วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 20:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2012, 02:12
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเพิ่งท่องเว็ปมาเจอ บอร์ดๆเเห่งนี้ มันยากมาก ที่วัยรุ่นๆ อย่างผม จะเปิดมาเจอ!!!
ผมได้รับการปลูกฝัง เรื่องธรรม มาตั้งแต่เด็กๆ และได้รับการฟักฟูมาที่สุดก็ตอนเรียน มัธยมต้น
โดยมีครูประจำ วิชา ศาสนา ท่านเป็นคนธรรมะ ธรรมโม มากๆครับ ทุกๆวันตอน เช้า จะมีการนำสวดมนต์
และตอนเที่ยงจะมีห้อง ธรรมะ ศาสนา เปิดให้เด็กเข้าไป อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม บ้างจาก CD หรือ จากรุ่น หรือจาก ผู้ใฝ่ทำ หรือ จากครูบาอาจาร์ย

ท่านชอบพาไป ปฏิบัติธรรม ที่วัด บ้าง ชวนเด็กๆ มาเดินจงกลมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง

และเป็นโอกาสดีที่สุดของผมที่ได้บวชเป็นสามเณร....ภาค ฤดูร้อน.... ด้วยความสัทธา
แต่ตอนนั้นยังเด็กนัก ก็เป็นแค่เณร ที่ซนๆบ้าง แต่รู้สึกดีที่ได้ ปฏิบัติธรรมได้ถือศีล ทดแทนบุญคุณ
บิดา มารดา และ ญาติพี่น้อง บรรพบุรุษ จนถึง เจ้ากรรมในเวร ของผม

.............................................

ผมโตขึ้นมา ด้วย ธรรม จากสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เล่านี่ มันน่ายินดีมากสำหรับผม เพราะ มันทำให้จิดใจของผมสะอาด มีความสุข คิดดีทำดี และมันก็นานมาแล้ว ไม่ขอเล่ายาวมาก แต่ผมจำคำนึง ครูท่านสอนนักเรียนทุกคนเสมอว่า....

** ให้คิดดี ทำดี มีสติปัญา และมีธรรมในหัวใจ **

ผมจำขึ้นใจมาตลอด.....จนผมเรียนจบ ม.ปลาย น่าเสียดาย ที่ ตอน ม.ปลาย ผมห่างเหิญ กับว่า ธรรมะ เสียเหลือเกิน มีแต่การเรียน และ ทำงาน อย่างวุ่นวายสับสนไปหมด แต่ผมก็พยายามทำความดี พยายามตื่นเช้าๆครับรถ ไปรอพระมาบิณฑบาต หน้าวัด เป็นประจำ ที่มีโอกาส และ ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเสมอๆ เป็นสุขใจดีเหลือเกิน ^^

จนวันนี้ ผมเข้ามหาลัยแล้ว.......ผมรู้สึกุวุ่นกับ สิ่งรอบข้าง ปัญหามันมีเยอะแยะ และตอนนี้ ผมเองก็เรียนด้วยทำงานไปด้วย มันช่างน่าเหนื่อยหนายเสียเหลือเกิน อ่อนล้าเอามากๆ
เพราะเป็นลูกคนโต ต้องแบกรักภาระ เพราะต่อไป ผมต้องรับกิจการ ต่อจากบิดา มีน้องอีก 2 คนที่กำลัง สอบเข้าเรียนต่อ ระหว่างช่วงชั้น.....ภายจิตใจของผม.....โหยหาธรรมะ และ ความว่างเปล่า และ ความสงบ หรือนี่ เป็นเหตุนึง ที่ มนุษย์เรา พอท้อแท้ ก็เข้าหาธรรมะ ! ใช่หรือไม่

วันนี้ผมล้าเหลือเกิน เรียนก็หนัก เพื่อนๆรอบข้างก็พูดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ มีแต่คนบอกว่าผมโตเกินไป...หรือผมทำงานมากเกินไป...
บางทีวันที่ผมว่าง!!! ผมยังนอนคิดเลยว่าช่วงเวลา วัยรุ่น ของผมมันหายไป....ผมอยากมีช่วงเวลาแบบนั้นบ้าง แต่ไม่มี.....

จนวันนี้ ผมเปิดเว็ป เพื่อตั้งใจหาบอร์ดทำธรรมะ หรือสังคม ธรรม อย่างจริงจัง ไม่ได้ผิดใช้ไหมครับ

ถ้าจะฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ^^

และขอสัญญาว่าจะความรู้ที่มี+หลักธรรม ต่างๆที่ได้รับรู้ จากการอ่านหรือการฟังทั้งหมด ไปเผยเเพร่แก่บุคคล รอบกาย ขอบคุณครับ


**- ขอบคุณครับ โพสของพี่ๆทุกคน ผมปริ้น พิมพ์ แปะไว้ ในห้องนอนเลยครับ **


แก้ไขล่าสุดโดย skyz เมื่อ 08 ต.ค. 2012, 12:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาครับ

คนตาดีมีปัญญาย่อมเห็นทางได้แม้ในที่รก แต่คนตาบอด แลขุ่นมัวด้วยโลภ โกรธ หลง ย่อมไม่เห็นทาง แม้แสดงกระจ่าง อยู่ข้างหน้า มิจฉาทิฐิย่อมพาเขาแล่นไปสู่ความวุ่นวายและเศร้าหมอง มีทุกข์เป็นที่สุด :b42:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 00:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


** ให้คิดดี ทำดี มีสติปัญา และมีธรรมในหัวใจ **

.. แล้วครูได้สอนเรื่อง กฏแห่งกรรม หรือเปล่า.. เพราะผลกรรมในอดีตบางส่วน บางตอน บาง

อย่าง ตลอดจนความเป็นไปรอบตัวเองกับคนรอบข้างนี้ จะสะท้อนความเป็นไปของผลกรรมบางส่วน

ของตนเอง..เท่านั้น..

การศึกษาธรรมมะ แต่ไม่ได้ศึกษาเรื่องกฏแห่งกรรม ก็ไม่สามารถจะยกตนให้พ้นออกจากทุกข์ได้

เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายที่รายล้อมรอบตัวเองอยู่นี่ ไม่ได้มาเพราะอะไรเลย เพราะกรรมที่ได้กระทำร่วม

กันไว้ทั้งสิ้น บางคนมาอุปถัมภ์กัน บางคนมาเพราะแรงพยาบาท ที่รู้จักกันว่า เจ้ากรรมนายเวร การศึกษา

ธรรมมะนั้น ศึกษาเพื่อให้รู้จักความเป็นสัจจะของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงตั้งแต่ตัวเอง จนกระทั่งสิ่ง

แวดล้อมรอบข้าง และดำรงตนให้อยู่ด้วยความไม่ประมาท..

สติ จึงเป็นตัวควบคุมผลกรรมทั้งหลายในอนาคต เมื่อสติระลึกถึงแต่สิ่งดี ว่านั่นดี ควรทำ นั่นไม่ดี

ไม่ควรทำ การทำสิ่งดีๆ เริ่มต้นจากมีธรรรมในใจ ง่ายๆ คือศีล ๕ ข้อนี้ แม้คนรอบข้างจะไม่เข้าใจ แต่

ผลแห่งกรรมที่เราได้รับกับตัวเองนั้น พวกเขาทั้งหลายที่รายล้อมเรา ไม่ได้มาทนทุกข์ทรมานกับเราเลย

เมื่อเราได้รับผลแห่งกรรมไม่ดีนั้น ประโยชน์อะไรจะกังวลกับความเป็นไปของคนรอบข้างที่ชักชวนให้

กระทำสิ่งไม่ดีกันเล่า.. คนที่รักษาศีล ๕ ได้ ย่อมมีอานิสงส์ข้อหนึ่งคือ เป็นผู้องอาจในหมู่คน คนกล้า

นั้น ไม่ใช่กล้าทะเลาะ กล้าด่า กล้าว่า กล้าทำร้ายคนที่ไม่อ่อนข้อให้ เพราะการกล้าแบบนั้น ที่แท้แล้ว

เป็นคนขี้กลัว กลัวแม้กระทั่งอารมณ์ตนเอง ที่คอยสั่งตัวเองอีกทอดหนึ่ง คนพวกนี้ จึงขี้ขลาด และไม่มี

ความมั่นคงทางอารมณ์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หากจะเป็นผู้นำใครๆ ได้ ก็นำได้แค่คนที่ขี้ขลาดเหมือนกัน

เท่านั้น และคนเหล่านี้ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็จะมาอยู่รวมกันเพื่อรับใช้ผลกรรมที่สร้างความรุ่มร้อนด้วยไฟที่

ผลาญกันและกันอยู่ในปัจจุบันของตนเท่านั้น

ส่วนคนกล้านั้่นเล่าเป็นอย่างไร คนที่เป็นคนกล้านั้น คือกล้าในการทำสิ่งที่ถูกต้อง องอาจ กล้าหาญ

ด้วยสัมมาทิฎฐิ คือสิ่งใดที่ล่วงศีล ๕ ข้อแล้ว แม้ในที่ลับ และที่แจ้งจักไม่กระทำเลย และไม่ชักชวนให้ผู้

อื่นกระทำด้วย โดยมีสตินี่เอง เป็นตัวคอยควบคุมดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ในที่ลับนี้ หมายรวมถึง

ความคิดของตนเองนั่นแหละ เพราะความคิดในใจนี้ คนอื่นผู้ไม่ใช่พระอริยบางประเภท จะได้ยิน เช่น

เทวดาอารักษ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ดังนั้นหากเราคิดไม่ดีเพื่อผลอะไรบางอย่างก็ตาม จงรู้

เถิดว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้เสมอ.. คำว่า หิริ และโอตตัปปะ คือการละอาย และเกรงกลัวต่อบาป จึงถูกสอนคู่

ขนานมากับการสอนใหรักษาศีล ๕ เสมอๆ

ส่วนการสนใจธรรมมะ เพื่อแสวงหาความสุขนั้น ต้องรู้ด้วยว่า ธรรมมะไม่ได้ให้ความสุขอันเกิด

ทรัพย์สิน เงินทอง ลาภ ยศ ชื่อ เสียง แม้กระทั่งหมู่เพื่อนที่เ้ข้าใจให้ปรับทุกข์ ระบายความเป็นไปของ

ชีวิตหรอก.. แต่ธรรมมะ ให้อริยทรัพย์ที่ดูคล้ายว่างเปล่า แต่ไม่ว่างเปล่า เช่นความสุขอันเกิดจากการ

เป็นคนดี มีศีล ๕ เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ที่เหล่าเทพยดาสรรเสริญ แต่มนุษย์ด้วยกันมองไม่เห็นเลย ความสุขอัน

เกิดจากการนั่งคิดย้อนหลังไปถึง ช่วงเวลาที่เราอาจทำได้แม้กรรมชั่วที่คนอื่นคงไม่รู้ แต่เราไม่ทำ เพราะ

เรารู้ว่าไม่ดี และความอดทนกระทำสิ่งที่เป็นภาระหน้าที่อันควรกระทำในขณะนี้ ที่ไปตามสถานภาพที่

แวดล้อมตนอยู่ ก็ล้วนเป็นความสุขอันเกิดจากความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ที่คนอื่นอาจไม่รู้สึกถึง

ความสุขนั้น แต่เรารู้สึกได้..พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า กรรมดี หรือกรรมชั่วอันบุคคลกระทำไว้ ย่อมให้

ผลกับผู้กระทำนั้นเสมอๆ ดังนั้น ทรัพย์ิสินเงินทอง ฯลฯ จึงเป็นเพียงผลพลอยได้ของผู้กระทำกรรมดีเก็บ

ไว้ ในบางช่วง บางตอน แต่ไม่สามารถให้ความสุขได้อย่างแท้จริง..ตลอดเวลา

ความมีชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้สนุก ประทับใจ เป็นประโยคที่เอาไว้ใช้ขายสินค้า บริการให้กับวัยรุ่น

เท่านั้น ในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้เพลิดเพลินอยู่ ด้วยความไม่เป็นสาระเสมอๆ ล่วงละเมิดศีล ๕ ข้อ

ตลอดเวลา ย่อมไม่อาจมีความสงบสุขอันเกิดจากการศึกษาพระธรรมได้เลย แต่ความเพลิดเพลินไปตาม

สถานภาพด้วยความเข้าใจถึงเหตุ และผล หรือกฏแห่งกรรมอันแวดล้อมด้วยเหล่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย

คือ คนรัก ครอบครัว เพื่อน และสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ตามแต่ภาระหน้าที่ เพื่อการศึกษา เพื่อการ

ทำงาน เพื่อการดำรงตนอยู่ในโลกตามอายุขัยของตนนี้เอง คือประโยชน์สุข ของผู้มุ่งศึกษาพระธรรม

ที่แท้จริงต่างหาก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 01:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2012, 02:12
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับบบ s007 s007 s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 08:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนาสาธุ...กับกุศลเจตนา...นะครับ..
:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2012, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


skyz เขียน:
จนวันนี้ ผมเข้ามหาลัยแล้ว.......ผมรู้สึกุวุ่นกับ สิ่งรอบข้าง ปัญหามันมีเยอะแยะ และตอนนี้ ผมเองก็เรียนด้วยทำงานไปด้วย มันช่างน่าเหนื่อยหนายเสียเหลือเกิน อ่อนล้าเอามากๆ
เพราะเป็นลูกคนโต ต้องแบกรักภาระ เพราะต่อไป ผมต้องรับกิจการ ต่อจากบิดา มีน้องอีก 2 คนที่กำลัง สอบเข้าเรียนต่อ ระหว่างช่วงชั้น.....ภายจิตใจของผม.....โหยหาธรรมะ และ ความว่างเปล่า และ ความสงบ หรือนี่ เป็นเหตุนึง ที่ มนุษย์เรา พอท้อแท้ ก็เข้าหาธรรมะ ! ใช่หรือไม่

วันนี้ผมล้าเหลือเกิน เรียนก็หนัก เพื่อนๆรอบข้างก็พูดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ มีแต่คนบอกว่าผมโตเกินไป...หรือผมทำงานมากเกินไป...
บางทีวันที่ผมว่าง!!! ผมยังนอนคิดเลยว่าช่วงเวลา วัยรุ่น ของผมมันหายไป....ผมอยากมีช่วงเวลาแบบนั้นบ้าง แต่ไม่มี.....



เท่าที่อ่านมา เข้าใจนะ :b1:

คนเราจะรู้สึกอย่างนี้ เมื่อเรายังจับหลักไม่ได้ ยังเข้าถึงแก่นของใจไม่ได้

บางครั้งในเรื่องทางโลกเราเก่ง เรามีขาที่แข็งแรง และมีกำลัง ก็จริง
แต่อารมณ์ภายในใจ เราเคว้งคว้า ไม่มีหลัก และไม่มีจุดยืนที่มั่นคง

ทำสมาธิ ศึกษาธรรม และ เล่นกีฬา นะ

:b1: :b16: :b16: :b1:

แล้วเราจะพบหนทางแห่งสุข สงบ และแกร่ง

:b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2012, 10:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองดู ๆ มันไป

แล้วจะพบว่า อาการที่ว่ามานั้น มันเป็นเพียงแค่อารมณ์ที่มีเหตุปัจจัยให้เกิด

และ มันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้มันดับไป

:b16: :b27: :b27: :b16:

รักนะ จุ๊ฟฟ์ จุ๊ฟฟ์

จาก ป้าเอกอน


:b4: :b13: :b13: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2012, 12:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2012, 02:12
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับบบ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2012, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


skyz เขียน:
และขอสัญญาว่าจะความรู้ที่มี+หลักธรรม ต่างๆที่ได้รับรู้ จากการอ่านหรือการฟังทั้งหมด ไปเผยเเพร่แก่บุคคล รอบกาย ขอบคุณครับ

สาธุ .. ขอให้บรรลุเจตนารมณ์ สมความมุ่งหมายนะครับ :b4: :b4:
eragon_joe เขียน:
:b16: :b27: :b27: :b16:

รักนะ จุ๊ฟฟ์ จุ๊ฟฟ์

จาก ป้าเอกอน


:b4: :b13: :b13: :b4:

หวัดดีคร้าบบ คุณป้า ..อิอิ :b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร