วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 07:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 12:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะใช้ปัญญาไตร่ตรอง ตามคำสอนใช่มั้ยครับ หรือ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติ
คำว่าวิมุติหมายถึงการหลุดพ้น คำว่าเจโตวิมุติคือการหลุดพ้นโดยการใช้กำลังสมาธิ ส่วนการใช้ปัญญาวิมุติ คือการหลุดพ้นด้วยปัญญา แล้วคำว่าหลุดพ้นในที่นี้คือหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยปกติแล้วทั้ง ปัญญาวิมติและเจโตวิมุติจะต้องใช้ประกอบกันเสมอจึงทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง หากเราใช้แต่กำลังสมาธิแล้วขยันทำสมาธิอย่างเดียวโดยที่ไม่คำนึงถึงผลที่จะได้รับ ก็ไม่อาจทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ได้แล้ว หรืออาจจะมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นหากปฏิบัติผิดวิธี ส่วนการใช้ปัญญาวิมุตินั้น ถึงแม้มีปัญญา รู้วิธีปฏิบัติก็ไม่อาจทำให้ตนพ้นทุกข์ได้ เพราะถึงแม้เรามีปัญญาก็ทำได้เพียงแค่ข่มมิให้เราทำสิ่งไม่ดีได้เพียงชั่วขณะ แต่เราไม่อาจจะควบคุมการกระทำของเราได้ตลอด ต้องคอยระมัดระวังตัวมิให้ทำชั่วอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดถ้าเป็นพระก็เรียกว่าตะบะแตก

มีความเข้าใจผิดอย่างมหาศาลว่า จะทำให้ตนสามารถบรรลุหรือเข้าถึงนิพพานได้โดยไม่ต้องทำสมาธิ แต่ข้อเท็จจริงนั้นหากเราไม่ลงมือทำสมาธิ ทำให้เราไม่อาจขจัดอนุสัยในจิต และที่สำคัญสันดานที่อยุ่ในสมอง เพราะสันดานในสมองนั้นเป็นตัวร้ายแล้วเปผ็นต้นตอที่ทำให้เรากระทำความไม่ดีออกมาโดยเจตนา หากพิจารณาให้ลึกซึ้งและถี่ถ้วนแล้ว คนที่คิดและแนะนำคนอื่นว่าไม่ต้องใช้สมาธิก็สามารถทำตนให้เป็นคนดีได้นั้น บุคคลเหล่านั้นกำลังใช้สมาธิโดยไม่รู้ตัวตัว เพราะการใช้กำลังสมาธิคือการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่ง หากเราเพ่งไปที่การกระทำของตนเอง ก็จะเท่ากับเป็นวิธีการเดียวกับที่ผู้เขียนใช้โดยปริยาย นนหมายความว่าผู้ที่อธิบายเช่นนั้นมิได้มีความเข้าใจถึงความหมายของคำว่าการใช้กำลังสมาธิอย่างถ่องแท้ แล้วพยายามไม่ยอมรับรวมทั้งมิให้ความสำคัญในการทำสมาธิ จึงทำให้ตนใช้สมาธิและกำลังสมาธิโดยไม่รู้ตัว

ส่วนการทำวิปัสนากรรมฐานนั้น แท้จริงแล้วทำให้เราหลุดพ้นความทุกข์ด้วยปัญญาหรือปัญญาวิมุติ ซึ่งปัญญาวิมุติจะเป็นการพัฒนามาจากเจโตวิมุติ แล้วทั้งปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติ เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกัน กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย หลังจากนั้นความสงบที่แท้จริงจะค่อย ๆ เข้ามาทดแทนความฟุ้งซ้านที่เคยมี ความฟุ้งซ่านที่เคยมีมากก็จะค่อย ๆ สลายไปจากเรา เมื่อจิตของเราสงบนิ่งมากขึ่น ปัญญาของเราก็จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น แล้วปัญญาที่มีมากขึ้น การเรียนรู้แล้วเข้าใจรวมถึงประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ก็จะทำให้เราทำสมาธิได้ดีขึ้น นั่นหมายถึงการที่เราจะหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติก็จะดียิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย

จะเห็นได้ชัดว่า หากเราจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึงนิพพานได้นั้น เราจะไม่สามารถปฏิเสธการทำสมาธิได้เลย เพราะคนที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิแต่ตนเองกลับเป็นผู้ทำสมาธิแล้วใช้สมาธิโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว บ้างก็ใช้ข่มมิให้ไปกระทำสิ่งไม่ดี ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ผู้เขียนใช้ แต่ถ้าเป็นวิธีการที่ผู้เขียนใช้หากสิ่งนั้นแสดงออกมาได้ก็ปล่อยให้แสดงออกมาตามธรรมชาติ แล้วให้ใช้กำลังสมาธิระบายสิ่งนั้นให้ออกไปจากจิตและสมอง หากสิ่งนั้นแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมไม่ได้ให้ระบายด้วยวิธีการอืนแล้วใช้กำลังสมาธิขจัดสิ่งที่ไม่ดีควบคู่กับการแสดงสิ่งนั้นออกมา โดยปฏิบัติไปควบคู่กันไป จะเห็นประสิทธิภาพและวัดประสิทธิผลออกมาโดยแจ้งประจักษ์ในตน

คำว่าเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ไม่มีคำอธิบายอะไรไปมากกว่าทำให้ตนหลุดพ้น โดยคำว่าหลุดพ้นนั้น หากเป็นการหลุดพ้นทางความคิดก็เรียกว่าการบรรลุนิพพาน โดยเฉพาะการหลุดพ้นทางความคิดนั้น จะเป็นการหลุดพ้นทุกข์ไปได้ บางครั้งไม่อาจหลุดพ้นทุกข์ทางกายภาพได้ แต่เราสามารถเรียนรียนรู้และเข้าใจแล้วแจ้งประจักษ์ที่จะอยู่กับความทุกข์ทางกายที่มีได้โดยไม่ทุกข์นั่นเอง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้
จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติ ฯ
จบพาลวรรคที่ ๓

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๖๑๒ - ๑๖๑๖. หน้าที่ ๗๐.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2012, 22:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ

1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น

2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8 จนได้เกิดดวงตาเห็นธรรมเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัด จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจาง ละวางความเห็นผิดว่ากาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู (สักกายทิฐิ) ละวางความยึดผิด(มานะทิฐิ)เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ไปตามลำดับจนถึงอรหัตผลโดยกำลังแห่งปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อที่มีศีล สติ และสมาธิเป็นกองหนุน

นักวิปัสสนาไม่ได้ปฏิเสธ สมาธิ แต่เห็นว่าสมาธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีอยู่นี้ก็เพียงพอที่จะนำมาเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ แล้วมันจะพัฒนาตนเองขึ้นไปโดยธรรมชาติเป็นลำดับๆ จนบรรลุถึง มรรค ผล นิพพาน
ตอนอริยมรรคเกิดนั้น สมาธิอาจจะเจริญพุ่งพรวดขึ้นไปสูงสุดถึงฌาณ 4 ฌาณ 8 ตัดกิเลส ตัณหา อัตตา สักกายทิฐิ มานะทิฐิ แต่ผู้ปฏิบัติอาจไม่รู้ตอนบรรลุธรรม มารู้ชัดเมื่อเกิดธัมมวิจัยในภายหลังตอนที่
ปัจจเวกขณญาณเกิด ดังนี้เป็นต้น

:b8: :b27: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:44
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย

สมาธิขจัดอะไรไม่ได้หรอกมีแต่กดทับไว้และสันดานก็ไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่อยู่ที่จิต สมองจะไปบังคับจิตไม่ได้ มีแต่สติกับปัญญาเท่านั้น ชื่อฝึกจิต แต่ไม่รู้จัก จิต สติ สมาธิและปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 06:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาครับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย

สมาธิขจัดอะไรไม่ได้หรอกมีแต่กดทับไว้และสันดานก็ไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่อยู่ที่จิต สมองจะไปบังคับจิตไม่ได้ มีแต่สติกับปัญญาเท่านั้น ชื่อฝึกจิต แต่ไม่รู้จัก จิต สติ สมาธิและปัญญา


ครับความรู้ผมยังน้อยจึงต้องแสวงหาอยู่ แต่ที่ผมเข้าใจนั้นคือ
สมาธิจะช่วยให้เราใช้ปัญญาได้ดีขึ้น ในการไตร่ตรองตามคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้า จนเข้าใจแท้อยู่ในจิตและสติจะได้สามารถดึงคำสอนต่างๆเหล่านั้นออกมาใช้ได้อยู่เสมอครับ ตัวสมาธิเองไม่ได้เป็นตัวขจัดเองแต่จะช่วยเสริมให้จิตใช้ปัญญาได้มากขึ้น ครับ ลองอ่านดูนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจครับ สติ สมาธิ ปัญญา นั้น จิตต้องวนรอบใช้งานกันอยู่ตลอดเวลาครับ
ไม่ทราบผมเข้าใจถูกมั้ยครับ ส่วนชื่อที่ผมตั้งนั้น ฝึกจิต ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมกำลังพัฒนาจิตอยู่ครับ
ปัญญายังไม่มีเลยครับ และอีกอย่างครับข้อความข้างบนนั้นผมลอกเขามาจาก
http://www.dhumma.net/index.php option=com_content&view=article&id=363&Itemid=386
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้อ่านและพิจารณากันว่าเช่นไรมันเป็นแค่1 ความเข้าใจในคำตอบของคำถามของผมเท่านั้น และความเข้าใจใน เจโตวิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ อาจารย์หลายๆท่านยังเข้าใจไม่ตรงกันเลยครับ
ผมเลยเอาย่อหน้าสุดท้ายมาให้อ่านดูครับว่า สุดท้ายจะบรรลุนิพพานได้นั้น ก็ต้องใช้ปัญญาด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ
:b8: ขอบคุณที่แนะนำครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:44
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ลองอ่านดูนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจครับ

คุณลองอ่านที่คุณโพสไว้ ย่อหน้าที่สอง-สาม นั่น ไม่เห็นบอกไว้เลยว่าลอกเขามา โพสไว้ให้เข้าใจว่า
เป็นความคิดเห็นของตัวคุณเอง ผมไม่ได้ติดใจ เจตโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ติดใจตรง "สมอง" ครับ หากจะแจกแจงธรรมต้องมีธรรมตามสมควร ติหวังก่อครับ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ

1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น

2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8
.......
:b8: :b27: :b12:


เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น...

กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน...

ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป...

เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย

ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ...

ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว

นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา

ขอเตือนว่า...

อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...

ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด

เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว

รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิมุตติสูตร

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =461&Z=514


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 12:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว

เพราะสร้างเหตุปัจจัยมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว รอแค่การชี้แนะเท่านั้น ทั้งพระองค์ก็มีญาณหยั่งทราบว่า คนนี้เหมาะกับธรรมประเภทใด ถึงเวลาที่สมควรแล้ว ถึงจะมีประชาชนจำนวนมาก พระองค์ก็เทศน์เจาะจงเฉพาะบุคคล แม้จะอยู่ท้ายพุทธบริษัททั้งหลายในวิหารนั้น :b12:
กบนอกกะลา เขียน:
เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น...

eragon_joe เขียน:
:b8: :b8: :b8:

พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ

:b8: :b8: :b8:

สาธุจ้า ... :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 15:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ

1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น

2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8
.......
:b8: :b27: :b12:


เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น...

กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน...

ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป...

เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย

ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ...

ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว

นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา

ขอเตือนว่า...

อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...

ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด

เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว

รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ



คุณกบนอกกะลาครับ ผมเองก็ได้ฟังได้รู้มาประมาณท่านอโศกเหมื่อนกัน หลวงพ่อทูล และ ท่านพุทธทาส ก็กล่าวประมาณนี้ครับ
แต่อย่าเก็บมาเป็นสาระกันเลย ขอให้ท่านทั้งหลายฝึกปฎิบัติตามจริตและประสงค์ของแต่ละท่านเอง
เพราะสุดท้าย ท้ายสุด ก็ไม่มีอะไรให้ถือมั่น อยู่ดี
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b8: :b8: :b8:

พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ

:b8: :b8: :b8:


ครับ !
ทรงเปี่ยมด้วย พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ

1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น

2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8
.......
:b8: :b27: :b12:


เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น...

กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน...

ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป...

เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย

ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ...

ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว

นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา

ขอเตือนว่า...

อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...

ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด

เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว

รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ

:b34:
สรุปแล้วคุณกบก็ยังยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของคุณว่าถูกต้องที่สุด เมื่อไหร่ใครก็ตามที่มีความเห็นว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่น เมื่อนั้นแสดงว่าเริ่มยึดแน่นและสุดโต่งแล้ว

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ"
คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่
เริ่มต้นด้วยวิปัสสนาภาวนาเลยนั้นไม่ใช่ เพราะฉนั้นใครจะบรรลุธรรมได้ต้องได้ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ จึงจะใช่ ปัญญาวิมุติล้วนๆไม่มี

ถ้าเห็นอย่างนี้แสดงว่าคุณกบไม่เชื่อพระพุทธเจ้าและพระอิยเจ้า ที่ท่านกล่าวเรื่องเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ไว้ตั้งหลายนัยยะ ทั้งยังไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชี่อว่าจิตวิญญาณทุกดวงที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นได้สร้างสมบารมี ทาน ศีล สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่เชื่อว่ามีผู้คนจำนวนมากมาเกิดในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องมีพื้นสมถะภาวนาอะไรมาก่อนแต่เขาเกิดมาก็ได้ความเป็นผู้มีสมาธิและสติ ปัญญาอันดีเยี่ยมติดตัวมาด้วย จนสามารถเจริญวิปัสนาภาวนาได้ทันที และสามารถบรรลุธรรมได้เมื่อได้พบกัลยาณมิตรและได้รับคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนามาอย่างถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ตัวอย่างของท่านจูฬปันถก.ที่คุณกบยกมานั้น เมื่อมองอีกมุมก็จะเห็นว่า ท่านบรลุธรรมด้วยปัญญาจริงๆก่อน
แล้วอุปนิสัยวาสนาแต่อดีตชาติของท่านได้เจริญสมถะภาวนามาเป็นอย่างมากแล้ว เมื่อบรรลุธรรมจึงได้ ปฏิสัมภิทาและอภิญญาติดตามมาเป็นผลพลอยได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งหายาก เป็นเพียง หนึ่งในหลายล้าน มิใช่เป็นกับพระอริยเจ้าได้ทุกพระองค์ พระอรหันต์ที่เป็นสุขวิปัสสโก หรือปัญญาวิมุตินั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลอาจจะยิ่งกว่าผู้ที่ได้เจโตวิมุติด้วยซ้ำไปเพราะบรรลุได้ง่ายและร็วกว่าดูจากประวัติพระสาวกก็จะเห็นอัตราส่วนได้ชัดระหว่างผู้ได้ปัญญา กับได้อภิญญา

ดังนั้นที่จะมาขัดขวางและขู่สำทับผมโดยอ้างว่าจะเป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม ไม่ให้ผมพูดเรื่องปัญญาวิมุติดังที่ผมแสดงไว้ข้างต้นนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่เชื่อคุณและยังเกรงไปด้วยว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นแลมีความเห็นสุดโต่งอย่างคุณเสียอีกที่อาจจะเป็นผู้บิดเบือนพระสัทธรรมไปด้วยมานะทิฐิของตน

ดีที่สุดคือทางใครทางมัน เจริญไปตามเหตุปัจจัย ที่สร้างสมมาของใครของมันจะดีกว่า ความเห็นต่างๆในกระทู้คือความเห็น ตรงและเข้าได้กับจริตของใครก็เอาไปประยุกต์ใช้ให้เป็นวิธีการเฉพาะตัว ของใครของมันเถิด มิบังควรมาเบรคเบลมกันดังคำพูดที่คุณกบบอกว่า

:b7:
ขอเตือนว่า...

อย่าได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด

เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว

รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ

อีกประโยคหนึ่งที่พาลไปถึงสำนักต่างๆด้วย
"กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน" :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 01:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวเพราะหวังดี....

อ้างคำพูด:
สรุปแล้วคุณกบก็ยังยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของคุณว่าถูกต้องที่สุด เมื่อไหร่ใครก็ตามที่มีความเห็นว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่น เมื่อนั้นแสดงว่าเริ่มยึดแน่นและสุดโต่งแล้ว

เข้าใจผิดแล้ว...เพราะเห็นความสุดโต่งทางปัญญาวิมุติของคุณอโสกะ..ต่างหาก

และ..นี้คือตัวอย่างเล็ก ๆ ของความสุดโต่ง...
อ้างคำพูด:
คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่
เริ่มต้นด้วยวิปัสสนาภาวนาเลยนั้นไม่ใช่ เพราะฉนั้นใครจะบรรลุธรรมได้ต้องได้ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ จึงจะใช่ ปัญญาวิมุติล้วนๆไม่มี

หากคุณอโสกะ...ใช้แนวทางปัญญาวิมุติ..จนพอจะเห็นผลบ้างแล้ว...จะไม่กล่าวอย่างนี้เด็ดขาด

จำได้มั้ย...กระผมเคยถามท่านว่า...จะรู้ได้งัยว่ากำลังวิปัสสนาอยู่หรือกำลังฟุ้งซ่านในธรรม

ขณะอยู่ในนั้น...มันไม่มีทางรู้ได้หรอก

ต้องดูที่ผล...คือปฏิเวท...

ผลจากการคิดพิจารณาในธรรมนั้น ๆ นะ...มันลงใจสนิทจริงหรือว่าอย่างไร...

ลงใจสนิท..สังเกตุที่อะไร?...ก็ดูว่าหากธรรมชนิดนั้นเกิดขึ้นอีก...สังขารเรายังปรุงแต่งเหมือนเดิมรึไม่?

เช่น...ถ้าเคยพิจารณาความโกรธ...เราก็ว่า..นี้ไม่ใช่ตัวกู...แล้วเราจะไปโกรธทำไม...ความโกรธนั้นก็สงบลง

วันหลัง...ถูกด่า...ก็โกรธอีก

อ้าว...แล้วไอ้ความสงบโกรธคราวนั้น...งั้ยมันไม่สนิท...นี้ก็แสดงว่า...มันลงใจไม่จริง

นี้คือการเอาผลปฏิเวท(คราวก่อน)ไปเทียบกับปริยัติ..เทียบกับหลักวิชาการ

เมื่อมันไม่ใช่...ก็แสดงว่า...ผลที่เราคิดว่าได้นั้น...มันยังไม่ใช่ผลจริง ๆ

นี้งัย...ผลของการฟุ้งซ่านในธรรม

ทีนี้ก็ต้องกลับมาคิดว่า...เอ่...เรามีอะไรบกพร่องไปบ้างนะ?

มันจึงต้องใช้ประสบการณ์...ปฏิภาณไหวพริบ...แก้ไข

หากมีครูบาอาจารย์ที่แจ้งแทงตลอด...มันก็ง่ายเข้า

นี้งัย...หากปฏิบัติ...แล้วได้ผลที่เป็นจริง...แล้ว

จะไม่มีทางพูดเด็ดขาดว่า...

ปัญญาวิมุติล้วน ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 02:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่

ลืมบอกไป....ว่า...กระผมไม่ใช่...บุคคลจำพวก...สมถะนำหน้า

ส่วนใครที่คิดว่า...บุคคลจำพวกสมถะนำหน้า...ต้องมีความคิดว่า...ทุกคนต้องเริ่มจากศูนย์...นี้คิดผิด

และ...ใครที่คิดว่า...ชาติที่แล้ว..สมถะเราทำมาดีแล้ว..ชาตินี้ใช้คิดอย่างเดียว...นี้ก็ผิด

อ้างคำพูด:
.....
ทั้งยังไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชี่อว่าจิตวิญญาณทุกดวงที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นได้สร้างสมบารมี ทาน ศีล สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่เชื่อว่ามีผู้คนจำนวนมากมาเกิดในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องมีพื้นสมถะภาวนาอะไรมาก่อนแต่เขาเกิดมาก็ได้ความเป็นผู้มีสมาธิและสติ ปัญญาอันดีเยี่ยมติดตัวมาด้วย จนสามารถเจริญวิปัสนาภาวนาได้ทันที และสามารถบรรลุธรรมได้เมื่อได้พบกัลยาณมิตรและได้รับคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนามาอย่างถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

กฎแห่งกรรม..เชื่อ...
การเวียนว่ายตายเกิด...เชื่อ

แต่...การเชื่อเรื่องการสะสมบารมีมานับชาติไม่ถ่วน..นี้...เชื่อแล้วได้อะไร

ได้ความขี้เกียจ..ได้ความงมงาย..ได้ความประมาท...นะหรือ

มีใครรู้ว่าชาติที่แล้วได้อะไรมาบ้าง...ไม่มีหรอก...มันต้องทำดู...หาเอา
หากเคยได้..มันจะคล่อง..ทำได้ง่าย...มันจะเห็นของเขาเอง

ไม่ใช่มาโฆษณา...ว่าทำอย่างนี้ง่าย..ทำได้มาก ๆ ....

ก็เสร็จกิเลสมันนะซิ...มันมีอยู่กับทุกคนแล้วนี้...มันว่า...สมถะเป็นอัตตกิลมถานุโยคไป

และอีกอย่าง...คนที่ว่า...ทำอย่างนี้ง่าย...ทำได้มาก ๆ..แท้แล้วก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องกฎของกรรม...การเวียนว่ายตายเกิด..การสะสมบุญญาบารมี...ที่มีมาอย่างหลากหลายไม่เหมือนกัน

มันจึงคิดแต่จะรวบให้เหมือนกัน...ให้ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร