วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 21:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b36: :b33:
เมื่อสังเกตพิจารณาให้ดี สติปัฏฐานทั้ง 4 ไม่ว่าจะเป็นที่ กาย...เวทนา....จิต...หรือ...ธรรม ล้วนมารวมลงสู่ปฏิบัติการหรืองานที่จะต้องทำที่ ....."วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"ซึ่งแปลความได้ว่า ...."เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์"
:b39: :b39:
ประเด็นสำคัญที่จะต้องลงมือทำเพื่อให้เกิดผลจากสติปัฏฐาน 4 ก็คือ ....เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์
:b40:
เราจะเอาความยินดียินร้ายในโลกย์ ออกได้อย่างไร?...
:b10: :b10:
จึงเป็นคำถามที่นักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาทั้งหลายต้องถามตัวเอง และตอบคำถามนี้ให้ได้อย่างถูกต้องโดยภาคทฤษฎีก่อน.....แล้วหลังจากนั้นจึงลงมือปฏิบัติจริงเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีแห่งการเอาความยินดียินร้ายออก
:b38: :b38:
ทำอย่างไรจึงจะเอาความยินดียินร้ายออกได้?.........ใคร่ขอเรียนเชิญท่านผู้รู้ กัลยาณมิตรทั้งหลายในลานธรรม มาช่วยกันวิตก วิจารณ์ วิจัย สู่กันฟัง...เพื่อให้ผู้ที่กำลังเดินทางสู่พระนิพพานด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้ทฤษฎีหรือความรู้ที่ถูกต้องในการ เอาความยินดียินร้ายออกจากใจ

:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


555....
ยินดี...ยินร้าย...นะหรอ

ดี...ก็เพราะคิดว่า..มันดีกับตัว....
ร้าย...ก็เพราะคิดว่า...มันร้ายกับตัว...

มีดีมีร้าย...ก็เพราะเรามีความปราถณาอยู่ดีมีสุข

อวิชชา..คือความไม่รู้....ไม่รู้ว่าตัวตนรูปนี่ไม่ใช่เรา...หลงว่าเป็นเรา....ความปราถณาอยู่ดีมีสุขจึงฝากใว้กับรูปนี้
เมื่อ...หลงครั้งแรก....ความหลงทั้งหลายก็ตามมา...

หลง...ว่ารูปนี้ตั้งอยู่....สุขจึงตั้งได้
จึงหลงปกป้องรูป....บำรุงรูป
สิ่งใดเป็นคุณกับรูป....ก็แสวงหา...ได้มาก็ยินดี...ไม่ได้ก็เศร้า
สิ่งใดไม่เป็นคุณกับรูป....ก็ผลักไส....ผลักได้ก็ยินดี...ผลักไม่ได้ก็เศร้าเสียใจ

เมื่อผัสสะ....สัญญาจำได้ว่าสิ่งนี้เป็นคุณ....ก็ยินดี...สร้างสุขเวทนา...เพื่อให้ตัณหาเร่งเร้าเอามา

จิตเห็น.....ไม่ว่าจะเป็นรูปนั้น....เวทนานั้น....จิตนั้น....ธรรมารมณ์นั้น...แล้ว...ให้ระลึกว่า...มันเป็นไปเพื่อสุขจริงหรอ?

สิ่งนั้น...รูปนั้น...อยู่กับเราแล้ว....ร่างกายนี้รูปเรานี้มันไม่ตายจริงหรอ...รูปนั้นสิ่งนั้นเป็นสาระพึงยึดมันหรือไม่?

แม้รูปนั้น...สิ่งนั้น....มันเองก็ไม่ยืนยง....แล้วมันจะทำให้สุขเรายืนยงได้อย่างไร...การอยู่กับสุขที่ไม่ยืนยงนั้นมันดีแล้วหรือ?

เมื่อรูปนั้นสิ่งนั้นไม่เป็นสาระ...ไม่เป็นไปเพื่อความสุขจริง....เราจะยังมีจิตดำริถึงมันหรือไม่?

เมื่อเห็นว่ารูปนั้นไม่เป็นสาระ...ไม่เป็นไปเพื่อสุข...ไม่ควรดำริถึง....ความยินดียินร้ายเนื่องจากรูปนั้นย่อมสงบลงได้

ความยินดียินร้าย....สงบได้...เพราะการเห็นความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นความจริงใน...กาย...เวทนา....จิต.....ธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2011, 18:12
โพสต์: 8

แนวปฏิบัติ: กรรมฐาน ๔๐
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้พิจารณาถึงความเป็นไปตามธรรมดาของมัน
โดยใช้ขันธบรรพ สัจจบรรพช่วยเพื่อให้เห็นแนวทางในการพิจารณาได้ง่ายขึ้น

อนึ่ง... ถ้าเราพิจารณาด้วยกรรมฐานกองเดียวแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ต้องใช้กรรมฐานหลายกองช่วย

.....................................................
หมั่นขอขมาพระรัตนตรัย
เพราะเราอาจจะปรามาสคุณพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว
จากการพูดคุยถามตอบกันในเวบบอร์ด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 23:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ทรงคุณวุฒิ... :b24: :b24: :b24:

rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes s007
ผู้ทรงคุณวุฒิ smiley smiley

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


s002 เพิ่งสังเกตุเห็น ผู้ทรงคุณวุฒิ :b11: สบายดีนะทุกคน smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


สั้นๆง่ายๆ แต่ ทำยากก็ต้องชัดเจนว่า บรรลุปฐมฌาน ให้มันได้ก่อน ส่วนไอ้ดีใจเสียใจ นั้น ต้อง ว่ากันที่ ฌาน4 ถ้าปฏิเสธ ฌาน (สัมมาสมาธิ) คือ จบ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ผู้ทรงคุณวุฒิ... :b24: :b24: :b24:

rolleyes rolleyes rolleyes


เช่นนั้น เขียน:
rolleyes s007
ผู้ทรงคุณวุฒิ smiley smiley


ช่วยหนูด้วย... cry cry cry
หนูไม่อยาก....แก่...
หนูยังติ่งต๊องอยู่เลย.....แง่.....แง่.... :b2: :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับผม :b8: ก่อนอื่นต้องขอบอกตามตรงนะครับว่าเกล้ากระผมไม่ได้รู้อะไรมากนัก
เพียงแต่พอดีว่าได้ผ่านเข้าไปพบ ไปประสบมาเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ
ในสติปัฏฐานทั้งสี่นั้น ในความยินดี ยินร้ายนั้นไม่ใช่การเอายินดี ยินร้ายออกดอกครับผม
เราต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อนครับ ว่านัั่นคือความจริง อันนี้อธิบายเป็นคำพูดได้ไม่ค่อย
ตรงสักเท่าใดนัก คงได้เพียงใกล้เคียง ความจริงอะไร ?
ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในหลายพระสูตร แต่ในที่นี้เกล้ากระผมขอกล่าวย่อๆนะครับ
ในเรื่องของขันธ์ห้านั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนว่า
รูปรูปนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงรูปนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
สิ่งใดเป็นทุกข์้ สิ่งนั้นเป็นอัตตาของเรา หรือไม่ใช่อัตตาของเรา สิ่งนั้นไม่ใช่อัตตาของเรา
ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นเธอก็หลุดพ้น
ในส่วนของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นเดียวกันครับพิจารณาให้ได้ตามความเป็นจริงตามนั้น
ครับที่ว่า ไม่ใช่การเอาออกก็ด้วยประการฉะนี้ครับ
อีกกรณีหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้บ่อยในพระไตรปิฎกเรื่องความหลุดพ้นคือ
เมื่อเบื่อหน่าย ก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดเธอก็หลุดพ้น
ที่นำมานี้เป็นเม็ดข้าวเปลือกจำนวนน้อยนิดจากข้าวเปลือกกองใหญ่เท่านั้นครับ
หากผิดพลาดประการใด ใคร่ต่อท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับผม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด.ช. ฉันทะ เขียน:
ครับผม :b8: ก่อนอื่นต้องขอบอกตามตรงนะครับว่าเกล้ากระผมไม่ได้รู้อะไรมากนัก
เพียงแต่พอดีว่าได้ผ่านเข้าไปพบ ไปประสบมาเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ
ในสติปัฏฐานทั้งสี่นั้น ในความยินดี ยินร้ายนั้นไม่ใช่การเอายินดี ยินร้ายออกดอกครับผม
เราต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อนครับ ว่านัั่นคือความจริง อันนี้อธิบายเป็นคำพูดได้ไม่ค่อย
ตรงสักเท่าใดนัก คงได้เพียงใกล้เคียง ความจริงอะไร ?
ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
พระพุทธองค์ตรัสไว้ในหลายพระสูตร แต่ในที่นี้เกล้ากระผมขอกล่าวย่อๆนะครับ
ในเรื่องของขันธ์ห้านั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนว่า
รูปรูปนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงรูปนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
สิ่งใดเป็นทุกข์้ สิ่งนั้นเป็นอัตตาของเรา หรือไม่ใช่อัตตาของเรา สิ่งนั้นไม่ใช่อัตตาของเรา
ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นเธอก็หลุดพ้น
ในส่วนของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นเดียวกันครับพิจารณาให้ได้ตามความเป็นจริงตามนั้น
ครับที่ว่า ไม่ใช่การเอาออกก็ด้วยประการฉะนี้ครับ
อีกกรณีหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้บ่อยในพระไตรปิฎกเรื่องความหลุดพ้นคือ
เมื่อเบื่อหน่าย ก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดเธอก็หลุดพ้น
ที่นำมานี้เป็นเม็ดข้าวเปลือกจำนวนน้อยนิดจากข้าวเปลือกกองใหญ่เท่านั้นครับ
หากผิดพลาดประการใด ใคร่ต่อท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับผม :b8:

ช่าย! :b13:
ขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราต้องเห็นขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเสียก่อน
เพราะมันเป็นเหตุแห่งความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นโทษของความจมเมื่อยินดี เห็นโทษของความพล่านร้อนเมื่อยินร้าย

มีสติวางใจไว้ตรงกลาง ชักเชื้อไฟคือความคิดปรุงแต่งออกเสีย ดูอารมณ์ดับไป

สติปัญญาตั้งใว้เมื่อผัสสะอาัรมณ์เกิด onion

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนากับคำตอบที่ดีๆจากกัลยาณมิตรทุกท่าน........คาดว่าน่าจะมีคำตอบที่ดี ลัดสั้น น่าสนใจยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีก เชิญชวนมาช่วยชี้แนะกันให้มากๆนะครับ
:b8:
อนุโมทนา
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากการปรุ่งแต่ง แล้วเพิ่มความเป็นตัวตนเข้าไปยึดมั่นถือมั่น นี้คือ สาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ว่า กาย เวทนา จิต หรือธรรมทั้งหลาย ล้วนหาความมีอยู่ไม่ได้เลย

ธรรมชาติเดิมแท้ เคลื่อนออกจากความเป็นดั่งเดิม หลงปรุงแต่งสิ่งๆหนึ่ง(ขันธ์) ที่แปรปรวนอยู่ตลอด แล้วสิ่งๆหนึ่งนั้น ปรุ่งแต่งตัวตนเพื่อ รองรับสภาพแปรปรวนนั้น

เมื่อหมดความหลง สภาพปรุ่งแต่งตัวตน ย่อมดับไป แล้วสภาพปรุงแต่งสิ่งๆหนึ่ง ย่อมดับไป กลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ นั้น

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว
ความไม่ยินดียินร้าย จะว่าไป เหมือนลงจากปลายต้นไม้ เพราะผู้ไม่ยินดี ยินร้ายในโลก ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่ถอนทั้งโลกภายใน คือ ร่างกายและจิต โลกภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทอง ลูก เมีย พี่ น้อง ไม่ยึดติดทั้งภายในและภายนอก การจะไปถึงตรงนั้น เป็น ปัจจัตตังโดยแท้ ธรรมนี้ลึกซึ้งนัก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 138 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron