วันเวลาปัจจุบัน 07 มิ.ย. 2025, 17:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลาย หลักธรรมคำสอนนี้ จำต้องใช้ศัพท์ภาษาที่คล้ายคลึงในศาสนาแต่ละศาสนา ด้วยเหตุที่ว่า ศัพท์ภาษาย่อมต้องใช้ได้ในทุกกาลเวลา และใช้ได้ตามกาลเวลา แลใช้ได้กับมนุษย์ทุกคนทุกแห่งที่ แม้ศัพท์ภาษาที่ได้เขียนนี้เป็นศัพท์ภาษาไทย ท่านผู้รู้ภาษาอื่นใด ก็ย่อมสามารถแปลเป็นภาษานั้นๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจรรโลงพัฒนา ป้องกันมิให้โลกเสื่อมสลาย
ท่านทั้งหลาย จงได้สดับ จงได้อ่านแล้วพิจารณาให้ดีว่า
ทุกข์ คือ ความยากลำบากทั้งทางกายทางใจ
ทุกข์ เหล่านั้น เกิดจาก อะไรกันหรือ
ทุกข์ เกิดจากความยากจน ไม่มีปัจจัยสี่ อย่างพอเพียงใช่ไหม
ทุกข์ เกิดจาก ความไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ตามที่ต้องการใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ทรัพย์สินเงินของ สิ่งของเครื่องใช้ แต่ไม่ได้ดังตัองการใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก ความอยากอยู่ร่วม กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ไม่ได้อยู่ร่วม แล ความไม่อยากอยู่ร่วมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ต้องอยู่ร่วม ใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก การพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งทึ่รักใช่หรือไม่
ฯลฯ
แล้วท่านทั้งหลายลองคิดพิจารณาให้ดีสิว่า ความจริงแล้ว ความทุกข์มันเกิดจากอะไรกัน
เกิดจาก "ดำริ คือ ความคิด" เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย ใช่หรือไม่ เกิดจาก "การระลึกคือนึกถึงคือความหวนคิดถึง" เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลายใช่หรือไม่
ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีซิว่า
ความทุกข์ เกิดจาก " ระลึก ดำริ "ใช่หรือไม่

ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ "ดำริ คือ คิด" ถ้าท่านทั้งหลาย ไม่ "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนคิดถึง " ท่านจะเกิดทุกข์หรือไม่
แล้ว "ดำริ คือ คิด" "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนคิดถึง" ทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไรกันละ ก็เพราะ
ความยากลำบากทั้งกายและใจ ทำให้เกิด "ดำริ คือ คิด" "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนคิดถึง" ว่ายากลำบากทั้งกายและใจ ด้วยเห็นผู้อื่นดีกว่าสบายกว่า มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย มีปัจจัยสี่บริบูรณ์ จึงเกิด "ดำริ คือ คิด จึงเกิด"ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" ว่ายากลำบากทั้งกายและใจ คือทุกข์ ฉะนี้

ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของเครื่องใช้ แต่ไม่ได้ไม่มีดังต้องการ ทำให้เกิด "ดำริ คือ คิด"จึงเกิด "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนคิดถึง" ว่า อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ไม่ได้ไม่มีดังต้องการ เป็นทุกข์ ฉะนี้

ความอยากอยู่ร่วม กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ไม่ได้อยู่ร่วม แล ความไม่อยากอยู่ร่วมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่กลับต้องอยู่ร่วม
จึงเกิด "ดำริ คือ คิด" จึงเกิด "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนคิดถึง" ว่า อยากอยู่ร่วม กับสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ไม่ได้อยู่ร่วม แลความไม่อยากอยู่ร่วมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ต้องอยู่ร่วม คือ ทุกข์ ฉะนี้

การพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก จึงเกิด "ดำริ คือ คิด "จึงเกิด "ระลึก คือนึกถึง ความหวนคิดถึง ว่าพลัดพรกจากสิ่งที่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก คือ ทุกข์ ฉะนี้
ถ้าไม่ "ดำริ คือ คิด" ถ้าไม่ "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" จะเป็นทุกข์เพราะเหตุเหล่านั้นหรือไม่

เฉกเช่น บิดา,มารดา มีความรัก ในตัว บุตร นั่นก็คือ บิดา,มารดา มี "ดำริ คือ คิด"และมี "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" ต่อตัวบุตรแห่งตน ด้วยต้องการให้บุตรแห่งตนได้ดี ได้สุข ได้สบาย บิดา,มารดา หามีทุกข์ ในการเลี้ยงดูบุตรไม่ แต่ถ้าหาก บิดา,มารดา ไม่มีความรัก ในตัวบุตรนั่นแล้ว บิดา,มารดา ย่อมมี "ดำริ คือ คิด แลมี"ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" ในทางที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ ต่อการเลี้ยงดูบุตรฉะนี้

เฉกเช่น ผู้ศรัทธา ทั้งหลาย มีความถือมั่นมีความยึดมั่นในพระเจ้าแห่งตน ย่อมมี "ดำริ คือ คิด และมี "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" ในพระเจ้าแห่งตนเป็นที่ตั้ง จึงไม่มีทุกข์ หาก ผู้ศรัทธา ทั้งหลาย ไม่มีความถือมั่นไม่มีความยึดมั่นในพระเจ้าแห่งตน แล้ว ย่อมมี "ดำริ คือ คิด แลมี "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง" อันไม่ถือพระเจ้าแห่งตนเป็นที่ตั้ง ย่อมจักทำให้เกิดทุกข์ฉะนี้

เฉกเช่น ผู้ศรัทธา ในหลักธรรม คำสอน ทั้งหลายเหล่านั้น มี "ดำริ คือ คิด" แลมี "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง"หลักธรรม คำสอน เหล่านั้น จึงได้ชื่อว่า ผู้ไม่มีทุกข์
หาก ผู้ศรัทธา ในหลักธรรม คำสอน ทั้งหลายเหล่านั้น มี "ดำริ คือ คิด" แลมี "ระลึก คือ นึกถึง ความหวนนึกถึง "ว่าไม่เชื่อ ไม่จริง ไม่รู้ ไม่สนใจ ในหลักธรรม คำสอน เหล่านั้น ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีทุกข์ ฉะนี้

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 10 ม.ค. 2012, 19:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 20:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ท่านทั้งหลาย จงได้สดับ จงได้อ่านแล้วพิจารณาให้ดีว่า
ทุกข์ คือ ความยากลำบากทั้งทางกายทางใจ
ทุกข์ เหล่านั้น เกิดจาก อะไรกันหรือ
ทุกข์ เกิดจากความยากจน ไม่มีปัจจัยสี่ อย่างพอเพียงใช่ไหม
ทุกข์ เกิดจาก ความไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ตามที่ต้องการใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ทรัพย์สินเงินของ สิ่งของเครื่องใช้ แต่ไม่ได้ดังตัองการใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก ความอยากอยู่ร่วม กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เกิดจาก ความไม่อยากอยู่ร่วมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ใช่หรือไม่
ทุกข์ เกิดจาก การพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งทึ่รักใช่หรือไม่
ฯลฯ
แล้วท่านทั้งหลายลองคิดพิจารณาให้ดีสิว่า ความจริงแล้ว ความทุกข์มันเกิดจากอะไรกัน
เกิดจาก "ดำริ คือ ความคิด" เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย ใช่หรือไม่ เกิดจาก "การระลึกนึกถึง" เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลายใช่หรือไม่
ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีซิว่า
ความทุกข์ เกิดจาก " ระลึก ดำริ "ใช่หรือไม่


ทุกข์เกิดจากความพอใจ ไม่พอใจ (โลภ โกรธ หลง)
ความพอใจ ไม่พอใจ เกิดการความ คิดปรุงแต่ง
การคิดปรุงแต่ง เกิดจาก ความเชื่อ ความไม่รู้ หรือ อวิชชา
ต้องดับด้วยปัญญา ปัญญาเกิดจากวิปัสสนาภาวนา หรือ การเจริญปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อภิชฌา คือ ตัณหา
อภิชฌา คือ ความพอใจ ไม่พอใจ

ดับ อภิชฌา เสียได้ ความ โทมนัส ก็ไม่มี


ปุถุชน วน อยู่กับ วงจร เหล่านี้คือ

ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ

ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ


แต่พระอรหันต์ ดับตัณหาเสียได้ ก็ยัง วน อยู่กับ วงจร เหล่านี้คือ

ผัสสะ เวทนา กิริยา (ไม่มีภพ)

ผัสสะ เวทนา กิริยา (ไม่มีภพ)

หมายเหตุ ปุถุชน รับเวทนา5 และพระอรหันต์ รับเวทนา4 เท่านั้น

อ้างคำพูด:
[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)


เป็นพระอรหันต์ แล้ว ยังไม่ละทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง

จะดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ต้อง ปรินิพพาน เท่านั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2012, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รอ..ข้อที่ 2 :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2012, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านผู้เจริญเอ๋ย
จะ ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ จะปรุงแต่ง หรือไม่ปรุงแต่ง จะพอไจ หรือไม่พอใจ
ผลก็คือ "ดำริ คือ ความคิด " และ "ระลึก นึกถึง ความหวนนึกถึง" นั่นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าจะตั้งเป็นกระทู้อีกตอนหนึ่งเป็นตอนที่สอง เกิดอารมณ์ไม่สมบูรณ์มากนัก ก็เลยเขียนต่อในกระทู้นี้เพื่ออธิบายในเรื่องของ "ความคิด และการระลึกนึกถึง" ความว่า
"ระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ มีความซับซ้อน และมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ การทำงานของระบบสมองกับหัวใจ ซึ่งจะทำงานเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ในการทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง หัวใจกับสมองนั้น นอกเหนือจากการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆแล้ว หัวใจและสมองยังทำงานเชื่อมโยงกันในระบบอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่่งหัวใจและสมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าเชื่อมต่อกันตลอดเวลา แม้กระทั้งเวลานอนหลับ
"ความคิด และการระลึกนึกถึง" ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด "อารมณ์ และความรู้สึก " เนื่องจากความจำ,ความรู้ที่มีอยู่ในสมอง ซึ่งหากจะกล่าวกันในรูปแบบของหลักการทางศาสนาพุทธแล้วละก้อ นั่นก็หมายถึงการที่ หัวใจและสมองจะทำงานร่วมกัน ในการเกิดความรู้สึก ในการเกิดความจำ ในการเกิดการปรุงแต่งผสมผสานความรู้ ความคิด ประสบการณ์ เพื่อการทำงาน การประกอบอาชีพ และอื่นๆอีกมากมายหลายสิ่งหลายประการ
ดังนั้น คำว่า "ระลึก ดำริ" เป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดของระบบการทำงานของสรีระร่างกาย จึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าจะตั้งเป็นกระทู้อีกตอนหนึ่งเป็นตอนที่สอง เกิดอารมณ์ไม่สมบูรณ์มากนัก ก็เลยเขียนต่อในกระทู้นี้เพื่ออธิบายในเรื่องของ "ความคิด และการระลึกนึกถึง" ความว่า
"ระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ มีความซับซ้อน และมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ การทำงานของระบบสมองกับหัวใจ ซึ่งจะทำงานเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ในการทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง หัวใจกับสมองนั้น นอกเหนือจากการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆแล้ว หัวใจและสมองยังทำงานเชื่อมโยงกันในระบบอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่่งหัวใจและสมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าเชื่อมต่อกันตลอดเวลา แม้กระทั้งเวลานอนหลับ
"ความคิด และการระลึกนึกถึง" ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด "อารมณ์ และความรู้สึก " เนื่องจากความจำ,ความรู้ที่มีอยู่ในสมอง ซึ่งหากจะกล่าวกันในรูปแบบของหลักการทางศาสนาพุทธแล้วละก้อ นั่นก็หมายถึงการที่ หัวใจและสมองจะทำงานร่วมกัน ในการเกิดความรู้สึก ในการเกิดความจำ ในการเกิดการปรุงแต่งผสมผสานความรู้ ความคิด ประสบการณ์ เพื่อการทำงาน การประกอบอาชีพ และอื่นๆอีกมากมายหลายสิ่งหลายประการ
ดังนั้น คำว่า "ระลึก ดำริ" เป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดของระบบการทำงานของสรีระร่างกาย จึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้


การคิด และการระลึกนึกถึง ความหวนนึกถึง ของมนุษย์นั้น หากคิดและระลึกนึกถึง ในเรื่องของความเป็นธรรมดาตามธรรมชาติของมนุษย์ เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ,ความไม่เที่ยง,สรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้น,ตั้งอยู่ ดับไป หรือ คิดแลระลึกนึกถึงว่า รูปกาย ,ความรู้สึก ,ความจำ ,ความปรุงแต่ง เป็นทุกข์ ถ้าคิดแบบที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ในหลักพุทธศาสนา เพราะในเรื่องของ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าไม่คิด ไม่ระลึกนึกถึง หรือหวนนึกถึง ย่อมมิใช่ความทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีผู้ใดหลีกพ้น
ความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ฯลฯ ดังที่ได้กล่าวไป
ถ้าหากเป็นในหลักศาสนาต่างๆ (ในที่นี้ไม่ขอกล่าวชื่อศาสนา) ล้วนไม่มีการคิดหรือระลึกนึกถึง ในเรื่อง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความไม่เที่ยง สรรพสิ่งย่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือ ไม่มีการคิดหรือระลึกนึกถึง ในเรื่องของ รูปกาย ,ความรู้สึก ,ความจำ ,ความปรุงแต่ง ว่าเป็นทุกข์ ว่าเป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ แต่ในหลักศาสนาต่าง กลับสอนให้คิดแลระลึกนึกถึง ในพระผู้เป็นเจ้า ในพระเจ้า ในเทพเจ้า ทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อจักได้ไปอยู่ใกล้ชิดพระองค์ เพื่อได้ไปรับใช้พระองค์
ย่อมทำให้เกิดความสบายใจ สบายกาย แม้จะเจ็บป่วยก็ตามที ความทุกข์จึงไม่ปรากฏมี อย่างนี้เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ในกฎไตรลักษณ์ ทุกข์ในกฎไตรลักษณ์นี้ไม่ได้แปลว่าทุกข์ใจ แต่แปลว่า เสื่อมสภาพ ไม่ทนทาน

ทุกข์ในขันธ์ 5
ทุกข์กาย คือ เหนื่อย อ่อน เพลีย หิว ปวด เจ็บ เพราะความไม่เที่ยงของร่างกาย เป็นความเสื่อมของร่างกาย ไม่ทนทานของร่างกาย
ทุกข์ใจ คือ ผลมาจากความไม่เที่ยงของจิตมีการแปรปรวน มีการเปลี่ยนแปลงปรุงแต่งตลอดเวลา ไม่มีความมั่นคงของจิต
สรุปแล้วทุกข์กาย เป็นความทุกข์ของรูปในขันธ์ 5 ส่วนทุกข์ใจเป็นความทุกข์ของจิตในขันธ์ 5

ทุกข์ในขันธ์ 5 คือ ทุกข์ในกฎไตรลักษณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


คำจำกัดทุกขัง(ทุกข์) และ ทุกขตา(ทุกขลักษณะ)
ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว อาการที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ของขันธ์.
ทุกข์ กับ ทุกขลักษณะ ไม่เหมือนกันทุกขัง (ทุกฺขํ) - หมายถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่า"ทุกขัง"เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา,ทุกฺขลกฺขณํ) - หมายถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวทุกขัง.
ทุกขลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อาการความบีบคั้นบังคับให้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บีบบังคับตนจากที่เคยเกิดขึ้น ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 จากที่เคยมีขึ้น ก็ต้องกลับไปเป็นไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.

:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะนำทุกข์ชุดสำคัญที่มีพุทธพจน์แสดงไว้เป็นหลัก ให้ดูซักชุดหนึ่ง (ทุกขตา 3 หรือทุกข์ 3) ซึ่งครอบคลุมความหมายทั้งหมดของทุกข์ในไตรลักษณ์ คือ

1. ทุกขทุกขตา หรือ ทุกขทุกข์ ทุกข์ที่เป็นความรู้สึกทุกข์ ได้แก่ ความทุกข์ทางกาย และความทุกข์ทางใจ อย่างที่เข้าใจกันโดยสามัญ ตรงตามชื่อ และตามสภาพ เช่น ความเจ็บปวด ไม่สบาย เมื่อยขบเป็นต้น หมายถึงทุกขเวทนานั่นเอง

2. วิปริณามทุกขตา หรือ วิปริณามทุกข์ ทุกข์เนื่องด้วยความผันแปร หรือทุกข์ที่แฝงอยู่ในความแปรปรวน ได้แก่ ความรู้สึกสุขหรือสุขเวทนา ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาวะที่แท้จริง ก็เป็นเพียงทุกข์ในระดับหนึ่ง หรือในอัตราส่วนหนึ่ง
สุขเวทนานั้น จึงเท่ากับเป็นทุกข์แฝง หรือมีทุกข์ตามแฝงอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งจะกลายเป็นความรู้สึกทุกข์ หรือก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ในทันทีที่เมื่อใดก็ตามสุขเวทนานั้นแปรปรวนไป
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า สุขเวทนานั้น ก่อให้เกิดทุกข์เพราะความไม่จริงจังไม่คงเส้นคงวาของมันเอง

3. สังขารทุกขตา หรือสังขารทุกข์ ทุกข์ตามสภาพสังขาร คือสภาวะของสังขารทุกสิ่งทุกอย่าง หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นทุกข์ คือ เป็นสภาพที่ถูกบีบคั้นกดดันด้วยการเกิดขึ้น และการเสื่อมสลายของปัจจัยต่างๆที่ขัดแย้ง ทำให้คงอยู่ในสภาพเดิมมิได้ ไม่คงตัว
ทุกข์ข้อที่สามนี้ คลุมความของทุกข์ในไตรลักษณ์

(ที.ปา.11/228/229 ฯลฯ)

สิ่งที่ปิดบังมิให้เห็นทุกข์นั่นศึกษาที่นี่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=495.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกขตาสูตร
ว่าด้วยสภาวทุกข์


“ภิกษุทั้งหลาย สภาวทุกข์(ทุกขตา) ๓ ประการนี้
สภาวทุกข์ ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ

๑. ทุกขทุกขตา (สภาวทุกข์คือทุกข์)
๒. สังขารทุกขตา (สภาวทุกข์คือสังขาร)
๓. วิปริณามทุกขตา (สภาวทุกข์คือความแปรผันไป)

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสภาวทุกข์(ทุกขตา)ทั้ง ๓ ประการนี้ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ฯลฯ


ทุกขตาสูตรที่ ๕ จบ(สำนวนแปลของมหาจุฬา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 17:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นเหตุแห่งทุกข์ คือความไม่เที่ยง หรือ อนิจจัง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งน้้นเป็นอนัตตา
ดับทุกข์ใจโดยใช้ปัญญา มองเห็นความไม่เที่ยง มีเกิด มีดับเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง นำมาดับอวิชชา เพื่อไม่ให้เกิด โลภ โกรธ หลง ขณะจิตสัมผัสกับอายตนะภายนอกในปัจจุบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกขสมุทยอริยสัจ ไม่ใช่ความไม่เที่ยง
ดื้อด้าน ยึดถือความเห็นที่ผิดๆ ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น กล่าวถึงปานนี้
ยกพุทธพจน์ที่ชัดเจนออกปานนี้ ก็คงยากเกิดเยียวยา

หมดเรื่องที่ต้องสนทนากัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทรงติดแม้ในนิพพาน

ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจงแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่า นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ตถาคตกำหนดรู้ทั่วถึงแล้ว.

ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจ้งแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพานไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เรากล่าวว่า เพราะรู้ว่าความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ และเพราะมีภพจึงมีชาติ, เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้วต้องมีแก่และตาย. เพราะเหตุนั้นตถาคตจึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะตัณหาทั้งหลายสิ้นไป ปราศไป ดับไป สละไป ไถ่ถอนไป โดยประการทั้งปวงดังนี้.

บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๘-๙.

ที่มา http://whatami.board.ob.tc/-View.php?N=438&Page=1


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร