วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 21:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


1. ทุกข์เกิดจากเราไปยึดติดขันธ์ 5 ยึดในตัวเรา ยึดของของเรา ยึดในฐานะ ยึดในหน้าตา รูปร่าง ผิวพรรณ น้ำเสียง
2. ทุกข์เกิดจากอินทรีย์ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราทำให้เราเกิดความรู้สึก ความจำ ความคิดปรุงแ่ต่ง เกิดการรับรู้ ไปหลงทำให้เกิดความพอใจ และไม่พอใจ นั้นคือความเชื่อทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 16:30
โพสต์: 74

ชื่อเล่น: ใบเฟิร์น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยึดติดเกินก็เจ็บปวดมาก จะปล่อยวางก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เฮ้อ!เศร้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2011, 17:33
โพสต์: 85

โฮมเพจ: บล๊อก
แนวปฏิบัติ: กายปสาทรูป และวิสยรูป ๗ คือ สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว สังเกตุการเกิดดับที่ละขณะ
งานอดิเรก: ฟังธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรมัตถธรรม ๔ โดยสังเขป ของ อ.สุจินต์
อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังพระธรรมมาก ๆ สังเกต พิจารณา เมื่อเข้าใจถูกต้องถึงความเป็นจริง ก็นำมาปฏิบัติ อย่าเอาแต่ทฤษฎี ไม่งั้นเราก็จะไม่รู้จักว่าเราศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลสตัณหาให้เบาบางลง เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีทุกข์ และเพื่อให้เกิดปัญญา ถ้าศึกษาแต่ทฤษฎีอย่างเดียวก็จะไม่เข้าใจสภาพธรรมจริง ๆ ยกตัวอย่างนะคะ เหมือนเราว่ายน้ำไม่เป็น เราไปซื้อหนังสือมาอ่านว่าการว่ายน้ำว่ายอย่างไร ท่าไหน ได้แต่อ่าน อืมน่ะ เข้าใจแล้วว่าการว่ายน้ำเป็นอย่างนี้นะ แต่ถ้าไม่ลงไปหัดว่ายน้ำจริง ๆ แล้วเราจะว่ายเป็นหรือเปล่า ก็เปล่าเลย

ธรรมรักษา ขอให้เจริญในธรรมทุกท่าน อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
กายอ่อนน้อม ใจระลึกถึงพระคุณ
เปิดตาให้รับแสงแห่งพระธรรม เปิดหูให้ได้ยินเสียงสำเนียงธรรม เปิดปากพูดจาสนทนาธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2011, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)


พอพูดถึงความทุกข์ และการดับทุกข์
ถ้าพิจารณาให้ละเอียด จะพบว่า
ทุกข์ที่ดับได้เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็คือ...................... โทมนัส

ส่วนทุกข์เวทนาทางกายข้อ2 นั้น อาจต้องอาศัยยาพารา หรือไม่ก็ยาสลบ
หรือไม่ก็การเข้าสมาธิลึกๆ หรือการนอนหลับสนิท ทั้งหลับฝัน และหลับไม่ฝัน
ก็พอจะหนีทุกข์ข้อนี้ได้ชั่วคราว

ส่วนการจะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ก็คือการปรินิพพาน เท่านั้น
ไม่ใช่การตาย
การตายของปุถุชน ยังไม่สิ้นเหตุปัจจัย ทำให้มีกายใหม่ ซึ่งยังไม่หนีพ้นความทุกข์ได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2011, 03:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าแสดงการเกิดของเหตุและการดับลงของธรรมนั้น

ธรรมใดๆ ล้วนเข้าถึงสถานะ 3 ประการคือ
เป็นทุกข์
เป็นอนิจจัง
เป็นอนัตตา

ขอทุกท่านเจริญในธรรม ที่เข้าถึงความเป็นอริยะ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2011, 09:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์มี 2 ทุกข์
1. ทุกข์ธรรมชาติ ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ ก็คือทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
วิธีดับทุกข์ คือ วิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 ว่าตัวเราไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้นสุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีมีตัวตน
2. ทุกข์ที่เิกิดจากการรู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เราไปหลงในรูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ใจคิดลึก นั้นคือความเชื่อทั้งหมด(ไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ) เป็นการปรุงแต่ง เป็นทุกข์ที่เราสะสมทุกวินาที สุดท้ายก็ยากที่จะแก้
วิธีแก้ทุกข์นี้ คือ วิปัสสนาพิจารณาอินทรีย์ 6 เห็นรูปพิจารณาสิ่งที่เราเห็นว่าไม่เที่ยง เกิด ดับ
ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น สุดท้ายดับสลายหายไป ได้ยินเสียง เสียงไม่เที่ยง
ได้กลิ่นหอม เหม็น กลิ่นไม่เที่ยง เกิด ดับ เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ทางกาย
ทุกข์ทางใจ

ทุกข์ทางกาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกพ้นได้
เมื่อมีความเกิด ต้องมี แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา

ทุกข์ทางใจ เป็นสิ่งที่สามารถหลีกพ้นได้
มรรคองค์แปด คือข้อปฏิบัติที่ทำให้พ้นไปจากทุกข์อันมีสาเหตุมาจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 10:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
ทุกข์ทางกาย
ทุกข์ทางใจ

ทุกข์ทางกาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกพ้นได้
เมื่อมีความเกิด ต้องมี แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา

ทุกข์ทางใจ เป็นสิ่งที่สามารถหลีกพ้นได้
มรรคองค์แปด คือข้อปฏิบัติที่ทำให้พ้นไปจากทุกข์อันมีสาเหตุมาจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.



ทุกข์ทางกาย เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้เพราะความ ไม่เที่ยง
เราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย เราจึงเป็นทุกข์
เราดับทุกข์ตรงนี้ได้ คือ พิจารณาขันธ์ 5 คือเราไปยึดว่านี่คือตัวเรา เป็นเรา ที่จริงแล้วเราประกอบขึ้นจาก 1.รูป(ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) 2.เวทนา(รู้สึก) 3.สัญญา(จำ) 4.สังขาร(คิด) 5. วิญญาณ (รับรู้)
ประกอบกันจากเหตุและปัจจัย สุดท้ายก็แตกสลายไปเ่่ท่านั้นไม่มีเรา ไม่มีตัวเราที่แท้จริง

ทุกข์ทางใจ สิ่งที่เราสามารถหลีกพ้นได้
โดย วิปัสสนาพิจารณาอินทรีย์ 6 (ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ) ที่เรา โลภ โกรธ หลง เพราะเรารู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบเราทางอินทรีย์ 6 หรือ รูป,เสียง,กลิ่น ,รส, (ร้อน เย็น แข็ง อ่อน ตึง ไหว),ใจคิดลึก
ทำให้เราไปหลงความพอใจ (โลภ) ไม่พอใจ (โกรธ) รู้ไม่ทันความพอใจ ไม่พอใจ (หลง)
เห็นเงิน เห็นทอง เกิดความพอใจ แปลว่าโลภ ทำให้เราเป็นทุกข์อยากได้ แสวงหา ขโมย โกง นี่แหลสาเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง เป็นทุกข์ที่เราสะสมทุกวินาที ทุกข์นี้เราสร้างขึ้นมาเอง หากเราไม่สะสาง ทำให้จางลงไป สุดท้ายเราก็จะแก้ทุกข์นี้ยากทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้นสุดท้่ายแก้ปัญหาด้วยวิธีการฆ่าตัวตาย นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาหรือทุกข์ เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วนเป็นวัฏจักร

- มีทุกข์ย่อมมีเหตุแห่งทุกข์
- มีสุขย่อมมีเหตุแห่งสุข
ตามกฎเหตุและผล อิทัปปัจจยา เมื่อมีเหตุต้องมีผล
เมื่อไม่มีผล ย่อมไม่มีเหตุ เมื่อดับเหตุได้ย่อมไม่มีผล เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เอาหลักธรรมนี่ไปใช้ในกรแก้ปัญหาชีวิต หน้าที่การงาน กิจการได้ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 12:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ทางกาย.....รู้ได้ก็เพราะมีใจ
ใจที่ยังมีอวิชชา....นำพามาเกิด...เกิดก็มีกาย...มีรูปกายก็มีอนิจจัง...เพราะอนิจจังจึงทุกขัง...

ทุกข์ทางใจ.....มีได้ก็เพราะใจปรุงแต่ง
ใจที่ยังมีอวิชชา....นำพาให้หาวิธีรักษารูป....จึงปรุงแต่งทุกอย่าง..ต่าง ๆ นานา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทุกข์ทางกาย.....รู้ได้ก็เพราะมีใจ
ใจที่ยังมีอวิชชา....นำพามาเกิด...เกิดก็มีกาย...มีรูปกายก็มีอนิจจัง...เพราะอนิจจังจึงทุกขัง...

ทุกข์ทางใจ.....มีได้ก็เพราะใจปรุงแต่ง
ใจที่ยังมีอวิชชา....นำพาให้หาวิธีรักษารูป....จึงปรุงแต่งทุกอย่าง..ต่าง ๆ นานา...



ที่เราทุกข์ใจ ก็เพราะ 2 ทุกข์นี้ครับ
ืุทุกข์กายนำไปสู่ทุกข์ใจครับ
นี่คือทุกข์ทางธรรม
ทุกข์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกข์ธรรมชาติ บังคังไม่ได้เลย ทำให้เกิดทุกข์ทางใจเพราะไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดับดัวยวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5

ทุกข์จากการรู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบทางอินทรีย์ 6 นำไปสู่ทุกข์ทางใจ
ทุกนี้ตัวเราเองที่สะสมขึ้นทุกวินาที ทุกข์นี้สะสางให้เบาบางได้โดยวิปัสสนาพิจารณา
สิ่งที่มากระทบทางอินทรีย์ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

ทุกข์ทางโลก มี 2 อย่าง
1. ทุกข์กาย คือ ลำบากยากเข็ญ เหน็ดเหนื่อย เจ็บ ปวด
2. ทุกข์ใจ ไม่ต้องอธิบายครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 13:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ทางโลกมีได้....สองอย่าง

แต่ก็เกิดได้จาก....อย่างเดียว

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 14:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ทางกาย....เป็นมายา

ลองเอาใจออกจากกาย...เอากายไปเผายังไม่เดือดร้อนเลย

ขนาดไม่ใช่กายเรา....แต่เพราะยึดว่ากายนี้ลูกของเรา...เอาไปเผา...ใจพ่อแม่แทบละลาย :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2011, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทุกข์ทางกาย เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้เพราะความ ไม่เที่ยง
เราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย เราจึงเป็นทุกข์
เราดับทุกข์ตรงนี้ได้ คือ พิจารณาขันธ์ 5 คือเราไปยึดว่านี่คือตัวเรา เป็นเรา ที่จริงแล้วเราประกอบขึ้นจาก 1.รูป(ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ) 2.เวทนา(รู้สึก) 3.สัญญา(จำ) 4.สังขาร(คิด) 5. วิญญาณ (รับรู้)
ประกอบกันจากเหตุและปัจจัย สุดท้ายก็แตกสลายไปเ่่ท่านั้นไม่มีเรา ไม่มีตัวเราที่แท้จริง


จะเป็นทุกข์กับ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ต่อเมื่อเกิดความรู้สึกยึดถือขึ้นมาว่า
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือตัวเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
หากความรู้สึกยึดถือว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรายังไม่เกิดขึ้น
ความเป็นทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็จะยังไม่เกิดขึ้น
เทียบกับเมื่อได้เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย เกิดขึ้นกับบุคคลอื่น เราจะยังไม่รู้สึกเป็นทุกข์
แต่เมื่อใดที่เกิดความรู้สึกว่าเป็นเราที่แก่ เป็นเราที่เจ็บ เป็นเราที่จะตาย ความรู้สึกเป็นทุกข์จะเกิดขึ้นมาทันที

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
เพราะความเข้าไปยึดถือในสิ่งที่ไม่เที่ยง
ความทุกข์จึงเกิดขึ้นจากการเข้าไปถือในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น

ความยึดถือ(อุปาทาน)จะดับสิ้นลงได้ เพราะความดับสิ้นลงแห่งตัณหา
ตัณหาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งเวทนา
เวทนาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งผัสสะ

:b42: เมื่อใดที่ได้เห็น ให้สักแต่ว่าเห็น
เมื่อใดที่ได้ยิน ให้สักแต่ว่าได้ยิน
ฯลฯ
เมื่อใดได้รู้แจ้งธรรมมารมณ์ ก็ให้สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้น"เธอ"จักไม่มี

เมื่อใด"เธอ"ไม่มี
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น
ไม่ปรากฏในระหว่างโลกทั้งสอง
นั้นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ :b42:


อ้างคำพูด:
ทุกข์ทางใจ สิ่งที่เราสามารถหลีกพ้นได้
โดย วิปัสสนาพิจารณาอินทรีย์ 6 (ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ) ที่เรา โลภ โกรธ หลง เพราะเรารู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบเราทางอินทรีย์ 6 หรือ รูป,เสียง,กลิ่น ,รส, (ร้อน เย็น แข็ง อ่อน ตึง ไหว),ใจคิดลึก
ทำให้เราไปหลงความพอใจ (โลภ) ไม่พอใจ (โกรธ) รู้ไม่ทันความพอใจ ไม่พอใจ (หลง)
เห็นเงิน เห็นทอง เกิดความพอใจ แปลว่าโลภ ทำให้เราเป็นทุกข์อยากได้ แสวงหา ขโมย โกง นี่แหลสาเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง เป็นทุกข์ที่เราสะสมทุกวินาที ทุกข์นี้เราสร้างขึ้นมาเอง หากเราไม่สะสาง ทำให้จางลงไป สุดท้ายเราก็จะแก้ทุกข์นี้ยากทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้นสุดท้่ายแก้ปัญหาด้วยวิธีการฆ่าตัวตาย นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาหรือทุกข์ เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วนเป็นวัฏจักร



บุคคลบางพวก
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง บ้าง
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้ บ้าง
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย บ้าง
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเอง หรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ ก็ตาม

แม้นความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัติขึ้นมานั้น ล้วนยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะเกิดมีขึ้นได้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
เพราะความเข้าไปยึดถือในสิ่งที่ไม่เที่ยง
ความทุกข์จึงเกิดขึ้นจากการเข้าไปถือในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น

ความยึดถือ(อุปาทาน)จะดับสิ้นลงได้ เพราะความดับสิ้นลงแห่งตัณหา
ตัณหาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งเวทนา
เวทนาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งผัสสะ

:b42: เมื่อใดที่ได้เห็น ให้สักแต่ว่าเห็น
เมื่อใดที่ได้ยิน ให้สักแต่ว่าได้ยิน
ฯลฯ
เมื่อใดได้รู้แจ้งธรรมมารมณ์ ก็ให้สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้น"เธอ"จักไม่มี

เมื่อใด"เธอ"ไม่มี
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น
ไม่ปรากฏในระหว่างโลกทั้งสอง
นั้นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ :b42:


:b8: :b8: อนุโมทนาครับ

และอยากจะขอความกรุณาคุณปล่อยรู้รวมถึงท่านอื่นๆช่วยชี้แจงเพิ่มเติมหน่อยครับ

เพราะอะไรตัณหาจึงเป็นเหตุของอุปาทาน ไม่ใช่ในทางกลับกัน(คืออุปาทานเป็นเหตุของตัณหา)ครับ
เช่นเดียวกัน เพราะอะไรเวทนาจึงเป็นเหตุของตัณหา ไม่ใช่ในทางกลับกัน
และ เพราะอะไรผัสสะจึงเป็นเหตุของเวทนา ไม่ใช่ในทางกลับกัน

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 20:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
อนุโมทนาครับ

และอยากจะขอความกรุณาคุณปล่อยรู้รวมถึงท่านอื่นๆช่วยชี้แจงเพิ่มเติมหน่อยครับ

เพราะอะไรตัณหาจึงเป็นเหตุของอุปาทาน ไม่ใช่ในทางกลับกัน(คืออุปาทานเป็นเหตุของตัณหา)ครับ
เช่นเดียวกัน เพราะอะไรเวทนาจึงเป็นเหตุของตัณหา ไม่ใช่ในทางกลับกัน
และ เพราะอะไรผัสสะจึงเป็นเหตุของเวทนา ไม่ใช่ในทางกลับกัน


เป็นคำถามที่น่าสนใจ.... :b6:

แต่ไม่เข้าใจคำที่ว่า..."ไม่ใช่ในทางกลับกัน"
s006


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร