วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 18:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

[๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ฯ
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคต
ได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคต
มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อม
กล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า
ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า
ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมไม่
กล่าวตู่ตถาคต ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 564&Z=1616


เท่าที่ผมเห็นมาการแสดงความคิดเห็นของพวกเรานั้น จะเป็นความคิดที่แตกแยกกันเป็นสองฝ่ายแต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนถามตอบกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้ข้อเถียงต่างๆหรือเถียงแบบโมโหหรือข้างๆคูๆเพื่อหวังที่จะเอาชนะกันนั้นน้อยลง

บางคนอ่านพระไตรปิฎกจากพระพุทธเจ้าและอัครสาวก แล้วแสดงความเห็น

บางคนอ่านหนังสือครูบาอาจารย์บางยุคบางสมัย แล้วแสดงความเห็น

บางคนแสดงความคิดจากการอ่านหนังสือที่ตนซื้อมาตามร้านหรือประสบการณ์ของตน แล้วแสดงความเห็น

ความสำคัญของหนังสือที่เราควรอ่าน ควรจะเป็นหนังสืออะไรเป็นอันดับแรก ถ้าเกิดมีคนประสงค์ที่จะสืบศาสนาต่อไปเราควรจะรักษาอะไร อะไรเป็นดั้งเดิมของพุทธ ใครเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา ควรยึดใครเป็นต้นแบบในลำดับแรกสุด


ผมอยากเห็นผู้ที่ศึกษาพุทธวจนะแล้วปฏิบัติตาม ถกเถียงกันเองมากกว่าที่จะเห็นคนที่เรียนพุทธวจนะถกเถียงกับผู้ที่ศึกษาจากหนังสืออื่น(เฉพาะโต้เถียงกันเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า) เมื่อผมศึกษาจนเจอสูตรเกี่ยวกับการกล่าวตู่(หาความ)แล้ว ผมจึงระมัดระวังมากขึ้น ส่วนใหญ่การตั้งกระทู้ของผมนั้นจะยกสูตรพร้อมอ้างที่มาเสมอๆ ส่วนการตอบก็เช่นเดียวกัน

ถ้าจะมีบุคคลสงสัยว่ายึดอยู่แต่พระไตรปิฎก ผมก็ต้องตอบว่า”ผมศึกษาจนกว่าจะได้ระดับของผม แล้วจึงลงมือปฏิบัติ” ถ้าผมตายก่อนที่จะลงมือปฏิบัติผมก็ไปเทศน์หรือไตร่ตรองธรรมบนสวรรค์ได้อีก ถ้าอยู่ๆจะมาให้เพ่งฌานเลยผมไม่เอาด้วยคน เพราะว่าทุกคนเคยเกิดมาเพ่งฌานเป็นฤๅษี ดาบส ได้อภิญญามาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ในเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่เคยได้ลิ้มรสมรรคผลเสียที ตอนนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว เราควรเรียนพุทธวจนะของท่าน เพราะแต่ละสูตรนั้นท่านเคยแสดงมาแล้ว แล้วจึงนำมาบันทึก การอ่านพุทธวจนะก็เหมือนได้ฟังท่านแสดงธรรมในครั้งสมัยพุทธกาลนั่นเอง

ผมศึกษาพระไตรปิฎกก็จริง แต่ผมก็ไม่รับรองว่าถูกต้องทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจะเลือกเฉพาะสูตรที่เกี่ยวข้องกับโพธิปักขิยธรรม และจริยาของสงฆ์ในสมัยนั้นว่าดั้งเดิมนั้นปฏิบัติกันมาอย่างไร ท่านห้ามอะไรบ้าง เพื่อความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม ผมไม่สนว่าประเพณีนั้นนานแค่ไหน ผมสนแค่ว่าประเพณีนั้นเป็นบาปหรือเป็นบุญ เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง ผมจะทำลายประเพณีที่เป็นบาปโดยไม่สนว่ามันจะเก่าแก่หรือคนหัวขาวหรือหัวดำ ผมจะคัดเองเฉพาะประเพณีที่เป็นบุญเท่านั้น เพื่ออนาคตของพวกเรา และนี่ก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งที่ผมเข้ามาใช้เว็บนี้

ฉะนั้นทุกคนควรจะศึกษาพุทธวจนะเป็นอันดับแรกเพื่อป้องกันการกล่าวตู่ตถาคต และป้องกันบาปที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการกล่าวตู่ตถาคต อีกทั้งเพื่อลดความเห็นที่ไม่ตรงกันให้น้อยลงอีกด้วย.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 11:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ก็มีคนที่มีความเห็นเช่นคุณเพิ่มขึ้นวันละคน

:b1:

และต่างก็ค่อย ๆ ประคับประคอง ค่อย ๆ เสริมสร้างซึ่งกันและกัน

:b1:

ความงอกงามก็จะค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ เอง

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 11:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วท่านได้ตรวจดูตัวท่านเอง..ว่าเข้าข่ายกล่าวตู่พระธรรม...หรือไม่?

ผู้ที่เข้าถึงธรรม...แม้มีความกว้างลึกหนาบางไม่เท่ากัน...ท่านก็กล่าวเฉพาะธรรมที่ท่านพบท่านเจอ..

มันก็เป็นธรรม...

แต่กลับมี...นักเรียนพุทธวจนะ...มากล่าวว่าธรรมที่ท่านกล่าว...ไม่ใช่ธรรม

ธรรมะต้องมีในหนังสือนี้...นี้มันจะพากันลงนรกแล้ว...รู้ตัวรึไม่ก็ไม่รู้

กฎบครูบาอาจารย์ตนผู้ถึงซึ่งจรณะ...ต่อไปคงได้กฎบพระพุทธเจ้า...

ตอนนี้กำลังหลงตนว่า...ปัญญาพินิจพิเคราะห์ของตน...เลิศซะไม่มี

แต่ธรรมะปฏิบัติแห่งตน...อยู่หนใด

ธรรมะท่านสอนไม่ให้เราประมาท....

อ้างคำพูด:
ผมศึกษาจนกว่าจะได้ระดับของผม แล้วจึงลงมือปฏิบัติ” ถ้าผมตายก่อนที่จะลงมือปฏิบัติผมก็ไปเทศน์หรือไตร่ตรองธรรมบนสวรรค์ได้อีก


ท่านแน่ใจรึ...ว่า..ที่สวรรค์...ท่านยังจะคิดเหมือนเดิม...นั้นมันคนละคนแล้วนะนั้น
ประมาท...มาก

ผู้ไม่ประมาท...ต้องละสังโยชน์ 3 ข้อแรก..ให้ได้ชาตินี้..เป็นอย่างน้อย

อ่านหนังสือแต่ไม่ทำตาม...มันใช้ได้ที่ไหน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2012, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tonnk เขียน:
ฉะนั้นทุกคนควรจะศึกษาพุทธวจนะเป็นอันดับแรกเพื่อป้องกันการกล่าวตู่ตถาคต
และป้องกันบาปที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการกล่าวตู่ตถาคต อีกทั้งเพื่อลดความเห็น
ที่ไม่ตรงกันให้น้อยลงอีกด้วย.

คุณtonngครับ ปัญหาของผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆ มันไม่ได้อยู่ตรงที่
เนื้อหาในพระสูตรที่คุณยกมาหรอกครับ บุคคลสองจำพวกที่กล่าวไว้ว่าเป็นการกล่าวตู่
พระพุทธเจ้า สำหรับสมาชิกในนี้พอจะอภัยกันได้ครับ เพราะว่ามันเกิดจากความไม่รู้
1.ก็คือไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าได้แสดงภาษิตไว้
2.รู้ว่าพระพุทธเจ้าแสดงภาษิตไว้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของพระไตรปิฎก

ปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ตรงที่ คนชอบยกเอาพุทธพจน์มาอ้างแบบผิดๆ
เอาพุทธพจน์ตีความเข้าข้างตัวเอง โดยยึดเอาแต่เพียงว่า มีบัญญัติที่คล้ายๆกัน
ธรรมของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยปัญญาไปตีความ เพราะธรรมมีตั้งมากมาย
ต้องใช้ให้ถูกกับธรรมที่เกิดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆแล้ว ไม่นั่งสมาธิเพื่อเอาความสงบก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนทั้งหลายปฏิบัติชอบตั้งแต่ถือศีล5ให้ได้ คิดดี ทำดี พูดดีทั้งกาย วาจา ใจ เหล่านี้คือข้อปฏิบัติที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทุกวันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนธรรมแค่พระสงฆ์ แต่รวมถึงคนทั้งหลายทั้งนับถือพระรัตนตรัย และคนนอกศาสนา

คำสุดท้ายของพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงการจำคำสอนให้ดีให้ได้ แต่กล่าวว่า สังขารไม่เที่ยง จงยังประโยชน์แห่งตนและบุคคลอื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท หมายถึงกระทำให้ได้ดีที่สุดในชาตินี้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมศึกษาพระไตรปิฎกก็จริง แต่ผมก็ไม่รับรองว่าถูกต้องทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจะเลือกเฉพาะสูตรที่เกี่ยวข้องกับโพธิปักขิยธรรม และจริยาของสงฆ์ในสมัยนั้นว่าดั้งเดิมนั้นปฏิบัติกันมาอย่างไร ท่านห้ามอะไรบ้าง เพื่อความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม ผมไม่สนว่าประเพณีนั้นนานแค่ไหน ผมสนแค่ว่าประเพณีนั้นเป็นบาปหรือเป็นบุญ เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง ผมจะทำลายประเพณีที่เป็นบาปโดยไม่สนว่ามันจะเก่าแก่หรือคนหัวขาวหรือหัวดำ ผมจะคัดเองเฉพาะประเพณีที่เป็นบุญเท่านั้น เพื่ออนาคตของพวกเรา และนี่ก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งที่ผมเข้ามาใช้เว็บนี้


แล้วคำว่า อุเบกขา นั้น ก็คือการวางเฉยต่อบางอย่างที่กำลังของคนๆหนึ่งจะทำได้ สมัย พุทธกาลที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็มีพิธีบูชายันต์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็มากของคนนับถือศาสนาอื่นอยู่ตลอด พระพุทธเจ้าไม่สามารถไปห้ามคนทำนั่นทำนี่ได้ เพราะเป็นกระแสแห่งโลก เป็นปฏิจจสมุปบาท ตัวเราต้องดูที่เรา ไม่ใช่ดูที่คนอื่นครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2012, 19:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:

ตัวเราต้องดูที่เรา ไม่ใช่ดูที่คนอื่นครับผม


... :b8: :b8: :b8: ....

พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ใน...

ลูกศิกษ์พระศาสดากลับบ้าไปแก้นอก...

s002 s002 ..เหนื่อยนะพวกนี้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 12:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1:

ถ้าเราเลือกที่จะเลิกกล่าวตู่ โดยไม่พูดอะไรเลยล่ะ

คือ จะรู้หรือไม่ จะเข้าใจหรือไม่ ยังไงก็ไม่พูดซะ

:b3: :b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: :b1:

ถ้าเราเลือกที่จะเลิกกล่าวตู่ โดยไม่พูดอะไรเลยล่ะ

คือ จะรู้หรือไม่ จะเข้าใจหรือไม่ ยังไงก็ไม่พูดซะ

:b3: :b3: :b3:

อยู่ในใจใครจะไปรู้อ่ะ แต่นี่กำลังฝึกเจโตปริยญาณอยู่อ่ะ อิอิ .. :b13: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 14:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 18:22
โพสต์: 70


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครกล่าวตู่ คนนั้นขาดความละอาย เพราะอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั่นเองครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tonnk เขียน:
เท่าที่ผมเห็นมาการแสดงความคิดเห็นของพวกเรานั้น จะเป็นความคิดที่แตกแยกกันเป็นสองฝ่ายแต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนถามตอบกัน แต่เราจะทำอย่างไรให้ข้อเถียงต่างๆหรือเถียงแบบโมโหหรือข้างๆคูๆเพื่อหวังที่จะเอาชนะกันนั้นน้อยลง
บางครั้งผมก็เห็นท่านต่างๆ ถามธรรมกันธรรมดานะ ที่ดูเหมือนแรงเพราะกิเลสเรารับไม่ได้หรือไม่ต้องจริตเราต่างหาก

tonnk เขียน:
บางคนอ่านพระไตรปิฎกจากพระพุทธเจ้าและอัครสาวก แล้วแสดงความเห็น

บางคนอ่านหนังสือครูบาอาจารย์บางยุคบางสมัย แล้วแสดงความเห็น

บางคนแสดงความคิดจากการอ่านหนังสือที่ตนซื้อมาตามร้านหรือประสบการณ์ของตน แล้วแสดงความเห็น

ความสำคัญของหนังสือที่เราควรอ่าน ควรจะเป็นหนังสืออะไรเป็นอันดับแรก ถ้าเกิดมีคนประสงค์ที่จะสืบศาสนาต่อไปเราควรจะรักษาอะไร อะไรเป็นดั้งเดิมของพุทธ ใครเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา ควรยึดใครเป็นต้นแบบในลำดับแรกสุด
ยึดตามธรรมครับ


tonnk เขียน:
ผมอยากเห็นผู้ที่ศึกษาพุทธวจนะแล้วปฏิบัติตาม ถกเถียงกันเองมากกว่าที่จะเห็นคนที่เรียนพุทธวจนะถกเถียงกับผู้ที่ศึกษาจากหนังสืออื่น(เฉพาะโต้เถียงกันเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า) เมื่อผมศึกษาจนเจอสูตรเกี่ยวกับการกล่าวตู่(หาความ)แล้ว ผมจึงระมัดระวังมากขึ้น ส่วนใหญ่การตั้งกระทู้ของผมนั้นจะยกสูตรพร้อมอ้างที่มาเสมอๆ ส่วนการตอบก็เช่นเดียวกัน
ผมไม่กล้ากล่าวล่วงว่าแต่และท่านทำหรือไม่ทำนะ ผมว่าถึงอย่างไรก็บ้างทำไม่มากก็น้อย ถ้าเราทำยังไม่เจอธรรม มาถกกันก็ต้องแล่ธรรมดูว่าธรรมของเราผิดหรือถูกอย่างไร อาจจะแรงบ้างก็ว่ากันไปตามที

tonnk เขียน:
ถ้าจะมีบุคคลสงสัยว่ายึดอยู่แต่พระไตรปิฎก ผมก็ต้องตอบว่า”ผมศึกษาจนกว่าจะได้ระดับของผม แล้วจึงลงมือปฏิบัติ” ถ้าผมตายก่อนที่จะลงมือปฏิบัติผมก็ไปเทศน์หรือไตร่ตรองธรรมบนสวรรค์ได้อีก ถ้าอยู่ๆจะมาให้เพ่งฌานเลยผมไม่เอาด้วยคน เพราะว่าทุกคนเคยเกิดมาเพ่งฌานเป็นฤๅษี ดาบส ได้อภิญญามาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ในเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่เคยได้ลิ้มรสมรรคผลเสียที ตอนนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว เราควรเรียนพุทธวจนะของท่าน เพราะแต่ละสูตรนั้นท่านเคยแสดงมาแล้ว แล้วจึงนำมาบันทึก การอ่านพุทธวจนะก็เหมือนได้ฟังท่านแสดงธรรมในครั้งสมัยพุทธกาลนั่นเอง
บุคคลบางท่านทำมาจนล้นแล้วหรือเกือบเต็ม พอได้ฟังธรรมก็ตัดที่ล้นหรือเติมที่ขาดอีกนิดให้เต็มก็บรรลุธรรม บุคคลบางท่านทำมาถึงไม่เยอะแต่ก็มากก็ต้องมาทำเพิ่มเพื่อให้ธรรมเป็นธรรมจึงได้บรรลุธรรม

tonnk เขียน:
ผมศึกษาพระไตรปิฎกก็จริง แต่ผมก็ไม่รับรองว่าถูกต้องทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจะเลือกเฉพาะสูตรที่เกี่ยวข้องกับโพธิปักขิยธรรม และจริยาของสงฆ์ในสมัยนั้นว่าดั้งเดิมนั้นปฏิบัติกันมาอย่างไร ท่านห้ามอะไรบ้าง เพื่อความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม ผมไม่สนว่าประเพณีนั้นนานแค่ไหน ผมสนแค่ว่าประเพณีนั้นเป็นบาปหรือเป็นบุญ เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง ผมจะทำลายประเพณีที่เป็นบาปโดยไม่สนว่ามันจะเก่าแก่หรือคนหัวขาวหรือหัวดำ ผมจะคัดเองเฉพาะประเพณีที่เป็นบุญเท่านั้น เพื่ออนาคตของพวกเรา และนี่ก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งที่ผมเข้ามาใช้เว็บนี้

ฉะนั้นทุกคนควรจะศึกษาพุทธวจนะเป็นอันดับแรกเพื่อป้องกันการกล่าวตู่ตถาคต และป้องกันบาปที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการกล่าวตู่ตถาคต อีกทั้งเพื่อลดความเห็นที่ไม่ตรงกันให้น้อยลงอีกด้วย.
ถ้อยคำทั้งปวงอยู่ที่ธรรมในถ้อยนั้น ปัญหาคือเราจะทราบได้อย่างไรว่าเรารู้เพียงคำหรือธรรมในถ้อยวจีนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 17:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b1: :b1:

ถ้าเราเลือกที่จะเลิกกล่าวตู่ โดยไม่พูดอะไรเลยล่ะ

คือ จะรู้หรือไม่ จะเข้าใจหรือไม่ ยังไงก็ไม่พูดซะ

:b3: :b3: :b3:

อยู่ในใจใครจะไปรู้อ่ะ แต่นี่กำลังฝึกเจโตปริยญาณอยู่อ่ะ อิอิ .. :b13: :b13:


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกตัวอย่างภิกษุผู้มีความเห็นผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างไร และจะประสบกับอะไร..?

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
๘. มหาตัณหาสังขยสูตร
ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

[๔๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามก
เห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ
ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น.
ภิกษุมากรูปด้วยกันได้ฟังว่า ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป
ไม่ใช่อื่น จึงเข้าไปหาสาติภิกษุแล้ว ถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อม
ท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
เธอตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่นดังนี้ จริง.
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นจึงซักไซ้ ไล่เลียง
สอบสวนว่า ดูกรท่านสาติ ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่
พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัย
ปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
เว้นจากปัจจัยมิได้มี.
ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร อันภิกษุเหล่านั้น ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่อย่างนี้
ก็ยังยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้
ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่
อื่น ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลายไม่อาจเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิ

[๔๔๑] เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นได้
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มี
พระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ครั้งนั้น พวก
ข้าพระองค์เข้าไปหาสาติภิกษุแล้วถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่อง-
*เที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? เมื่อพวกข้าพระองค์ถามอย่างนี้ สาติภิกษุได้บอกพวก
ข้าพระองค์ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริง ในลำดับนั้น พวกข้าพระองค์
ปรารถนาจะปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนว่า ดูกรท่าน
สาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดี
เลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิด
ขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุอันพวกข้าพระองค์ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่ แม้อย่างนี้ ก็ยัง
ยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึง
ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น
ดังนี้ จริง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามก
นั้น จึงมากราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค.
[๔๔๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง
มา เธอจงเรียกสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หา
ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่า ดูกรท่านสาติ
พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน.
สาติภิกษุรับคำภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว
จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป
ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี
ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆ-
*บุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความ
เกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย
ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษ
ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
ตรัสสอบถามเรื่องสาติภิกษุผู้มีความเห็นผิดนั้น
[๔๔๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สาติภิกษุผู้เกวัฏฏบุตรนี้ จะเป็นผู้ทำความเจริญในพระธรรมวินัยนี้บ้าง
หรือไม่?
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้จะมีได้อย่างไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร นั่งนิ่ง กระดาก คอตก ก้มหน้า
ซบเซา หมดปฏิภาณ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร มีความเป็นดังนั้นแล้ว
จึงตรัสกะเธอว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกของตนนั้น เราจักสอบถามภิกษุ
ทั้งหลายในที่นี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วเหมือนสาติภิกษุ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป
มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดังนี้หรือ?
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกัน
เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแก่พวกข้าพระองค์ โดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
เว้นจากปัจจัย มิได้มี.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดีละ พวกเธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้
ถูกแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้นเรากล่าวแล้ว โดยปริยายเป็น
เอนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ก็แต่สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรนี้ กล่าวตู่เรา
ด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ความเห็นนั้น
ของโมฆบุรุษนั้น จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 041&Z=8506


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2012, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ลงปาติโมกข์...150...แทน...227...ท่านว่ากล่าวตู่พระธรรทไหม?


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร