วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 15:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool หวัดดีฮะ ว่างๆ เลยมาแต่งนิยายให้อ่านเล่น... :b9: :b9: :b9:

จะเขียนไปเรื่อยๆ นะฮะ...

ตามคติพุทธ วัฎสงสารแบ่งออกเป็นกามภพ (เอกภพ) รูปภพ (รูปพรหม) และอรูปภพ (อรูปพรหม) แต่เพื่อให้ง่ายต่อระบบความคิดแบบวิทย์ เราจะแบ่งออกเป็น สุคติ ทุคติ และ Singularity. ช่างเป็นการแบ่งที่ไฮเทคดีแท้ อิอิ

สุคติคือ มนุษย์โลกและสวรรค์. ระดับพลังงานที่สูงขึ้นไป จนถึงแกนกลางดาราจักร (คิดดูแล้ว คำว่าดาราจักรมันเท่ห์กว่า กาแลคซี่หรือจักรวาล มว๊าก คิคิ)
สวรรค์เป็นที่อยู่ของเทพเจ้า เราไม่ควรเรียกว่ามนุษย์ต่างดาว เพราะมนุษย์ต่างดาวนั้น พระไตรปิฏกบอกว่ามีอยู่ 4 ดวงดาว มีพลังงานในระดับของมนุษย์โลกนี่แหล่ะ

ทุคติคือ ระดับพลังงานที่ต่ำกว่ามนุษย์ ไกลออกไปจากแกนกลางดาราจักร. ส่วนที่อยู่บริเวณขอบก็คือ นรก และในระหว่างกลางของดาราจักร 3 แห่ง (แบบโลโก้ช่อง 7) ก็เป็นที่อยู่ของ นรกโลกันต์ อันเลื่องชื่อ

:b6: ฝ่ายวิทย์มักจะมองขอบเขตของดาราจักรที่กลุ่มดาว. แต่จริงๆ แล้ว ระดับของพลังงานจะมองกันที่พลังงานของแรงโน้มถ่วง (การไหลของสนาม 2 มิติ) ซึ่งเราเข้าใจว่า ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน นักดาราศาสตร์รู้แล้วว่า ขอบเขตแบบนี้มีจริง และรู้แล้วว่า ขอบเขตของระบบสุริยะอยู่ที่ใด


:b6: :b6: :b6: เทพเจ้า เทพเจ้ามีทั้งที่มีร่าง 3 มิติ อันเป็นเทพเจ้าระดับต้นๆ 2 ชั้น คติพุทธตั้งชื่อว่า จาตุมหาราชิกา น่าจะแปลเป็นภาษาประกิตว่า 4 Great kings แต่ละ king ก็มีหลากหลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายสปีชีส์ อีกชั้นคือ ดาวดึงส์ เห็นเขาแปลว่า ที่อยู่ของเทพ 33 ตน แต่เราอยากจะแปลว่า เทพผู้เป็นใหญ่ 33 ตนมากกว่า. มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า

ส่วนเทพเจ้าที่ไม่มีร่าง 3 มิติ ก็เป็นเทพเจ้าชั้นสูงอีก 4 ชั้น คติพุทธว่า ยามา ดุสิตา นิมมาน และปรนิม อันเป็นที่สุดแห่งเทพ
ถึงจะไม่มีร่าง 3 มิติ เราก็ไม่เรียกเทพเจ้าว่า ผี เพราะผีเป็นชื่อชั้นพลังงานที่ต่ำกว่ามนุษย์. คำเดิมว่าเปรต แต่สมัยนี้ความหมายถูกบิดเบือนไป เลยขอใช้คำว่าผี ก็แล้วกัน

อสุรกาย เป็นอีกชื่อชั้นพลังงานหนึ่ง ที่อยู่ถัดจากนรกออกมา มีร่าง 3 มิติเช่นกัน แสดงว่าอสูรกายย่อมต้องตั้งอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่งหรือหลายดวง เพราะอสูรกายมีอวัยวะผิดรูป ไม่สมบูรณ์ด้วยเทคโนโลยี่แบบเทพเจ้า จะได้สร้างวิมานบนอวกาศ (มนุษย์สร้างได้แค่สถานีอวกาศ แต่เทพเจ้าอาจสร้างดาวอยู่เองได้)

อ้อ ลืมบอก เทพเจ้าก็มี 2 แบบ แบบไฮเทคโนโลยี่ กับแบบซูเปอร์ฮีโร่ แบบทวีปมูกับแอตแลนติสไง อิอิ

นรก นรกไม่มีร่าง 3 มิติ มีขุมหลายขุม หรือคุกหลายคุก คุกเหล่านี้เป็นการโปรดสัตว์จากเทพเจ้า ซึ่งคริสต์เขาว่าเป็น เฮดีส พุทธก็บอกเป็นพญายม

การโปรดสัตว์ไม่ใช่ไปเป็นบริกรให้สัตว์นรก แต่เป็นการให้สัตว์นรกมาชดใช้กรรมที่ก่อขึ้น จะได้ไม่อยู่ในนรกนานเกินไป, เพราะด้วยระดับพลังงานที่ต่ำ กว่าที่จิตจะดึงเอาพลังงาน 1 มิติ (กรรม) มาปั้นเป็นเจตสิก จนเหลือน้อยพอที่จะย้ายภูมิไปเป็นผีได้ สิ้นจักรวาลไปก็ยังดีงมาใช้ได้ไม่หมด

เทพเฮดีสเลยจัดคุกนรกให้ สัตว์นรกบางตัวมีความหลากหลายทางกรรมมาก ก็เวียนไปหลายคุก
ท่านว่าแม้จะมีคุกมีขุมแล้ว สัตว์นรกก็ยังต้องชดใช้กรรมกันเหนียงยาน เพราะระดับพลังงานที่ต่ำมากเกินไป

:b6: ว่าแบบนี้ ท่านก็คงคิดว่า แล้วเทพเจ้าระดับปรนิมไฮพาวเวอร์นั้น ปุบปั๊บก็หมดสภาพเทพเลยจิ อันนี้ท่านว่า หาใช่ไม่ เพราะเทพเจ้า รูปไม่แตก (ตาย) เจตสิกเกิดน้อย เกิดแล้วไม่ดับ อยู่กันจนแทบจะสิ้นจักรวาลเลยทีเดียว. ไม่เหมือนพวกสัตว์นรก โดยเฉพาะพวกโลกันต์ ที่สภาพแวดล้อมรุนแรง (เหมือนเฟืองที่ขบสวนทางกัน) รูปแตก-เจตสิกดับ รูปเกิด-เจตสิกเกิด ยิ่งพลังงานน้อยเท่าไร รูปก็ยิ่งแตกง่ายเท่านั้น. และความที่พลังงานต่ำนี่แหล่ะ คัมภีร์จึงว่า เกิดตายๆ กันนับชาติไม่ถ้วนเลยทีเดียว


:b6: :b6: :b6: ต่อด้วย พรหม พรหมอยู่ใน Singularity
พรหมนี้ไม่นับพวกอาภัสรา (ที่เมื่อเอกภพ 3 มิติสิ้นไป จิตจะหาที่เกิดไม่ได้ จึงมาเกิดที่ชั้นนี้) และไม่นับพวกพรหมที่มีแต่รูป หรือมีแต่จิตแต่ไม่มีอายตนะ (พวกฤาษีที่ฝึกฌาณอย่างผิดวิธี) ว่าง่ายๆ คือ ไม่นับพวกประหลาดๆ ทั้งหลาย

พรหมใน Singularity (0 มิติ) จะว่าเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่ใช่ จะว่ามีหลายตนก็ไม่ใช่ คัมภีร์เขาว่า มีบารมีไม่เท่ากัน (แสดงว่ามีหลายตน) แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน (แสดงว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน)

:b6: พรหมคือผู้สร้างเอกภพ 3 มิติ ส่วนสนาม 2 มิตินั้น มันเป็น อกาลิโก คือไม่มีเวลา มันอยู่ของมันมาอย่างนั้น ไม่มีจุดเริ่มหรือจุดสิ้นสุด. แต่สนาม 2 มิตินั้นกำเนิดมาจากเส้น 1 มิติ (กรรม) แสดงว่ามันต้องมีจุดเริ่มต้นจริงไหม แต่เมื่อมันไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก มันจึงไม่มีจุดเริ่มต้นจริงไหม...
และเมื่อมันกำเนิดจากกรรม มันจึงต้องมีกรรมแรก ถูกป่าว แต่เมื่อกรรมก็เป็นอกาลิโก ดังนั้นมันจึงไม่มีกรรมแรก ถูกมะ

นักบวชจะตอบคำถามเหล่านี้ว่า คนที่ถามคำถามแบบนี้ เป็นคนบาป เพราะกรูตอบมิได้ ฮิฮิ :b32: :b32: :b32:

คัมภีร์ท่านจึงว่า มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เพราะความเป็นพระพุทธเจ้าคือ การเข้าถึงโพธิญาณ (สัญญาของพรหม) ในร่างมนุษย์

มีต่อนะฮะ ยาวไปเดี๋ยวตาลาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ...

พรหม คือสิ่งที่ฝั่งคริสต์เข้าเรียกว่า God (พระผู้เป็นเจ้า)

:b6: เมื่อพรหมสร้างเอกภพขึ้นแล้ว (สร้างจากสนาม 2 มิติ) สวรรค์ก็เกิด นรกก็เกิด. จิตทั้งหลายจะตายจากชั้นอาภัสรา และกำเนิดในเอกภพตามที่ที่ควรเกิด

และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ชีวิต 3 มิติจะถูกบันดาลขึ้น เพื่อรองรับจิตในระดับชั้นเทพเจ้า และอสุรกาย

พรหมจะไม่ข้องเกี่ยวกับรายละเอียดของแต่ยุค แต่จะมองในภาพรวมของยุคต่างๆ. ชีวิตแต่ละชีวิตย่อมดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง

ในที่สุด เมื่อถึงกาลอันควร มนุษย์ก็ถือกำเนิดขึ้น, มนุษย์จะเกิดขึ้นทีหลังสุด เพราะเกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่พิเศษกว่าชีวิตในชั้นอื่นๆ. มนุษย์ต้นแบบที่เกิดขึ้นสองคนแรก จะถูกเทพเจ้านำไปศึกษาและเลี้ยงดู, อดัมกับอีฟในสวนอีเดน


:b6: มนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก. แต่จะด้วยวิธีการใด เหตุใด หรือสถานที่ใดก็ตาม เกิดมีสวนอีเดนที่มีมนุษย์ พืช และสัตว์จำนวนหนึ่งขึ้นมา
สวนอีเดนถูกค้นพบโดยเทพเจ้า. หลังจากนั้น ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งจะถูกเลือก และปรับสภาพให้เหมาะสมภายใต้ต้นแบบสวนอีเดน
ด้วยความซับซ้อนที่ต่ำกว่า พืชและสัตว์ ถูกดัดแปลงและขยายสายพันธ์ กลายเป็นชีวิตอันดับแรกๆ บนดาวเคราะห์ที่กำลังปรับสภาพ

เมื่อมนุษย์ยุคแรก ลงหลักปักฐานบนผืนดาวภายใต้การดูแลของเทพเจ้าแล้ว วิวัฒนาการก็เริ่มเกิดขึ้น.
ณ จุดหนึ่งของช่วงเวลาที่เหมาะสม มนุษย์สายพันธ์ใหม่จะเกิดขึ้น ด้วยความสามารถทางสติปัญญาที่มากขึ้นเรื่อยๆ

อันที่จริง ความสามารถทางสติปัญญาที่จำกัดของมนุษย์ยุคแรก ก็เป็นไปเพื่อให้การตั้งต้นอารยธรรม จำเป็นต้องได้ความช่วยเหลือจากเทพเจ้า
เพราะหากมนุษย์ยุคแรก มีความสามารถด้านสติปัญญาเท่าเทียมปัจจุบัน ก็เป็นไปได้ว่า มนุษย์จะสูญพันธ์ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากสวนอีเดน
เพราะความสามารถทางสติปัญญา จะฉายชัดเมื่อมีอารยธรรมที่มั่นคงแล้วเท่านั้น. ในขณะที่การตั้งต้นอารยธรรม จะต้องใช้ความสามารถทางกายเป็นสำคัญ


:b6: และในที่สุด วิวัฒนาการของมนุษย์ครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น, เกิดมนุษย์สายพันธ์ปัจจุบันที่มาพร้อมกับความหลากหลายของสิ่งที่เราเรียกว่า เชื้อชาติ
ด้วยความแตกต่างของรูปกายจากสายพันธ์เดิม มนุษย์ต้นแบบกลุ่มนี้ ถูกค้นพบได้อย่างรวดเร็ว และเป็นจุดเริ่มต้นของการจากไปของเทพเจ้าในเวลาต่อมา

อารยธรรมยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้น, ด้วยสติปัญญาระดับสูง มนุษย์สามารถถ่ายทอดอารยธรรมของเทพเจ้า จนกลายเป็น 2 อาณาจักรที่มีแนวคิดด้านเทคโนโลยี และด้านจิตวิญญาณ
สติปัญญาที่เท่าเทียมกัน ทำให้เทพเจ้าถอนตัวออกไป กลายเป็นผู้ดู

แล้วในที่สุด ความพิเศษกว่าชีวิตอื่นๆ ของมนุษย์ก็แสดงออกมา... 2 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กันคนละด้าน ก็เข้าทำลายล้างกัน


:b6: :b6: :b6: มนุษย์ไม่สามารถตั้งต้นอารยธรรมได้ โดยปราศจากผู้ช่วยเหลือ

เทพเจ้ากลับมาอีกครั้ง แผ่นดินถูกเปลี่ยนแปลง แต่ละเชื้อชาติถูกนำไปปล่อยในทวีปต่างๆ, ความรู้ที่หลงเหลือจากอารยธรรมเดิมถูกฝังลงภายใต้อนุสรณ์ต่างๆ และความเป็นมนุษย์ก็เริ่มถูกศึกษาอย่างลึกซึ้ง...

จากนิยายที่แต่งมานี้ ก็น่าจะตอบคำถามได้ว่า มนุษย์ต่างดาวหรือเทพเจ้า เป็นผู้สร้างมนุษย์หรือไม่...


แถมท้าย อดัมกับอีวาเป็นใคร... วิวัฒนาการของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม แต่เกิดจาก เจตจำนง ของจิตที่มีบารมี 10 ทัศ
อดัมกับอีวา รวมถึงจิตที่ครองร่างต้นแบบต่างๆ ล้วนเป็นจิตกลุ่มหนึ่งที่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างซ้ำๆ เมื่อถึงเวลาอันควร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ต่อจากนี้จะเป็นของแถม... บางท่านอาจจะเคยสงสัยว่า เหตุใดศาสนาพุทธจึงเสื่อมลงได้อย่างง่ายๆ

รู้สึกจะเคยเขียนไปแล้วมั๊ง ที่ไหนสักแห่ง... ว่าในวัฎสงสารนี้ มันมีสิ่งที่เรียกว่า ระบบโพธิญาณ อยู่ หรือจะเรียกว่า ระบบพระพุทธเจ้า ก็ได้

:b6: จากนิยายข้างบน พรหมจะไม่ข้องเกี่ยวในรายละเอียดของแต่ละยุค, แต่กฎทุกกฎ ย่อมมีข้อยกเว้น
พรหมจะเข้ามาข้องเกี่ยวโดยตรง ก็ในฐานะพระพุทธเจ้าเท่านั้น. จิตในระดับ อนาคามี ในพรหมโลก จะลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า (เข้าถึงโพธิญาณในร่างมนุษย์) สืบต่อกันเป็นระยะๆ ต่อเนื่องกันไป

โดยปกติแล้ว อนาคามี จะไม่สามารถมาเกิดในกามภพได้อีก จึงเป็นที่แน่นอนว่า การเกิดของพรหมจึงไม่ได้มาเกิดอย่างเดี่ยวๆ แต่จะมีการแทรกแซงโดยจิตที่มีบารมีอื่นๆ ด้วย

:b6: ยุคของมนุษย์ 1 ยุค จะมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. พรหมที่จะพร้อมต่อการเป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อสายพันธุ์มนุษย์ในยุคนั้นๆ, คือสายพันธ์ของมนุษย์ในแต่ละยุค ก็จะมีแนวโน้มของจริตไปในทางเดียวกับพรหมองค์นั้นๆ
พระพุทธเจ้าในแต่ละยุคจึงใช้เวลาในการตรัสรู้สั้นมาก บ้างก็ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน...

เมื่อพระไตรปิฏกบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 4 ก็ย่อมหมายความว่า มีมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง หมายถึงเกิดแล้วสูญพันธุ์ไปแล้ว 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4
ว่าอีกแบบในเชิงเปรียบเทียบคือ มีสวนอีเดนมาแล้ว 3 สวน และครั้งนี้เป็นสวนที่ 4

ยุคสูญกัปป์ คือไม่มีพระพุทธเจ้า ก็หมายถึงว่า ยุคนั้นไม่มีมนุษย์

:b6: ทีนี้ ปัญหาก็คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นการแซงคิวจากสวรรค์ชั้นดุสิต ดังที่ปรากฎอยู่ในตำนานต่างๆ ซึ่งปกติแล้ว พระพุทธเจ้าจะมาจากอนาคามีในพรหมโลกเท่านั้น

หากพระพุทธเจ้าที่ควรจะเป็นในยุคนี้ คือพระศรีอริยะเมตไตรย ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าแบบ วิริยะธิกะ (คือมีทั้งปัญญา ศรัทธา และวิริยะ) มันก็หมายความว่า สายพันธ์มนุษย์ในยุคนี้ ก็ถูกออกแบบขึ้นภายใต้ เจตจำนง วิริยะธิกะเช่นกัน

และนั่นทำให้สมณะโคดมเข้าถึงโพธิญาณ (ตรัสรู้) ได้อย่างยากลำบาก เพราะสมณะโคดมเป็นพระพุทธเจ้าแบบ ปัญญาธิกะ ไม่มีศรัทธาและวิริยะ. ต่อเมื่อจะเข้าถึงโพธิญาณก็ยังได้รับการขัดขวางจากสวรรค์ชั้นปรนิม เกิดเป็นตำนานพระแม่ธรณีขึ้นมา

และเมื่อเข้าถึงโพธิญาณ มีความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว, สาวกแบบปัญญาก็ย่อมบรรลุธรรมตามได้ง่าย แต่เมื่อพ้นสมัยพุทธกาล ไม่มีศาสดาเป็นหลัก สาวกแบบศรัทธาและวิริยะก็เริ่มสั่นคลอน เพราะสาวกเหล่านี้ต้องการศรัทธาในขณะที่ตัวศาสนาเอง ไม่ให้ศรัทธา
พุทธจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว พราหมณ์นิกายใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่...

:b6: เมื่อพุทธเริ่มส่อแววจะสูญก่อนกำหนด ข้อยกเว้นจึงต้องมีข้อยกเว้นอีก, พรหมได้เข้าแทรกแซงอีกครั้ง ศาสนาแห่งศรัทธาได้ถือกำเนิดขึ้น ในขณะที่พุทธถูกย้ายออกจากแหล่งกำเนิด

และเมื่อกำหนดเวลาของบางสิ่งใกล้เข้ามาถึง การบูมของปัญญาก็ทวีขึ้น และจะมีการวิวัฒนาการเล็กๆ ของมนุษย์เกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้สมบัติของมนุษย์ยุคใหม่ ใกล้เคียงกับปัญญาธิกะมากกว่าเดิม

:b6: จากนิยายนี้ เราก็พอจะคาดได้ว่า เมื่อสิ้นยุคพระพุทธเจ้าองค์นี้ลงแล้ว, ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ศรีอริยะเมตไตรย มนุษย์ในยุคนั้นก็จะมีรูปร่างหน้าตา และอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมือนๆ กับเรานี่แหล่ะ

จบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ก็หลายวันแระ ไม่มี feedback เลยแฮะ อดโม้เลย ฮิฮิ

แต่ไม่เป็นไร จะแถมเรื่องโม้ๆ อีกสักหน่อย

ความพิเศษของชีวิตที่พบในสวนอีเดน คือมีพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ที่มีส่วนประกอบย่อย คือมี ยีน. ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีและข้อเสียเป็นมุมมองของแต่ละชีวิต ไม่ใช่สัจธรรม

มีความเป็นไปได้สูง ที่เทพเจ้าบางกลุ่ม (ที่มีร่าง 3 มิติ) จะไม่มีดีเอ็นเอ. ซึ่งนั่นทำให้เทพเจ้ากลุ่มนี้สามารถ จำแลงรูป ได้ตามที่ต้องการ. แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ

แต่เทพเจ้าส่วนใหญ่ ควรจะมีดีเอ็นเอที่ตายตัว คือไม่มีส่วนประกอบที่เป็น ยีน
เมื่อไม่มียีน ก็ย่อมไม่มีโรคภัย และความชราภาพ. อายุของเทพเจ้าจึงมีกำหนดที่แน่นอนตายตัว ไม่ขึ้นอยู่กับสังขารเหมือนมนุษย์

จะว่าเป็นข้อดีก็ทั้งใช่และไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับมุมมอง. เพราะเมื่อไม่มียีน ก็ย่อมแปลว่า ไม่มีความหลากหลาย. ร่างกายของเทพเจ้าจะเหมือนๆ กันเป็นพิมพ์เดียว, มีระบบความคิดเหมือนๆ กัน, มีสติปัญญา (ในแบบวงจรสมอง) เท่าๆ กัน หรือว่าในแบบพุทธกว้างๆ ก็คือ ร่างกายแบบนี้ ไม่ก่อให้เกิดอัตตา

ไปล่ะดีก่า.... cool cool cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2012, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว....ต้องการฟีดแบ๊ก..หรอ...อิอิ....

อยากให้ไหลลื่น...นะ...เลยชมไปก่อน... :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2012, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool นี่จะเป็นเรื่องโม้ๆ อันสุดท้ายล่ะนะ

มูและแอตแลนติส อันที่จริงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ควรจะหยุดอยู่ที่ตรงนั้น

:b6: ความหลากหลายของสิ่งที่เรียกว่า เชื้อชาติ เป็นผลจากการผสมผสานของ ปัญญา ศรัทธา และวิริยะ.
แต่เพื่อไม่ให้เกิดการเหยียดหยามระหว่างเชื้อชาติ, กลไกที่ 2 ที่เข้ามามีผลก็คือ สารเคมีในเลือด (หมู่เลือด)
ปัญญา, ศรัทธา, วิริยะ, ปัญญา-ศรัทธา, ปัญญา-วิริยะ, ศรัทธา-วิริยะ และปัญญา-ศรัทธา-วิริยะ
อันนี้คือ เขียนเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ เพราะในความเป็นจริง การผสมผสานไม่ได้แบ่งกันชัดๆ แบบนี้

:b6: ด้วยบุพกรรมตามตำนานของ 2 จิตที่มีบารมี 10 ทัศ, ทวีปมูและแอตแลนติส จึงถูกปล่อยไปตามยถากรรม และประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็ทอดยาวมาถึงปัจจุบัน
ก็บอกเป็นนัยได้ว่า บุพกรรมนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อนมาแล้ว

เมื่อสมณะโคดมตรัสรู้ เข้าถึงโพธิญาณ, ก็ย่อมชัดแจ้งในเรื่องราวทั้งหมด
แต่เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้ถูกเอ่ยถึงในพระไตรปิฎก เพราะจะทำให้ศรัทธาในศาสนาพุทธ ถูกสั่นคลอน
เราเข้าใจว่า มีพุทธพจน์อยู่หลายตอนในพระไตรปิฎก ที่มีนัยยะของการเกรงว่า คนจะเสื่อมศรัทธาในตัวศาสนา. เพราะสมณะโคดมเป็นพระพุทธเจ้าแบบ ปัญญาธิกะ, ในขณะที่ 4 ใน 6 ของมนุษย์โลกในเวลานั้น เป็นมนุษย์ที่มี ศรัทธา เป็นองค์ประกอบสำคัญ

บางคนอาจคิดว่า เรากำลังปรามาสพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ก็อย่างที่แต่งนิยายข้างต้น มนุษย์จะมีวิวัฒนาการเล็กๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง, เป็นวิวัฒนาการเล็กๆ แต่ก็ส่งผลสะท้อนที่มากมายอยู่เหมือนกัน

:b6: กึ่งพุทธกาล เป็นรอบกำหนดเวลาของเทพและพรหม ที่จะมารักษาพระพุทธศาสนา (ตามตำนานจากที่ไหนสักที่แหล่ะ)
มนุษย์ในยุคหน้า จะมีความสอดคล้องกับ ปัญญาธิกะ มากขึ้น, นั่นหมายถึง ความไม่จำเป็นของการมีอยู่ของ เชื้อชาติ

ความเป็นเชื้อชาติจะสูญหายไปภายใน 150 ปี (นับจากเด็กที่อายุน้อยที่สุด เมื่อการวิวัฒนาการเริ่มขึ้น)
ประเทศจะกลายเป็นรัฐ และอย่างช้าภายในเวลา 50 ปี รัฐบาลโลกก็จะเกิดขึ้น

ศาสนาแห่งศรัทธาจะจบลง มนุษย์จะไม่ต้องการพระเจ้า เทพเจ้า หรือศาสดาองค์ใด
ในแง่ของจิต จะไม่มีผู้ใดฝึกฝนสมถะฌาณได้อีก (วิริยะลดความเข้มข้นลง)


:b6: เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก หรืออาจไม่ได้เลย เพราะเมื่อเวลาแห่งวิวัฒนาการมาถึง ทุกสิ่งจะกลายเป็นตำนาน เป็นเรื่องเล่าขาน เช่น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มนุษย์ยังมีหลายเชื้อชาติ แผ่นดินยังแยกออกเป็นหลายทวีป...

การจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องราวเหล่านี้ จึงต้องอาศัย ศรัทธา เป็นสำคัญ. แม้บางเรื่องจะดูเสมือนเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของการใช้ ศรัทธา ในการเล่าเรื่องราว

แล้วท่านศรัทธาในหุ่นยนต์อ๊ะป่าว ฮิฮิ

สมควรแก่เหตุแล้ว... จบบริบูรณ์ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2012, 13:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

แอบดูอยู่ เหมี๋ยนกาน

:b17:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร