วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 06:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 16:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่ท่าน "ไม่เที่ยง เกิดดับ"ได้โพส ลงในกระทู้ สัญญา VS ปัญญา และอื่นๆ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
:b4: :b17:

สรุปแล้ว สัมมาิทิฐิ และสัมมาสังกัปปะ คือส่วนของ " ปัญญา " เมื่อมีปัญญาก็จะไม่ทำผิด พูดผิด
เรียกว่า คนมี "ศีล" เมื่อมีศีลแล้วสติ และ "สมาธิ" ก็เกิดขึ้นเอง ปัญญา ศีล สมาธิ คือ มรรคมีองค์ 8 ผลจากการปฏิบัติ ไม่ใช่แนวทางในการปฏิบัติ
ท่านต้องไปหาว่าปัญญาที่ใช้ดับทุกข์เกิดได้อย่างไร ใช้ดับอย่างไร แล้วได้ผลออกมาอย่างไร
ไม่ใช่แนะนำให้ไปเห็นชอบ คิดชอบ ทำชอบ อาชีพชอบ ท่านจะเห็นได้อย่างไรถ้าท่านยัง "เห็นผิด"


แต่ที่ผมฟังธรรมจากอาจารย์หลายท่าน และ หาข้อมูลมา ว่า มรรค 8 เป็นเหตุหรือ ทางสายกลางสำหรับปฎิบัติเพื่อเข้านิโรธ ซึ่งเป็นผล->นิพพาน

กระผมจึง งง ว่า ผมรู้มาถูกหรือไม่ จึงอยากข้อคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทั้งหลายครับ
ขอบคุณสำหรับคำตอบ และขออภัย ท่าน"ไม่เที่ยง เกิดดับ"ไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากทำให้โกรธเคือง แต่กระผมมิได้หวังร้ายกับท่านแน่นอน ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1:

ลองพิจารณาตามพระสูตรที่พระอรหันต์ในยุคนั้นแจงไว้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค


Quote Tipitaka:
มหาวรรค มรรคกถา

[๕๒๗] คำว่า มคฺโค ความว่า ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น เป็นมรรคและ
เป็นเหตุเพื่อละมิจฉาทิฐิ
เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย
เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความ
ผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้
สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งอยู่ในนิโรธ
สัมมาสังกัปปะเพราะอรรถว่าดำริ เป็นมรรค และเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ ...
สัมมาวาจาเพราะอรรถว่ากำหนดเอา เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวาจา ...
สัมมากัมมันตะ เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉากัมมันตะ ...
สัมมาอาชีวะเพราะอรรถว่าผ่องแผ้ว เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาอาชีวะ ...
สัมมาวายามะเพราะอรรถว่าประคองไว้ เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวายามะ ...
สัมมาสติเพราะอรรถว่าตั้งมั่น เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสติ ...
สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสมาธิ
เพื่ออุปถัมภ์-*สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่ง
ปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรม
พิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ ฯ

[๕๒๘] ในขณะสกทาคามิมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ
สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราค-
*สังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ... ฯ
ในขณะอนาคามิมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิ
เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราคสังโยชน์
ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ... ฯ
ในขณะอรหัตมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิ
เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ
อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ราคานุสัย อวิชชานุสัย เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม
เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความ
ตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอด
ธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ ฯ

[๕๒๙] สัมมาทิฐิเป็นมรรคแห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นมรรคแห่ง
ความดำริ สัมมาวาจาเป็นมรรคแห่งการกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นมรรคแห่ง
สมุฏฐาน สัมมาอาชีวะเป็นมรรคแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นมรรคแห่ง
ความประคองไว้ สัมมาสติเป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น สัมมาสมาธิเป็นมรรคแห่ง
ความไม่ฟุ้งซ่าน [b]สติสัมโพชฌงค์
เป็นมรรคแห่งการเลือกเฟ้น วิริยสัมโพชฌงค์
เป็นมรรคแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความแผ่ซ่านไป
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่ง
ความไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธา-
*พละ
เป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นมรรค
แห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน สติพละเป็นมรรคแห่งความไม่
หวั่นไหวไปในความประมาท สมาธิพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปใน
อุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา สัทธินทรีย์
เป็นมรรคแห่งความน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์เป็นมรรคแห่งความประคองไว้
สตินทรีย์เป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น สมาธินทรีย์เป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญินทรีย์เป็นมรรคแห่งความเห็น อินทรีย์เป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ พละ
เป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นมรรคเพราะอรรถว่านำออก
ชื่อว่ามรรคเพราะอรรถว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตั้งมั่น
สัมมัปปธานเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นมรรคเพราะอรรถว่าให้
สำเร็จ สัจจะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าถ่องแท้ สมถะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่
ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าพิจารณาเห็น สมถะและวิปัสสนาเป็น
มรรคเพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นมรรคเพราะอรรถว่า
ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าสำรวม จิตตวิสุทธิเป็นมรรค
เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ทิฐิวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเห็น วิโมกข์เป็นมรรค
เพราะอรรถว่าหลุดพ้น วิชชาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าแทงตลอด วิมุตติเป็นมรรค
เพราะอรรถว่าปล่อย ญาณในความสิ้นไปเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตัดขาด ฉันทะ
เป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นมูล มนสิการเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน
ผัสสะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุม เวทนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่
รวม สมาธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นประธาน สติเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็น
ใหญ่ ปัญญาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นธรรมอันยิ่งกว่าธรรมนั้น วิมุตติเป็นมรรค
เพราะอรรถว่าเป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็น
ที่สุด ฯ[/b]

จบมรรคกถา ฯ


:b8: :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ม.ค. 2012, 17:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 17:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
จากที่ท่าน "ไม่เที่ยง เกิดดับ"ได้โพส ลงในกระทู้ สัญญา VS ปัญญา และอื่นๆ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
:b4: :b17:

สรุปแล้ว สัมมาิทิฐิ และสัมมาสังกัปปะ คือส่วนของ " ปัญญา " เมื่อมีปัญญาก็จะไม่ทำผิด พูดผิด
เรียกว่า คนมี "ศีล" เมื่อมีศีลแล้วสติ และ "สมาธิ" ก็เกิดขึ้นเอง ปัญญา ศีล สมาธิ คือ มรรคมีองค์ 8 ผลจากการปฏิบัติ ไม่ใช่แนวทางในการปฏิบัติ
ท่านต้องไปหาว่าปัญญาที่ใช้ดับทุกข์เกิดได้อย่างไร ใช้ดับอย่างไร แล้วได้ผลออกมาอย่างไร
ไม่ใช่แนะนำให้ไปเห็นชอบ คิดชอบ ทำชอบ อาชีพชอบ ท่านจะเห็นได้อย่างไรถ้าท่านยัง "เห็นผิด"


แต่ที่ผมฟังธรรมจากอาจารย์หลายท่าน และ หาข้อมูลมา ว่า มรรค 8 เป็นเหตุหรือ ทางสายกลางสำหรับปฎิบัติเพื่อเข้านิโรธ ซึ่งเป็นผล->นิพพาน

กระผมจึง งง ว่า ผมรู้มาถูกหรือไม่ จึงอยากข้อคำแนะนำจากท่านผู้รู้ทั้งหลายครับ
ขอบคุณสำหรับคำตอบ และขออภัย ท่าน"ไม่เที่ยง เกิดดับ"ไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากทำให้โกรธเคือง แต่กระผมมิได้หวังร้ายกับท่านแน่นอน ครับ


มรรคมีองค์ 8 ได้จากการวิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนา (เหตุ) > มรรคมีองค์ 8 เป็น (ผล)
มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นเหตุได้เหมือนกัน ก็คือเป็นเหตุให้นำไปสู่นิพพาน (ผล)
แต่ก่อนที่จะได้มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องฝึกปฏิบัิติจากการวิปัสสนาภาวนา นี่คือแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่นำมรรคมีองค์ 8 มาปฏิบัติได้ทันที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนากับคุณฝึกจิตที่แยกกระทู้มา
:b12:
ผมได้พบจุดทีคุณไม่เที่ยง เกิดดับ เข้าใจผิดเรื่องมรรค 8 แล้ว จากคำอธิบายของเขาดังยกมานี้

มรรคมีองค์ 8 ได้จากการวิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนา (เหตุ) > มรรคมีองค์ 8 เป็น (ผล)
มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นเหตุได้เหมือนกัน ก็คือเป็นเหตุให้นำไปสู่นิพพาน (ผล)
แต่ก่อนที่จะได้มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องฝึกปฏิบัิติจากการวิปัสสนาภาวนา นี่คือแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่นำมรรคมีองค์ 8 มาปฏิบัติได้ทันที
Onion_L
คุณไม่เที่ยง เกิดดับครับ วิปัสสนาภาวนาคือชื่อย่อของการเจริญมรรคมีองค์ 8 เลยทีเดียวครับ
เจริญวิปัสสนาภาวนากับเจริญมรรค 8 เป็นอันเดียวกัน
พระพุทธบิดาจึงได้ทรงย้ำนักย้ำหนาในวันปฐมเทศนาว่า

ทุกข์ ควรกำหนดรู้
สมุทัย ควรละ
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง

มรรค ควรเจริญ

มรรค 8 เป็นเรื่องที่ต้องเจริญเพราะสัมมาทั้ง 8 ข้อ เป็นเรื่องที่่จะต้องเจริญเติบโตขึ้นไปตามลำดับเริ่มจาก ศูนย์
คือโง่ ไม่รู้ มารับสุตตมยปัญญาเรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 จนรู้และเข้าใจอริยสัจ 4 มรรค 8 โดยทฤษฎี
จินตมยปัญญาดูแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีถูกต้องน่าเชื่อถือศรัทธา เลื่อมใส จนเกิดสัมมาทิฐิโดยทฤษฎี แล้วอยากพิสูจน์ความจริงโดยการปฏิบัติ จึงลงมือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8 ไปจนเกิดสัมมาทิฐิที่สมบูรณ์เต็ม 100 จากการปฏิบัติ คือเห็น รู้ซึ้งและยอมรับอนัตตา ด้วยใจ จากนั้น โสดาปัตติมรรคญาณ จึงจะเกิดขึ้นมาตัดทำลายความเห็นผิด สักกายทิฐิให้ดับขาดเข้าไปเสวยนิพพานธาตุ เจิญวิปัสสนาภาวนาต่อไปอีก จนถึงสกทาคามีมรรค-ผล อนาคามีมรรค-ผล และอรหัตมรรค-ผล ทำลายมานะทิฐิหมดสิ้น สังโยชน์ 10 หมดเกลี้ยง ก็เป็นการสิ้นสุดกิจวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8


วิปัสสภาวนาคือการเจริญ ปัญญามรรค สมาธิมรรค ไปพร้อมๆกัน โดยมีศีลมรรคเป็นกองหนุน
tongue
:b36:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 16 ม.ค. 2012, 20:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
:b37:
มาดูเรื่องวิปัสสาภาวนากันหน่อยนะครับว่าเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไร

วิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนาภาวนา เป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน
เป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของการ การ ดู เห็น รู้ การสังเกต พิจารณา ศึกษาเข้าไปในกายและจิตเพื่อให้เห็นความจริงจนใจยอมรับและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
วิปัสสนาภาวนา มาจากคำว่า “วิ” + “ปัสสนา” + “ภาวนา”
วิ มาจากคำว่า “วิเศษ” สิ่งวิเศษ ที่เกิดขึ้นในกายในใจของมนุษย์นั้น ไม่สามารถเห็นหรือรู้ได้ด้วยเครื่องมืออื่นๆ นอกจากตาปัญญา ตาสติ ของมนุษย์ สิ่งวิเศษนั้นคือ ความรู้สึก นึก คิด อารมณ์ธรรมหรือ สภาวธรรมต่างที่เกิดขึ้นภายในกายและจิตนั่นเอง เช่น ความสุข ทุกข์ เจ็บ สบาย ร้อน หนาว หนัก เบา แข็ง อ่อน ดีใจ เสียใจ โลภ โกรธ หลง ต่างๆ
ปัสสนา มาจากคำว่า “ทัศนา” แปลว่า ดู เห็น หรือ รู้ ในทางปฏิบัติหมายถึงตาปัญญาสัมมาทิฐินั้นเลยทีเดียว
ภาวนา แปลว่า เจริญ หรือทำให้มีขึ้น แต่คำว่าภาวนา เมื่อมาตามท้าย วิปัสสนาแล้วจะมีความหมายไปถึง การ สังเกต พิจารณา อันเป็นความหมายของตาปัญญาสัมมาสังกัปปะนั้นเอง
ดังนั้นคำว่า “วิปัสสนาภาวนา” จึงมีความหมายว่า การเฝ้า ดู เห็น รู้
และ สังเกต พิจารณา เข้าไปในกายและจิต จนเห็นสิ่งวิเศษคือสภาวธรรมความจริงทั้งหลายที่กำลังแสดงอยู่
เมื่อเห็น รู้ และสังเกต พิจารณาอยู่กับสภาวธรรมทั้งหลายไปไม่นานก็จะได้เข้าใจถึงธรรมดาของการทำงานของกายและจิตว่า จะมีการ
กระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือทวารทั้ง ๖ นี้ตลอดเวลา โดยจะรู้ชัดเจนตรงปัจจุบันขณะหรือปัจจุบันอารมณ์ อารมณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา เป็นอนิจจัง เป็นทุกขังเพราะทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา เพราะบังคับบัญชาไม่ได้
ชีวิตมีความจริงเฉพาะตรงปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น ก่อนหรือหลังจากนั้นเป็น อนาคตและอดีตซึ่งทำอะไรแก้ไขอะไรไม่ได้เลย
การกระทำหรือกรรมต่างๆจึงสำคัญที่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นทั้งยังเป็นสิ่งที่จะชี้อนาคตและอดีตของจิตหรือบุคคลผู้นั้นด้วย
วิปัสสนาภาวนาจึงมีจุดรวมของงานที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ “ปัจจุบันอารมณ์”
การทำวิปัสสนาภาวนามีคำสรุปว่า
“การเฝ้า ดู เห็น รู้ และ สังเกต พิจารณา เข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์”
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วก็จะเห็นว่าเป็นการนำเอาปัญญาสัมมาทิฐิกับปัญญาสัมมาสังกัปปะมาทำงานร่วมกันกับสัมมาสติ หรือเอาปัญญากับสติมาทำงานร่วมกัน
ปัญญาทำหน้าที่ ดู สังเกต สติมีหน้าที่กำกับจิตให้อยู่กับปัจจุบัน
สัมมาสมาธิเล่าอยู่ที่ใด
สมาธิ เป็นผลของการเจริญสติ เพราะถ้าสติระลึกรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ได้ดี สมาธิเขาจะเกิดมีขึ้นมาเองตามธรรมชาติ

การเจริญปัญญา สติ สมาธิ ร่วมกันอย่างนี้ก็คือการเจริญมรรคนั่นเองโดยมีสัมมาทิฐิปัญญามรรคเป็นประธานเป็นหัวหน้านำไป ถ้าสัมมาทิฐินำหน้าแล้ว มรรคที่เหลืออีก 7 ตัวเขาจะถูกดึงมาประชุมร่วมกันทำงานเองโดยธรรมชาติ
สิ่งสำคัญที่จะต้องเพิ่มเติมเข้าไปในการทำวิปัสสนาเพื่อให้เกิดความสำเร็จคือ “โยนิโสมนสิการ”อันแปลว่าความมีสติปัญญาทำงานด้วยความตั้งใจจริง
มนสิการ แปลว่า ตั้งใจ
โยนิโส แปลว่า ฉลาดแยบคายซึ่งหมายถึงการตั้งสติ ปัญญาขึ้นมาทำงาน
การทำวิปัสสนาภาวนาจึงมีคำสรุปสุดท้ายไว้ว่า
วิปัสสนาภาวนา คือการตั้งใจ ตั้งสติปัญญา ขึ้นมาเฝ้าดู เห็น รู้ สังเกต พิจารณาเข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะปัจจุบันอารมณ์
งานหลักของวิปัสสนาภาวนามีเพียงเท่านี้


สิ่งที่จะต้องรู้เสริมเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อให้การทำวิปัสสนาภาวนาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือ
๑.เริ่มต้นจากท่านั่ง สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ควรเริ่มทำวิปัสสนาภาวนาจากท่านั่งก่อน เมื่อชำนาญในการ ดู เห็น รู้ สังเกต พิจารณาแล้วจึงค่อยขยายไปทำในท่า ยืน เดิน นอน ให้ครบและทำวิปัสสนาภาวนาได้ในอิริยาบถทั้ง ๔ และทำได้ทุกเวลาทุกโอกาสในชีวิตประจำวัน
๒.เฉยและสงบนิ่ง ในการทำภาวนาแต่ละรอบ ให้มีสติกำหนดไว้ในใจว่า ข้าพเจ้าจะนั่งสงบนิ่งเฉยๆโดยไม่ทำงานอื่น นอกจากการเอาสติ ปัญญา มาเฝ้าตามดูตามรู้ ตามสังเกต พิจารณาเข้าไปในกายและจิต ที่ปัจจุบันอารมณ์จนตลอดรอบการภาวนา จะเป็นรอบละ ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมงหรือมากกว่าก็แล้วแต่ความสามารถที่จะทำได้ จะไม่พูด จะไม่ขยับเปลี่ยนท่าหรือทำอาการใดๆ
๓.เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ดี การเฝ้าดูเฝ้าสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั้นข้าพเจ้าจะกระทำตนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ดีอันอุปมาเหมือนบุรุษที่ยืนนิ่งเฉยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเฝ้าดูเฝ้าสังเกตสิ่งของต่างๆที่ไหลผ่านมาและผ่านไปในแม่น้ำ เท่านั้น โดยจะไม่กระทำการอื่นใดอีก
ถ้าทำได้ดีตามที่กำหนดใจไว้ข้างต้นนี้ท่านจะได้พบกับความก้าวหน้าในการเจริญวิปัสสนาภาวนาอย่างรวดเร็ว
ถ้าการภาวนาวิปัสสนาเป็นไปด้วยดีจะมีอะไรเกิดขึ้น
จะได้รู้ ได้เห็น กระบวนการทำงานของกายและจิต ว่า
เมื่อมีผัสสะ การกระทบของทวารทั้ง ๖ กับสิ่งที่มากระทบ จะเกิดเวทนา ความรู้สึก ตัณหาความอยากขึ้นมาแทบทุกทุกครั้งไป เป็นอารมณ์ธรรม ๑ สัมผัส ๑ อารมณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นอดีต แล้วก็เกิดผัสสะและอารมณ์ใหม่เกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ให้ได้ ดู ได้เห็น ได้รู้ ได้สังเกต พิจารณา สืบต่อหนุนเนื่อง หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปไม่หยุดยั้ง ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลานอนหลับในตอนค่ำจิตเข้าภวังค์หมดความรับรู้สัมผัส พอตื่นเช้าขึ้นมา มีสติ สัมปชัญญะรู้ตัว มีการรับรู้สัมผัส
ของทวารทั้ง ๖ ขึ้นมาอีก กระบวนการทำงานโดยธรรมชาติของจิตก็จะดำเนินการต่อไปเหมือนเช่นเคย
ถ้ารู้ทันปัจจุบันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ความสังเกต พิจารณา มีกำลัง คม ละเอียด เฉียบแหลม ก็จะได้เห็นถึงความจริงอันสำคัญว่า วันทั้งวันจะมีแต่ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของอารมณ์ เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปมา และบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ตลอดเวลา นี่คือปกติธรรมดาของชีวิตทุกชีวิต
ถ้าวิปัสสนาปัญญาเจริญขึ้นไปจนเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ในทุกอารมณ์จนเป็นปกติดีแล้วหลังจากนั้น ปัญญา จะสรุปตัวของเขาเองโดยธรรมชาติ โดยรู้ชัดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างใดอย่างหนึ่ง จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวาง และเข้าไปสลายความเห็นผิดยึดผิดว่าเป็นอัตตา ตัวตน ทำลายมิจฉาทิฐิ อันเป็นความมืดบอดไม่รู้บดบังใจ ให้มลายหายไป เกิดความสลัดคืนความมืดมิดหรืออวิชชา และแล้วแสงสว่าง แห่งปัญญา หรือวิชชา ก็จะเกิดขึ้นมาแทนที่โดยธรรม ทำให้เห็นชัดอนัตตา ดวงตาเห็นธรรมอันแท้จริงเกิดขึ้น เป็นแรงส่งให้ เกิดอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ ผลญาณและนิพพาน ปรากฏชัดขึ้นมาในจิต จิตเสวยนิพจพาน ๒ - ๓ ขณะแล้วดับไป เมื่อคลายออกมาแล้วก็จะเกิดการปัจเวก คือพิจารณาย้อนหลังว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีอะไรหมดสิ้นไป มีอะไรคงเหลือ ชีวิตใหม่หลังจากนั้นจะทำอย่างไรคำตอบจะเกิดขึ้นมาเองในจิตจนหมดความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

กรรม เวร วิบาก อริยสัจ ๔ มรรค ๘ อนัตตา ปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร ก็จะรู้ซึ้งขึ้นมาในจิตของเจ้าของผู้ภาวนา
อุปสรรคที่จะมากั้นขวางการทำวิปัสสนาภาวนา
๑.นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ มี
๑.กามฉันทะ ความยินดี พอใจในสัมผัส
๒.พยาบาท ความยินร้าย ไม่พอใจในสัมผัส
๓.อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน กุกุจจะ ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ลำคาญใจ
๔.ถีนะ ความเกียจคร้าน หดหู่ ห่อเหี่ยว มิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน
๕.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย รู้ไม่จริง

[color=#FF0000]นิวรณ์ทั้ง ๕ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกิดขึ้นในจิต ถ้าผู้ภาวนาอยู่
กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีจริงๆ ไม่หวั่นไหวหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้เมื่อถูกนิวรณ์อารมณ์แต่ละอย่างรบกวน นิ่งดู นิ่งสังเกต รู้ชัดตลอดสายตั้งแต่อารมณ์นั้น
เกิดขึ้น ตั้งอยู่จนดับไปต่อหน้าต่อตา นิวรณ์และอารมณ์นั้นๆจะ เบาบาจางไปเรื่อยๆ จนดับไป หรือหมดไปจากจิตใจ
นี่คือเคล็ดลับสำคัญในการขุดถอนกิเลส ตัณหา อัตตาและนิวรณ์ธรรมทั้งปวง


๒.ความยึดติดอยู่กับวิชาความรู้และรูปแบบ วิธีการเก่าๆที่เคยเชื่อถือศรัทธาหรือปฏิบัติมาก่อน
ข้อนี้ก็จะมาเป็นวิจิกิจฉานิวรณ์ในข้อ 1 นั่นแหละ แต่ต้องยกออกมาแสดงให้ชัดขึ้น การขุดถอนความติดยึดในความเห็นเช่นนี้ก็ต้องขุดถอนออกด้วยวิปัสสนาภาวนาวิปัสสนาปัญญาตามที่สรุปไว้เช่นกัน[/color]
๓.ผู้ที่ห่วงเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ขอให้สบายใจได้เลยว่า ถ้าท่านสามารถรักษาสติปัญญาให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีนั่นคือการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ โดยธรรมชาติ เพราะปัจจุบันอารมณ์ เป็นที่รวมแห่ง
ธรรมทั้งปวง ทั้งสติปัฏฐาน ๔ หรือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการล้วนมารวมลงที่ปัจจุบันอารมณ์ ถ้าท่านอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดี ไม่ช้าท่านจะเข้าใจและรู้ซึ้งอริยสัจ ๔ โดยสมบูรณ์
๔.ผู้ที่ห่วงเรื่องการเจริญอานาปานสติ ก็สบายใจได้เลยเพราะตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติ ลมหายใจเขาจะมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ปรากฏให้ต้องรู้ ต้องสังเกต พิจารณาสลับกับอารมณ์อื่นๆ อยู่ตลอดทางและที่สุดเมื่อความนึกคิดฟุ้งซ่านระงับไปนิวรณ์ทั้ง ๕ สงบรำงับลงไปแล้ว ท่านก็จะได้ลมหายใจนี่แหละเป็นอารมณ์ที่เด่นชัดสุดท้ายก่อนที่จิตจะเข้าถึงความสงบระดับฌาน
๕.ผู้ที่ห่วงเรื่องสมาธิไม่พอเพียงไม่เป็นสัมมาเพราะยังเข้าฌาน ๔ ไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะกระบวนการของวิปัสสนาภาวนานั้นเป็นกระบวนการทำสมาธิอยู่แล้วในตัว เนื่องจากวิปัสสนาภาวนาก็ต้องพบและขุดถอนทำลายนิวรณ์ ๕ ไปตลอดระยะทางของการภาวนา โดยเฉพาะนิวรณ์ข้อที่ ๑ กามฉันทะ ข้อที่ ๒ พยาบาท ซึ่งสรุปแล้วคือ อภิชฌาและโทมนัสสังหรือความยินดียินร้ายนั่นเอง การสู้กับนิวรณ์ ๒ ข้อแรกนี้ก็คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยอัตโนมัติ
วิปัสสนาภาวนาจึงเป็นการภาวนาที่เบ็ดเสร็จพร้อมในตัวทั้ง ปัญญา ศีล สติ และสมาธิ ตามมรรคมีองค์ ๘ที่สุดของวิปัสสนาภาวนาท่านจะ
ได้เข้าถึงสัมมาสมาธิโดยสมบูรณ์เช่นกัน แต่เราไม่เรียกว่าถึงฌาน ๔ เพราะที่ๆจิตหยุดคิดนึกปรุงแต่ง สงบนิ่งเฉยอยู่จนไร้ปฏิกิริยานั้นเราเรียกว่า “สังขารุเปกขาญาณ” อันเป็นญาณวิปัสสนาภาวนา
การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำวิปัสสนาภาวนา
ผู้ที่ประสงค์จะเจริญวิปัสสนาภาวนาจะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าดังต่อไปนี้
๑.ตรวจสอบชำระศีล และอธิษฐานศีล จะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ได้ สำหรับอุบาสก อุบาสิกา
๒.ตรวจสอบความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องและจำเป็นใช้สำหรับการทำวิปัสสนาภาวนา เช่นเรื่อง อริยสัจ ๔ มรรค ๘ อนัตตา ปัจจุบัน ฯลฯ
๓.ตรวจสอบความสามารถและต้นทุนเดิมที่ตนเองมีอยู่หรือเคยสร้างสมมาด้วย ลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจรและความสั่นสะเทือนในกาย
๔.เตรียมเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้และอุปกรณ์ที่จำเป็นใช้ ตลอดจนประสานงานเรื่องกำหนดเวลาอบรม อาหารและที่พักให้เรียบร้อยก่อนการฝึกอบรมหรือเจริญวิปัสสนาภาวนา
เรื่องการตรวจสอบทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับเทคนิคการปฏิบัติต้องได้รับการอธิบายชี้แนะโดยตรงกับกัลยาณมิตรผู้ทำหน้าที่สอนหรือเป็นที่ปรึกษา
การทำวิปัสสนาภาวนานั้นจะต้องศึกษาควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงจึงจะเข้าใจและสามารถศึกษาต่อไปจนจบได้ จึงขอให้ท่านที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในการทำวิปัสสนาภาวนาไปเข้ารับการอบรมโดยตรงกับอาจารย์ผู้สอนจึงจะได้ผลดี

หากปารถนาจะมาปฏิบัติด้วยตนเอง ก็ขอให้ได้เริ่มต้นด้วยการไปเข้ารับการอบรมจากกัลยาณมิตรหรืออาจารย์ผู้สอนจนเข้าใจหลักการภาวนาและสามารถทำวิปัสสนาภาวนาได้ดีด้วยตนเองต่อหน้าผู้สอน
เสียก่อน อุปมาเหมือนนักเรียนที่ไปเรียนตัวแม่อักษร สระ พยัญชนะ จนรู้วิธีผสมอักษร วิธีสะกด จนอ่านหนังสือได้ดีด้วยตนเองแล้วจึงค่อยกลับมาอ่านหนังสือ เล่าเรียนเอาด้วยตนเองที่บ้าน
ขอให้ประสบความสำเร็จในการศึกษา ฝึกหัดและปฏิบัติวิปัสสนาภาวนากันทุกๆคนเทอญ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
สาธุ อนุโมทนากับคุณฝึกจิตที่แยกกระทู้มา
:b12:
ผมได้พบจุดทีคุณไม่เที่ยง เกิดดับ เข้าใจผิดเรื่องมรรค 8 แล้ว จากคำอธิบายของเขาดังยกมานี้

มรรคมีองค์ 8 ได้จากการวิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนา (เหตุ) > มรรคมีองค์ 8 เป็น (ผล)
มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นเหตุได้เหมือนกัน ก็คือเป็นเหตุให้นำไปสู่นิพพาน (ผล)
แต่ก่อนที่จะได้มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องฝึกปฏิบัิติจากการวิปัสสนาภาวนา นี่คือแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่นำมรรคมีองค์ 8 มาปฏิบัติได้ทันที
Onion_L
คุณไม่เที่ยง เกิดดับครับ วิปัสสนาภาวนาคือชื่อย่อของการเจริญมรรคมีองค์ 8 เลยทีเดียวครับ
เจริญวิปัสสนาภาวนากับเจริญมรรค 8 เป็นอันเดียวกัน
พระพุทธบิดาจึงได้ทรงย้ำนักย้ำหนาในวันปฐมเทศนาว่า

ทุกข์ ควรกำหนดรู้
สมุทัย ควรละ
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง

มรรค ควรเจริญ

มรรค 8 เป็นเรื่องที่ต้องเจริญเพราะสัมมาทั้ง 8 ข้อ เป็นเรื่องที่่จะต้องเจริญเติบโตขึ้นไปตามลำดับเริ่มจาก ศูนย์
คือโง่ ไม่รู้ มารับสุตตมยปัญญาเรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 จนรู้และเข้าใจอริยสัจ 4 มรรค 8 โดยทฤษฎี
จินตมยปัญญาดูแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีถูกต้องน่าเชื่อถือศรัทธา เลื่อมใส จนเกิดสัมมาทิฐิโดยทฤษฎี แล้วอยากพิสูจน์ความจริงโดยการปฏิบัติ จึงลงมือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8 ไปจนเกิดสัมมาทิฐิที่สมบูรณ์เต็ม 100 จากการปฏิบัติ คือเห็น รู้ซึ้งและยอมรับอนัตตา ด้วยใจ จากนั้น โสดาปัตติมรรคญาณ จึงจะเกิดขึ้นมาตัดทำลายความเห็นผิด สักกายทิฐิให้ดับขาดเข้าไปเสวยนิพพานธาตุ เจิญวิปัสสนาภาวนาต่อไปอีก จนถึงสกทาคามีมรรค-ผล อนาคามีมรรค-ผล และอรหัตมรรค-ผล ทำลายมานะทิฐิหมดสิ้น สังโยชน์ 10 หมดเกลี้ยง ก็เป็นการสิ้นสุดกิจวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8


วิปัสสภาวนาคือการเจริญ ปัญญามรรค สมาธิมรรค ไปพร้อมๆกัน โดยมีศีลมรรคเป็นกองหนุน
tongue
:b36:


ใช่ครับผมเจริญมรรค 8 อย่างที่คุณเข้าใจ แต่น่าจะใช้คำว่า "วิปัสสนาภาวนา" เพราะวิปัสสนา แปลว่า ความจริง ภาวนา แปลว่า เจริญ รวมกัน คือ เจริญความจริง หรือ เจริญปัญญา ส่วนมรรคมีองค์ 8 คือ ผลที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ช่างมันเถอะท่านทั้งหลาย ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรอก พุทโธ พุทโธ พุทโธ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 09:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ช่างมันเถอะท่านทั้งหลาย ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรอก พุทโธ พุทโธ พุทโธ
:b8: :b8: :b8:


ใช่ครับไม่ควรยึดมั่น แต่ไม่ยึดความจริงก็ยากที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 13:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ช่างมันเถอะท่านทั้งหลาย ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรอก พุทโธ พุทโธ พุทโธ
:b8: :b8: :b8:


ใช่ครับไม่ควรยึดมั่น แต่ไม่ยึดความจริงก็ยากที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


ความจริงก็เท่านั้น ความเท็จก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเลย วางเสีย ว่างเปล่าทั้งนั้น

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 15:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ช่างมันเถอะท่านทั้งหลาย ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรอก พุทโธ พุทโธ พุทโธ
:b8: :b8: :b8:


ใช่ครับไม่ควรยึดมั่น แต่ไม่ยึดความจริงก็ยากที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


ความจริงก็เท่านั้น ความเท็จก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเลย วางเสีย ว่างเปล่าทั้งนั้น

:b8:


ใช่ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีตัวตน สรรพสิ่งที่เราเห็นเป็น สมมุติสัจจะ ความจริงแล้ว คือ ปรมัตถธรรม
เกิดขึ้น สุดท้ายดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 16:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าดับทุกข์ได้สิ้น
ก่อนจะเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเชื่อในกฎไตรลักษณ์ก่อน กฎนี้มีก่อนพระพุทธเจ้าเกิด
แต่ไม่มีใครเห็น มีแต่พระพุทธเ้ท่านั้นที่เห็นเป็นคนแรก ท่านเห็นว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ไม่คงทน
ไม่ยั่งยืน มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีตัวตนของมัน ทำให้เกิด ปัญญา รู้เห็นความจริงของโลกและชีวิต แล้วเอาปัญญาที่ได้มาดับต้นเหตุแห่งทุกข์ของตนเอง คือ ความโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดความเห็นชอบ/ไม่เห็นผิด คิดดี ทำดี สติและสมาธิก็ตั้งมั่น เกิดความสงบทางใจ หรือสุขถาวรขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2012, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ในพระไตรปิฎก เอาไว้สอนผู้มีปัญญาแล้ว หรือสัมมาทิฐิ รู้สิ่งไหนเป็นเหตุ รู้สิ่งไหนเป็นผล

จากคำสอนที่ว่า ดูกรภิกษุ................................คือ ผู้ผ่านการวิปัสนาภาวนามาแล้ว
ในพระไตรปิฎกจะสอนส่วนที่เป็น ผล เป็นส่วนมาก มรรคมีองค์ 8 คือส่วนที่เป็นผลจากการวิปัสสนาภาวนา แล้วในพระไตรปิฎกจะสอนให้เจริญมรรคมีองค์ 8 เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ไปสู่ขั้นต่อไป จนบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาไม่รู้เรื่อง อ่านตามความเข้าใจ จึงเอามรรคมีองค์ 8 ไปปฏิบัติทันที จึงไม่บังเกิดผล หาวิธีแ้ล้ววิธีเล่าก็ไม่เกิดผลออกมา ดับทุกข์ไม่ได้

- วิธีปฏิบัติสำหรับ ฆราวาส หรือปุถุชน ต้องวิปัสสนาภาวนาเท่านั้น
ิ- วิธีปฏิบัติสำหรับอริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคล ผู้มี สัมมาทิฐิ ต้องเจริญวิปัสสนาภาวนา/เจริญมรรค 8 เพิ่มมากขึ้น คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา นี่คือแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ไปสู่มรรคผลนิพพานเร็วขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 02:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน
แต่ก่อนที่จะได้มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องฝึกปฏิบัิติจากการวิปัสสนาภาวนา นี่คือแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ใช่นำมรรคมีองค์ 8 มาปฏิบัติได้ทันที


แต่ก่อนที่จะรู้ว่าวิปัสสนาภาวนาเป็นทางแห่งปัญญา ก็ต้องมีความเห็นที่เป็นปัญญาก่อน นั่นคือมรรคมีองค์8 ครับผม มรรคมีองค์8 ใช้สำหรับปฏิบัติได้ทันทีครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาที่เริ่มก่อตัวเพราะความเห็นที่ถูกย่อมพัฒนาขึ้นตามลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นสำหรับคนทั้งหลายที่เป็นบัวทั้ง4 เหล่า คือไม่จำกัดว่าต้องเป็นบัวที่จะพ้นน้ำแล้วเท่านั้น ไม่ใช่เจาะจงแต่เฉพาะบัวที่จะพ้นน้ำแล้วเท่านั้น เพียงแต่บัวที่จมใต้น้ำนั้นไม่สนใจในธรรม เช่นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่นั้นอาจจะเป็นบัวใต้น้ำอยู่ก็ได้เพราะความเห็นที่เป็นวิทยาศาสตร์มาบดบังจนไม่พิจารณาธรรมที่เป็นเครื่องหลุดพ้น แต่คนที่ไร้การศึกษาอยู่ตามป่าตามดงอาจจะเป็นบัวเหนือน้ำก็ได้เพราะหากเพียงแต่ได้ฟังธรรมที่ตรงกับจริตก็อาจจะได้ปัญญาเป็นแนวทางให้พ้นทุกข์ได้ มรรคมีองค์8 เป็นธรรมและเป็นแนวทางที่วางไว้สำหรับคนทั้งหลายที่ตั้งแต่ยังไม่เป็นพระอริยะบุคคลจนกระทั่งเป็นพระอริยะบุคคล ไม่จำกัดหรือห้ามบุคคลใดคนหนึ่ง คนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาอาจจะปฏิบัติตนในทางแห่งมรรคมีองค์8ได้มากกว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธก็ได้เพราะฒรรคมีองค์8คือความดีที่ถูกทางตั้งแต่ พูดจาดี คิดดี มีเมตตา กรุณา เหล่านี้ล้วนแต่เป็นมรรคมีองค์8ทั้งนั้น ดังนั้นการที่เป็นคนนับถือพุทธศาสนาก็อย่าได้ประมาทในธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ด้วยว่าตัวเองรู้ลึกซึ้งจนมองข้ามสิ่งที่เล็กน้อยเช่น มรรคมีองค์8 มาทีหลัง เป็นธรรมที่วางไว้สำหรับพระอริยะบุคคลที่มีปัญญาแล้ว อย่างนี้เป็นความเห็นที่ผิด เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้วนั้น ล้วนแต่สำหรับมนุษย์ทั้งหลายให้ปฏิบัติ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ตัวอย่างสำคัญที่ทำให้เราได้เห็นความจริงว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนาคือการเจริญมรรคมีองค์ 8
ดังเช่นสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นองค์สำคัญของวิปัสสนาภาวนา

กาเย กายานุปัสสี วิหาระติ (เวทนาสุเวทนานุปัสสี จิตเตจิตตานุปัสสี ธัมเมสุธัมมานุปัสสีวิหาระติ)
เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกาย (เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม) อยู่เนืองๆ

ท่อนนี้เป็นการเจริญสัมมาทิฐิ คือการดู เห็น รู้ สัมมาสังกัปปะ คือการสังเกตพิจารณา เข้าไปใน กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นและรู้จัก กายในกาย เวทนา ในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งเมื่อสรุปแล้วก็คือ
อภิชฌาและโทมนัสสัง คือความยินดียินร้ายนั่นเอง

อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละที่จะเผากิเลส

ท่อนนี้เป็นการเจริญสมาธิมรรค สัมมาวายามะและสัมมาสมาธิ

สัมปฌาโน = มีสัมมาปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อม
ท่อนนี้เป็นการเจริญปัญญามรรคสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ตั้งขึ้นมาค้นหาและรู้สภาวธรรม

สติมา = มีความระลึกรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ที่แปรปรวนไปในฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนาจิต ธรรม อยู่ตลอดเวลา
ท่อนนี้เป็นการเจริญสมาธิมรรค คือสัมมาสติ

วิเนยะ = เอาออกเสียให้ได้
ท่อนนี้เป็นงานรวมที่ทั้งสติ ปัญญา วายามะความเพียร สมาธิ โดยมีสัมมาสังกัปปะปัญญามรรคเป็นผู้ดำริ คิดค้น หาเหตที่มาของความพอใจไม่พอใจ หรือยินดียินร้าย จนพบต้นเหุต(ซึ่งก็คือความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็นเรา นั่นเอง)แล้วเอาออกเสียให้ได้ด้วยสติปัญญา ตบะ ขันติ วิริยะ สมาธิ ศรัทธา

โลเก = โลกีย์ โลก ซึ่งเกิดเป็นโลกขึ้นมาได้ก็ด้วยความปรุงแต่งจากเวทนาจากสัมผัสของทวารทั้ง 6 นั่นเอง

ท่อนนี้ก็ต้องใช้ปัญญามรรค วินิจฉัย


อภิชฌา = ความยินดี พอใจ อันจักก่อให้เกิด กามตัณหา โมหะ และภวตัณหา โลภะ ตามมา

โทมนัสสัง = ความยินร้าย ไม่พอใจ อันจะทำให้เกิด วิภวตัณหา โทสะ พยาบาท ตามมา

เมื่อสติปัญญาและองค์ธรรมที่สนับสนุนละความยินดีหรือยินร้ายในผัสสะได้ (ละอัตตา กู ที่ไปยินดียินร้ายได้)ผลก็จะเกิดเป็น อุเบกขา กรรมใหม่ก็ไม่เกิด วิบากกรรมเก่าในเรื่องที่ยินดียินร้ายนั้นๆก็จะถูกขุดถอนไปจากสัญญาและหมดอุปาทานแรงยึดถือ

ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ซ่อนเร้นอยู่ ยากจะรู้ได้ด้วยสติปัญญาอันหยาบ เพราะถ้าถอนอุปาทานในสัญญาทุกเรื่องได้ นี่คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบตามโอวาทปาฏิโมกข์ข้อที่ 3 เลยทีเดียว

:b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร