วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 19:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผมมีความเห็นว่า......
มนุษย์กรรมมักจะคิดถึงเรื่องของตนเองเสมอ จะไม่คิดถึงความทุกข์ของผู้อื่น
จะทำแต่ในสิ่งที่ให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยในสิ่งที่ตนกลัว โดยไม่รู้ว่าในสิ่งที่ตนกลัวนั้น อาจจะเป็นหนทางที่เป็นแสงสว่างแก่ตนได้ แต่ด้วยจิตที่เป็นกรรม เป็นกิเลสหวาดวิตกกับตนเอง ส่งผลให้ต้องเจอวิบากกรรมต่อไป การที่ไม่เสียสละในสิ่งใด มนุษย์จะมองไม่ชัดเจนในเรื่องของความถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง คำสอนที่เป็นการหักห้ามกิเลส ความต้องการทั้งหลายมนุษย์กรรมมักจะดูว่าเป็นการปฏิบัติยาก จะหวาดวิตกกับคำสอนที่เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าเสมอ โดยคำพูดมักจะอ้างอิงในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การปฏิบัติ และการประพฤติตน หรือความคิด จิตใจมิได้เป็นไปในแนวทางคำสอนเลย มนุษย์กรรม จะไม่มองความผิด และความบกพร่องของตน แต่มักจะมองไปที่ผู้อื่นเสมอ จึงทำให้ไม่เห็นจุดบกพร่องของตนเอง ยากที่จะนำพาดวงจิตสู่การหลุดพ้นได้ แสงสว่างแห่งธรรมนั้น จะไม่มีในจิต เพราะความคิดที่กลบเกลื่อนด้วยกิเลสตัณหา นั่นเอง


ขออนุญาติเพื่อนสมาชิกร่วมแชร์ความเห็นด้วยนะครับ...

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 10:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

นาน ๆ มาที ก็นำบทความดี ๆ มาฝากเสมอ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 11:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สา..ธุ.... :b8:

เพราะยังไม่เห็นภัยอันตราย....ก็ว่าหาดทรายแสนสวยน่าภิรมย์

มันต้องเจอสึนามิ...สักที...นั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ทานทุกประเภทเป็นสิ่งบอกตัวตน ของตนเองได้ดีเสมอ :b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 12:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตเราก็เหมือนโรงละครใหญ่ ที่กำลังโลดเต้นแสดงบทบาทกันอยู่ บทละครที่เราเล่นมันถูกกำหนด
ขีดเส้นชะตาไว้แล้วด้วยกรรม ชีวิตจะดีหรือเลว จะทุกข์จะสุขขึ้นอยู่กับการกระทำที่มาจากปัจจุบันกับกรรมเก่า กรรมเป็นผู้กำหนดบทบาท หรือเป็นผู้กำกับให้เราเล่นตาม ที่เป็นเรื่องของกรรมดีและกรรมชั่วในอดีต ที่ติดตามเรามาทุกภพ ทุกชาติ มันเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ที่เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลของมันเกิดขึ้นตามมา คนเรามักจะโทษโชคชะตาหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งโทษไปถึงเทวดา โทษพรหมลิขิต โทษคนอื่น หรือ สิ่งอื่นเสมอ โยนให้เป็นเรื่องของเคราะห์ ความซวย ที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ เพียงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรือพ้นความรู้สึกผิดนั้นไป แต่น่าแปลกใจก็คือ ไม่ค่อยมีใครโทษตัวเองที่เคยไปกระทำอะไรไว้ สร้างกรรมหรือก่อกรรมเอาไว้ แต่ชอบที่จะไป โทษคนอื่นหรืออะไรที่ไม่รู้จักตลอดเวลา ทั้งๆที่เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากกรรมที่ตัวเองทำเองมากับมือทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ouie เขียน:
ชีวิตเราก็เหมือนโรงละครใหญ่ ที่กำลังโลดเต้นแสดงบทบาทกันอยู่ บทละครที่เราเล่นมันถูกกำหนด
ขีดเส้นชะตาไว้แล้วด้วยกรรม ชีวิตจะดีหรือเลว จะทุกข์จะสุขขึ้นอยู่กับการกระทำที่มาจากปัจจุบันกับกรรมเก่า กรรมเป็นผู้กำหนดบทบาท หรือเป็นผู้กำกับให้เราเล่นตาม ที่เป็นเรื่องของกรรมดีและกรรมชั่วในอดีต ที่ติดตามเรามาทุกภพ ทุกชาติ มันเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ที่เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลของมันเกิดขึ้นตามมา คนเรามักจะโทษโชคชะตาหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งโทษไปถึงเทวดา โทษพรหมลิขิต โทษคนอื่น หรือ สิ่งอื่นเสมอ โยนให้เป็นเรื่องของเคราะห์ ความซวย ที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ เพียงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรือพ้นความรู้สึกผิดนั้นไป แต่น่าแปลกใจก็คือ ไม่ค่อยมีใครโทษตัวเองที่เคยไปกระทำอะไรไว้ สร้างกรรมหรือก่อกรรมเอาไว้ แต่ชอบที่จะไป โทษคนอื่นหรืออะไรที่ไม่รู้จักตลอดเวลา ทั้งๆที่เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากกรรมที่ตัวเองทำเองมากับมือทั้งสิ้น
เหมือนนี้ใช่มั้ยครับhttp://www.youtube.com/watch?v=wFWBvZCCR64

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 12:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ouie เขียน:
ชีวิตเราก็เหมือนโรงละครใหญ่ ที่กำลังโลดเต้นแสดงบทบาทกันอยู่ บทละครที่เราเล่นมันถูกกำหนด
ขีดเส้นชะตาไว้แล้วด้วยกรรม ชีวิตจะดีหรือเลว จะทุกข์จะสุขขึ้นอยู่กับการกระทำที่มาจากปัจจุบันกับกรรมเก่า กรรมเป็นผู้กำหนดบทบาท หรือเป็นผู้กำกับให้เราเล่นตาม ที่เป็นเรื่องของกรรมดีและกรรมชั่วในอดีต ที่ติดตามเรามาทุกภพ ทุกชาติ มันเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ที่เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผลของมันเกิดขึ้นตามมา คนเรามักจะโทษโชคชะตาหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งโทษไปถึงเทวดา โทษพรหมลิขิต โทษคนอื่น หรือ สิ่งอื่นเสมอ โยนให้เป็นเรื่องของเคราะห์ ความซวย ที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ เพียงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรือพ้นความรู้สึกผิดนั้นไป แต่น่าแปลกใจก็คือ ไม่ค่อยมีใครโทษตัวเองที่เคยไปกระทำอะไรไว้ สร้างกรรมหรือก่อกรรมเอาไว้ แต่ชอบที่จะไป โทษคนอื่นหรืออะไรที่ไม่รู้จักตลอดเวลา ทั้งๆที่เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากกรรมที่ตัวเองทำเองมากับมือทั้งสิ้น
เหมือนนี้ใช่มั้ยครับhttp://www.youtube.com/watch?v=wFWBvZCCR64


ชอบค่ะ เพลงไพเราะดีเจ้าค่ะ :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2012, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


eragon_joe เขียน:
:b8: :b8: :b8:

นาน ๆ มาที ก็นำบทความดี ๆ มาฝากเสมอ

:b8: :b8: :b8:

ขอบคุณมากครับ คุณeragon_joe ที่ยังจำกันได้ ขอต่ออีกหน่อยนะครับ...

มนุษย์กรรมต่างจากมนุษย์บุญ กล่าวคือ
มนุษย์บุญมักจะคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ จะเป็นผู้เสียสละนำทางก่อนทุกครั้ง
ไม่คิดเสียดายสิ่งใดที่ตนเสียไป และคิดเสมอว่าสิ่งที่เสียไปไม่เกิดคุณค่ากับตน
แต่ขอให้เกิดคุณค่ากับผู้อื่นก็พอใจ มีความพอใจในการทำให้ผู้อื่นมีความสุข
มนุษย์บุญหายากในสังคมแห่งมนุษย์ในโลก น้อยนักที่จะมีมนุษย์บุญแทรกอยู่
ส่วนใหญ่ มนุษย์กรรม จะอยู่ด้วยกิเลสตัณหา จะขัดแย้งกัน ด้วยความคิดและอารมณ์ของตน
เพื่อให้ตนเองเป็นผู้ชนะ ด้วยวิบากกรรมทำให้คิดอยู่เสมอว่าการชนะคือบุญ
ซึ่งเป็นความคิด และการพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง
ที่จริงแล้วผู้ที่อยากเอาชนะผู้อื่น ผู้นั้น คือผู้มีกิเลสตัณหา
ผู้ที่ยอมถอยออกไป ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้แพ้เสมอ
ยอมถอยเพื่อความอิสระแก่ผู้อื่นได้ดำเนินชีวิตต่อไป และไม่ให้เกิดปัญหา
ผู้นั้นถือว่าเป็นผู้เสียสละแห่งบุญ ย่อมเกิดบุญกุศลสู่อานิสงส์ได้กว่าผู้ที่ไม่ยอมเสียสละ

ดังนั้นการที่จะยึดมั่นในสิ่งใดมาเป็นของตน
ด้วยวิธีการอันเป็นกิเลส ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์
จึงเป็นการสร้างกรรมใหม่
และต้องรับผลกรรมที่ตนกระทำไปนั้นเสมอ หากความบกพร่อง หรือข้อผิดพลาดที่ผ่านมา
มีการแก้ไข หลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติซ้ำ เรียนรู้เป็นบทเรียนสอนตนเสมอ
ไม่ได้โต้ตอบ หรือบอกว่าใครเป็นผู้ถูก หรือผิด มนุษย์กรรมย่อมสู่บุญได้เสมอ
กรรมใด ใครก่อกรรมนั้นต้องแก้ไขด้วยตนเองเสมอ
ดั่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่า
“ผู้ใดสร้างกรรมใดไว้ ผู้นั้นต้องเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวของตัวเอง”

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


มนุษย์ทั้งหลายในโลกใบนี้ต่างมีความคิด และความต้องการเป็นของตนเอง
โดยความต้องการนั้น จะเป็นกิเลสเป็นบุญหรือเป็นกรรมก็ตาม
มนุษย์คนเราในความคิดแรกมักจะคิดถึงตนเองก่อนเสมอ
ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนให้มนุษย์คิดถึงผู้อื่นก่อน
แล้วมนุษย์ผู้นั้นจึงจะได้ปลดทุกข์แห่งกรรม
เพื่อเข้าสู่แสงสว่างเป็นการดับกิเลสให้ตนเอง จนพ้นทุกข์
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่จะด้วยวิบากกรรม หรือด้วยสิ่งใดก็ตาม
หากไม่นำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาขัดเกลาจิตใจของตนเองแล้ว
มนุษย์ผู้นั้นจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือความคิดที่จะให้ตนเอง
มีแต่ได้หรือไม่เสียเปรียบใครนั้น เป็นกรรมที่ทำซ้ำ และติดตามตนเองอยู่เสมอ
พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์ทุกคน แม้กระทั่งสรรพสิ่งวิญญาณทั้งหลาย
ให้มีการเสียสละแห่งตนการเสียสละมิได้เป็นสิ่งที่ลำบาก มิได้สูญเสียสิ่งใดมากมาย
เป็นคุณลักษณะของผู้ที่มีจิตใจ ที่จะแผ่สิ่งที่ดีหรือบุญให้แก่ผู้อื่น
ทำสิ่งใดโดยไม่หวังผลตอบแทน อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
สามารถคิดแทนในปัญหาหรือความทุกข์ของผู้อื่น
ผู้ที่คิดและปฏิบัติเช่นนี้ อานิสงส์แห่งบุญย่อมเกิดกับตนเองเสมอ

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต่อครับ........

มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้
ส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อลบล้างกรรมของตน
ด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้หลุดพ้นวิบากกรรมของตนเอง
แต่มนุษย์ไม่สามารถหักห้ามจิตกรรม ที่เป็นกิเลสตัณหาของตนได้
เดินตามเส้นทางกรรมของตน ธรรมะคำสอนไม่ซึมซับเข้าสู่จิตใจ
ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่เสียสละตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอันเป็นการสร้างบุญ
ทำในสิ่งใดก็ตาม คาดหวังในผลประโยชน์ที่เป็นกิเลสตัณหาที่ตนเองจะได้รับ
จึงไม่เกิดคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ที่ดี

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


และต่อครับ.........

พระพุทธเจ้าเป็นผู้เสียสละแห่งมนุษย์
คิดและทำทุกอย่างเป็นตัวอย่างออกมาในคำสอนให้มนุษย์ปฏิบัติตาม
ปรารถนาให้มนุษย์ พร้อมทั้งสรรพสิ่งวิญญาณ ดวงจิตทั้งหลาย
หลุดพ้นด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เอง เป็นผู้เสียสละแม้กระทั่งความสุขของตน
ไปเรียนรู้ความทุกข์ หาวิธีปฏิบัติและดับทุกข์
เพื่อเป็นตัวอย่าง และนำทางให้มนุษย์ทั้งหลายหลุดพ้นในวิบากกรรม
หากมนุษย์ผู้ใดอยากให้ตนเองหลุดพ้นวิบากกรรม มีแสงสว่างแห่งธรรม
ให้นำคำสอนและแนวทางการปฏิบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นตัวอย่างในการแก้ไข พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงจิตใต้สำนึกของตนเอง
วิบากกรรมนั้นย่อมสิ้นสุดลงได้...

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับท่านผู้แต่ง ผู้มีจิตใจอันเป็นกุศล ต้องขออภัยหาก comment นี้อาจจะดูเป็นที่น่าขัดใจอยู่บ้าง

จากนิยามที่ผู้แต่งเขียนถึง มนุษย์กรรม ทำให้น่าคิดว่าแท้ที่จริง "กรรม" ควรหมายถึง "บาป" หรือ "การกระทำ"

โค้ด:
มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อลบล้างกรรมของตน


กรรมที่ทำไปแล้วแก้ไขลบล้างได้หรือ

โค้ด:
ด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้หลุดพ้นวิบากกรรมของตนเอง


วิบากกรรม หลบเลี่ยงได้หรือ

บทความอันเกิดจากจิตใจที่เป็นกุศลนี้อาจเป็นอันตรายกับผู้มาใหม่

หากนิยามคลาดเคลื่อน ความเข้าใจคลาดเคลื่อน การสื่อสารคลาดเคลื่อน ผลที่จะเกิดกับผู้รับสารก็ย่อมต้องคลาดเคลื่อนเป็นธรรมดา

โปรดระวังพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนธรรมดาๆ เขียน:
ขออนุโมทนากับท่านผู้แต่ง ผู้มีจิตใจอันเป็นกุศล ต้องขออภัยหาก comment นี้อาจจะดูเป็นที่น่าขัดใจอยู่บ้าง

จากนิยามที่ผู้แต่งเขียนถึง มนุษย์กรรม ทำให้น่าคิดว่าแท้ที่จริง "กรรม" ควรหมายถึง "บาป" หรือ "การกระทำ"

โค้ด:
มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อลบล้างกรรมของตน


กรรมที่ทำไปแล้วแก้ไขลบล้างได้หรือ

โค้ด:
ด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้หลุดพ้นวิบากกรรมของตนเอง


วิบากกรรม หลบเลี่ยงได้หรือ

บทความอันเกิดจากจิตใจที่เป็นกุศลนี้อาจเป็นอันตรายกับผู้มาใหม่

หากนิยามคลาดเคลื่อน ความเข้าใจคลาดเคลื่อน การสื่อสารคลาดเคลื่อน ผลที่จะเกิดกับผู้รับสารก็ย่อมต้องคลาดเคลื่อนเป็นธรรมดา

โปรดระวังพิจารณา


ขอบคุณ คุณคนธรรมดาๆที่ comment ครับ
ผมขอเรียนถามคุณคนธรรมดาๆว่า คุณเกิดมาเพื่ออะไร.......หรือมาทำอะไรครับ......
และหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่คุณได้ศึกษามาสอนให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่ออะไรครับ......
บางทีผู้มาใหม่หรือผู้ที่ได้อ่านสิ่งที่ผมpostนั้นอาจคิดไม่เหมือนคุณก็ได้
ไม่ควรเอาความคิดของตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าผู้อื่นจะคิดเหมือนตนเสมอไป
คำว่าสายกลางในคำสอนพระพุทธเจ้าเขาทำกันอย่างไรหรือครับ....
.

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกคนเกิดมาในชาติๆหนึ่งไม่มีใครที่จะไม่เคยกระทำผิดแม้แต่ตัวเราเอง มากน้อยต่างๆกันไป
ความผิดพลาดในการกระทำหากบุคคลใดรู้จักตัวตนของตนเอง จะรู้ว่าความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้ชีวิต
เพื่อแก้ไขตนเอง แต่ไม่ใช่การแก้ตัว (การแก้ไขคือการเปลี่ยนแปลง
ส่วนการแก้ตัวเพราะกลัวความผิด ไม่ยอมรับและไม่รับผิดชอบในการกระทำของตนเอง)


การยอมรับในการกระทำของตนเองย่อมได้รับการแก้ไข การเรียนรู้ในชีวิตทุกอย่างมีทั้งคนผิดและคนถูก
หากแต่ละบุคคลไม่ว่าจะผิดหรือถูก ต่างคนก็ไปแก้ไขตนเอง ย่อมต้องออกมาดีเพราะเราไม่โทษใคร

ฝึกให้อภัยตนเอง คือการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง (ดูความผิดพลาดของตนเองเสมอ)
ฝึกให้อภัยผู้อื่น คือการไม่โทษว่าใครเป็นผู้ผิด หรือผู้อื่นเป็นผู้ผิด


หากคนเรามีปัญหาชีวิตทุกๆเรื่องกับทุกๆคนไม่ว่าเราจะผิดหรือถูก เราแก้ไขที่ตัวเราเอง
ทุกอย่างมันก็จบไปด้วยดี ด้วยตัวตนเราเอง ไม่มีใครแก้ไขตัวตนของเราได้ นอกจากตัวเราเอง
แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ได้แต่คำสอนชี้แนะเท่านั้น ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตนเองอะไรในโลกนี้ก็เปลี่ยนเราไม่ได้

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2012, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


jedrapus เขียน:
ผมมีความเห็นว่า......
มนุษย์กรรมมักจะคิดถึงเรื่องของตนเองเสมอ จะไม่คิดถึงความทุกข์ของผู้อื่น
จะทำแต่ในสิ่งที่ให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยในสิ่งที่ตนกลัว โดยไม่รู้ว่าในสิ่งที่ตนกลัวนั้น อาจจะเป็นหนทางที่เป็นแสงสว่างแก่ตนได้ แต่ด้วยจิตที่เป็นกรรม เป็นกิเลสหวาดวิตกกับตนเอง ส่งผลให้ต้องเจอวิบากกรรมต่อไป การที่ไม่เสียสละในสิ่งใด มนุษย์จะมองไม่ชัดเจนในเรื่องของความถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง คำสอนที่เป็นการหักห้ามกิเลส ความต้องการทั้งหลายมนุษย์กรรมมักจะดูว่าเป็นการปฏิบัติยาก จะหวาดวิตกกับคำสอนที่เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าเสมอ โดยคำพูดมักจะอ้างอิงในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การปฏิบัติ และการประพฤติตน หรือความคิด จิตใจมิได้เป็นไปในแนวทางคำสอนเลย มนุษย์กรรม จะไม่มองความผิด และความบกพร่องของตน แต่มักจะมองไปที่ผู้อื่นเสมอ จึงทำให้ไม่เห็นจุดบกพร่องของตนเอง ยากที่จะนำพาดวงจิตสู่การหลุดพ้นได้ แสงสว่างแห่งธรรมนั้น จะไม่มีในจิต เพราะความคิดที่กลบเกลื่อนด้วยกิเลสตัณหา นั่นเอง


ขออนุญาติเพื่อนสมาชิกร่วมแชร์ความเห็นด้วยนะครับ...


ประเพณีบางอย่างก็เป็นกรรมของมนุษย์เช่นกัน เช่น ความกลัว ที่กล่าวมา

ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มา มนุษย์มีความกลัว เช่นกลัวภัยธรรมชาติ มนุษย์จึงคิดหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไรจึงเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อหาคำตอบกับภัยเหล่านั้นไม่ได้ มนุษย์จึงให้คำตอบว่าเป็นเพราะสิ่งเร้นลับทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ภัยธรรมชาตินั้นผีสางเทวดาบันดาลให้เกิด อาจด้วยความโกรธมนุษย์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ผีสางเทวดาโกรธจึงต้องทำการบูชา เซ่นสังเวย

ภายหลังพระพุทธเจ้าได้เผยแผ่พระธรรม ให้มนุษย์รู้จักปรากฎการณ์และความจริงที่เกิดขึ้น มนุษย์บางส่วนจึงได้เลิกงมงายต่อสิ่งเหล่านี้ แต่ประเพณีการนับถือผีสางเทวดาก็ยังไม่หมดไป ยังคงสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน บางครั้งคนก็ทุกข์ยากลำบาก ไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงหาที่พึ่งทางใจด้วยการบนบานศาลกล่าว หลงทิศหลงทาง คิดผิดไปก็มากมาย ก่อให้เกิดกรรม มีบาปเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นวงจรกรรม

ทางเดียวที่จะพ้นวงจรกรรมนี้ คือหันมาศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อให้คิดถูกทำถูก หลุดพ้นบ่วงกรรม

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร