วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 01:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่ผมถามในกระทู้.อะไรเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์กันแน่ ขันธ์ 5 หรือ ไตรลักษณ์
ว่า"
ถ้ากฎไตรลักษณ์เป็นกฎธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง แล้วสิ่งไม่มีชีวิต มันเกิดดับมั้ย มันไม่เที่ยงมั้ย แล้วตัวมันเองมีทุกข์มั้ย
แล้วมีคำตอบดังนี้
พระลูกป่า เขียน
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ
ส่วนที่ถามว่ามีทุกข์มั้ยโดยอาการแล้วมีแต่โดยอารมณ์ไม่มีครับ"

คุณกบนอกกะลา เขียน
"วัตถุธาตุทั้งหลาย..มันเองไม่มีทุกข์เพราะมันไม่มีจิตใจ....แต่ธรรมชาติของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา...ก็ยังเกิดแก่มันเสมอ"

คุณ ไม่เที่ยง เกิดดับเขียน
"ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ในโลกในจักรวาล ตั้งอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด สิ่งไม่ชีวิตก็ไม่เที่ยง(มีการเปลี่ยนแปลง) มีเกิด มีดับ มีทุกข์ (ความไม่คงทน)

ความหมายของ ทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าบรรยัญไว้ มีแบบนี้ด้วยหรือครับ คือว่าผมเองไม่ได้อ่านคำภีร์เลย ความรู้ยังไม่มีนัก ฟังแต่พระเทศน์ พระสอน จึงขอความอนุเคราะห์ท่านๆทั้งหลายชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
**ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
อ้างคำพูด:
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ

ขอตอบว่า ถ้าเอาเฉพาะ อนิจจังนั้น สำหรับผมแล้วความหมายที่ชัดเจนและลงใจผมที่สุดคือ ความไม่เที่ยงแท้ความไม่แน่นอนครับ แต่องค์แห่งไตรลักษณ์นั้นมี 3 อย่างแยกกันหรือตัดอย่างใดทิ้งไปไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า"สังขางทั้งหลายไม่เที่ยงแท่ไม่แน่นอน(เป็นอนิจจัง) สังขารทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา(เป็นทุกข์) ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)" และ "สิ่งใดเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน) สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์(ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา) สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน)
**ส่วนในเรื่องของทุกข์นั้น ที่ว่าโดยอาการแล้วมีแต่โดยอารมณ์ไม่มีครับ อันนี้หมายถึงตัวทุกข์ที่เป็นองค์แห่งไตรลักษณ์ครับ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวสีแดงนี้แหละครับ
อ้างคำพูด:
คุณกบนอกกะลา เขียน
"วัตถุธาตุทั้งหลาย..มันเองไม่มีทุกข์เพราะมันไม่มีจิตใจ....แต่ธรรมชาติของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา...ก็ยังเกิดแก่มันเสมอ"

อันนี้ก็ทุกข์ตัวเดียวกัน
อ้างคำพูด:
คุณ ไม่เที่ยง เกิดดับเขียน
"ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ในโลกในจักรวาล ตั้งอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด สิ่งไม่ชีวิตก็ไม่เที่ยง(มีการเปลี่ยนแปลง) มีเกิด มีดับ มีทุกข์ (ความไม่คงทน)

อันนี้ตัวสีน้ำเงินก็ทุกข์ตัวเดียวกันครับ เป็นตัวทุกขังในไตรลักษณ์ทั้งหมดครับ
**ทุกขังในองค์แห่งอริยะสัจ 4 นี่ก็มีอีกความหมายหนึ่งแตกต่างกันไปครับ เป็นทุกข์ที่เกิดจากอุทานความยึดมั่นถีอมั่นครับ
หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 00:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
**ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
อ้างคำพูด:
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ

ขอตอบว่า ถ้าเอาเฉพาะ อนิจจังนั้น สำหรับผมแล้วความหมายที่ชัดเจนและลงใจผมที่สุดคือ ความไม่เที่ยงแท้ความไม่แน่นอนครับ แต่องค์แห่งไตรลักษณ์นั้นมี 3 อย่างแยกกันหรือตัดอย่างใดทิ้งไปไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า"สังขางทั้งหลายไม่เที่ยงแท่ไม่แน่นอน(เป็นอนิจจัง) สังขารทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา(เป็นทุกข์) ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)" และ "สิ่งใดเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน) สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์(ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา) สิ่งนั้นเป็นอนัตตา


ถามอีกนิดนะครับ จากที่ผมมาร์คตัวใหญ่ไว้นะครับ มันใช้กับเฉพาะสังขาร หรือ กับทุกสิ่งทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต เหรอครับ

ขอบคุณครับ เริ่มกระจ่างนิดๆแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 01:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
**ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
อ้างคำพูด:
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ

ขอตอบว่า ถ้าเอาเฉพาะ อนิจจังนั้น สำหรับผมแล้วความหมายที่ชัดเจนและลงใจผมที่สุดคือ ความไม่เที่ยงแท้ความไม่แน่นอนครับ แต่องค์แห่งไตรลักษณ์นั้นมี 3 อย่างแยกกันหรือตัดอย่างใดทิ้งไปไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า"สังขางทั้งหลายไม่เที่ยงแท่ไม่แน่นอน(เป็นอนิจจัง) สังขารทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา(เป็นทุกข์) ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)" และ "สิ่งใดเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน) สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์(ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา) สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

ok.เลยครับท่าน ผมหาเจอความหมายตามที่ท่านทั้งหลายบอกแล้ว เป็นอย่างที่ท่านกล่าวจริงๆ แต่ คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น เขาใช้กับขันธ์ 5 เท่านั้น ส่วนอย่างอื่น ใช้ว่า อนิจจตา=อนิจจลักษณะ ทุกขตา=ทุกขลักษณะ อนัตตตา=อนัตตลักษณะ ลองอ่านจากบทความที่ผมยกม่านะครับ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
ผมได้ความรู้เยอะจริงๆวันนี้ ใหญ่หลวงด้วย
กระจ่างแท้แน่ในจิตแล้ว ขอบคุณในคำชี้แนะครับ

จากhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C
ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยะ (อริยกรธรรม) แปลว่า ลักษณะ 3 ประการ หมายถึงสามัญลักษณะ คือ กฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจลักษณะ ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งในโลกย่อมมีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ความเป็นทุกข์ คือ มีความบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ความที่ทุกสิ่งไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตามปรารถนา เป็นต้น

ไตรลักษณ์ แปลว่า "ลักษณะ 3 อย่าง" หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขารทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ 3 อย่าง ได้แก่ :-

1.อนิจจตา (อนิจจลักษณะ) - อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป อาการที่แสดงถึงความเป็นสิ่งไม่เที่ยงของขันธ์.
2.ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว อาการที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ของขันธ์.
3.อนัตตตา (อนัตตลักษณะ) - อาการของอนัตตา อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง อาการที่แสดงถึงความไม่มีอำนาจแท้จริงในตัวเลย อาการที่แสดงถึงความด้อยสมรรถภาพโดยสิ้นเชิงไม่มีอำนาจกำลังอะไรต้องอาศัยพึงพิงสิ่งอื่นๆมากมายจึงมีขึ้นได้.
ลักษณะ 3 อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่มีเสมอกันแก่สังขารทั้งปวง และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมนิยาม คือกฎธรรมดาหรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขาร

คำว่า ไตรลักษณ์ นี้มาจากภาษาบาลีว่า "ติลกฺขณ" มีการวิเคราะห์ศัพท์ดังต่อไปนี้ :-

ติ แปลว่า สาม, 3.

ลกฺขณ แปลว่า เครื่องทำสัญลักษณ์, เครื่องกำหนด, เครื่องบันทึก, เครื่องทำจุดสังเกต, ตราประทับ เปรียบได้กับภาษาอังกฤษในคำว่า Marker.

ติลกฺขณ จึงแปลว่า "เครื่องกำหนด 3 อย่าง" ในแง่ของความหมายแล้ว ตามคัมภีร์จะพบได้ว่า มีธรรมะที่อาจหมายถึงติลกฺขณอย่างน้อย 2 อย่าง คือ สามัญญลักษณะ 3 และ สังขตลักษณะ 3 . ในคัมภีร์ชั้นฏีกา พบว่ามีการอธิบายเพื่อแยก ลักษณะทั้ง 3 แบบนี้ออกจากกันอยู่ด้วย[1]. ส่วนในที่นี้ก็คงหมายถึงสามัญญลักษณะตามศัพท์ว่า ติลกฺขณ นั่นเอง.

อนึ่ง นักอภิธรรมชาวไทยนิยมเรียกคำว่า สังขตลักษณะ โดยใช้คำว่า "อนุขณะ 3" คำนี้มีที่มาไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยังไม่พบในอรรถกถาและฏีกาของพระพุทธโฆสาจารย์และพระธรรมปาลาจารย์, และที่พบใช้ก็เป็นความหมายอื่น[2] อาจเป็นศัพท์ใหม่ที่นำมาใช้เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษาก็เป็นได้. อย่างไรก็ตาม โดยความหมายแล้วคำว่าอนุขณะนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งกับคัมภีร์รุ่นเก่าแต่อย่างใด.

[แก้] สามัญลักษณะสามัญญลักษณะ 3 หมายถึง เครื่องกำหนดที่มีอยู่ทั่วไปในสังขารทั้งหมด ได้แก่ อนิจจลักษณะ - เครื่องกำหนดความไม่เที่ยงแท้, ทุกขลักษณะ - เครื่องกำหนดความบีบคั้น, อนัตตลักษณะ - เครื่องกำหนดความไม่มีตัวตน.

สามัญญลักษณะ ยังมีชื่อเรียกอีกว่า ธรรมนิยาม คือกฎแห่งธรรม หรือ ข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขาร และบางอย่าง คือ อนัตตลักษณะยังเป็นข้อกำหนดของวิสังขาร (พระนิพพาน) เป็นต้นอีกด้วย.

อนึ่ง ควรทราบว่า อนิจฺจํ กับ อนิจฺจตา เป็นต้น เป็นศัพท์ที่ใช้คนละความหมายกัน ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในตอนท้ายของบทความนี้ด้วย.

[แก้] อนิจจะ กับ อนิจจลักษณะ ไม่เหมือนกันตามคัมภีร์ฝ่ายศาสนาท่านให้ความหมายของขันธ์ กับ ไตรลักษณ์ไว้คู่กัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน[3][4][5][6][7] ดังนี้ :-

อนิจจัง (อนิจฺจํ) - หมายถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่า"อนิจจัง"เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
อนิจจลักษณะ (อนิจฺจตา,อนิจฺจลกฺขณํ) - หมายถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวอนิจจัง.
อนิจจลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ซึ่งได้แก่ อาการความเปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 เคยเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 เคยมีขึ้นแล้วก็ไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.

ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกอนิจจลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง 25 แบบ เรียกว่า โต 25 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงอนิจจลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะอาการที่เปลี่ยนไป จะเป็นการกำหนดอนิจจลักษณะ).

[แก้] ทุกข์ กับ ทุกขลักษณะ ไม่เหมือนกันทุกขัง (ทุกฺขํ) - หมายถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่า"ทุกขัง"เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา,ทุกฺขลกฺขณํ) - หมายถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวทุกขัง.
ทุกขลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อาการความบีบคั้นบังคับให้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บีบบังคับตนจากที่เคยเกิดขึ้น ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 จากที่เคยมีขึ้น ก็ต้องกลับไปเป็นไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.

ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกทุกขลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง 10 แบบ เรียกว่า โต 10 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงทุกขลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่บีบบังคับตัวเองให้ต้องเปลี่ยนไป ก็จะกลายเป็นการกำหนดทุกขลักษณะ).

[แก้] อนัตตา กับ อนัตตลักษณะ ไม่เหมือนกันอนัตตา กับ อนัตตลักษณะ เป็นคนละอย่างกัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน

อนัตตลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 ไม่มีตัวตน ไร้อำนาจ ไม่มีเนื้อแท้แต่อย่างใด ได้แก่ อาการที่ไร้อำนาจบังคับตัวเองให้ไม่เปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ให้เสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่ไม่ได้, อาการที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้มีขึ้นไม่ได้ ไม่ให้กลับไปไม่มีอีกครั้งไม่ได้ (บังคับให้ไม่หมดไปไม่ได้) เป็นต้น.

ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกอนัตตลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ 5 แบบ เรียกว่า โต 5 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงอนัตตลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่ไรอำนาจบังคับตัวเองใหไม่เปลี่ยนไปไม่ได้ ก็จะกลายเป็นการกำหนดอนัตตขลักษณะ).


แก้ไขล่าสุดโดย ฝึกจิต เมื่อ 19 ม.ค. 2012, 06:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
**ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
อ้างคำพูด:
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิม
หรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ

ขอตอบว่า ถ้าเอาเฉพาะ อนิจจังนั้น สำหรับผมแล้วความหมายที่ชัดเจนและลงใจผมที่สุดคือ
ความไม่เที่ยงแท้ความไม่แน่นอนครับ แต่องค์แห่งไตรลักษณ์นั้นมี 3 อย่างแยกกัน
หรือตัดอย่างใดทิ้งไปไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
"สังขางทั้งหลายไม่เที่ยงแท่ไม่แน่นอน(เป็นอนิจจัง)
สังขารทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา(เป็นทุกข์)
ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)" และ
"สิ่งใดเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน) สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์(ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
) สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(
ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
)
**ส่วนในเรื่องของทุกข์นั้น ที่ว่าโดยอาการแล้วมีแต่โดยอารมณ์ไม่มีครับ อันนี้หมายถึงตัวทุกข์ที่เป็น
องค์แห่งไตรลักษณ์ครับ คือ อนิจจัง
ทุกขัง
อนัตตา ตัวสีแดงนี้แหละครับ
:

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกข์มีสองลักษณะ มีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
ทุกที่เกิดจากอุปาทานขันธ์ มันมีผลทำให้เกิความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
แต่ทุกข์ในกฏไตรลักษณ์ มันคือการไปรู้ทุกข์ รู้เหตุที่ที่ทำให้เกิดความไม่สบายกายใจ
หรือกล่าวอีกนัยก็คือ ไปเห็นตัวทุกข์ ไม่ได้เป็นทุกข์

และคำที่บอกว่า"สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์" ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่รู้ว่า
สังขารมันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป มันไม่สามารถคงทนอยู่ได้
พระพุทธเจ้าไม่ได้จะสอนว่า ทุกข์เกิดจากอนิจจัง แต่ทรงบอกว่า
เพราะเราไม่รู้ว่าสังขารเกิด ขึ้นตั้งอยู่และดับไป เราหลงเข้าไปยึด
โดยปรุงแต่งไปว่ามันมีตัวตน จึงทำให้ทุกข์(ทุกข์กายทุกข์ใจไม่ใช่ทุกข์ไตรลักษณ์)

ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้ว ไม่ยึดแล้ว "สิ่งใดเป็นอนิจจัง มันก็ไม่ทุกข์" อนิจจังยังมีแต่ทุกข์ไม่มี
ทุกข์ที่ว่าหมายถึง ความไม่สบายกายไม่สบายใจนะครับ
ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบนอกกะลา เขียน
"วัตถุธาตุทั้งหลาย..มันเองไม่มีทุกข์เพราะมันไม่มีจิตใจ....แต่ธรรมชาติของความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์เป็นอนัตตา...ก็ยังเกิดแก่มันเสมอ"

อันนี้ก็ทุกข์ตัวเดียวกัน

พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า"สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา"
สรรพสิ่งแบ่งเป็นสองอย่าง สิ่งที่มีใจครองและไม่มีใจครอง
สิ่งที่มีใจครองมันเป็น "สังขาร" สามารถปรุงแต่งได้
สิ่งที่ไม่มีใจครองมันเป็น "วิสังขาร" ไม่สามารถปรุงแต่งได้

พระพุทธเจ้ายังกล่าวอีกว่า"สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา"
สังเกตุว่า สังขารเกิดได้แต่ สิ่งที่มีใจครอง
ดังนั้นสรรพสิ่ง ที่ไม่มีใจครองไม่สามารถปรุงแต่งไม่มีสังขาร
เป็นแค่วิสังขาร จึงมีลักษณะของอนัตตาเพียงอย่างเดียว

ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณ ไม่เที่ยง เกิดดับเขียน
"ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ในโลกในจักรวาล ตั้งอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด สิ่งไม่ชีวิตก็ไม่เที่ยง
(มีการเปลี่ยนแปลง) มีเกิด มีดับ มีทุกข์ (ความไม่คงทน)

อันนี้ตัวสีน้ำเงินก็ทุกข์ตัวเดียวกันครับ เป็นตัวทุกขังในไตรลักษณ์ทั้งหมดครับ
**ทุกขังในองค์แห่งอริยะสัจ 4 นี่ก็มีอีกความหมายหนึ่งแตกต่างกันไปครับ
เป็นทุกข์ที่เกิดจากอุทานความยึดมั่นถีอมั่นครับ
หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ :b8:

ทุกข์ก็คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันเกิดจากใจ
ดังนั้นสรรพสิ่งที่ไม่มีใจครองมันจึงไม่มีทุกข์

ที่เราไม่สบายกายไม่สบายใจเพราะ เราไม่เห็นทุกข์และไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเห็นทุกข์และเห็นเหตุในไตรลักษณ์ ก็จะรู้ว่าทุกข์ในไตรลักษณ์ไม่ใช่ลักษณะ
ความเป็นทุกข์ของกายใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภิกษุ ท.! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่า อะไรหนอเป็นเวทนา? อะไรเป็นความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา? อะไรเป็นปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา? อะไรเป็นความดับไม่เหลือแห่งเวทนา? อะไรเป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา? อะไรเป็นรสอร่อยของเวทนา? อะไรเป็นโทษของเวทนา? อะไรเป็นอุบายเครื่องพ้นไปได้จากเวทนา?

ภิกษุ ท.! ความรู้ข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เวทนา ๓ อย่าง เหล่านี้คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา, เหล่านี้เรียกว่า เวทนา; ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ; ตัณหาเป็นปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา; ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการนี้เอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือความเห็นที่ถูกต้อง ความดำริที่ถูกต้อง การพูดจาที่ถูกต้อง การทำการงานที่ถูกต้องการเลี้ยงชีวิตที่ถูกต้อง ความพากเพียรที่ถูกต้อง ความรำลึกที่ถูกต้อง ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง; สุขโสมนัสใดๆ ที่อาศัยเวทนาแล้วเกิดขึ้น, สุขและโสมนัสนั้นแลเป็นรสอร่อยของเวทนา; เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาด้วยอาการใด, อาการนั้นเป็นโทษของเวทนา; การนำออกเสียได้ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในเวทนาเสียได้นั้นเป็น อุบายเครื่องออกไปพ้นจากเวทนาได้ ดังนี้.

*ภิกษุ ท.! จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ท. ที่ไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่า "เหล่านี้ คือ เวทนา ท.";....** ว่า "นี้ คือความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา";...ว่า "นี้ คือปฏิปทาให้ถึงความเกิดขึ้นพร้อมแห่งเวทนา"; ....ว่า "นี้ คือความดับไม่เหลือแห่งเวทนา" : ว่า "นี้ คือปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา"; ....ว่า "นี้ คือรสอร่อยของเวทนา"; .…ว่า "นี้คือโทษของเวทนา"; ....ว่า "นี้ คืออุบายเครื่องออกไปพ้นจากเวทนา"; ดังนี้.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
**ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
อ้างคำพูด:
"ทุกข์ตัวนี้จะต้องเป็นไปในความหมายที่ว่า"การไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิม
หรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผมถามครับ อันนี้ไม่ใช้ความหมายของ อนิจจัง หรือครับ

ขอตอบว่า ถ้าเอาเฉพาะ อนิจจังนั้น สำหรับผมแล้วความหมายที่ชัดเจนและลงใจผมที่สุดคือ
ความไม่เที่ยงแท้ความไม่แน่นอนครับ แต่องค์แห่งไตรลักษณ์นั้นมี 3 อย่างแยกกัน
หรือตัดอย่างใดทิ้งไปไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
"สังขางทั้งหลายไม่เที่ยงแท่ไม่แน่นอน(เป็นอนิจจัง)
สังขารทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา(เป็นทุกข์)
ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน(เป็นอนัตตา)" และ
"สิ่งใดเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน) สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์(ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมหรือสภาพเดิมได้
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
) สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(
ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
)
**ส่วนในเรื่องของทุกข์นั้น ที่ว่าโดยอาการแล้วมีแต่โดยอารมณ์ไม่มีครับ อันนี้หมายถึงตัวทุกข์ที่เป็น
องค์แห่งไตรลักษณ์ครับ คือ อนิจจัง
ทุกขัง
อนัตตา ตัวสีแดงนี้แหละครับ
:

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกข์มีสองลักษณะ มีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
ทุกที่เกิดจากอุปาทานขันธ์ มันมีผลทำให้เกิความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
แต่ทุกข์ในกฏไตรลักษณ์ มันคือการไปรู้ทุกข์ รู้เหตุที่ที่ทำให้เกิดความไม่สบายกายใจ
หรือกล่าวอีกนัยก็คือ ไปเห็นตัวทุกข์ ไม่ได้เป็นทุกข์

และคำที่บอกว่า"สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์" ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่รู้ว่า
สังขารมันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป มันไม่สามารถคงทนอยู่ได้
พระพุทธเจ้าไม่ได้จะสอนว่า ทุกข์เกิดจากอนิจจัง แต่ทรงบอกว่า
เพราะเราไม่รู้ว่าสังขารเกิด ขึ้นตั้งอยู่และดับไป เราหลงเข้าไปยึด
โดยปรุงแต่งไปว่ามันมีตัวตน จึงทำให้ทุกข์(ทุกข์กายทุกข์ใจไม่ใช่ทุกข์ไตรลักษณ์)

ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้ว ไม่ยึดแล้ว "สิ่งใดเป็นอนิจจัง มันก็ไม่ทุกข์" อนิจจังยังมีแต่ทุกข์ไม่มี
ทุกข์ที่ว่าหมายถึง ความไม่สบายกายไม่สบายใจนะครับ
ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบนอกกะลา เขียน
"วัตถุธาตุทั้งหลาย..มันเองไม่มีทุกข์เพราะมันไม่มีจิตใจ....แต่ธรรมชาติของความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์เป็นอนัตตา...ก็ยังเกิดแก่มันเสมอ"

อันนี้ก็ทุกข์ตัวเดียวกัน

พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า"สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา"
สรรพสิ่งแบ่งเป็นสองอย่าง สิ่งที่มีใจครองและไม่มีใจครอง
สิ่งที่มีใจครองมันเป็น "สังขาร" สามารถปรุงแต่งได้
สิ่งที่ไม่มีใจครองมันเป็น "วิสังขาร" ไม่สามารถปรุงแต่งได้

พระพุทธเจ้ายังกล่าวอีกว่า"สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา"
สังเกตุว่า สังขารเกิดได้แต่ สิ่งที่มีใจครอง
ดังนั้นสรรพสิ่ง ที่ไม่มีใจครองไม่สามารถปรุงแต่งไม่มีสังขาร
เป็นแค่วิสังขาร จึงมีลักษณะของอนัตตาเพียงอย่างเดียว

ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณ ไม่เที่ยง เกิดดับเขียน
"ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ในโลกในจักรวาล ตั้งอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด สิ่งไม่ชีวิตก็ไม่เที่ยง
(มีการเปลี่ยนแปลง) มีเกิด มีดับ มีทุกข์ (ความไม่คงทน)

อันนี้ตัวสีน้ำเงินก็ทุกข์ตัวเดียวกันครับ เป็นตัวทุกขังในไตรลักษณ์ทั้งหมดครับ
**ทุกขังในองค์แห่งอริยะสัจ 4 นี่ก็มีอีกความหมายหนึ่งแตกต่างกันไปครับ
เป็นทุกข์ที่เกิดจากอุทานความยึดมั่นถีอมั่นครับ
หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณครับ :b8:

ทุกข์ก็คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันเกิดจากใจ
ดังนั้นสรรพสิ่งที่ไม่มีใจครองมันจึงไม่มีทุกข์

ที่เราไม่สบายกายไม่สบายใจเพราะ เราไม่เห็นทุกข์และไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์
เมื่อเห็นทุกข์และเห็นเหตุในไตรลักษณ์ ก็จะรู้ว่าทุกข์ในไตรลักษณ์ไม่ใช่ลักษณะ
ความเป็นทุกข์ของกายใจ


:b8: ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กฎไตรลักษณ์ คือ ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา/เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)

อนิจจัง หรือ ไม่เที่ยง คือ การเปลี่ยนแปลง การแปรปรวน การไม่คงที่
ทุกขัง คือ เสื่อมสภาพ ไม่ทนทาน
อนัตตา คือ ไม่มีตัวตน

ส่วนทุกข์ทางใจของมนุษย์ เกิดจากความไม่เที่ยงของจิตในขันธ์ 5 ก็รวมอยู่ในกฎนี้

(สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา) คือ สิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นย่อมมีการเสื่อมสลาย สุดท้ายสิ่งนั้นก็ไม่มีตัวตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
กฎไตรลักษณ์ คือ ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา/เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)

อนิจจัง หรือ ไม่เที่ยง คือ การเปลี่ยนแปลง การแปรปรวน การไม่คงที่
ทุกขัง คือ เสื่อมสภาพ ไม่ทนทาน
อนัตตา คือ ไม่มีตัวตน

ส่วนทุกข์ทางใจของมนุษย์ เกิดจากความไม่เที่ยงของจิตในขันธ์ 5 ก็รวมอยู่ในกฎนี้

(สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา) คือ สิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นย่อมมีการเสื่อมสลาย สุดท้ายสิ่งนั้นก็ไม่มีตัวตน



เบญขันธ์ย่อมแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่น
แต่เพราะมีความยึดถือในขันธ์ ๕
โทมนัสจึงมีได้ เพราะความยึดถือ ฉะนี้แล

เบญขันธ์ย่อมแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่น
แต่เพราะปราศจากความยึดถือในขันธ์ ๕
โทมนัสจึงไม่ได้มี เพราะไม่มีความยึดถือ ฉะนี้แล

รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ฉะนี้แล


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 20 ม.ค. 2012, 21:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคำถามเจ้าของกระทู้

Quote Tipitaka:
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน

แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์ ความประจวบ กับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน? ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง เกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ อันนี้เรียกว่า ชาติ

ก็ชราเป็นไฉน? ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่น ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ อันนี้ เรียกว่า ชรา

ก็มรณะเป็นไฉน? ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ อันนี้เรียกว่า มรณะ

ก็โสกะเป็นไฉน? ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะของบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรม คือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว อันนี้เรียกว่า โสกะ

ก็ปริเทวะเป็นไฉน? ความคร่ำครวญ ความร่ำไร รำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของ บุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว อันนี้เรียกว่า ปริเทวะ

ก็ทุกข์เป็นไฉน? ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์ ซึ่งเกิดแต่กายสัมผัส อันนี้เรียกว่า ทุกข์

ก็โทมนัสเป็นไฉน? ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ดี ที่เป็นทุกข์ ซึ่งเกิดแต่มโนสัมผัส อันนี้เรียกว่า โทมนัส

ก็อุปายาสเป็นไฉน? ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความ พิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรม คือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว อันนี้เรียกว่า อุปายาส

ก็ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน? ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ ซึ่งมีแก่ผู้นั้น อันนี้เรียกว่า ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์

ก็ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน? ความไม่ประสบ ความไม่ พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความ ผาสุก ปรารถนาความเกษมจากโยคะ ซึ่งมีแก่ผู้นั้น คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อำมาตย์ หรือญาติสาโลหิต อันนี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์

ก็ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน? ความปรารถนา ย่อมบังเกิด แก่สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความ เกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา... ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา... ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเป็นธรรมดา ขอโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์

ก็โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน?

อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้(ที่ถูกครอบงำ หรือประกอบด้วยอุปาทาน แล้วเรียกว่า รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์) เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียก ทุกขอริยสัจ.




แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์ ความประจวบ กับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์.

จะเห็นว่าทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เหล่านี้
มีสภาพ มีสภาวะ มีสภาวะที่ทนได้ยาก เป็นสภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2012, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกขอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์ มีสภาวะเป็นของแท้ ได้แก่
มีสภาพบีบคั้น ๑
มีสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑
มีสภาพที่ทำให้เดือดร้อน ๑
มีสภาพที่แปรผันไป ๑


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 16:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เกิดจากความไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลง มีความแปรปรวน ไม่คงที่
ทุกข์ คือเสื่อมสภาพ ไม่คงทน (ตามกฎไตรลักษณ์) สิ่งไหนไม่ทนย่อมแตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น

ที่เราทุกข์กาย และทุกข์ใจเกิดจากขันธ์ 5 เพราะขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร