วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 22:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 17:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วอนผู้ศึกษาพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม ช่วยบอกด้วยครับ ผมอยากนำไปศึกษา และปฏิบัติให้ถูกต้อง

onion onion onion onion
ขอบพระคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


หานิสูตร

[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความ
เสื่อมแก่อุบาสก ๗ ประการเป็นไฉน
คือ อุบาสกขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ ๑
ละเลยการฟังธรรม ๑ ไม่ศึกษาในอธิศีล ๑ ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งที่
เป็นเถระ ทั้งเป็นผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑ ตั้งจิตติเตียนคอยเพ่งโทษฟังธรรม ๑
แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ทำสักการะก่อนในเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่อุบาสก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก
๗ ประการเป็นไฉน คือ อุบาสกไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ ๑ ไม่ละเลยการฟัง
ธรรม ๑ ศึกษาในอธิศีล ๑ มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ทั้งเป็น
ผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑ ไม่ตั้งจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษฟังธรรม ๑ ไม่แสวงหา
เขตบุญภายนอก ๑ กระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ ๑ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก ฯ
อุบาสกใดขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน ละเลยการฟัง
อริยธรรม ไม่ศึกษาในอธิศีล มีความไม่เลื่อมใสเจริญยิ่งๆ
ขึ้นไป ในภิกษุทั้งหลาย ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม
แสวงหาเขตบุญอื่นภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะ
ก่อนในเขตบุญภายนอกศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพธรรม
อันเป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม อันเราแสดงแล้ว ๗ ประการ
นี้แล ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม อุบาสกใดไม่ขาดการเยี่ยม
เยียนภิกษุผู้อบรมตน ไม่ละเลยการฟังอริยธรรม ศึกษาอยู่
ในอธิศีล มีความเลื่อมใสเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในภิกษุทั้งหลาย
ไม่ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม ไม่แสวงหาเขตบุญอื่น
ภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะก่อนในเขตบุญใน
ศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเสื่อม อันเราแสดงดีแล้ว ๗ ประการนี้แล ย่อมไม่
เสื่อมจากสัทธรรม ฯ
จบสูตรที่ ๙


วิปัตติสัมภวสูตร

[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิบัติของอุบาสก ๗ ประการนี้ ... สมบัติของ
อุบาสก ๗ ประการนี้ ... ความเสื่อมของอุบาสก ๗ ประการนี้ ... ความเจริญของ
อุบาสก ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน
คือ อุบาสกไม่ขาดการเยี่ยมเยียน
ภิกษุ ๑ ไม่ละเลยการฟังสัทธรรม ๑ ศึกษาในอธิศีล ๑ มากด้วยความเลื่อมใส
ในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑ ไม่ตั้งจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษ
ฟังธรรม ๑ ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ กระทำสักการะก่อนในเขตบุญ
ในศาสนานี้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเจริญของอุบาสก ๗ ประการนี้แล ฯ
อุบาสกใด ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน ละเลยการฟัง
อริยธรรม ไม่ศึกษาในอธิศีล มีความไม่เลื่อมใสเจริญยิ่งๆ
ขึ้นไปในภิกษุทั้งหลาย ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม
แสวงหาเขตบุญอื่นภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะ
ก่อนในเขตบุญภายนอกในศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพ
ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม อันเราแสดงแล้ว ๗ ประการ
นี้แล ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม อุบาสกใดไม่ขาดการเยี่ยม
เยียนภิกษุผู้อบรมตน ไม่ละเลยการฟังอริยธรรม ศึกษาอยู่ใน
อธิศีล มีความเลื่อมใสเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในภิกษุทั้งหลาย
ไม่ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม ไม่แสวงหาเขตบุญอื่น
ภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะก่อนในเขตบุญใน
ศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความ
เสื่อม อันเราแสดงดีแล้ว ๗ ประการนี้แล ย่อมไม่เสื่อม
จากสัทธรรม
--------------------------------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต หานิสูตร




กุศลกรรมบถ ๑๐

[๔๘๕] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อยคือความประพฤติ
ธรรมทางกายมี ๓ อย่าง ทางวาจามี ๔ อย่าง ทางใจมี ๓ อย่าง.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์เว้นขาดการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ
วางศาตราเสียแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

ละการถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่อง
ปลื้มใจของผู้อื่น ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย.

ละการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ไม่
ถึงความสมสู่ในพวกหญิง ที่มารดารักษา ที่บิดารักษา ที่มารดาและบิดารักษา ที่พี่ชายรักษา
ที่พี่สาวรักษา ที่ญาติรักษา ที่มีสามี ที่อิสรชนหวงห้าม ที่สุดหญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓
อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ
ไปในทีประชุม หรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนาง หรือไป
ในท่ามกลางราชสกุล หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใด
ก็จงบอกเรื่องนั้น เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า ไม่รู้ หรือเมื่อรู้ก็บอกว่า รู้ เมื่อไม่เห็นก็บอกว่า ไม่เห็น
หรือเมื่อเห็นก็บอกว่า เห็น ไม่กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง เพราะ
เหตุเห็นแก่สิ่งของเล็กน้อยบ้าง.

ละวาจาอันส่อเสียด เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด คือได้ฟังข้างนี้แล้วไม่นำไปบอกข้างโน้น
เพื่อทำลายพวกข้างนี้ หรือได้ฟังข้างโน้นแล้ว ไม่นำมาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกข้างโน้น
สมานพวกที่แตกกันให้ดีกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่ดีกันให้สนิทสนมบ้าง ชอบใจพวกที่พร้อมเพรียง
กัน ยินดีแล้วในพวกที่พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมในพวกที่พร้อมเพรียงกัน และกล่าววาจาอันทำให้
พร้อมเพรียงกัน.

ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจ
เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ ชอบใจ.

ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ พูดในเวลาที่ควรพูดตามความจริง พูด
เรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดเรื่องที่เป็นธรรม พูดเรื่องที่เป็นวินัยและกล่าววาจามีหลักฐาน มีที่อ้าง
ได้มีที่สุด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความ
ประพฤติเรียบร้อย คือความประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีความโลภมาก ไม่เพ่งเล็งทรัพย์
อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้.

เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท มีความดำริในใจไม่ชั่วช้าว่า ขอสัตว์เหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข รักษาตนเถิด ดังนี้.

เป็นผู้มีความเห็นชอบ คือมีความเห็นไม่วิปริตว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลแห่งการ
การบูชามีอยู่ ผลแห่งการเซ่นสรวงมีอยู่ ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่
โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณะและพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบผู้ทำโลกนี้ และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอน
ให้ผู้อื่นรู้ได้มีอยู่ในโลกนี้ ดังนี้
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย
คือความประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบางพวกในโลกนี้ เข้าถึงสุคติโลก-
*สวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรมอย่างนี้แล.
-------------------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขของคฤหัสถ์ 4 ประการ ดังพุทธพจน์ที่ตรัสแก่อนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า

“ดูกรคหบดี ความสุข 4 ประการนี้ เป็นสิ่งที่คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ควรได้ควรถึงอยู่เรื่อยๆ ตามกาล ตามสมัย ความสุข 4 ประการนั้น คือ อัตถิสุข โภคสุข อนณสุข อนวัชชสุข

1. อัตถิสุข (สุขเกิดจากความมีทรัพย์) เป็นไฉน ?

คือ กุลบุตรมีโภคะอันหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า เรามีโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม นี้เรียกว่า อัตถิสุข

2. โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์บริโภค) เป็นไฉน ?

คือ กุลบุตรกินใช้ และทำสิ่งดีงามเป็นบุญทั้งหลาย ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า โภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร...ได้มาโดยธรรม เราได้กินใช้ และได้ทำสิ่งดีงาม อันเป็นบุญทั้งหลาย นี้เรียกว่า โภคสุข

3. อนณสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้) เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรไม่เป็นหนี้สินไรๆ ของใครๆเลย ไม่ว่าน้อยหรือมาก นี้เรียกว่า อนณสุข

4. อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติสุจริตไร้โทษ) เป็นไฉนๆ

คือ อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยวจีกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยมโนกรรมไม่มีโทษ เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยวจีกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยมโนกรรมไม่มีโทษ นี้เรียกว่า อนวัชชสุข

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=1031.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 19:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณท่านพุทธฎีกา
ท่านพุทธฎีกาครับผมมีข้อติดใจอยู่อย่างหนึ่งอยากจะถามครับ อุบาสกในที่นี้คือผู้ที่ได้โสดาบันหรือป่าวครับ แล้วอธิศีลของอุบาสกมีอะไรบ้างครับ แล้วในพระไตรปิฎกมีส่วนไหนที่สอนให้อุบาสกรู้เหตุของการผิดศีลไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ขอบพระคุณท่านพุทธฎีกา
ท่านพุทธฎีกาครับผมมีข้อติดใจอยู่อย่างหนึ่งอยากจะถามครับ อุบาสกในที่นี้คือผู้ที่ได้โสดาบันหรือป่าวครับ แล้วอธิศีลของอุบาสกมีอะไรบ้างครับ แล้วในพระไตรปิฎกมีส่วนไหนที่สอนให้อุบาสกรู้เหตุของการผิดศีลไหมครับ

อุบาสกเป็นผู้กล่าวคำ ขอถึงซึ่ีงพระรัตนตรัยครับ คือขอถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรมที่ทรงสั่งสอน และพระสงฆ์สาวก เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง คนละส่วน
กับการเป็นผู้ได้โสดาบัน แปลว่า ปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ได้ขอถึงที่พึ่ง
ขอมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ ก็ไม่ใช่อุบาสกในพุทธศาสนา

อุบาสกต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย
แต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน ในอนาคต และตลอดจนประโยชน์
สูงสุดคือปรมัตถ์ประโยชน์ หรือนิพพานนั่นเอง

ดังนั้นถึงเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้านก็จริง แต่ไม่มีศีล ๕ ไม่มีอุบาสกธรรม
ก็ไม่มีโอกาสพัฒนาระดับ ทาน ศีล ภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้เพราะไม่ได้
ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ข้อวัตรปฏิบัติของ ฆราวาสหรืออุบาสก
เมื่อน้อมนำไปศึกษาไปพิจารณาแล้ว ก็นำประโยชน์นำสุขอย่างที่กล่าว
มาให้แก่ผู้ปฏิบัติ หากไม่ได้ปฏิบ้ัติ ถึงทะเบียนเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ชื่อว่า
เป็นอุบาสกที่ดีในพุทธศาสนาได้เลย และต้องห่างจากพระสัทธรรมแน่นอน

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง อริยสัจ ๔ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นของกลาง
เหมือนน้ำใครเข้าไปอาบไปดื่ม ก็ได้รับความเย็นความดับการหายลงไปเหมือนๆ
กันจะเข้าใจเอาว่า อันนี้ของอุบาสก อันนี้ของพระอริยะหรือของพระภิกษุด้วย
คิดเอาเองนั้น ไม่สมควร เหมือนๆ หลายๆ กระทู้ที่คุณโยมตั้งไปนะครับ^^

การอบรมปัญญา การรักษาศีล ให้ทาน เป็นของกลาง การบัญญัติตรัสระบุจำแนก
เอาไว้เฉพาะ ก็เพียงเป็นนิมิตเป็นเครื่องบอกให้รู้ไว้ หรือเลือกรับนำไปปฏิบัติ
ให้เหมาะสมกับ สถานะกับอัตภาพ ภาวะของแต่ละบุคคลเท่านั้นเอง

พระภิกษุมีศีล มีการประพฤติปฏิบัติไปอย่าง ของฆราวาสของโยมไปอีกอย่าง
นั่นก็เปรียบเหมือนภาชนะที่เอาไปตักน้ำอาบน้ำดื่มกิน ขนาดภาชนะที่อาศัย
รองรับน้ำ มีความแตกต่างกัน ประณีต หยาบละเีอียดแตกต่างกัน แต่รสของ
ความเ็ย็นความดับกระหาย ก็เหมือนกัน ในระดับ ปุถุชนทั่วไปท่านจำแนกไว้
มีปุถุชนธรรมดาทั่วไป อุบาสกในทะเบียน หรืออุบาสกที่ปฏิบัติจริงก็เรียกว่า
ปุถุชนเหมือนๆ กัน ฯลฯ แต่หากเริ่มทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทั้งสมถะวิปัสสนา
นั่นแหละถึงจะเริ่มเรียกได้ว่า กัลยาปุถุชน เป็นอุบาสกผู้เจริญในพุทธศาสนา

พระภิกษุ หรือเรียกสมมติสงฆ์นี้ก็เหมือนกัน เป็นได้ทั้งปุุุถุชนก็ได้ กัลยาปุถุชน
ก็ได้ขึ้นอยู่กับว่า น้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อลด
ละ เลิกจริงแท้แค่ไหน หรือแค่เอาไว้ โชว์ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ยังศึกษา
ยังพิจารณาไม่มากพอ ผิดหลักผิดจุดมุ่งหมาย แบบนี้ก็อาจกลับกลายจาก
อุบาสกที่ดีเป็นอุบาสกที่ไม่ดีก็ได้ ฯลฯ

ส่วนภูมิอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน ก็เริ่มที่อธิศีลก่อน เชื่อฟังคำสั่งสอน
และประพฤติตามพระธรรมวินัย พิสูจน์ธรรม ตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
จนไม่ต้องเชื่อใคร(อย่างไม่รู้แจ้งเห็นจริง)ได้แล้วนั่นแหละ ละสังโยชน์ ๓
มีสักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส จะเป็นโยมเป็นฆราวาสเป็นพระ
เป็นชายหญิงถึงภาวะนั้นแล้ว ก็เป็นเหมือนน้ำแล้ว ท่านเปรียบว่าพระธรรม
เป็น สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว

สนฺทิฏฺฐิโก อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
เอหิปสฺสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯลฯ

ติดตามดูคุณโยมอยู่นานแล้ว อยากให้ศึกษาสอบถามให้แน่ใจ เข้าใจด้วยดี
แล้วตั้งกระทู้ถามตอบ เท่าที่จำเป็น แล้วทำความเข้าใจศึกษาไปเ่รื่อยๆ ก่อน
ก็น่าจะดี อย่าพึ่งแสดงความเห็นหากไม่แน่ใจ เพราะบอร์ดธรรมะ เป็นสาธารณะ
ไม่่ว่าคุณโยม จะพูดจะแสดงอะไร มันจะกลายเป็น สิ่งย้ำเตือน ถึงภาวะถึงความ
เป็นอัตตาตัวตนของเรา ถ้าเราแสดงสิ่งที่มีประโยชน์ ตามกฏระเบียบบอด ไม่ได้
ก่อความวุ่นวาย กล่าววาจาทุจริต เชื่อแน่ว่า คุณโยมจะพัฒนา พระธรรมที่ทรง
แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ของตัวคุณโยมได้นั่นเอง ^^


ตอบเรื่องศีล อธิศีล อธิแปลว่า ยิ่ง หรืออธิบาทคือความมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ
วิมังสาในการที่จะรักษาศีล เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม

ยังมีความหมายจากอัฏฐกถาจารย์ว่า ศีล ๘,๑๐ ยิ่งกว่าศีล ๕ คือเปรียบกัน
ยิ่งๆ ขึ้นไป คือน้อมนำให้เกิดความบริสุทธิ์ หรือคำให้พรตอนจบเวลาอารธนาศีล
สีเลนะ สุคติงยันติ ศีล ทำให้ได้ไปสู่สุคติ สีเลนะ โภคสัมปทา ศีล ทำให้ได้โภคทรัพย์
สีเลนะ นิพุตติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโส ทะเย ศีล ทำให้(เป็นบาทฐาน)ถึงซึ่งพระนิพพาน
บุคคลควรรักษาศีล ฯลฯ เบญจศีล หรือศีล ๕ ครับศีลของฆราวาสของอุบาสกเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2011, 09:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ขอบพระคุณท่านพุทธฎีกา
ท่านพุทธฎีกาครับผมมีข้อติดใจอยู่อย่างหนึ่งอยากจะถามครับ อุบาสกในที่นี้คือผู้ที่ได้โสดาบันหรือป่าวครับ แล้วอธิศีลของอุบาสกมีอะไรบ้างครับ แล้วในพระไตรปิฎกมีส่วนไหนที่สอนให้อุบาสกรู้เหตุของการผิดศีลไหมครับ

อุบาสกเป็นผู้กล่าวคำ ขอถึงซึ่ีงพระรัตนตรัยครับ คือขอถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรมที่ทรงสั่งสอน และพระสงฆ์สาวก เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง คนละส่วน
กับการเป็นผู้ได้โสดาบัน แปลว่า ปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ได้ขอถึงที่พึ่ง
ขอมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ ก็ไม่ใช่อุบาสกในพุทธศาสนา

อุบาสกต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย
แต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน ในอนาคต และตลอดจนประโยชน์
สูงสุดคือปรมัตถ์ประโยชน์ หรือนิพพานนั่นเอง

ดังนั้นถึงเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้านก็จริง แต่ไม่มีศีล ๕ ไม่มีอุบาสกธรรม
ก็ไม่มีโอกาสพัฒนาระดับ ทาน ศีล ภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้เพราะไม่ได้
ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ข้อวัตรปฏิบัติของ ฆราวาสหรืออุบาสก
เมื่อน้อมนำไปศึกษาไปพิจารณาแล้ว ก็นำประโยชน์นำสุขอย่างที่กล่าว
มาให้แก่ผู้ปฏิบัติ หากไม่ได้ปฏิบ้ัติ ถึงทะเบียนเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ชื่อว่า
เป็นอุบาสกที่ดีในพุทธศาสนาได้เลย และต้องห่างจากพระสัทธรรมแน่นอน

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง อริยสัจ ๔ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นของกลาง
เหมือนน้ำใครเข้าไปอาบไปดื่ม ก็ได้รับความเย็นความดับการหายลงไปเหมือนๆ
กันจะเข้าใจเอาว่า อันนี้ของอุบาสก อันนี้ของพระอริยะหรือของพระภิกษุด้วย
คิดเอาเองนั้น ไม่สมควร เหมือนๆ หลายๆ กระทู้ที่คุณโยมตั้งไปนะครับ^^

การอบรมปัญญา การรักษาศีล ให้ทาน เป็นของกลาง การบัญญัติตรัสระบุจำแนก
เอาไว้เฉพาะ ก็เพียงเป็นนิมิตเป็นเครื่องบอกให้รู้ไว้ หรือเลือกรับนำไปปฏิบัติ
ให้เหมาะสมกับ สถานะกับอัตภาพ ภาวะของแต่ละบุคคลเท่านั้นเอง

พระภิกษุมีศีล มีการประพฤติปฏิบัติไปอย่าง ของฆราวาสของโยมไปอีกอย่าง
นั่นก็เปรียบเหมือนภาชนะที่เอาไปตักน้ำอาบน้ำดื่มกิน ขนาดภาชนะที่อาศัย
รองรับน้ำ มีความแตกต่างกัน ประณีต หยาบละเีอียดแตกต่างกัน แต่รสของ
ความเ็ย็นความดับกระหาย ก็เหมือนกัน ในระดับ ปุถุชนทั่วไปท่านจำแนกไว้
มีปุถุชนธรรมดาทั่วไป อุบาสกในทะเบียน หรืออุบาสกที่ปฏิบัติจริงก็เรียกว่า
ปุถุชนเหมือนๆ กัน ฯลฯ แต่หากเริ่มทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทั้งสมถะวิปัสสนา
นั่นแหละถึงจะเริ่มเรียกได้ว่า กัลยาปุถุชน เป็นอุบาสกผู้เจริญในพุทธศาสนา

พระภิกษุ หรือเรียกสมมติสงฆ์นี้ก็เหมือนกัน เป็นได้ทั้งปุุุถุชนก็ได้ กัลยาปุถุชน
ก็ได้ขึ้นอยู่กับว่า น้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อลด
ละ เลิกจริงแท้แค่ไหน หรือแค่เอาไว้ โชว์ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ยังศึกษา
ยังพิจารณาไม่มากพอ ผิดหลักผิดจุดมุ่งหมาย แบบนี้ก็อาจกลับกลายจาก
อุบาสกที่ดีเป็นอุบาสกที่ไม่ดีก็ได้ ฯลฯ

ส่วนภูมิอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน ก็เริ่มที่อธิศีลก่อน เชื่อฟังคำสั่งสอน
และประพฤติตามพระธรรมวินัย พิสูจน์ธรรม ตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
จนไม่ต้องเชื่อใคร(อย่างไม่รู้แจ้งเห็นจริง)ได้แล้วนั่นแหละ ละสังโยชน์ ๓
มีสักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส จะเป็นโยมเป็นฆราวาสเป็นพระ
เป็นชายหญิงถึงภาวะนั้นแล้ว ก็เป็นเหมือนน้ำแล้ว ท่านเปรียบว่าพระธรรม
เป็น สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว

สนฺทิฏฺฐิโก อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
เอหิปสฺสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯลฯ

ติดตามดูคุณโยมอยู่นานแล้ว อยากให้ศึกษาสอบถามให้แน่ใจ เข้าใจด้วยดี
แล้วตั้งกระทู้ถามตอบ เท่าที่จำเป็น แล้วทำความเข้าใจศึกษาไปเ่รื่อยๆ ก่อน
ก็น่าจะดี อย่าพึ่งแสดงความเห็นหากไม่แน่ใจ เพราะบอร์ดธรรมะ เป็นสาธารณะ
ไม่่ว่าคุณโยม จะพูดจะแสดงอะไร มันจะกลายเป็น สิ่งย้ำเตือน ถึงภาวะถึงความ
เป็นอัตตาตัวตนของเรา ถ้าเราแสดงสิ่งที่มีประโยชน์ ตามกฏระเบียบบอด ไม่ได้
ก่อความวุ่นวาย กล่าววาจาทุจริต เชื่อแน่ว่า คุณโยมจะพัฒนา พระธรรมที่ทรง
แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ของตัวคุณโยมได้นั่นเอง ^^


ตอบเรื่องศีล อธิศีล อธิแปลว่า ยิ่ง หรืออธิบาทคือความมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ
วิมังสาในการที่จะรักษาศีล เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม

ยังมีความหมายจากอัฏฐกถาจารย์ว่า ศีล ๘,๑๐ ยิ่งกว่าศีล ๕ คือเปรียบกัน
ยิ่งๆ ขึ้นไป คือน้อมนำให้เกิดความบริสุทธิ์ หรือคำให้พรตอนจบเวลาอารธนาศีล
สีเลนะ สุคติงยันติ ศีล ทำให้ได้ไปสู่สุคติ สีเลนะ โภคสัมปทา ศีล ทำให้ได้โภคทรัพย์
สีเลนะ นิพุตติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโส ทะเย ศีล ทำให้(เป็นบาทฐาน)ถึงซึ่งพระนิพพาน
บุคคลควรรักษาศีล ฯลฯ เบญจศีล หรือศีล ๕ ครับศีลของฆราวาสของอุบาสกเจริญพร



ขอบพระคุณท่านพุทธฎีกาที่ให้คำชี้แนะ

อุบาสก หรือ ฆราวาส ให้เริ่มจาก ทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา ใช่ไหมครับ
และพระภิกษุสงฆ์ ให้เริ่มจาก อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ใช่ไหมครับ (พระสงฆ์ในที่นี้คือผู้มี สัมมาทิฏฐิใช่ไหมครับ) หากผมเข้าใจผิดถูกอย่างไรช่วยท่านชี้แจงด้วยครับ ขอบพระคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2011, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เจริญพร

หากคุณโยมต้องการแสดงความเห็นนะครับ ขอแนะนำให้ยึด
หลักการแสดงโดยใช้พุทธพจน์ เลี่ยงที่จะไม่ไปบิดเบือน ให้ความ
หมายผิดไปเช่นหาก พุทธฏกีา กล่าวว่า อุบาสก ฆราวาสควร ปฏิบัติ
เริ่มต้นด้วยการ ให้ทาน รักษาศีล อบรมเจริญวิปัสสนาภาวนา อย่างนี้
ถ้ามีคนที่มีศรัทธามาก มีปัญญาน้อย ก็จะด่วนเชื่อด่วนสรุปในทันที

ว่าควร ให้ทาน รักษา ศีลและเจริญวิปัสสนาภาวนาอย่างเดียว ฯลฯ

เพราะผู้พูดผู้กล่าวเป็นพระภิกษุ น่าเชื่อถือ ถ้าไม่ได้เจตนาบิดเบือน
หรือกล่าวไปแล้ว อย่างที่เคยบอกครับมันเป็นสาธารณะ อะไรที่เรา
บอกไปกล่าวไปทำให้เกิดความแตกต่าง ก็จะเกิดความสับสนแตกแยก
แล้วก็นำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เห็นด้วย คัดค้านในตัวบุคคลก่อน

ตลอดจนคัดค้านไปถึง หลักธรรมคำสอน ด้วยเหตุนี้จึงต้องขอโทษที่
เตือนตรงๆ ผ่านบอร์ด ว่าให้ศึกษาให้แน่ใจเข้าใจโดยถ่องแท้ก่อนแล้ว
หากจะแสดงความคิดความเห็น ก็หวังเพื่อประโยชน์เกื้อกูล ต่อผู้สนทนา
เท่านั้น ไม่ใช่โชว์หรืออวด ฯลฯ

ที่นี้ โดยมากพระท่านสอนให้มี ทาน ศีล ภาวนาที่ไม่แยกหรือเจาะจง
ลงไปว่า สมถะหรือวิปัสสนา เพราะอัธยาศัย หรือจริตคนเราแตกต่างกัน
ว่าด้วยปฏิปทาการปฏิบัตินั้น ท่านจำแนกไว้ ๔ อย่าง

๑.ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
๒.ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว
๓.สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบาย แต่รู้ได้ช้า
๔.สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย ทั้งรู้ได้เร็ว

ดังนั้นพระสูตร พุทธพจน์บางช่วงบางตอน ที่อ่านๆ ศึกษากันบางทีก็ตรัส
กับคนที่เหมาะสม มีัตัณหาจริต คือพวกข้อ ๑-๒ อ่อนหรือกล้าตามลำดับ
บางพระูสูตรตรัสกับ ผู้มีทิฏฐิจริต คือพวกข้อ ๓-๔ อ่อนหรือกล้าตามลำดับ
ในบุคคลที่ต้อง ทำความสงบ ทำจิตให้รวมเป็นหนึ่ง เพราะมีโลภะโทสะโมหะ
แรงกล้า ก็ต้องทำสมาธิ สมถะ ทำความสงบก่อน เมื่อจิตตั่งมั่นคู่ควรแก่การงาน

สมาหิเต จิตฺเต ยถาภูตํ ปชานาติ, เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง,
ยถาภูตํ ชานํ ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ, เมื่อรู้เมื่อเห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย
นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ. เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด,
เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้นดังนี้.

จิตตั่งมั่น นี้ก็นัยยะของ สัมมาสมาธิ ส่วนรู้ได้ช้าหรือเร็วนั้น เป็นเรื่องของ
อินทรีย์ ๕ มีศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ฯลฯ

เพื่อป้องกันความสับสนไม่ถึงกับบิดเบือน เพราะรู้เท่าไม่ถึงกาล อันนี้ก็ควร
ระวังควรแน่ใจในการแสดงความรู้ความเห็นครับ เพราะอย่างที่บอก เพื่อมี
ใครเข้ามาอ่านแล้ว เกิดชอบใจพอใจเข้ากับความคิดเห็นของตน มีอัธยาศัย
มีจริตเดียวกัน ธาตุเดียวกัน ก็จะน้อมใจเชื่อ ปักใจดิ่งเอา จนละคลายความ
คิดความเห็นที่ยึดถือเอาไว้ ไม่ได้ นั้้นเท่ากับที่ศึกษาปฏิบัตินั้น เสียเปล่า^^

ดังนั้นฆราวาสธรรม อุบาสกธรรม ก็ควรศึกษาเรื่องการให้ทาน การสละปัน
สิ่งของตลอดจนความรู้ (แต่ต้องแน่ใจนะว่าที่ กล่าวที่แสดงไปจะมีผลอย่างไร)
จะเกิดความขัดแย้ง หรือสร้างความสามัคคี เกิดความรู้ความเข้าใจเพื่อเกื้อกูลกัน
หรือหักล้างกัน ทะเลาะกัน เลือกและพิจารณาให้ดีครับ

ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ยึดถือว่าจะต้อง วิปัสสนาหรือสมถะ เพราะความจริง
การที่โยมบริกรรม ด้วยสัญญาก่อน ก็เป็นคล้ายๆ ธรรมานุสติ คือระลึกถึงพระธรรม
คำว่าไม่เที่ยงๆ เกิดๆ ดับๆ อะไรของโยมนั่น ก็เป็นอารมณ์สมถะ นั่นเองหาจะ
ใช่ตัว สัมมาทิฏฐิ ตัวสัมปชัญญะ ตัวปัญญาก็ไม่เลย จนกว่าสัญญานั้นๆ
จะเกิดสติ เท่าทันหรือพิจารณาสภาพธรรมขึ้นมาตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่
สัตว์บุคคลตัวตน เป็นเพียงสภาพธรรม คือนามธรรม ๔ รูปธรรม ๑ คือขันธ์ ๕

เห็นโดยประจักษ์แจ้งแล้ว เป็นปัญญาแยกรูปและนาม พิจารณารูปนามได้ถูก
ได้ตรงแล้ว นั่นแหละถึงเริ่ม เป็นกระบวนการ อบรมทิฏฐิวิุสุทธิ หรืออธิปัญญา
ไม่จำกัดของพระของโยมครับ ^^

ส่วนในชีวิตประจำวัน ถึงตรึกถึงนึก น้อมนำ ด้วยใจเท่าไหร่ อ่ออันนี้เขาเรียกว่า
อนุมานวิปัสสนา คือ อนุมานเอา ใช้คิดช่วย ในอดีตารมณ์ ในอนาคตารมณ์
คือไม่เที่ยงๆ เกิดดับๆ ในสัญญาที่แล้วมาบ้าง ในสังขารที่ยังไม่มาบ้าง นี้เรียก
ว่าอนุมานเอา ใช้สัญญาช่วย ยังไม่ใช่ปัญญา จนเป็นวิปัสสนานอกสมถะใน
โดย(โยม)ไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้ ผลสูงสุดที่จะได้ก็คือ ความตั่งมัี่นเท่านั้นเองและ
อาจเป็นความตั้งมั่นผิด มิจฉาสมาธิก็เป็นได้ แต่ถ้ามีองค์ฌานเกิดขึ้นรองรับ
อธิจิตก็เป็นของโยมก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น โยมพระเป็นขันธ์ ๕
เป็นสภาพธรรมที่มีอยู่ คือนามธรรม รูปธรรมมี แต่สภาพที่เป็นโยมเป็นพระนี้
เป็นอนัตตา ไม่มีความเป็นตัวตนบุคคลอยู่โดยปรมัตถ์ งั้นอธิบายเรื่อง ภาชนะ
รองรับน้ำ กับน้ำโยมก็ยังไม่เข้าใจสินะครับ

คืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา โยมโกนหัว กล่าวไตรสรณะคม ห่มจีวรโยมก็กลาย
เป็นสมมติใหม่ ละจากสมมติเดิมจากโยมเป็นพระ แต่ขันธ์ ๕ แต่อุปาทานขันธ์ ๕
ก็ยังมียังเป็นอยู่อย่างนั้น ความรู้ความเข้าใจ ที่ยึดถือต่างๆ ที่ว่าไม่เที่ยงๆ ไปๆ มาๆ
มันก็จะเที่ยงเอา(เพราะตัณหา เพราะความไม่รู้) เพราะไม่เกิดสติสัมปชัญญะ
ไม่มีสัมมาทิฏฐิ เห็นแจ้ง ขันธ์ ธาตุอายตนะตามความจริง ในปัจจุบันอารมณ์
หรือได้ปรมัตถ์อารมณ์
อันนี้ประจักษ์แจ้งนะครับ ไม่ได้อนุมานเอา ว่าไม่เที่ยง
เ็ป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถึงบอกว่า อ่อนนอกแข็งใน วิปัสสนานอกๆ แต่ข้างในสมถะ ^^ฯลฯ

อนุมาน = อดีต อนาคต
ประจักษ์แจ้ง = ปัจจุบัน


ทาน ศีล ภาวนา เป็นวิสัยของฆราวาส พระไม่มีการทำงานเลี้ยงชีพ อาศัยให้ทาน
ด้วยธรรมทาน โยมมีงานมีเงินเลี้ยงชีพ เป็นอุบาสก จึงสงเคราะห์บำรุง พระภิกษุสงฆ์
ตลอดจน บำรุงค้ำชูพุทธศาสนา ให้คนเข้าใจถึงตัว การของศีล สมาธิ ปัญญาแท้ๆ
เห็นตรง เห็นถูก ก็เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท (ที่เห็นตรงนะ)

ทานทำให้โยมละความตระหนี่หวงแหน ว่านี้ของๆ เรา เป็นบริวารประดับจิตใจให้สูง
ไม่ติดวัตถุกาม(อายตนะภายนอก) และกิเลสกาม(อายตนะภายใน)

สละและละออก ศีลให้โยมมีศีล ๕ รักษากายวาจาให้เรียบร้อย กล่าวคำสุภาพอ่อนโยน
ไม่ล่วงเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระรัตนตรัย เพื่อเป็นอุบาสกที่ดี ศีลละกิเลศอย่างหยาบ
ภาวนา ก็คือทั้ง สมาธิและปัญญา ไม่ได้แตกแต่งจาก พระภิกษุ ในเรื่อง อธิศีล จิต ปัญญา
เลยแม้แต่้น้อย แค่มีชื่อมีคำมีความหมายที่มีันัยยะ ให้ค่อยๆ ได้รู้ ค่อยๆ ศึกษาดีกว่า
ที่จะด่วนแสดงด่วนออกความเห็น อะไรที่เรายังไม่รู้ไม่แน่ใจ ฯลฯ

ทาน(บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) ศีล(ศีล ๕ กุศลกรรมบท ๑๐) ภาวนา(สมถะวิปัสสนา)
ก็ตามที่กล่าวไปเบื้องต้นนะครับ แล้วแต่อัธยาศัย แล้วแต่จริต จะเอานิพพาน
เพราะหลงเพราะยึดว่าต้องวิปัสสนาเท่านั้น ต้องไม่เที่ยงเกิดดับๆ อย่างตัวอย่าง
ในหลายๆ กระทู้ แบบนั้นอ่อนนอกแข็งในโดยแท้ คือคิดว่าวิปัสสนา เท่ห์สุดอะไรอย่างนี้
ผิดถนัดเลยแล้วท่องเอาๆ ตรึกเอาๆ แต่ไม่เกิดสติสัมปชัญญะ เกิดสัมมาทิฏฐิ เกิดปัญญา
เห็นขันธ์ ธาตุ อายตนะ เกิดดับจริง ก็ได้แค่สัญญา และเป็นแค่สมถะที่มีป้ายหรือ
ยี่ห้อติดเอาไว้ว่าวิปัสสนาเท่านั่นเองครับ ^^

ส่วนพระสงฆ์เริ่มจาก อุบาสกที่ดีทีี่มีสัมมาทิฏฐินี้แหละ มีนะพระสงฆ์ที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ไม่เชื่อว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลแห่งการการบูชามีอยู่ ผลแห่งการเซ่นสรวงมีอยู่
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้ และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ได้มีอยู่ในโลกนี้

แต่พระเองที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิก็มี เห็นไหมดังนั้น พระสงฆ์ก็เริ่มมาจาก คนธรรมดานี่แหละ
มีสัมมาทิฏฐิบ้างแล้วก็มี ไม่มีก็มี เป็นอุบาสกที่ดีก็มี ไม่เป็นอุบาสกที่ดีก็มี ตอนเป็นฆราวาส
อบรมศีล เข้าหาพระภิกษุสงฆ์ ให้ความเคารพเอื้อเฟื้อ มีสัมมาคารวะ

ฟังธรรม จดจำธรรม ใคร่ควรอรรถธรรมอย่างนี้ อุบาสกหรือฆราวาสที่ดีนั้นก็ง่ายก็พร้อม
ที่จะมีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาตั้งแต่เป็นฆราวาสก็ได้ เหตุผลเป็นอย่างนี้นะครับ

อธิศีล ของโยมก็คือการมี กุศลกรรมบท ๑๐ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ เห็นว่า
จะน้อมนำไปศึกษาก็ลองไปพิจารณาดูเยอะๆ นะครับ สัมมาทิฏฐิก็อยู่ใน มโนกรรม ๓
พอโยมเว้น ประกอบกุศลกรรมบท ๑๐ ได้ นี้ก็มีศีล ๕ อยู่ในนั้นแล้ว ไม่พอแถมอีก
ยังเป็น สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะด้วยไปในตัว ต้องเว้นต้องปราศจาก
ทุกข์โทษโดยสิ้นเชิง ไม่เดือดร้อนเพราะไปฆ่าใคร ไปโกหก ไปส่อเสียด ไปด่าใครฯลฯ

หรือเห็นผิดไม่ประกอบความเห็นชอบ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ถ้ามีงั้นฟาวล์เลย โมฆะสูญเลย
อธิจิต ก็ตั้งแต่ ปฐมฌาน - จตุตถฌาน เห็นคำว่าฌาน ก็อย่าหลงผิดอีกละครับว่า
อ้าวต้องทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา สมถะไม่ได้อย่างนี้ก็ยังไม่เอื้อเฟื้อต่อ พระธรรมคำสั่งสอน
ไม่เอื้อเฟื้อตนเองและคนอื่น ยึดถือสำคัญผิดไป ด้วยตัณหาทิฏฐิ งดและเว้นดีกว่า

อธิปัญญา หรือทิฏฐิวิสุทธิ อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ไม่เป็นสาสวะแล้ว คือไม่เป็นวัฏฏะ
วนเวียนข้องเกี่ยวในโลกแล้ว อันนี้แหละที่โยมชอบนักชอบหนา คืออบรมปัญญาล้วนๆ
อยากทำได้จริง ทานหรือบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ข้อ ๘- ๑๐ มีการแสดงธรรมฟังธรรมและ
ทำความเห็นตรง ก็คืออันเดียวกับสัมมาทิฏฐิ ข้อแรกในมรรค ๘ แต่เป็นอสาสวะคือไม่
เนื้องไม่เป็นไปกับ วัฏฏะ เป็นวิวัฏฏะคือ เห็นตรง เป็นทิฏฐิที่บริสุทธิ ปราศจากความเป็น
สัตว์ตัวตนบุคคล มีแต่สภาพปรมัตถธรรม คือมี ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ปฏิจสมุปบาท
เ็ป็นธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัย ปรุงแต่งนี้ ว่างเปล่าปราศจากสัตว์บุคคลตัวตน มีความเกิด
ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง^^

นะครับก็ขอชี้แจงตามที่กล่าวมานี้ ทาน ศีล ภาวนา เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมคำสั่งสอนครับ
ยึดธรรมอย่ายึดบุคคล ทานสละวัตถุกาม กิเลสกามออก(ทาน) อธิศีล(ศีล) [อธิจิต -
อธิปัญญา](ภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนา) มีอยู่ทั้งโดยของฆราวาสของอุบาสกที่ดี

ไม่ต้องแยกแล้วแต่อัธยาศัย แล้วแต่จริต มีความเห็นตลอดจนข้อสงสัยเพิ่มเติมก็ยินดี
นะครับ แล้วจะค่อยๆ หาอุบาสกธรรม ที่มีประโยชน์มาแสดงครับ ขอเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร