วันเวลาปัจจุบัน 13 มิ.ย. 2025, 18:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรค ๘ คือ ...

- สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ = ปัญญา
- สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = ศีล
- สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ = สมาธิ

หากเรียงตามมรรคแปด ต้องเรียงเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ไม่ใช่แบบไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเอามาเพื่อการศึกษาก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้านำมาปฏิบัติไตรสิกขาจะขัดกันกับมรรคแปด อย่างชัดเจน มรรคแปด พระพุทธเจ้าได้เรียบเรียงไว้แล้วอย่างดี ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกัน แต่หากเราทำความเข้าใจแนวทางของมรรคแล้ว ไม่ว่าจะเรียงแบบไหน ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เช่น

เรียงตามมรรคแปด เป็น ปัญญา ศีล สมาธิ

ปัญญา ใน มรรค หมายถึง ปัญญาที่มาจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ จากการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้นๆ เช่น ศีลแต่ละข้อเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบเช่นไร การรักษาศีลทำอย่างไร เป็นต้น เพื่อเมื่อนำไปปฏิบัติจะได้ทำอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกลายเป็นการลูบคลำศีล หรือ "สีลัพพัตตปรามาส"

ปัญญาส่วนนี้เรียกว่า "สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา" เมื่อมีปัญญาดังกล่าว จึงเกิดเป็น "สัมมา ความเห็นถูก" ซึ่งเป็นหัวขบวนของมรรค มรรคคนั้นก็จะเป็น "สัมมาทิฏฐิ .. สัมมาสมาธิ" ตลอดสาย หากขาดปัญญาเบื้องต้นแล้ว ก็จะกลายเป็น "มิจฉา ความเห็นผิด" และเป็น "มิจฉาทิฏฐิ .. มิจฉาสมาธิ" ตลอดสายเช่นกัน

เรียงแบบไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้

ปัญญาชนิดนี้ คือ ปัญญาที่ทำให้บุคคลธรรมดาสามัญ กลายเป็น พระอริยะบคคล ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ศีลเป็นฐานของสมาธิและสมาธิคือฐานของปัญญา ปัญญาที่เรียกกันว่า "ภาวนามยปัญญา" นั่นเอง

มรรคแปดหรือไตรสิกขา ท่านไม่ได้แยกแยะว่า ปุถุชนหรือพระอริยะต้องบำเพ็ญต่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับ วาสนาบารมีและจริตนิสสัยเป็นสำคัญ

การปฏิบัติในพุทธศาสนา ต้องขึ้นต้นด้วย "สัมมาทิฏฐิ" ก่อนลงท้ายก็คือ "ภาวนามยปัญญาหรือวิปัสสนาปัญญา" ปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริง อย่างนี้เสมอ

ความเข้าใจส่วนต้ว นะครับ :b8: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 17:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


บทธรรมบทสุดท้ายจากหนังสือ "ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์" :b12: :b4:

เรื่องปฏิจจสมุปบาทรวมอยู่ในเรื่อง
ที่พุทธบริษัทควรทำสังคีติ๑


ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! ธรรมสองอย่าง อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้
ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว มีอยู่; อันพุทธบริษัททั้งหลาย
(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือสอบสวน จนเป็นที่เข้าใจ
ตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่างมั่นคง)ในธรรมสองอย่างนั้น,
ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น,โดยประการที่พรหมจรรย์(ศาสนา)นี้ จะพึง
มั่นคง ตั้งอยู่นาน.ข้อนั้นจะพึงเป็นไป เพื่อหิตสุข แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่อ
อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ธรรมสอง
อย่างนั้นเล่าคืออะไร? ธรรมสองอย่างนั้นคือ :-

อายตนกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ ๑
ปฏิจจสมุปบาทกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! เหล่านี้แลคือธรรมสองอย่าง อันพระผู้มี
พระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว; อันพุทธ
บริษัททั้งหลาย (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือ
สอบสวน จนเป็นที่เข้าใจตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่าง
มั่นคง) ในธรรมสองอย่างนั้น, ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น, โดยประการที่
พรหมจรรย์ (ศาสนา)นี้ จะพึงมั่นคง ตั้งอยู่นาน. ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อหิตสุข
แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย, ดังนี้ แล.

(อตฺถิ โข อาวุโส เตน ภควตา ขานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน
เทฺว ธมฺมา สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ
อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย
สุขาย เทวมนุสฺสานํ. กตเม เทฺว ธมฺมา? ...อายตนกุสลตา จ ปฏิจฺจสมุปฺปาทกุสลตา จ
....อิเม โข อาวุโส เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน เทฺว ธมฺมา
สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริย อทฺธนิยํ อสฺส
จริฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺติ).

ห ม ายเห ตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตจนเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่า
ความฉลาดในอายตนะ ก็คือ ฉลาดในสิ่งที่เป็นที่ตั้งของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง; และเมื่อ
ฉลาดในการควบคุมอายตนะแล้ว ก็สามารถคุมการเกิดแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท;
นับว่าเนื่องกันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้, และเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในแง่ของการ
ปฏิบัติโดยแท้.


:b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 พ.ย. 2011, 20:29, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 17:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4:

อิอิ แบบว่าอยากนำเหน๋อ แต่ขี้เกียจไปตั้งกระทู้หง่ะ
ก็เลยมาหน้ามึนขอพื้นที่แปะในกระทู้สหายยยย หง๋าย หง๋าย หง๋าย หง๋าย

หงิ หงิ

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเป็นไรไปละ เราเพี่ยนกัน ... อิอิ :b32:
ท่านผู้อ่านได้กำไร เรียกว่า หนึ่งประเทศสองระบบ เอ้ย.. Two in One

อ้างคำพูด:
บทธรรมบทสุดท้ายจากหนังสือ "ปฏิจจสมุปบาทจาแพระโอษฐ์"

ข้างบนนี้แก้ด้วยอ่ะ อ่านแล้วมึนตึ๊บ :b13: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสว่า อริยมรรค คือ ปัญญา ศีล สมาธิ

ลองหามาให้ดูซิว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัส เรื่องอริยมรรค ว่าคือ ปัญญาศีลสมาธิที่ตรงไหน
และพระองค์ ก็ไม่เคยแยกมรรค ออกมา ว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ คือปัญญา
สัมมาวาจากัมมันตะอาชีวะคือ ศีล สัมมาวายามะสัมมาสติสัมมาสมาธิ คือสมาธิ

ท่านมีแต่กล่าวว่า มรรคมีองค์แปดได้แก่อะไรเท่านั้น ส่วนการแยกแยะเป็นเรื่องของพวก
ที่มาภายหลัง


สัมมาทิฏฐิ ขององค์แห่งอริยมรรค คือ ความเห็นในอริยสัจจ์4
ถึงแม้จะเป็นองค์แรกของมรรคทั้ง8 แต่ต้องไม่ใช่สิ่งแรกที่ผู้ปฏิบัติจะมีได้ทันทีหรือมีได้ก่อนมรรค
องค์อื่นๆ เพราะไม่มีใครที่รู้อริยสัจจน์มาก่อน ก่อนการมาศึกษาปฏิบัติ


onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:

สัมมาทิฏฐิ ขององค์แห่งอริยมรรค คือ ความเห็นในอริยสัจจ์4
ถึงแม้จะเป็นองค์แรกของมรรคทั้ง8 แต่ต้องไม่ใช่สิ่งแรกที่ผู้ปฏิบัติจะมีได้ทันทีหรือมีได้ก่อนมรรค
องค์อื่นๆ เพราะไม่มีใครที่รู้อริยสัจจน์มาก่อน ก่อนการมาศึกษาปฏิบัติ

onion

เช่น ??? :b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลาย ในเรื่องของ ไตรสิกขา และ มรรค อันมีองค์ ๘ ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน ก็อย่าทำให้เกิดความสับสนหรือนำมาผสมมั่วกันเหมือนกับเป็นการอวดรู้ อวดฉลาด
"ไตร"หมายถึง สาม
"สิกขา" หมายถึง การศึกษา, การสำเหนียก, ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม มี ๓ อย่างคือ ๑.อธิสีลสิกขา ฝึกอบรมในเรื่องศีล ๒.อธิจิตตสิกขา ฝึกอบรมในเรื่องจิต เรียกง่าย ๆ ว่า สมาธิ ๓.อธิปัญญาสิกขา ฝึกอบรมในเรื่องปัญญา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา (จากพจนานุกรมพุทธศาสนา ฉบับพระธรรมปิฎก)
ทำไมในทางพุทธศาสนาจึงมีข้อ ไตรสิกขา เพราะนั่นเป็นคำสอน หรือเป็นวิธีการ เริ่มต้น สำหรับผู้ที่ศรัทธาในพุทธศาสนา จักต้อง ทำการศึกษา ปฏิบัติ และฝึกอบรม จะเรียกว่า เป็นพื้นฐานหรือบันไดขั้นแรก ในการที่จะก้าวไปสู่ขั้นต่อๆไป บุคคลผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา จักต้อง เรียนรู้ ศึกษา ปฏิบัติ และฝึกอบรม ในเรื่องของ ศีล เพื่อความสะอาดของความคิดและจิตใจ อีกทั้ง จักต้องเรียนรู้ ศึกษา ปฏิบัติ และฝึกอบรม ในเรื่องของจิต คือการรู้จักควบคุมจิต คือควบคุมตัวเองให้มี สติ,สัมปชัญญะ อยู่เป็นนิจ จะเรียกว่า ต้องมีสมาธิอยู่ตลอด ก็ว่าได้ เมื่อได้เรียนรู้ ศึกษา ปฏิบัติ และฝึกอบรม ในศีล และการควบคุมจิตแล้ว ก็ต้องมีการพัฒนาตัวเอง นั่นย่อมหมายถึง ต้องมีการศึกษา ปฏิบัติ และฝึกอบรม ในด้านความรู้ต่างๆอันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่หนีปลีกวิเวก อย่างนั้นไปเกิดปัญญา ไม่เกิดความรู้ แต่จะเกิดเพียงความเงียบ ไม่หนวกหู จิตใจอาจจะสงบก็ได้ ไม่สงบก็ได้ และเมื่อมีการพัฒนาตนเองให้เกิดความรู้คือปัญญาแล้ว ทั้ง 3 ข้อ คือ ไตรสิกขา ก็จะเป็นเครื่องมือในการที่จะนำบุคคลไปสู่การปฏิบัติ ไปสู่การศึกษา ไปสู่การฝึกอบรมตนเอง ให้ได้รู้ว่า อะไรคือทูกข์, อะไรคือสมุทัย, อะไรคือนิโรธ ,อะไรคือมรรค
มรรค อันมีองค์๘ ที่มีอยู่ในทางพุทธศาสนา ไม่ใช่ข้อศีล และแตกต่างจากข้อศีล ตรงที่ มรรค เป็นหนทาง ศีลเป็น เครื่องช่วยในการเดินทางตาม มรรค เหล่านั้น กล่าวอย่างนี้คงพอจะเข้าใจนะขอรับ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๑๓ พ.ย. ๒๕๕๔


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
บทธรรมบทสุดท้ายจากหนังสือ "ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์" :b12: :b4:

[color=#4000FF]เรื่องปฏิจจสมุปบาทรวมอยู่ในเรื่อง
ที่พุทธบริษัทควรทำสังคีติ๑


ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! ธรรมสองอย่าง อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้
ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว มีอยู่; อันพุทธบริษัททั้งหลาย
(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือสอบสวน จนเป็นที่เข้าใจ
ตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่างมั่นคง)ในธรรมสองอย่างนั้น,
ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น,โดยประการที่พรหมจรรย์(ศาสนา)นี้ จะพึง
มั่นคง ตั้งอยู่นาน.ข้อนั้นจะพึงเป็นไป เพื่อหิตสุข แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่อ
อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ธรรมสอง
อย่างนั้นเล่าคืออะไร? ธรรมสองอย่างนั้นคือ :-

อายตนกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ ๑
ปฏิจจสมุปบาทกุสลตา -ความเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย! เหล่านี้แลคือธรรมสองอย่าง อันพระผู้มี
พระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว; อันพุทธ
บริษัททั้งหลาย (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้งปวงนั่นเทียว พึงทำสังคีติ (คือ
สอบสวน จนเป็นที่เข้าใจตรงกันทุกคน แล้วช่วยกันสาธยาย เพื่อทรงจำไว้อย่าง
มั่นคง) ในธรรมสองอย่างนั้น, ไม่พึงวิวาทกันในธรรมสองอย่างนั้น, โดยประการที่
พรหมจรรย์ (ศาสนา)นี้ จะพึงมั่นคง ตั้งอยู่นาน. ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อหิตสุข
แก่มหาชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์หิตสุข แก่เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย, ดังนี้ แล.

(อตฺถิ โข อาวุโส เตน ภควตา ขานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน
เทฺว ธมฺมา สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ
อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย
สุขาย เทวมนุสฺสานํ. กตเม เทฺว ธมฺมา? ...อายตนกุสลตา จ ปฏิจฺจสมุปฺปาทกุสลตา จ
....อิเม โข อาวุโส เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน เทฺว ธมฺมา
สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริย อทฺธนิยํ อสฺส
จริฏฺฐติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺติ).


:b48: :b48: :b48: :b48:


สาธุ อนุโมทนามิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
มรรค ๘ คือ ...

- สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ = ปัญญา
- สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = ศีล
- สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ = สมาธิ

หากเรียงตามมรรคแปด ต้องเรียงเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ไม่ใช่แบบไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเอามาเพื่อการศึกษาก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้านำมาปฏิบัติไตรสิกขาจะขัดกันกับมรรคแปด อย่างชัดเจน มรรคแปด พระพุทธเจ้าได้เรียบเรียงไว้แล้วอย่างดี ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกัน แต่หากเราทำความเข้าใจแนวทางของมรรคแล้ว ไม่ว่าจะเรียงแบบไหน ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เช่น

ความเห็นนี้ถ้าจะสับสนครับ หลักใหญ่ของพระธรรมก็คือ ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ
ไตรสิกขาอยู่ในหลักของปริยัติ ไตรสิกขาคือการศึกษา คือการฟังการอ่าน ในเรื่องของ
ศีลเรียกว่า อธิศีล สมาธิเรียกว่า อธิจิต และปัญญาเรียกว่า อธิปัญญา
พูดให้ตรงตัวก็คือ การศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสุตฯและ
พระอภิธรรม


ส่วนมรรคมีองค์แปดเป็นเรื่องของการปฏิบัติ และการที่ท่านเอาปัญญานำหน้าเป็นเพราะ
หลักธรรมนี้นำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนบรรดาสาวกที่เป็นพระอริยะสงฆ์
ที่มีปัญญาในขั้นโสดาบันเป็นอย่างต่ำ (หาอ่านได้ในบท มหาจัตตารีสกสูตร)
จุดมุ่งหมายก็เพื่อ ปัญญาวิมุตติครับ

ในการกล่าวเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ที่เกิดควาสับสนก็เพราะ มีผู้ขาดความเข้าใจ
เอาเรื่องการปฏิบัติของพระอริยบุคคล มาผสมปนเปกับปุถุชน เอาปัญญาโลกุตตระ
มาผสมปนเปกับปัญญาโลกียะ

ว่ากันตามจริงแล้วปัญญาทางโลกหรือโลกียะ มันเป็นแป็นเพียงหลักของปริยัติเท่านั้น
ฉะนั้นเราจะเรียกในส่วนนี้ว่าปัญญาไม่ได้ มันเป็นแค่ความจำ ปัญญาที่แท้จริง
ต้องผ่านการปฏิบัติเสียก่อน ปฏิบัติให้เกิดปัญญาของตัวเอง ที่เรียกว่า ปัจจัตตัง

ถ้าจะกล่าวให้ตรงตัวในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มีการเรียงอันดับแบบนี้
ก็เป็นเพราะ ท่านมีไว้เป็นแนวทางให้ ปุถุชนปฏิบัติ มันเป็นแนวเดียวกับ ทาน ศีล ภาวนา

ในส่วนของพระอริยะบุคคลหลักการปฏิบัติ ต้องมีสัมมาปัญญาเป็นตัวนำ สัมมามรรคทั้ง7
ฉะนั้นปุถุชน จะต้องทำทานศีลและภาวนาให้เกิดปัญาเสียก่อน และใช้ปัญญาที่ได้ไปปฏิบัติ
ในเรื่องของมรรคมีองค์
อยากจะขอร้องเพื่อนสมาชิกครับ กรุณาอย่าไปกล่าวโทษใครว่า
ไม่มีสัมมาทิฐิหรือไม่มีสัมมาวาจา เพราะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของพระอริยบุคคล
ถ้าผู้กล่าวไม่ได้เป็นพระอริยะบุคคล เท่ากับอวดอุตริฯนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
เรียงตามมรรคแปด เป็น ปัญญา ศีล สมาธิ

ปัญญา ใน มรรค หมายถึง ปัญญาที่มาจากการเรียนรู้ ความเข้าใจ จากการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้นๆ เช่น ศีลแต่ละข้อเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบเช่นไร การรักษาศีลทำอย่างไร เป็นต้น เพื่อเมื่อนำไปปฏิบัติจะได้ทำอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกลายเป็นการลูบคลำศีล หรือ "สีลัพพัตตปรามาส"

อันนี้คุณเอาความจำมาผสมปนเปกับเรื่องปัญญาครับ
ผมจะบอกแบบเข้าใจง่ายๆครับว่า ปัญญาที่แท้ ไม่ใช่การจำพระไตรปิฎกได้ทั้งเล่ม
คนที่มีปัญญาไม่จำเป็นต้องจำเนื้อหาในพระไตรปิฎกได้ แต่สามารถเข้าใจและอธิบาย
ในเนื้อหาของพระไตรปิฎกได้ แม้จะไม่ได้เคยอ่านผ่านตา
บุคคลประเภทหลังนี้ท่านเรียกว่า ละวิจิกิจฉา คือไม่มีความสงสัยในพระธรรม
สามารถอธิบายเนื้อหาของพระธรรมได้ด้วยเหตุและผล
ข้อสังเกตุ การโพสพระไตรปิฎกโดยไม่อธิบายความว่าเกี่ยวข้องกับ
ปัญหาในกระทู้ตรงไหน นี่ไม่ใช้การอธิบายความหรือแก้ปัญหา แต่กลับจะเพิ่ม
ปัญหาเพิ่มความสับสนอีกครับ


และที่คุณบอกว่า "สีลัพพัตตปรามาส" คือการลูบคลำศีล นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนื่ง
ที่อาศัยไปจำมา โดยขาดความเข้าใจในเนื้อหาที่นำมากล่าวครับ

ไหนๆก็ขออธิบาย เลยว่า มันเกี่ยวข้องกับมรรคกํบศีลอย่างไร
ที่เราเรียก มรรคศีลจริงๆแล้วมันไม่ใช่ศีล
ในความเป็นมรรคศีลของอริยะ ท่านมีปัญญาขาดจากความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องศีลแล้ว
อริยะบุคคลท่าน ดำรงตนอยู่ด้วยหลักของ
สัมมาอาชีวะการอยู่ง่ายกินง่าย บางครั้งกินสิ่งมีชีวิตไปโดยไม่รู้ ก็ไม่เก็บเป็นอารมณ์
หรือไม่ก็มีสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคติดต่อร้ายแรง ถ้าแก้ไขที่ตัวปัญหาไม่ได้ก็ต้องทำลาย
ถ้าเห็นปลวกขึ้นบ้าน เราจับมันไปทิ้งไม่ได้ เราก็ต้องใช้ยากำจัด

ข้อสังเกตุอีกข้อครับ ปุถุชนใดถือถือศีลเป็นหลัก ในข้อห้ามฆ่าสัตว์
ถ้าปุถุชนนั้น หลงไปกินเนื้อสัตว์ที่คนอื่นฆ่า หรือไปซื้อหาตามตลาดมันก็ผิดศีล
ในข้อนี้นะครับ ส่วนพระอริยะท่านขาดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแล้ว มีอะไรให้กินก็กิน
แต่ไม่ใช่ไปลงมือฆ่าเอง เพราะมันผิดหลักสัมมาอาชีวะในเรื่องกินง่ายอยู่ง่าย

สัมมาวาจา พูดจาไปตามเหตุตามผลโดยไม่ได้ยึดว่าต้องพูดจาไพเราะหรือหยาบคาย
ซึ่งมันเป็นเรื่องของคนฟังไม่เกี่ยวกับคนพูด คนพูดหรืออริยะเน้นให้ผู้ฟังเข้าใจในปัญหา
เน้นการพูดจริงไปตามเหตุผลของธรรม
ส่วนการพูดจาไพเราะ หรือหยาบคาย มันเป็นเรื่องวจีสุจริตและวจีทุจริต
มันเป็นเรื่องของศีล

ส่วนเรื่องของสัมมากัมมันตะที่ความกับความประพฤติ พระอริยะบุคคล
ไม่ได้สนใจในเรื่องทำดีทำชั่ว ถ้าความหมายของความชั่วคือผิดศีล
ความดีคือไม่ผิดศีล พระอริยะท่านเน้นในเหตุผลของการกระทำ
ตัวอย่าง คุณมีลูกที่ไม่สบายมาก ต้องกินยาในขณะที่คุณไม่มีเงินซื้อ
ไปขอใครเขาก็ไม่ได้ คุณจะปล่อยให้ลูกตายไปต่อหน้าหรือครับ
มันก็ต้องหาทางเอายามา ด้วยการโขมยแหล่ะครับ นี่แหล่ะการกระทำที่เป็นเหตุเป็นผล
อธิบายง่ายๆให้ดู (อธิบายยากเดี๋ยวไม่เข้าใจ จะว่าไม่มีเหตุผล ไม่เป็นสัมมาอีก)

สรุปครับเรื่องสีลพัตตปรามาส มันก็คือคนที่เคร่งในศีลข้อห้าม
ขาดเหตุผลในเรื่องสัมมาศีล แบบนี้เขาเรียกความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นกิเลสตัวหนี่งใน
สังโยช10 ที่เรียกว่า สีลพัตตปรามาสครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่างคนต่างทิฏฐิ ต่างความเห็น
กระทู้ผม ไม่ได้อ้างถึงพระไตรปิฏกเลยนะ (ถ้าไม่จำเป็น ..อิอิ)

สีลพัตตปรามาส คือ รักษาศีลตามประเพณี รักษาศีลโดยไม่มีความเข้าใจในศีล
เมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องของศีล ศีลเศร้าหมอง ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด ก็ไม่รู้
คิดอยู่แต่ว่า ตนรักษาศีลบริสุทธิแล้ว อย่างนี้แหละเรียกว่า สีลพัตตปรามาส

เหตุนั้น การศึกษาปฏิบัติธรรมจึงต้องมี ปัญญา ศึกษาในสิ่งที่ตนสนใจ เมื่อเข้าใจดีแล้วค่อยลงมือ
ปฏิบัติ ปัญญาสองตัวแรก คือ สุตมยปัญญา(ปริยัติ)และจินตามยปัญญา(ปฏิบัติ)
จึงต้องทำให้เกิด ทำให้มีเสียก่อน จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้

สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) จึงเป็นองค์แรกใน มรรคแปด ที่พระองค์ตรัสไว้

:b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ต่างคนต่างทิฏฐิ ต่างความเห็น
กระทู้ผม ไม่ได้อ้างถึงพระไตรปิฏกเลยนะ (ถ้าไม่จำเป็น ..อิอิ)

ผมไม่ได้ว่าคุณอ้างพระไตรปิฎกครับ สิ่งที่ผมกล่าวเป็นการแสดงความเห็น
เพื่อสนับสนุน เรื่องวิจิกิจฉา ที่ผมกำลังอธิบายความครับ

และเรื่องต่างคนต่างทิฐิ ต่างความเห็นนี่ก็ใช่เลยครับ ถึงได้มีบอร์ดสนทนาธรรมขึ้นมา
เพื่อให้สมาชิกแสดงความเห็นมันจะได้เกิดความรู้ที่หลากหลายครับ
ถ้าทุกคนเข้าใจในสิ่งนี้ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหามั้งครับ

อีกอย่างครับ ขอแนะนำครับ ถ้าเรามั่นใจว่า เราแสดงความเห็นด้วยใจที่เป็นกุศล
ก็ไม่ต้องไปกลัวใครเขาหรอกครับ จะผิดจะถูกมันไม่สำคัญ ความสำคัญมันอยู่ตรง
การแสดงออกครับ จะโต้แย้งความเห็นใคร ก็อ้างอิงความเห็นนั้นไปเลยครับ
มันไม่ได้ผิดกฎเกณท์อะไรของบอร์ด เพราะบอร์ดเขามีให้เราอ้าง
อีกทั้งเป็นการแสดงออกถึงมรรยาทที่ดีอีกด้วย
แต่ถ้าเป็นเพราะความกลัว เลยต้องพูดในลักษณะลอยๆ
ก็ไม่ว่ากันครับ(ไม่ได้จะหาเรื่องหาราวอะไรนะครับ เป็นการทำความเข้าใจ)
วิริยะ เขียน:
สีลพัตตปรามาส คือ รักษาศีลตามประเพณี รักษาศีลโดยไม่มีความเข้าใจในศีล
เมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องของศีล ศีลเศร้าหมอง ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด ก็ไม่รู้
คิดอยู่แต่ว่า ตนรักษาศีลบริสุทธิแล้ว อย่างนี้แหละเรียกว่า สีลพัตตปรามาส

นี่เป็นสาเหตุที่ผมเข้ามาแสดงความเห็นครับ เป็นเพราะผมได้แสดงความเห็นไว้ในกระทู้อื่น
แต่มาเห็นกระทู้ของคุณมีเรื่องนี้ด้วย ผมก็เลยถือวิสาสะมาแสดงความเห็นร่วมด้วย
ซึ่งมันอาจแตกต่างกันไป เหมือนกับคำพูดของคุณที่บอกว่า "ต่างคน ต่างความเห็น"
หวังว่าคุณคงไม่คิดว่า เป็นการเข้ามาหักหน้า หรือหาเรื่องนะครับ

เอาเป็นว่าเรื่องสีลพัตตปรามาส คุณจะเข้าใจอย่างไรไม่ว่ากัน
เพราะมันเป็นปัจจัตตังครับ แต่พูดก็พูดเถอะครับ อย่าหาว่าผมเสียมรรยาท
นะครับ ผมรู้สึกขำกับคำพูดของคุณครับที่ว่า"รักษาศีลตามประเพณี"
กับเรื่องศีลด่าง ศีลทะลุนี่แหล่ะครับ ตลกดีครับ
วิริยะ เขียน:
เหตุนั้น การศึกษาปฏิบัติธรรมจึงต้องมี ปัญญา ศึกษาในสิ่งที่ตนสนใจ เมื่อเข้าใจดีแล้วค่อยลงมือ
ปฏิบัติ ปัญญาสองตัวแรก คือ สุตมยปัญญา(ปริยัติ)และจินตามยปัญญา(ปฏิบัติ)
จึงต้องทำให้เกิด ทำให้มีเสียก่อน จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้
สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) จึงเป็นองค์แรกใน มรรคแปด ที่พระองค์ตรัสไว้ :b12:

ผมอยากชี้แนะครับ อันที่จริงมันก็ไม่สำคัญ หรือว่าจะเกี่ยวกับปัญหา
ที่เราถกกันอยู่หรอกครับ
คืออย่างนี้ครับ ผมไม่ทราบว่าคุณไปลอกหรือไปอ่านสิ่งที่คุณโพสมาจากไหน
อันที่จริง ปัญญาที่เกิดจากการปฎิบัติ เห็นใครๆเขาเรียกกันว่า ภาวนามยปัญญาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 11:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b3: ขอแอบแฝงอีก 1 นะ :b3:
ป่าวคิดจะเชียร์ใครนะ
rolleyes rolleyes rolleyes

แต่เท่าที่อ่านพระสูตรนี้
ดูเหมือนพระพุทธองค์ก็แสดงลำดับแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ เช่นกัน

:b14: :b14: :b14:

ธรรมไหลไปสู่ธรรม โดยไม่ต้องมีใครเจตนา๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "อวิป-
ปฏิสาร จงบังเกิดแก่เรา".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีศีล
สมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "ปราโมทย์
จงบังเกิดแก่เรา".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร
ปราโมทย์ย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อปราโมทย์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "ปีติ
จงบังเกิดแก่เรา". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อปราโมทย์แล้ว
ปีติย่อมเกิด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีใจปีติแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "กายของเรา
จงรำงับ". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อม
รำงับ(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อกายรำงับแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "เราจง
เสวยสุขเถิด".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้
เสวยสุข(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีสุข ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "จิตของเราจงตั้งมั่น
เป็นสมาธิ".ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่นเป็น
สมาธิ(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงรู้จงเห็นตามที่เป็นจริง". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อจิต
ตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ ย่อมเห็นตามที่เป็นจริง(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงเบื่อหน่าย" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่
เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า "เราจง
คลายกำหนัด". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อม
คลายกำหนัด(เอง).

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า
"เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ". ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
เมื่อคลายกำหนัดแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ(เอง).

:b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ต่างคนต่างทิฏฐิ ต่างความเห็น
กระทู้ผม ไม่ได้อ้างถึงพระไตรปิฏกเลยนะ (ถ้าไม่จำเป็น ..อิอิ)

สีลพัตตปรามาส คือ รักษาศีลตามประเพณี รักษาศีลโดยไม่มีความเข้าใจในศีล
เมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องของศีล ศีลเศร้าหมอง ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด ก็ไม่รู้
คิดอยู่แต่ว่า ตนรักษาศีลบริสุทธิแล้ว อย่างนี้แหละเรียกว่า สีลพัตตปรามาส

เหตุนั้น การศึกษาปฏิบัติธรรมจึงต้องมี ปัญญา ศึกษาในสิ่งที่ตนสนใจ เมื่อเข้าใจดีแล้วค่อยลงมือปฏิบัติ
ปัญญาสองตัวแรก คือ สุตมยปัญญา(ปริยัติ)และจินตามยปัญญา(ปฏิบัติ)
จึงต้องทำให้เกิด ทำให้มีเสียก่อน จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้

สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) จึงเป็นองค์แรกใน มรรคแปด ที่พระองค์ตรัสไว้

:b12:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมชอบภาพสุนัขกับแมวของคุณมาก แต่ผมก็ชอบที่จะทำตัวเหมือนชอบแหกคอกอยู่บ่อยๆ
และถ้าหากผมเผลอด้วยตั้งใจแหกคอกอะไรออกไปบ้าง ก็คิดเสียว่ามันคือนิสัยธรรมดาของ
คนนอกคอกก็แล้วกัน

ในเรื่องอริยมรรค โดยส่วนตัวของผม ผมพบว่า พระพุทธองค์หากจะกล่าวโดยย่อ
เรื่องระบบการปฏิบัติ ก็จะย่อว่า ศีล สมาธิ ปัญญา บ้าง สมถะวิปัสสนาบ้าง

แต่พอกล่าวถึงมรรค ท่านจะไม่เคยแยกแยะ และวางมรรคแต่ละตัวไว้ตรง ศีลสมาธิหรือปัญญา
เพียงแต่บอกให้สร้างมรรคให้มีขึ้นเป็นขึ้น และมรรคมีองค์8ได้แก่....อะไรอะไรอะไร

และส่วนของการศึกษาที่ต้องอบรมมาตามลำดับท่านก็จะเรียงจาก ศีลสิกขา มาสมาธิสิกขา
และปัญญาสิกขา ไม่มีส่วนที่เรียกว่าปัญญามาก่อนศีล หรือสมาธิ

แต่ถ้าใครจะยืนยันเช่นว่า มรรคคือ ปัญญาศีลสมาธิ ก็ไม่มีใครเขาไปค้านแย้ง ว่าไม่ใช่
แต่ แค่เห็นว่า ควรแสดงให้ชัดว่านั่นเป็นความเห็นที่เกิดจากการวิเคราะห์กันเอาเองของ
พระเถราจารย์รุ่นหลัง ไม่ใช่โดยพระพุทธเจ้า และแม้แต่พระอรหันตสาวกยุคนั้นก็ไม่มีใครมา
แยกแยะอริยมรรคออกมา เป็น ปัญญา ศีล สมาธิ อย่างที่ยุคนี้นิยมนำมาอธิบายกัน

สำหรับผมจะปัญญาศีลสมาธิก็ได้ จะศีลสมาธิปัญญาก็ได้ แค่มีเจ้าสามอย่างนี้บริบูรณ์ใน
ภายในก็คงน่าจะเป็นที่พอใจแก่ตัวเองแล้ว

cool


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร