วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 20:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2012, 07:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 6815 ครั้ง ]
สตินั้นเป็นผลของจิตที่ถูกอบรมด้วยปัญญา
สติ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1.สติธรรมดา หรือสติตามธรรมชาติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยปัญญาตามธรรมชาติ เช่น การรู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บรู้ปวด รู้สบาย รู้สุข รู้ทุกข์ ตัวอย่างเช่นเด็กทารกที่ไม่เคยรู้เรื่องความร้อนของไฟเมื่อเขาถูกไฟไหม้มือครั้งแรกที่สุดในชีวิต ปัญญาจะเกิดขึ้นมารู้จักความร้อนของไฟ หลังจากนั้น ความร้อนของไฟจะเป็นสัญญา ที่ถูกจดจำไว้ แล้วสติ จึงจะเกิดขึ้นมารู้ทัน ระลึกได้ ไม่ลืม ที่จะคุ้มครองตัวเองให้ระวังความร้อนจากไฟ ไม่ให้ถูกไฟไหม้มือหรือส่วนอื่นๆของร่างกายอีก

2.สัมมาสติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญาอันเป็นสุตตมยปัญญาก่อนโดยน้ำธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์

....ปัญญาสัมมาทิฐิ จะอบรมสติธรรมดาให้เป็นสัมมาสติ เบื้องแรกจะเป็นสัมมาปัญญาและสัมมาสติโดยทฤษฎีด้วย สุตตมยปัญญาเสียก่อน หลังจากนั้น จินตมยปัญญาจะมาอบรมปัญญาและสติให้เป็นสัมมายิ่งๆขึ้นไปด้วยเหตุและผล เมื่อถึงที่สุดได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อทดสอบและพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า สัมมาทิฐิและสัมมาสติที่สมบูรณ์เต็มร้อยจึงจะเกิดขึ้น รวมความว่า ปัญญาและสติ จะถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับแห่งธรรมเป็นสัมมามากขึ้นเรื่อยๆ จาก 5...10..15....20....25...50...75..จนถึงเป็นสัมมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่สุด

.....ดังนั้นการที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกเอาปัญญามรรค สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ มาเป็นมรรค 2 ข้่อแรกก่อนจึงมีนัยยะและอรรถสำคัญซ่อนอยู่เพราะ เมื่อมรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมา มรรคข้อที่ 1 นั้นแหละจะไปเป็นผู้อบรมมรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ให้เป็นสัมมาตามกันไปหมด

สรุปความของกระทู้นี้จึงเป็นการมาบอกกล่าวว่า "ขอให้เห็นและให้ความสำคัญในการเจริญปัญญาให้เป็นสัมมาปัญญานำหน้าก่อน แล้วศีล สติ สมาธิ จึงจะเป็นสัมมาตาม แล้วนำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน ที่ถูกต้อง เรียบง่ายและเป็นไปตามธรรมในที่สุด
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2012, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 03:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สตินั้นเป็นผลของจิตที่ถูกอบรมด้วยปัญญา
สติ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1.สติธรรมดา หรือสติตามธรรมชาติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยปัญญาตามธรรมชาติ เช่น
การรู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บรู้ปวด รู้สบาย รู้สุข รู้ทุกข์ ตัวอย่างเช่นเด็กทารกที่ไม่เคยรู้เรื่อง
ความร้อนของไฟเมื่อเขาถูกไฟไหม้มือครั้งแรกที่สุดในชีวิต ปัญญาจะเกิดขึ้นมารู้จักความร้อน
ของไฟ หลังจากนั้น ความร้อนของไฟจะเป็นสัญญา ที่ถูกจดจำไว้ แล้วสติ จึงจะเกิดขึ้นมารู้ทัน
ระลึกได้ ไม่ลืม ที่จะคุ้มครองตัวเองให้ระวังความร้อนจากไฟ ไม่ให้ถูกไฟไหม้มือหรือส่วนอื่นๆ
ของร่างกายอีก

พุดโธ่! ยกตัวอย่างให้มันสมเหตุสมผลหน่อยซิครับ เด็กทารกที่รู้ร้อนรู้หนาว
รู้สุขรู้ทุกข์ เขาไม่เรียกสติ
สิ่งที่ว่ามันเกิดจากผัสสะ การรู้ร้อนหนาวสุขทุกข์
มันเป็นสัญชาตญาณที่ตามติดมาจากชาติที่แล้ว

อายตนะภายในที่เรียกว่าใจหรือสมองของเด็กทารก ยังไม่เจริญพอที่จะรับ
สัญญาที่เกิดจากรูปนามใหม่ได้ เด็กทารกจะรู้ได้ต่อเมื่อเกิดผัสสะแล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เด็กทารกจึงไม่มีสติพอที่จะรับรู้หรือไปเอาสัญญามาทำให้เกิดสติได้
asoka เขียน:
2.สัมมาสติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญาอันเป็นสุตตมยปัญญาก่อน
โดยน้ำธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์

สัมมาปัญญาที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาของปุถุชน
หรือเรียกว่าการมีสติความไม่ประมาท ปัญญาที่ว่าไม่สามารถเกิดจากการฟังการอ่านได้เลย
ต้องอาศัยสติไปภาวนาเท่านั้น

เรื่องอริยสัจสี่ผู้ที่ได้ ปัญญาสัมมาทิฐิแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจในสิ่งที่
พระพุทธเจ้าสื่อ
asoka เขียน:
ปัญญาสัมมาทิฐิ จะอบรมสติธรรมดาให้เป็นสัมมาสติ เบื้องแรกจะเป็นสัมมา
ปัญญาและสัมมาสติโดยทฤษฎีด้วย สุตตมยปัญญาเสียก่อน หลังจากนั้น จินตมยปัญญาจะมาอบรมปัญญาและสติให้เป็นสัมมายิ่งๆขึ้นไปด้วยเหตุและผล เมื่อถึงที่สุดได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อทดสอบและพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า สัมมาทิฐิและสัมมาสติที่สมบูรณ์เต็มร้อยจึงจะเกิดขึ้น รวมความว่า ปัญญาและสติ จะถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับแห่งธรรมเป็นสัมมามากขึ้นเรื่อยๆ จาก 5...10..15....20....25...50...75..จนถึงเป็นสัมมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่สุด

สติธรรมดาครับที่ทำให้เกิดปัญญาสัมมาทิฐิ เมื่อมีปัญญาสัมมาทิฐิแล้ว
จึงใช้สัมมาทิฐิเป็นประธานในการเจริญสัมมาสติ แต่ยังต้องอาศัยธรรมในโพธิปักขิยธรรม
และธรรมสุดท้ายที่จะทำให้เกิด สัมมาสติก็คือโพชฌงค์
เมื่อใดปฏิบัติมาถึงขั้น วางอุเบกขาสัมโพชฌงค์ได้ นั้นแหล่ะครับจึงจะเป็นสัมมาสติ

การปฏิบัติแบบคุณ สัมมาที่คุณเรียกสัมมาที่คุณกล่าว มันเป็นเรื่องของ สัมมาที่มีผลต่อขันธ์
ถึงแม้มันจะเป็นกุศลมันก็ยังเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าให้ละเสีย
asoka เขียน:
.ดังนั้นการที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกเอาปัญญามรรค สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ มาเป็นมรรค 2 ข้่อแรกก่อนจึงมีนัยยะและอรรถสำคัญซ่อนอยู่เพราะ เมื่อมรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมา มรรคข้อที่ 1 นั้นแหละจะไปเป็นผู้อบรมมรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ให้เป็นสัมมาตามกันไปหมด

ปัญญาสัมมาทิฐิมีไว้เป็นหลัก แต่ธรรมที่ใช้อบรมให้เกิดมรรคอีก7ข้อ คือ
โพธิปักขิยธรรม ทำไมถึงกล่าวว่า สัมมาทิฐิเป็นประธานก็เพราะการพิจารณา ธรรมทุกอย่าง
จะต้องจบลงที่ ไตรลักษณ์
asoka เขียน:
สรุปความของกระทู้นี้จึงเป็นการมาบอกกล่าวว่า "ขอให้เห็นและให้ความสำคัญในการเจริญปัญญาให้เป็นสัมมาปัญญานำหน้าก่อน แล้วศีล สติ สมาธิ จึงจะเป็นสัมมาตาม แล้วนำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน ที่ถูกต้อง เรียบง่ายและเป็นไปตามธรรมในที่สุด

กระทู้นี้ดูดีในหลักการ แต่มันผิดในขั้นตอนการปฏิบัติ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 08:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1726_resize.JPG
GEDC1726_resize.JPG [ 90.74 KiB | เปิดดู 6749 ครั้ง ]
rolleyes
อ้าว! มาแล้วเหรอคุณโฮฮับ

สบายๆ สไตล์ลุงโฮ เดี๋ยวผุดเดี๋ยวโผล่ ขัดเขาไปทุกราย
แสดงภูมิธรรม ก็แปลกมากหลาย ในแบบที่ใคร เขาไม่พูดกัน
โฮเป็นอย่างนี้ั มาตั้งนมนาน เพราะความเห็นนั้น ถูกยึดติดตรึง
คงยากที่จะ ฉุดยุดดึงทึ้ง ให้พ้นสิ่งซึ่งมิจฉามานาน

กรรมของสัตว์โลก ต้องว่ายในสงสาร ติดค้างอยู่นาน เพราะเห็นนอกธรรม
ใครช่วยใครได้หากพลาดถลำ มีแต่จดจำ เป็นบทสอนใจ
ความผูกยึดนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ จักหลุดจากใจ ด้วยเจ้าของเอง
ถูกทุกข์กระหน่ำ ถูกกรรมคอยเร่ง ให้เจ็บปวดเอง จึงจะฉุกใจ
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ความตายไม่มา ระลึกไม่ได้
กว่ารู้ก็สาย จำจากโลกไป เริ่มต้นกันใหม่ ด้วยอวิชชา

ยังมีโอกาสกลับขึ้นสู่ทาง หากรู้ตัววาง ทิฐิ ตัณหา
วางสิ้นมานะ พยศ อัตตา หมดกระบวนท่า ลงสู่สามัญ
ขอเทพดลใจ ขอไท้เข้าฝัน ให้ตื่นขึ้นพลันจากห้วงนิทรา
สู่แสงแห่งธรรมนำชีวิตมาสู่ธรรมดาไร้ขยะใจ

เอวัง
:b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

สบายๆ สไตล์ลุงโฮ เดี๋ยวผุดเดี๋ยวโผล่ ขัดเขาไปทุกราย
แสดงภูมิธรรม ก็แปลกมากหลาย ในแบบที่ใคร เขาไม่พูดกัน
โฮเป็นอย่างนี้ั มาตั้งนมนาน เพราะความเห็นนั้น ถูกยึดติดตรึง
คงยากที่จะ ฉุดยุดดึงทึ้ง ให้พ้นสิ่งซึ่งมิจฉามานาน

เพ้อเจ้อแล้วครับท่านโสกะ ท่านหาธรรมมาตอบโต้ไม่ได้
ก็กรุณารักษามรรยาท อย่าเอานิสัยพาลมาใช้ มันไม่งามครับ
ท่านว่าผมเสียๆหายๆแบบนี้ แสดงว่าท่านบรรลุธรรมแล้วล่ะซิ
ผมแปลกใจครับท่านกล่าหาผมว่ามีมิจฉา แต่ทำไมไม่เอาเหตุผลมาบอกด้วยว่า
มันมิจฉาอย่างไร ผมเห็นมีแต่คำพูดที่เจือด้วยโทสะ กล่าวออกมาด้วย
วจีที่เป็นทุจริต ท่านรู้ตัวมั้ยว่าโกรธซะจน พูดผิดพูดถูก จะบอกให้ครับ
คนที่เดี๋ยวผุดเดี๋ยวโผล่เป็นตัวท่านครับ ไม่ใช่ผม
เพราะผมเข้ามา แสดงความเห็นในเว็บแห่งนี่ทุกวันครับ
ไม่เหมือนท่านหน้าแตกที่ก็หายจ้อยที พอกลับมาก็ตั้งกระทู้ซ้ำซาก

asoka เขียน:

กรรมของสัตว์โลก ต้องว่ายในสงสาร ติดค้างอยู่นาน เพราะเห็นนอกธรรม
ใครช่วยใครได้หากพลาดถลำ มีแต่จดจำ เป็นบทสอนใจ
ความผูกยึดนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ จักหลุดจากใจ ด้วยเจ้าของเอง
ถูกทุกข์กระหน่ำ ถูกกรรมคอยเร่ง ให้เจ็บปวดเอง จึงจะฉุกใจ
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ความตายไม่มา ระลึกไม่ได้
กว่ารู้ก็สาย จำจากโลกไป เริ่มต้นกันใหม่ ด้วยอวิชชา

ท่านว่าผมนอกธรรม เอาอย่างนี้ซิครับ ท่านกล่าวธรรมใด หรือผม
กล่าวธรรมใด ก็ยกเอาพุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกขึ้นมาเทียบเคียง
จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ครับครับที่กล่าวนอกธรรม
ว่าแต่ว่าท่านจะอ่านพระไตรปิฎกรู้เรื่องหรือเปล่าเท่านั้นแหล่ะครับ
asoka เขียน:

ยังมีโอกาสกลับขึ้นสู่ทาง หากรู้ตัววาง ทิฐิ ตัณหา
วางสิ้นมานะ พยศ อัตตา หมดกระบวนท่า ลงสู่สามัญ
ขอเทพดลใจ ขอไท้เข้าฝัน ให้ตื่นขึ้นพลันจากห้วงนิทรา
สู่แสงแห่งธรรมนำชีวิตมาสู่ธรรมดาไร้ขยะใจ

เจ้าบทเจ้ากลอน มันไร้สาระครับ ผมว่าไปหาพระพุทธพจน์
มาประกอบกระทู้ตัวเอง มันจะดูดีกว่านะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 11:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ asoka นี้...พูดแบบไม่มีไปเหยียดใคร..นิด ๆ...นี้...ไม่เป็นเลยรึงัย? s004 s004 ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านโสกะครับ ผมเอาความเห็นคุณ tonng มาให้อ่านผมเห็นว่า
มันดีและเข้ากับกระทู้ของท่าน ท่านอ่านแล้วก็โปรดพิจารณาย้อนไปหาความเห็นผม
ที่บอกท่านไว้ก่อนหน้า
จะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่ชอบกล่าวนอกธรรม
ใครกันแน่ที่ชอบกล่าวตู่พระพุทธเจ้า

tonnk เขียน:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

[๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ฯ
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคต
ได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคต
มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อม
กล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า
ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า
ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมไม่
กล่าวตู่ตถาคต ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 564&Z=1616

posting.php?mode=quote&f=1&p=285140


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุณ asoka นี้...พูดแบบไม่มีไปเหยียดใคร..นิด ๆ...นี้...ไม่เป็นเลยรึงัย? s004 s004 ...

:b12:
อย่างคุณโฮ..ก็ต้องพูดอย่างงี้แหละครับ (หยันมา ก็เหยียดกลับไป ดีมาก็ดีไป) ถึงจะได้เห็นอารมณ์ที่แสดงออกบนตัวหนังสือ สื่อให้ชาวโลกได้รู้ได้เห็นทุกบ่อยๆว่าคนที่แสดงภูมิรู้ทางธรรมได้จนถึงระดับอริยะ มรรค ผล นิพพาน เขาแสดงออกบนตัวหนังสืออย่างไร

ที่เป็นคำพูดสุภาพเรียบร้อยอยู่ในกรอบแห่งพรหมวิหารธรรมasokaก็ทำไว้เยอะแยะนะครับถ้าติดตามอ่านและสังเกตให้ดี

:b4: :b4: :b4: :b9: :b9: :b32: :b18:
สำหรับคุณโฮฮับหรือครับ การกล่าวไปทุกที่ทุกแห่งว่า มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยะ ไม่ใช่ของผู้เริ่มต้นปฏิบัติธรรม อันนี้ก็ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจังเบอร์แล้วละครับ โต้เถียงกันมานาน มีผู้ชี้แจงแถลงไขอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนความเห็น ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่า มิจฉาทิฐิ

ที่เขียนออกบอกมาเป็นกลอนก็ด้วยอารมณ์สุนทรี มิได้มีโทสะ ปฏิฆะอะไรต่อใคร มีแต่ความสงสารจับใจ จึงได้บอกเตือนเป็นโคลงกลอน

อย่างกระทู้นี้ก็เอาข้อสังเกตเรื่องสติ ที่จะเป็นสัมมาสติได้ต้องได้สัมมาปัญญามาอบรมสอน มันผิดนอกธรรมตรงไหนอยากให้คณโฮ..หรือคุณกบวิจารณ์ตรงนี้ ไม่ใช่มาตีรวน ชักใบให้เรือเสียพาวนไปเรื่องอื่นๆ ยกเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาแสดง อย่างเรื่องตู่พุทธวัจจนะ มีตรงไหนตามชื่อหัวข้อกระทู้นี้ที่เป็นการกล่าวตู่พุทธวัจจนะก็ชี้มาให้เห็นชัดๆ ถ้าผิดจริงก็จะได้แก้ไข แต่ถ้าไม่ผิดคุณโฮฮับและคุณกบก็มารับผิดชอบไปก็แล้วกันนะครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


สติมีในทุกคน ทำหน้าที่ดึงสัญญา หรือความจำ ดึงความจำอกุศลก็คิดชั่ว ดึงความจำกุศลก็คิดดี
ส่วนสัมมาสติคือ ผลที่ได้จากการมีปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ได้ สติในส่วนนี้จะดึงข้อมูลกุศลเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 22:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

อย่างกระทู้นี้ก็เอาข้อสังเกตเรื่องสติ ที่จะเป็นสัมมาสติได้ต้องได้สัมมาปัญญามาอบรมสอน มันผิดนอกธรรมตรงไหนอยากให้คณโฮ..หรือคุณกบวิจารณ์ตรงนี้ ไม่ใช่มาตีรวน ชักใบให้เรือเสียพาวนไปเรื่องอื่นๆ ยกเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาแสดง อย่างเรื่องตู่พุทธวัจจนะ [color=#FF0000]มีตรงไหนตามชื่อหัวข้อกระทู้นี้ที่เป็นการกล่าวตู่พุทธวัจจนะก็ชี้มาให้เห็นชัดๆ ถ้าผิดจริงก็จะได้แก้ไข แต่ถ้าไม่ผิดคุณโฮฮับและคุณกบก็มารับผิดชอบไปก็แล้วกันนะครับ[/color]
:b12:

อ้าวว...อะไรละเนี้ย..งง..งง s006

โฮฮับ...ทำดี ๆ หน่อยนะโฮฮับ... rolleyes
มันมีอีฉันพ่วงไปด้วย...งะ s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 23:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เขียนปัญญาอบรมสติเป็นสัมมสติ...ก็ดูดีอยู่หรอก

แต่มันเริ่มจะไม่ดี...ก็ตอนนี้แหละ :b32:

asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คุณ asoka นี้...พูดแบบไม่มีไปเหยียดใคร..นิด ๆ...นี้...ไม่เป็นเลยรึงัย? s004 s004 ...

:b12:
อย่างคุณโฮ..ก็ต้องพูดอย่างงี้แหละครับ (หยันมา ก็เหยียดกลับไป ดีมาก็ดีไป) ถึงจะได้เห็นอารมณ์ที่แสดงออกบนตัวหนังสือ สื่อให้ชาวโลกได้รู้ได้เห็นทุกบ่อยๆว่าคนที่แสดงภูมิรู้ทางธรรมได้จนถึงระดับอริยะ มรรค ผล นิพพาน เขาแสดงออกบนตัวหนังสืออย่างไร


อ้อ...หรอ...แบบนี้เองหรอ :b32:

แยกออกรึยัง....ระหว่างฟุ้งซ่านในธรรม...กับ...วิปัสสนาภาวนา...นะ

อ้างคำพูด:
ที่เป็นคำพูดสุภาพเรียบร้อยอยู่ในกรอบแห่งพรหมวิหารธรรมasokaก็ทำไว้เยอะแยะนะครับถ้าติดตามอ่านและสังเกตให้ดี

:b12:


เคยเห็นพรหมวิหารขี้โม้มาแล้ว...ก็เลย 2จิต 2ใจ...เชื่อดีไม่เชื่อดีหนอ.. s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 02:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ไปทุกที่ทุกแห่งว่า มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยะ ไม่ใช่ของผู้เริ่มต้นปฏิบัติธรรม อันนี้ก็ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจังเบอร์แล้วละครับ โต้เถียงกันมานาน มีผู้ชี้แจงแถลงไขอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนความเห็น ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่า มิจฉาทิฐิ [/color]

คุณโสกะคุณกล่าวหาว่าผมพูดนอกธรรม มีมิจฉาทิฐิ เมื่อเป็นดังนี้
ผมก็ได้ยกเอาหลักเกณท์ว่า ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่า เป็นการกล่าวในธรรม
มีสมาชิกท่านหนึ่งได้อธิบายถึงการความเห็นอย่างไรถึงจะเรียกว่า การกล่าวในธรรม
ซึ่งผมก็ได้เอามาให้ดูแล้ว ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือการอ้างอิงพระไตรปิฎก

คุณเป็นจขกท แสดงความเห็นนำ ผมพยายามนำทุกสิ่งให้มาอยู่ในหลักเกณท์
ด้วยการทวงถามพุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกกับคุณ แต่คุณกลับทำเป็นเฉไฉทำไม่รู้ไม่ชี้
ไปโต้เถียงในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องกับสมาชิกท่านอื่น
ถ้าเป็นแบบนี้ไอ้คำว่านอกธรรมสมควรใช้กับใครครับ

คุณโสกะครับ กับคำพูดของคุณที่พูดกับผม อยากพูดอะไรพูดเถอะครับ
ผมไม่ถือสา ขออย่างเดียวอย่าทำหน้านวลไม่รู้ไม่ชี้กับปุฉาที่ผมถามไป

asoka เขียน:
อย่างกระทู้นี้ก็เอาข้อสังเกตเรื่องสติ ที่จะเป็นสัมมาสติได้ต้องได้สัมมาปัญญามาอบรมสอน มันผิดนอกธรรมตรงไหนอยากให้คณโฮ..หรือคุณกบวิจารณ์ตรงนี้ ไม่ใช่มาตีรวน ชักใบให้เรือเสียพาวนไปเรื่องอื่นๆ ยกเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาแสดง อย่างเรื่องตู่พุทธวัจจนะ มีตรงไหนตามชื่อหัวข้อกระทู้นี้ที่เป็นการกล่าวตู่พุทธวัจจนะก็ชี้มาให้เห็นชัดๆ ถ้าผิดจริงก็จะได้แก้ไข แต่ถ้าไม่ผิดคุณโฮฮับและคุณกบก็มารับผิดชอบไปก็แล้วกันนะครับ

คุณนี่มันเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรเลย ขาดซึ่งสติสมาธิในการอ่านข้อความ
ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่หัวข้อกระทู้ของคุณ แต่มันอยู่ที่ความเห็นหรือ
การอธิบายความของคุณ คุณมัวแต่มองกิเลสตัวเอง แทนที่จะมองความเห็นของคนอื่น

กรุณาอย่าใช้คำพูดว่าผมมาตีรวนครับ ผมไม่ใช่เด็กที่ไร้เหตุผลแบบคุณ
อย่ามองความเห็นแย้งเป็นการตีรวน การตีรวนคือการที่มีคนอื่นไม่เห็นด้วย
แทนที่จะหาเหตุผลมาแก้ กลับพูดจานอกเรื่องไร้สาระแบบคุณถึงจะเรียกว่าตีรวน

เรื่องมรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดนี้ จำได้ว่าผมเคยยกเอาพุทธพจน์
มาให้คุณอ่านแล้ว ไม่ทราบว่าจำได้หรือเปล่า อาจจะจำได้ว่าเอามาให้อ่าน
แต่ไม่เข้าใจเนื้อหาในพุทธพจน์ก็เป็นได้

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 03:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สำหรับคุณโฮฮับหรือครับ การกล่าวไปทุกที่ทุกแห่งว่า มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยะ ไม่ใช่ของผู้เริ่มต้นปฏิบัติธรรม อันนี้ก็ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจังเบอร์แล้วละครับ โต้เถียงกันมานาน มีผู้ชี้แจงแถลงไขอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนความเห็น ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่า มิจฉาทิฐิ

คุณโสกะ ผมจะค่อยๆนำพุทธพจน์มาเทียบเคียงกับความเห็นของผม
เพื่อเป็นการยืนยันว่า ความเห็นของผมมีอยู่ในพุทธพจน์ มันแตกต่างจากความเห็นของคุณ
ที่ไปหยิบมาจากโน้นนิดนี้หน่อยแล้วเอามาพูด

เรื่องมรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดมีกล่าวไว้

[๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็น
ประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ
รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ

[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... A%D9%B5%C3

จะพิจารณาธรรมให้ดูนะครับว่า มรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปด
ทำไมผมถึงบอกว่า เป็นธรรมของอริยบุคคล ถ้าเราดูจากพุทธพจน์จะเห็นว่า
พระองค์ได้กล่าวถึงทิฐิไว้สามอย่างมี มิจฉาทิฐิ(๒๕๕) สัมมาทิฐิที่เป็นสาสวะ(๒๕๖)
และสัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตตระ(๒๕๗)

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระพุทธองค์เน้นให้เราปฏิบัติในเรื่องโลกุตระ
ดังนั้นเราต้องปฏิบัติในเรื่อง สัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ(โลกุตระ) และให้รู้และละทิฐิ
สองตัวหน้า คือมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิสาสวะ(โลกียะ)

ดูข้อ(๒๕๘)กล่าวว่าสัมมาทิฐิของอริยะมีที่มาอย่างไรของพระอริยะ
และอะไรจึงจะเป็นสัมมาทิฐิ
ที่นี้ย้อนกลับมาดูข้อ(๒๕๔) ท่านบอกว่า"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น
สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน"

แสดงว่าเราต้องมีสัมมาทิฐิของพระอริยะเสียก่อนจึงเอามาเป็นประธานได้
การมีสัมมาทิฐิซึ่งเป็นองค์มรรคหนึ่งของพระอริยะ เมื่อเอามาเป็นประธาน
เพื่อปฏิบัติให้เกิดอริยมรรคอีกเจ็ดที่เหลือ
แบบนี้จะไม่ให้กล่าวว่า
"มรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดเป็นธรรมเฉพาะพระอริยะหรอกหรือ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโสกะครับ ไอ้สัมมาที่คุณกำลังจ้อยๆและกำลังเคลื้มว่า บรรลุแล้ว
ใกล้แล้ว แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของปุถุชน มันเป็นสัมมาที่เกี่ยวกับ
บาปบุญที่มีต่อผลขันธ์ มันไม่ใช้จุดมุ่งหมายที่พระพุทธองค์ทรงสอน
พระพุทธองค์ทรงบอก เรื่องนี้ไว้เพื่อให้รู้แล้วละมันเสียอย่าไปยึดมั่น

แล้วผมจะค่อยๆนำเอาพุทธพจน์ที่เกี่ยวกับ
เรื่องที่เราคุยกันมาลง มาพิจารณาเผื่อว่า คุณโสกะจะได้เข้าใจว่า
"นอกธรรม"และ"ในธรรม"มีลักษณะอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
2.สัมมาสติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญาอันเป็นสุตตมยปัญญาก่อนโดยน้ำธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์

.ปัญญาสัมมาทิฐิ จะอบรมสติธรรมดาให้เป็นสัมมาสติ เบื้องแรกจะเป็นสัมมาปัญญาและสัมมาสติโดยทฤษฎีด้วย สุตตมยปัญญาเสียก่อน หลังจากนั้น จินตมยปัญญาจะมาอบรมปัญญาและสติให้เป็นสัมมายิ่งๆขึ้นไปด้วยเหตุและผล เมื่อถึงที่สุดได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อทดสอบและพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า สัมมาทิฐิและสัมมาสติที่สมบูรณ์เต็มร้อยจึงจะเกิดขึ้น รวมความว่า ปัญญาและสติ จะถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับแห่งธรรมเป็นสัมมามากขึ้นเรื่อยๆ จาก 5...10..15....20....25...50...75..จนถึงเป็นสัมมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่สุด

ในความหมายของสัมมาสติ มันก็เป็นสติธรรมดาของเรานี่แหล่ะ
ที่มันแตกต่างกัน จากสติมาเป็นสัมมาสติ มันอยู่ที่การใช้
และองค์ประกอบในการใช้
มันไม่ได้พัฒนาจาก5เป็น10เป็น15อย่างที่จขกทบอก

อริยบุคคลที่มีสัมมาทิฐิแล้ว จะต้องหมั่นเอาสัมมาทิฐิมาใช้บ่อยๆตลอดเวลา
และการที่จะนำสัมมาทิฐิออกมาใช้ได้ ต้องอาศัยสติไประลึกรู้สัมมาทิฐิ
และการระลึกรู้บ่อยๆต้องอาศัยความเพียรพยายาม

สติที่เอามาระลึกรู้สัมมาทิฐิเขาเรียกว่า สัมมาสติ
ความเพียรพยายามใช้สัมมาสติเขาเรียกว่า สัมมาวายามะ



พุทธพจน์ครับ.....
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายาม
ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ ฯ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... A%D9%B5%C3


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron