... คามเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้
ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
"ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น"

"อย่าคิดว่ายาก ประเดี๋ยวจะท้อถอย อย่าคิดว่าง่าย เพร...าะประเดี๋ยวจะประมาทเกินไป ทางที่ดีควรคิดว่ายาก หรือง่ายไม่สำคัญ หนทางนี้เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เราต้องทำให้ได้ก็แล้วกัน ตั้งใจทำให้เต็มความสามารถเพื่อพระนิพพาน คิดอย่างนี้เข้าไว้แล้วค่อยๆ เดินมาอย่างมั่นคง อย่าริข้ามขั้น ไต่มาตามระดับเรื่อยๆ ด้วยใจยินดีว่า การปฏิบัติธรรมนี้เพื่อนำจิตให้พ้นทุกข์ เราได้ทำแล้ว ทำไปก็ยินดีไปในธรรมนั้นด้วย และมีความพร้อมที่จะไปพระนิพพานไว้เสมอ"


พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
"สัมมาสมาธิ หมายความว่าสมาธิที่มีความถูกต้อง หลวงพ่อจึงได้สร้างสถาบันพลังจิตตา...นุภาพแล้วก็เขียนหลักสูตรครูสมาธิ ทั้งนี้เพื่อที่จะให้รู้ความจริงว่าเวลาที่เราปฏิบัตินี่มันอะไรจะเกิดขึ้นเพราะความจริงหนีความจริงไปไม่พ้น สมาธิให้ความสุข สมาธิให้ความปราดเปรื่อง สมาธิให้ความหยุด โลภ โกรธ หลง สมาธิให้เกิดความเงียบสงบ เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อมาทำสมาธิแล้วนี่ก็ได้เวลาปรุงแต่งอารมณ์ อะไรที่เป็นอารมณ์มาเกลือกกลั้วในจิตใจของเรา สมาธิก็ขจัด เมื่อขจัดอารมณ์หมดแล้วก็เกิดความสุข อันนี้เป็นความจริง แล้วความสุขอันนี้ไม่ใช่ว่ามันเป็นความคิดแล้วก็มีความสุขเฉยๆ แต่ยังทำให้เกิดพลังจิตเกิดความเติบโตขึ้นอีกด้วย เหมือนกันกับเรารับประทานอาหาร เรารับประทานอาหารมันก็มีรสเข้าไป มีความสุข มีความอิ่มหนำสำราญเหล่านี้ แต่ความอิ่มหนำสำราญหรือความสุขนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวของความจริง...แต่ตามความเป็นจริงแล้วสมาธิทำให้เกิดพลังจิตมากกว่า เมื่อทำให้เกิดพลังจิตแล้ว พลังจิตก็จะกลายไปเป็นบุญ เป็นวาสนา เป็นบารมี..."

พระธรรมงคลญาณ(พระอาจารย์หลวงพ่อวิริรยังค์ สิรินฺธโร)
พวกเราทั้งหลายควรมาแต่งใจของเรา รักษาจิตของเรา
จิตของเราเหมือนเด็กน้อย ไม่รู้เรื่องรู้ภาษา ไปพบอะไร
ก็ตะครุบอันนั้น ไปพบน้ำก็ตะครุบน้ำ ไปพบไฟก็ตะครุบไฟ
เหมือนกันกับจิตที่ไม่ได้ฝึก มันก็เกิดโทษอยู่เรื่อยๆ

หลวงปู่ชา สุภัทโท(วัดหนองป่าพง)
"อัตตา" ก็เหมือนกับฝุ่นผงในตา

หากไม่ล้างมันออกไป

คุณย่อมไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆอย่างชัดแจ้ง
...
ดังนั้น ลด "อัตตา" ได้เมื่อไหร่

เราจะมอง "เห็น" โลกที่แท้จริง
"การทำบุญด้วยการรักษาศีล"

การรักษาศีลนั้นมีอานุภาพมากกว่าการให้ทาน ดังนั้นเราคว...รมีการรักษาศีลเพื่อให้ได้บุญมากขึ้นไปอีก
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะมีแต่การรักษาศีลอย่างเดียวไม่มีการให้ทาน ควรมีทั้ง ทาน ศีล สมาธิภาวนา
บางคนมักจะมองข้ามไปเกี่ยวกับการรักษาศีลว่าเป็นพวกเคร่งเกินไป ก็เลยเข้าใจกันไปว่า การทำบุญคือการให้ทานอย่างเดียว
หลายๆคนมักจะบอกว่าการทำบุญคือการไปที่วัดแล้วถวายอาหารพระ ถ้าเข้าใจแบบนั้นก็คือเข้าใจเรื่องการทำบุญน้อยเกินไป
การทำบุญนั้น นอกจากจะให้ทานแล้ว บุญที่ใหญ่กว่าการให้ทานคือการรักษาศีล
การรักษาศีลจะทำให้การให้ทานนั้นมีอานิสงส์มากขึ้นไปอีก กล่าวคือการให้ทานโดยไม่มีศีลบุญที่ได้จะไม่เต็มที่เท่ากับการมีศีลแล้วให้ทาน
เพราะองค์ประกอบการให้ทานที่ดีคือ
๑) วัตถุทานบริสุทธิ์
๒)เจตนาบริสุทธิ์
๓)บุคคลบริสุทธิ์
จะเห็นว่าหากวัตถุทานบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้ทานบริสุทธิ์ ผู้รับทานบริสุทธิ์ อานิสงส์การให้ทานย่อมได้มาก
เมื่อเป็นอย่างนี้จะเห็นว่า หากเราไม่รักษาศีลแล้วเป็นผู้ให้ทาน ทานนั้นย่อมได้อานิสงส์ไม่มากเท่ากับการที่เรามีศีลและให้ทาน
หากทานนั้นผู้มีศีลดีให้ และผู้มีศีลดีรับทานนั้น อานิสงส์ย่อมสมบูรณ์
การรักษาศีล ๕ ไม่ได้เคร่งเกินไป เป็นหนึ่งในทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แต่หลายคนมักจะมองว่าใครรักษาศีล ๕ เป็นคนเคร่งเกินไป
คำว่าเคร่งเกินไปในทางพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องของการทรมานตนต่างๆ อดอาหารจนผอม การกลั้นลมหายใจ และการทุกกรกิริยาต่างๆ พวกนี้คือเคร่งเกินไป
การรักษาศีล ไม่ใช่เป็นการเคร่งเกินไป แต่เป็นเรื่องปกติของคนดีเขาทำกัน ฆราวาสสามารถรักษาได้ คือศีล ๕ เป็นปกติ หมายถึงทำได้ทุกวัน
หากเรากำลังใจเข้มข้นก็ให้รักษาศีล ๕ เป็นปกติทุกวัน เพื่อจะเป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีื
การรักษาศีล จะทำให้เราแผ่เมตตา อุทิศบุญไปให้ดวงจิต ทั่วสากลได้ง่าย เพราะว่าการแผ่เมตตา ย่อมประกอบด้วยศึล หากเราไม่มีศีล เมตตาเราย่อมขาดไป
เพราะว่าเมตตามีอยู่ในศีลทุกข้อ ถ้าเรามีเมตตากับเขา เราจึงไม่ฆ่าเขา ถ้าเรามีเมตตากับเขาเราก็ไม่ขโมยของเขา ถ้าเรามีเมตตาเขาเราย่อมไม่แย่งคนรักเขา ถ้าเรามีเมตตาเขาเราย่อมไ่ม่พูดให้เขาเสียประโยชน์ หากเรามีเมตตากับเรา เราย่อมไม่ดื่มสุราของมึนเมาทำให้เราเสียสติ สัมปชัญญะ
สำหรับฆราวาส เรารักษาศีล ๕ เป็นปกติ และรักษาศีลอุโบสถตามโอกาส วันพระ หรือโอกาสที่ตั้งใจจะรักษา ถ้าเป็นแม่ชีก็รักษาศีล ๘ ถ้าเป็นสามเณรก็รักษาศีล ๑๐ เป็นพระก็รักษาศีล ๒๒๗
ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดโภคทรัพย์ ศีลเป็นปัจจัยให้ถึงมรรคผลนิพพาน เราควรรักษาศีลกันเถิด



โลกต้องการคนดี มิใช่เพื่อให้มารับรางวัล แต่เพื่อให้มา
ช่วยทำชีวิตและสังคมให้ดีชึ้น ไม่พึงทำดี เพื่อเอาความดีมาเสริมตัวตน
แต่พึงสละตน เพื่อเสริมความดี คนทำดีอย่างแท้จริง
เสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะให้คนอื่นรู้ว่า ตนได้ทำความดี

พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)
อริยสัจ ก็ต้องพิจารณาขันธ์ 5 มันหนีกันไม่ได้
ทุกข์อะไรมันทุกข์ละ เพราะเราใคร่ครวญ
เราพอใจในขันธ์5 มันจึงทุกข์ ตัวทุกข์จริงๆมันอยู่ที่ใจ
ที่เราทุกข์เพราะเราเอาจิตไปยึดไปถือ ถือว่าเป็นเรา
เป็นของเรา แล้วใจเราก็ไม่ยอมรับนับถือกฏของความจริง

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ)
“ใครสร้างกรรมดี ชีวิตก็ดีงาม
ใครสร้างกรรมชั่ว ชีวิตก็มัวหมอง
คนไปทำบุญต้องละบา...ปได้
คนจะไปสร้างความดีต้องละชั่วได้
ไม่ใช่เอาเงินมาทำบุญแล้วไปสวรรค์ได้
ไปนิพพานได้ เรื่องบุญกุศลซื้อไม่ได้”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ความจริง อันประเสริฐ มีสี่อย่างเหล่านี้,
สี่ อย่างเหล่าไหนเล่า?สี่อย่างคือ
ความจริง อันประเสริฐ คือ ทุกข์,
ความจริง อันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริง อันประเสริฐ คือความดับ ไม่เหลือ ของทุกข์,
... และ ความจริง อันประเสริฐ คือ ทางดำเนิน ให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริง อันประเสริฐ คือ ทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
ขันธ์ อันเป็น ที่ตั้งแห่ง ความยึด มั่นถือมั่น ห้าอย่าง.
ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? คือ :-
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริง อันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ ตัณหาอันใดนี้ ที่เป็น เครื่องนำ ให้มีการเกิดอีก
อันประกอบด้วย ความกำหนัด เพราะ อำนาจความเพลิน
มักทำให้เพลิน อย่างยิ่งใน อารมณ์นั้น ๆ ได้แก่
ตัณหาในกาม, ตัณหา ในความมี ความเป็น,
ตัณหาใน ความไม่มี ไม่เป็น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุ ให้เกิดทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริง อันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ ความดับสนิท เพราะ ความจางคลายดับ ไปโดยไม่เหลือของ ตัณหานั้น
ความสละลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง
ความไม่อาลัย ถึงซึ่งตัณหา นั้นเอง อันใด.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง อันประเสริฐคือความดับ ไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย.! ความจริง อันประเสริฐ คือทางดำเนินให้ถึงความดับ ไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ หนทาง อันประเสริฐ ประกอบด้วย องค์แปดนั่นเอง,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-
ความ เห็นชอบ,
ความ ดำริชอบ,
การ พูดจาชอบ,
การ งานชอบ,
การ เลี้ยงชีพชอบ,
ความ เพียรชอบ,
ความ ระลึกชอบ,
ความ ตั้งใจมั่นชอบ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ
คือ ทางดำเนิน ให้ถึง ความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เหล่านี้แล คือ ความจริง อันประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอ
พึงทำความเพียร เพื่อให้รู้ตาม เป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับ ไม่เหลือของทุกข์,
นี้เป็นทางดำเนิน ให้ถึง ความดับ ไม่เหลือของทุกข์,” ดังนี้เถิด.

“ศีล ก็เกิดแต่จิต สมาธิ ก็เกิดแต่จิต ปัญญา ก็เกิดแต่จิต บุญก็เกิดแต่จิต บาปก็เกิ...ดแต่จิต จิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

การที่บุคคลจะทำจิตให้บริสุทธิ์ได้ จะต้องคลายความยึดถือในตัวตน ในรูปนามและในอารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ ๖ ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ ให้เป็น ๑ อยู่เสมออย่าให้กลายเป็นเลข ๒-๓-๔-๕ ไปได้

อารมณ์ภายนอกต่าง ๆ ที่เราเก็บมายึดถือไว้ ก็เปรียบเหมือนเราเอาหาบของหนัก ๆ มาวางไว้บนบ่า ถ้าเราปลดปล่อยเสียได้ ก็เท่ากับเราวางหาบนั้นลง จิตที่ได้อบรมอยู่เสมอๆ ย่อมจะสูงขึ้นแก่ขึ้นทุกที ๆ เป็นลำดับๆ”

หลวงปู่ลี ธัมมธโร
ในร่างกายของเขาของเราน่ะต้องทำความสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าใส่แล้วต้องเอาไปซัก เพราะต...ัวศพดิบ(ร่างกาย)นี้เป็นตัวสกปรกมาแปดเปื้อน ไม่อย่างนั้นเหม็นคุ้งไปหมด กิเลสมาพอกพูนหลอกลวงสัตว์โลกว่าเป็นของสวยของงามคือศพดิบเรานี่แหละ แยกออกให้ดีนี่คือปัญญา

หลวงตามหาบัวญานสัมปันโน
หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ
ใน วันวิสาขบูชา พุทธ...ศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่

1. ความกตัญญู
คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ
ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

2. อริยสัจ 4
คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่
ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลากจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น
สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้
มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ


3. ความไม่ประมาท
คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2013, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุ....
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร