วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 16:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**วันนี้ขอพูดเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระสักนิด แต่มันติดใจผมทุกทีที่เจอที่เห็น ไม่รู้ว่าจะมีใครที่เคยเจอแบบผมบ้างมั้ยนะ :b1: เรื่องมีอยู่ว่า...
>>คนรอบตัวผมทั้งเพื่อน พี่ น้อง หัวหน้า รุ่นน้อง เวลาที่เห็นหรือรู้ว่าผมศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะทักว่าผมบ้าบ้าง บอกให้ผมรีบไปบวชบ้าง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดีว่าระวังจะบ้าเอานะ...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับอาการแสดงออกของคนรอบข้างนะ ตรงกันข้ามผมกับดีใจลึกๆกับปฏิกริยาของคนรอข้างต่อผมแบบนี้นะ...
>>แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวกเขาเหล่านั้นกับชื่นชมยกย่องแนวคิด ปรัชญา จากหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยชาวต่างชาติบ้าง ด็อกเตอร์บ้าง นักเขียนทั้งไทยและเทศบ้าง ในเรื่องที่ที่เกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความโกรธความเครียด การดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นต้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องเหล่านี้นั้นมีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และโดยส่วนมากก็เอาพระธรรมนี่แหละมาดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบของผู้แต่ง แถมยังเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยถ้าเทียบกับคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เรียกว่าเป็นได้แค่ใบไม้กับกิ่งไม้เท่านั้นเอง...คนที่ศึกษาแบบนี้ไม่มีใครโดนหาว่าบ้าเลยนะ...มันเลยเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผมเจอประจำ แต่เจอทีไรก็นึกขำตัวเองทุกที :b1: ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 00:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เออ....เน๊าะ s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราศึกษาธรรมะคือ ทำให้เรามีความรู้ขึ้นมาส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่เข้าถึงธรรมเสียทีเดียวจนกระทั่งเราเกิดความเห็นที่ถูกเกี่ยวกับสภาวะธรรมที่อาศัยเหตุ เช่นการเกิดขึ้นของเสียงเพราะอาศัยเหตุคือ มีธาตุรู้คือโสต ถ้าเรากำหนดรู้ว่าสักแต่เป็นเสียง ผัสสะที่เกิดขึ้นนั้นย่อมทำให้เกิดเวทนาคือ เสียงเบาเสียงดัง สังขารที่เกิดขึ้นก็จะเป็นเรื่องของเสียง แต่เมื่อใดที่เรามีความเห็นว่าเสียงเราเสียงเขา ผัสสะที่เกิดก็จะเป็น เช่นเสียงประชด ท่าทาย สงสัย โกรธ สังขารก็จะเกิดเพราะจิตปรุงแต่งว่า น่าฟัง ไม่น่าฟัง เฉยๆ

ดังนั้น การเข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นของจริงคือการรู้ตามความเป็นจริงว่าธรรมนั้นอาศัยเหตุครับ

สรปคือ
อ้างคำพูด:
คนรอบตัวผมทั้งเพื่อน พี่ น้อง หัวหน้า รุ่นน้อง เวลาที่เห็นหรือรู้ว่าผมศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะทักว่าผมบ้าบ้าง บอกให้ผมรีบไปบวชบ้าง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดีว่าระวังจะบ้าเอานะ...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับอาการแสดงออกของคนรอบข้างนะ ตรงกันข้ามผมกับดีใจลึกๆกับปฏิกริยาของคนรอข้างต่อผมแบบนี้นะ...
>>แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวกเขาเหล่านั้นกับชื่นชมยกย่องแนวคิด ปรัชญา จากหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยชาวต่างชาติบ้าง ด็อกเตอร์บ้าง นักเขียนทั้งไทยและเทศบ้าง ในเรื่องที่ที่เกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความโกรธความเครียด การดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นต้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องเหล่านี้นั้นมีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และโดยส่วนมากก็เอาพระธรรมนี่แหละมาดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบของผู้แต่ง แถมยังเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยถ้าเทียบกับคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เรียกว่าเป็นได้แค่ใบไม้กับกิ่งไม้เท่านั้นเอง...คนที่ศึกษาแบบนี้ไม่มีใครโดนหาว่าบ้าเลยนะ...มันเลยเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผมเจอประจำ แต่เจอทีไรก็นึกขำตัวเองทุกที ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านนะครับ

เป็นกระแสแห่งโลก หาสาระไม่ได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**วันนี้ขอพูดเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระสักนิด แต่มันติดใจผมทุกทีที่เจอที่เห็น ไม่รู้ว่าจะมีใครที่เคยเจอแบบผมบ้างมั้ยนะ :b1: เรื่องมีอยู่ว่า...
>>คนรอบตัวผมทั้งเพื่อน พี่ น้อง หัวหน้า รุ่นน้อง เวลาที่เห็นหรือรู้ว่าผมศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะทักว่าผมบ้าบ้าง บอกให้ผมรีบไปบวชบ้าง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดีว่าระวังจะบ้าเอานะ...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับอาการแสดงออกของคนรอบข้างนะ ตรงกันข้ามผมกับดีใจลึกๆกับปฏิกริยาของคนรอข้างต่อผมแบบนี้นะ...
>>แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวกเขาเหล่านั้นกับชื่นชมยกย่องแนวคิด ปรัชญา จากหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยชาวต่างชาติบ้าง ด็อกเตอร์บ้าง นักเขียนทั้งไทยและเทศบ้าง ในเรื่องที่ที่เกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความโกรธความเครียด การดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นต้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องเหล่านี้นั้นมีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และโดยส่วนมากก็เอาพระธรรมนี่แหละมาดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบของผู้แต่ง แถมยังเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยถ้าเทียบกับคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เรียกว่าเป็นได้แค่ใบไม้กับกิ่งไม้เท่านั้นเอง...คนที่ศึกษาแบบนี้ไม่มีใครโดนหาว่าบ้าเลยนะ...มันเลยเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผมเจอประจำ แต่เจอทีไรก็นึกขำตัวเองทุกที :b1: ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านนะครับ :b8:

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส

ว่าด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า
[๗๐๕] คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลส
ที่เป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ธรรมเครื่องเนิ่น
ช้านั่นแหละ ชื่อว่าส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ได้แก่ ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ
ตัณหา และส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ ทิฏฐิ.
รากเหง้าของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหาเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิ
มานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเหง้าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา.
รากเหง้าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิ-
*มานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเหง้าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ.
คำว่า ภควา เป็นพระนามเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ภควา
ความว่า ชื่อว่า ภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ
ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส และเพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรงจำแนก
พิเศษ ทรงจำแนกเฉพาะซึ่งธรรมรตนะ เพราะอรรถว่า ทรงทำซึ่งที่สุดแห่งภพทั้งหลาย เพราะ
อรรถว่า มีพระกายอันอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะ ป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย
ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่
วิเวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาค
ทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูปสมาบัติ ๔
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘ อภิภายนะ ๘
(ฌานเป็นที่ตั้งแห่งความครอบงำอารมณ์) อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ (รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่ง
สัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปาณสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์
๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มี
พระภาคทรงมีส่วนแห่งตถาคตพละ ๑๐ เวสารัชชธรรม ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา
พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้เฉลิมให้ พระนาม
ว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีในอรหัตผลในลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็น
สัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงแห่งโพธิพฤกษ์ ของพระผู้มี
พระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว.
คำว่า พึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง .... อัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ปัญญา เรียกว่า
มันตา ได้แก่ความรู้ ความรู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ความเห็นชอบ.
คำว่า อัสมิมานะ คือ อัสมิมานะ อัสมิฉันทะ อัสมิอนุสัย ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ. คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือกิเลสที่เป็นราก
เหง้าแห่งส่วนธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ภิกษุพึงกำจัด สะกัด
ดับ สงบ ปราบปราม ระงับ ซึ่งบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลสที่เป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรม
เครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะ ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลสที่เป็นรากเหง้าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะ
ด้วยปัญญา.

http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... &preline=0

เอามาให้พิจารณาตัวตนครับว่า
ธรรมของจขกทเข้ากับธรรมหรือกิเลสส่วนไหน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


**สวัสดีครับพี่ student :b8:
อ้างคำพูด:
เป็นกระแสแห่งโลก หาสาระไม่ได้

เห็นด้วยครับกับความเห็นของพี่...เพราะผมก็เกริ่นไว้แล้วว่า..ขอไร้สาระสักนิด..แต่ก็เป็นสาระตรงที่เราได้เห็นธรรมดาของโลก :b1:
**สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
กระทู้นี้ของผมจะว่าเป็นธรรมก็ได้คือความเป็นจริงของโลกที่แสดงให้ผมเห็น...และจะว่าไม่เป็นธรรมก็ได้ถ้าดูที่สาระ...ก็ตามแต่การตีความตามความยึดมั่นของแต่ละบุคคลครับ....สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็ล้วนแต่แสดงธรรมคือความจริงของตัวมันเองตลอดเวลาอยู่เสมอนั่นแหละ...มันก็อยู่ที่ตัวเราผู้ที่มองดูนั่นแหละว่าจะมีสติปัญญามองเห็นตามจริงมั้ย...
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 20:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**วันนี้ขอพูดเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระสักนิด แต่มันติดใจผมทุกทีที่เจอที่เห็น ไม่รู้ว่าจะมีใครที่เคยเจอแบบผมบ้างมั้ยนะ :b1: เรื่องมีอยู่ว่า...
>>คนรอบตัวผมทั้งเพื่อน พี่ น้อง หัวหน้า รุ่นน้อง เวลาที่เห็นหรือรู้ว่าผมศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะทักว่าผมบ้าบ้าง บอกให้ผมรีบไปบวชบ้าง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดีว่าระวังจะบ้าเอานะ...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับอาการแสดงออกของคนรอบข้างนะ ตรงกันข้ามผมกับดีใจลึกๆกับปฏิกริยาของคนรอข้างต่อผมแบบนี้นะ...
>>แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวกเขาเหล่านั้นกับชื่นชมยกย่องแนวคิด ปรัชญา จากหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยชาวต่างชาติบ้าง ด็อกเตอร์บ้าง นักเขียนทั้งไทยและเทศบ้าง ในเรื่องที่ที่เกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความโกรธความเครียด การดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นต้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องเหล่านี้นั้นมีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และโดยส่วนมากก็เอาพระธรรมนี่แหละมาดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบของผู้แต่ง แถมยังเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยถ้าเทียบกับคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เรียกว่าเป็นได้แค่ใบไม้กับกิ่งไม้เท่านั้นเอง...คนที่ศึกษาแบบนี้ไม่มีใครโดนหาว่าบ้าเลยนะ...มันเลยเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผมเจอประจำ แต่เจอทีไรก็นึกขำตัวเองทุกที :b1: ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านนะครับ :b8:


ผู้ปฏิบัติธรรมคือผู้ต้องการดับทุกข์ ไม่ใช่คนบ้า งั้นพระก็บ้านะสิครับ เราไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ เป็นแค่ฆราวาส แต่สามารถมีศีล 5 บริสุทธิ์ได้ เดินทางสายกลาง พอเพียง ไม่โลภ ไม่โกรธ เติมบุญให้มาก แค่นี้ก็มีความสุขถาวรได้แล้วครับ คนเรียนสูงไม่ใช่ว่าจะมีปัญญาดับทุกข์ได้เพราะมีปัญญาทางโลกเท่านั้นแต่ไม่มีปัญญาทางธรรม ชีวิตก็ไม่สามารถมีความสุขได้ มีความสับสน ไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตตนเองได้ จับต้นชนปลายไม่ได้ปัญหาชีวิตก็ตามมา ดังนั้นเราต้องมีปัญญาทางธรรมควบคู่ไปกับปัญญาทางโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2012, 22:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ผู้ปฏิบัติธรรมคือผู้ต้องการดับทุกข์ ไม่ใช่คนบ้า งั้นพระก็บ้านะสิครับ เราไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ เป็นแค่ฆราวาส แต่สามารถมีศีล 5 บริสุทธิ์ได้ เดินทางสายกลาง พอเพียง ไม่โลภ ไม่โกรธ เติมบุญให้มาก แค่นี้ก็มีความสุขถาวรได้แล้วครับ คนเรียนสูงไม่ใช่ว่าจะมีปัญญาดับทุกข์ได้เพราะมีปัญญาทางโลกเท่านั้นแต่ไม่มีปัญญาทางธรรม ชีวิตก็ไม่สามารถมีความสุขได้ มีความสับสน ไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตตนเองได้ จับต้นชนปลายไม่ได้ปัญหาชีวิตก็ตามมา ดังนั้นเราต้องมีปัญญาทางธรรมควบคู่ไปกับปัญญาทางโลก


ช่วยอธิบายลักษณะอาการของ สุขถาวร ที่ว่าได้มั๊ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 03:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
กระทู้นี้ของผมจะว่าเป็นธรรมก็ได้คือความเป็นจริงของโลกที่แสดงให้ผมเห็น:

ที่คุณบอกว่า "ความจริงของโลกที่แสดงให้คุณเห็น มันผิดแล้วครับ"
ที่ว่าผิดมันผิดตรงที่ คุณนั้นแหล่ะกำลังแสดงความจริงให้คนอื่นเห็น

และความจริงนั้นก็คือ"อัสมิมานะหรือปมเขื่อง"ในตัวคุณนั้นเอง
ลูกพระป่า เขียน:
**และจะว่าไม่เป็นธรรมก็ได้ถ้าดูที่สาระ...ก็ตามแต่การตีความตามความยึดมั่นของแต่ละบุคคลครับ....สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็ล้วนแต่แสดงธรรมคือความจริงของตัวมันเองตลอดเวลาอยู่เสมอนั่นแหละ...มันก็อยู่ที่ตัวเราผู้ที่มองดูนั่นแหละว่าจะมีสติปัญญามองเห็นตามจริงมั้ย...
ขอบคุณครับ :b8:

คุณลองศึกษาดูนะครับว่าตัวปมเขื่องเป็นอย่างไร
แล้วลองเอาเรื่องเล่าของคุณมาเทียบเคียง
คุณลองดูซิว่า ผู้ที่เล่าเรื่องหรืออีกนัยหนึ่งก็ตัวคุณนั้นแหล่ะ
พิจารณาดูว่า ผู้เล่ามีอัสมิมานะหรือปมเขื่องไหม
ถ้าคุณเห็นปมเขื่องในตัวผู้เล่า แสดงว่าคุณเห็นธรรมแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน :b8:
**วันนี้ขอพูดเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระสักนิด แต่มันติดใจผมทุกทีที่เจอที่เห็น ไม่รู้ว่าจะมีใครที่เคยเจอแบบผมบ้างมั้ยนะ :b1: เรื่องมีอยู่ว่า...
>>คนรอบตัวผมทั้งเพื่อน พี่ น้อง หัวหน้า รุ่นน้อง เวลาที่เห็นหรือรู้ว่าผมศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะทักว่าผมบ้าบ้าง บอกให้ผมรีบไปบวชบ้าง บางครั้งก็เตือนด้วยความหวังดีว่าระวังจะบ้าเอานะ...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับอาการแสดงออกของคนรอบข้างนะ ตรงกันข้ามผมกับดีใจลึกๆกับปฏิกริยาของคนรอข้างต่อผมแบบนี้นะ...
>>แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวกเขาเหล่านั้นกับชื่นชมยกย่องแนวคิด ปรัชญา จากหนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยชาวต่างชาติบ้าง ด็อกเตอร์บ้าง นักเขียนทั้งไทยและเทศบ้าง ในเรื่องที่ที่เกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความโกรธความเครียด การดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นต้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องเหล่านี้นั้นมีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และโดยส่วนมากก็เอาพระธรรมนี่แหละมาดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบของผู้แต่ง แถมยังเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยถ้าเทียบกับคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เรียกว่าเป็นได้แค่ใบไม้กับกิ่งไม้เท่านั้นเอง...คนที่ศึกษาแบบนี้ไม่มีใครโดนหาว่าบ้าเลยนะ...มันเลยเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผมเจอประจำ แต่เจอทีไรก็นึกขำตัวเองทุกที :b1: ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านนะครับ :b8:


สวัสดีค่ะ คุณลูกพระป่า

จากเรื่องที่คุณเล่าสำหรับเราไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เป็นธรรมดา ในโลกนี้คนที่ไม่รู้มีมากกว่าคนที่รู้ หรือพูดง่าย ๆ ว่าคนฉลาดมีน้อยคนโง่มีมาก ดังที่องค์พระศาสดาทรงตรัสไว้...มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้...ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีการศึกษาและพัฒนาเพื่อเรียนรู้โลกและชีวิต...
แต่โอกาสและศักยภาพของแต่ละคนไม่เท่ากันจึงทำให้มีความรู้ที่แตกต่างกัน...
ผู้ที่มีความรู้มากกว่าย่อมไม่ตำหนิติเตียนหรือติดใจกับเรื่องที่มีผู้ที่รู้น้อยกว่าตนด้วยเหตุที่ตนเป็นผู้ที่ศึกษาและรู้มากกว่าย่อมต้องรู้ถึงความแตกต่างและข้อจำกัดนั้น....
เปรียบเหมือนเราทำความดีเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่ต้องกระทำเพื่อความเจริญงอกงามของชีวิต แต่ถ้าเราทำ
ความดีเพราะต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเราดี อย่างนี้ถือว่ายังไม่ดีจริง..เช่นเดียวกันถ้าเราศึกษาธรรมแล้วคิดว่าเป็นผู้ที่รู้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษา อย่างนี้เรียกว่ายังไม่ได้เป็นผู้รู้จริง...
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะคะ... :b41:

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2012, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ มารไม่มีบารมีไม่เกิด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร