วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 15:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2011, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


จากอนุรุทธเถรคาถา ครับ

ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วหรือยัง เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้มีแก่พระผู้มีพระภาค ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น คงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์คือ เสด็จออกจากจตุตถฌาน แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วจิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป

ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ หมายถึงอะไรครับ
ขอพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2011, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ผู้ใคร่ความหลุดพ้น
สวัสดีครับคุณ flame สภาวธรรมในฌานจิต ในรูปฌาน 1-4 จะมีนัยของสภาวะ เช่น ฌานที่1 = สงัดจากอกุศลธรรมทั้งปวง เป็นภาวะที่เพ่งผ่านพ้นมาจากนิวรณ์ ฌานที่2 = เอโกทิภาวะ เป็นภาวะที่จิตเข้าสู่ระดับที่จิตมีการรวมเป็นหนึ่งในภายใน มีความอบอุ่น เบาสบาย ปรากฏการณ์ของแสงสีเหลือง(ปราณ)ร่วมด้วย ฌานที่3 =สุขที่พระอริยะเจ้าสรรเสริญ จิตมีสภาพกระจายตัว มีความเย็นสดชื่น เบาสบาย ปรากฏการณ์ของแสงสีขาว(มโนธาตุ)ร่วมด้วย ฌานที่4 =ลมหายใจดับ ไม่มีสุข ทุกข์ จิตมีสภาพรวมเป็นหนึ่ง ลึกดำดิ่ง

จะเห็นได้ว่าฌานที่1-4 หรือถือเป็นสัมผัสทั้ง 4 นี้มีภาวะของการรวมและการกระจายของจิต ซึ่งหมายถึงยังไม่สมดุล มีความเป็นด้านใดด้านหนึ่ง แต่สภาวธรรมระหว่างรูปกับอรูป เป็นภาวะที่มีความสมดุล ถือเป็นสัมผัสทั้ง 5 เป็นภาวะที่พระพุทธองค์ และเหล่าพระอรหันต์สาวกดับขันธ์สู่นิพพานธาตุที่กล่าวมาเป็นเพียงความเห็น หากผิดพลาดด้วยความไม่เจตนา ขอพระธรรมจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ผู้ใคร่ความหลุดพ้น
สวัสดีครับคุณ flame สภาวธรรมในฌานจิต ในรูปฌาน 1-4 จะมีนัยของสภาวะ เช่น ฌานที่1 = สงัดจากอกุศลธรรมทั้งปวง เป็นภาวะที่เพ่งผ่านพ้นมาจากนิวรณ์ ฌานที่2 = เอโกทิภาวะ เป็นภาวะที่จิตเข้าสู่ระดับที่จิตมีการรวมเป็นหนึ่งในภายใน มีความอบอุ่น เบาสบาย ปรากฏการณ์ของแสงสีเหลือง(ปราณ)ร่วมด้วย ฌานที่3 =สุขที่พระอริยะเจ้าสรรเสริญ จิตมีสภาพกระจายตัว มีความเย็นสดชื่น เบาสบาย ปรากฏการณ์ของแสงสีขาว(มโนธาตุ)ร่วมด้วย ฌานที่4 =ลมหายใจดับ ไม่มีสุข ทุกข์ จิตมีสภาพรวมเป็นหนึ่ง ลึกดำดิ่ง

จะเห็นได้ว่าฌานที่1-4 หรือถือเป็นสัมผัสทั้ง 4 นี้มีภาวะของการรวมและการกระจายของจิต ซึ่งหมายถึงยังไม่สมดุล มีความเป็นด้านใดด้านหนึ่ง แต่สภาวธรรมระหว่างรูปกับอรูป เป็นภาวะที่มีความสมดุล ถือเป็นสัมผัสทั้ง 5 เป็นภาวะที่พระพุทธองค์ และเหล่าพระอรหันต์สาวกดับขันธ์สู่นิพพานธาตุที่กล่าวมาเป็นเพียงความเห็น หากผิดพลาดด้วยความไม่เจตนา ขอพระธรรมจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า :b8:


น่าสนใจดีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดประกายดี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
จากอนุรุทธเถรคาถา ครับ

ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วหรือยัง เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้มีแก่พระผู้มีพระภาค ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น คงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์คือ เสด็จออกจากจตุตถฌาน แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วจิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป

ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ หมายถึงอะไรครับ


ในเถรคาถา วีสตินิบาต สูตรที่ ๙ พระอนุรุทธคาถา พุทธฏีกาได้ตรวจสอบดู
เป็นนิบาตที่่น่าศึกษาอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะเป็นคำรวบรวม เป็นคาถาพรรณา
แสดงสุภาษิตของพระอรหันตสาวก ๑๐ ท่านในวิสตินิบาตนี้ และที่จะได้นำ
ตัวอย่างมาแสดงเป็นหลักฐาน คำตอบไว้ ที่ใกล้เคียงก็มี ท่านพระปาราสริยเถระ
ที่มีเนื้อความใกล้เคียงกับ ของท่านพระอนุรุทธะ ที่พระสังคีติกาจารย์
มีท่านพระมหากัสปะเถระ ท่านพระอุทายีเถระ และท่านพระอานนท์รวบรวมเรียบเรียงไว้ ๓
ท่านที่เป็นผู้ปุจฉาและวิสัชชนาในครั้งปฐมสังคยานา จากพระอรหันต์
สาวก ๕๐๐ รูปที่มติสงฆ์แต่งตั้ง ผู้บรรลุ วิชชา ๓ และอภิญญา ๖ ทั้งหมด
หลังจากปรินิพพาน ๓ เดือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ทราบไว้ว่า
เป็นคำกล่าว เป็นภาษิตของท่านพระอุนุรุทธะเอง ขอกล่าวไว้เพื่อเพิ่ม
ศรัทธาปสาทแก่กัลยาณมิตรครับ ^^


ยกตัวอย่างใน วีสตินิบาต พระปาราสริยเถระ สูตรที่ ๒ ความว่า
อ้างคำพูด:
คนพาลย่อมไม่รู้สึกว่า ร่างกายนี้เป็นของ
เผ็ดร้อน มีรสหวานเป็นที่ยินดี เกี่ยวพันด้วยความรัก เป็นทุกข์ เป็น
ของฉาบไล้ไว้ด้วยสิ่งที่น่าชื่นใจ เหมือนมีดโกนอันทาแล้วด้วยน้ำผึ้ง
ฉะนั้น บุคคลผู้กำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
ของหญิง ย่อมต้องประสบทุกข์มีประการต่างๆ กระแสตัณหาในหญิง
ทั้งปวงย่อมไหลไปในทวารทั้ง ๕ ของบุรุษ ผู้ใดมีความเพียร อาจทำการ
ป้องกันกระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ผู้นั้นตั้งอยู่ในอรรถ ตั้งอยู่ในธรรม
เป็นผู้ขยันมีปัญญาเครื่องพิจารณา ก็บุคคลควรเป็นผู้ยินดีทำกิจอันประ-
กอบด้วยอรรถและธรรม การประกอบด้วยกามารมณ์ย่อมทำให้จมอยู่ใน
โลกบุคคลพึงเว้นกิจอันไร้ประโยชน์เสีย เมื่อรู้ว่า สิ่งนั้นไม่ควรทำแล้ว
พึงเป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาสอดส่องในสิ่งนั้น บุคคลพึงยึดเอาแต่กิจที่
ประกอบด้วยประโยชน์ และความยินดีอันประกอบด้วยธรรม แล้วพึง
ประพฤติ เพราะว่าความยินดีในธรรมนั้นแล เป็นความยินดีสูงสุด
ผู้ใดปรารถนาจะชิงเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยอุบายใหญ่น้อย ฆ่าผู้อื่น
เบียดเบียนผู้อื่น ทำคนอื่นให้เศร้าโศก ฉกชิงเอาสิ่งของของคนอื่น
ด้วยความทารุณร้ายกาจ การกระทำของผู้นั้น เป็นการกระทำอาศัยความ
ยินดีในการประกอบด้วยความฉิบหาย บุคคลผู้มีกำลัง เมื่อผ่าไม้ ย่อม
ตอกลิ่มด้วยลิ่ม ฉันใด ภิกษุผู้ฉลาดย่อมกำจัดอินทรีย์ ด้วยอินทรีย์
ฉันนั้น บุคคลผู้อบรมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา กำจัด
อินทรีย์ ๕ ด้วยอินทรีย์ ๕ แล้ว เป็นพราหมณ์ผู้ไม่มีทุกข์ไป บุคคลนั้น
เป็นผู้ตั้งอยู่ในอรรถตั้งอยู่ในธรรม ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งปวง โดยประการทั้งปวง ย่อมได้รับความสุข.


ในอัฏฐกถา ปาราสริยเถระ สูตรที่ ๒ ความว่า

อ้างคำพูด:
บทว่า อิตฺถิโสตานิ สพฺพานิ ความว่า กระแสตัณหา ๕ ประการทั้งหมดคือไม่เหลือ มีรูปเป็นต้นของหญิงเป็นอารมณ์ ย่อมไหลไป.
บทว่า ปญฺจสุ ได้แก่ ในทวารทั้ง ๕ ของบุรุษ.
บทว่า เตสํ ได้แก่ กระแสทั้ง ๕ เหล่านั้น.
บทว่า อาวรณํ ได้แก่ การปิดกั้น.
อธิบายว่า บุคคลผู้สามารถเพื่อตั้งสติสัมปชัญญะแล้วยังความสำรวมให้ดำเนินไป โดยประการที่ความไม่สำรวมจะเกิดขึ้นไม่ได้นั้นเป็นผู้มีความเพียร คือเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรมแล้วยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม.

ภิกษุอบรมคือเจริญอินทรีย์ ๕ อันเป็นเครื่องบ่มวิมุตติแม้นี้ คือศรัทธามีลักษณะน้อมใจเชื่อ, ความเพียรมีลักษณะประคองไว้, สมาธิมีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน, สติมีลักษณะปรากฏ, ปัญญามีลักษณะเห็น จึงกำจัดอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นด้วยอินทรีย์ ๕ เหล่านี้ โดยกำจัดความเป็นทวารแห่งการเกิดกิเลส มีความยินดีและความขัดเคืองเป็นต้น แล้วตัดได้เด็ดขาดซึ่งกิเลสทั้งหลายอันเป็นที่อาศัยแห่งอินทรีย์นั้นด้วยอริยมรรค แต่นั้นนั่นแลเป็นพราหมณ์ผู้ไม่มีทุกข์ คือหมดทุกข์ย่อมเข้าถึงอนุปาทิเสสปรินิพพานทีเดียว.


จากปาราสริยเถระสูตร และอัฏฐกถาแสดงความว่า ทวาร ๕ หรือ อินทรีย์ทั้ง ๕
ที่พุทธฏีกาเน้นสีแดง กล่าวคือ มี จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์
กายินทรีย์
(ความเป็นทวารแห่งการเกิดกิเลส) เป็นการแสดงภาษิตของ
พระปาราสริยเถระว่าด้วย ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ ตัณหา โดยเนื่องกับสตรี เพราะอาศัยการอบรม
อินทรีย์ ๕ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น มีมรรคญาณผลญาณเป็นท่ามกลาง
มีนิโรธหรือนิพพานเป็นเบื่องปลาย เชิญศึกษาได้ใน ปาราสริยเถระสูตร เพิ่มเิติม

คงจะมีคำถามว่า ทวาร ๕ นี้จากพระสูตรที่ ๒ แค่อยู่ในหมวดเดียวกัน
พุทธฏีกาจับแพะชนแกะหรือเปล่า แล้วไปเกี่ยวอะไรกับ สูตรที่ ๙ ไปเทียบอะไรกับ
ผัสสะเป็นที่ ๕ ในครั้ง อนุปาทิเสสปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้มีปัญญาก็ค่อยๆ พิจารณาดูเนื้อความดูนะครับ

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต่อไปจะขอยก คำถามตอบของ อชิตพราหมณ์ ในพระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส อชิตมาณวกปัญหานิทเทสว่าด้วย
ปัญหาของท่านอชิตะ มีใจความว่า

อ้างคำพูด:
เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยปรินิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสส ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญา สติ และ
นามรูป ย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมระงับไป ณ ที่นั้น เพราะความ
ดับแห่งวิญญาณดวงก่อน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นามรูปนั้นย่อมดับ ณ ที่นั้น เพราะความดับ
แห่งวิญญาณ.

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
ดูกรอชิตะ ท่านได้ถามปัญหาข้อใดแล้ว เราจะแก้ปัญหา
ข้อนั้นแก่ท่าน นามและรูปดับไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด
นามรูปนั้นก็ดับ ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณ.

[๙๐] (ท่านอชิตะทูลถามว่า)
พระอรหันตขีณาสพเหล่าใดผู้มีสังขาตธรรม และพระเสข-
บุคคลในทิฏฐิเป็นต้นนี้มีมาก ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ผู้มีปัญญา ได้โปรด
ตรัสบอกความดำเนินของพระขีณาสพและเสขบุคคลเหล่านั้น
แก่ข้าพระองค์เถิด.

[๙๑] คำว่า "เย จ สงฺขาตธมฺมา เส" ความว่า พระอรหันตขีณาสพ ท่านกล่าวว่ามี
สังขาตธรรม. เพราะเหตุไร? พระอรหันตขีณาสพท่านจึงกล่าวว่า มีสังขาตธรรม เพราะเหตุว่า
พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น มีธรรมอันนับแล้ว คือ มีธรรมอันรู้แล้ว มีธรรมอันพินิจแล้ว มี
ธรรมอันพิจารณาแล้ว มีธรรมอันเป็นแจ้งแล้ว มีธรรมอันแจ่มแจ้งแล้ว คือ มีธรรมอันนับแล้วว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เพราะอวิชชาเป็น
ปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับ
ไปเป็นธรรมดา. อนึ่ง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ
อันพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นนับพร้อมแล้ว.
อนึ่ง พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ตั้งอยู่แล้ว
ในที่สุดแห่งขันธ์ ในที่สุดแห่งธาตุ ในที่สุดแห่งอายตนะ ในที่สุดแห่งคติ ในที่สุดแห่งอุปบัติ
ในที่สุดแห่งปฏิสนธิ ในที่สุดแห่งภพ ในที่สุดแห่งสงสาร ในที่สุดแห่งวัฏฏะ ตั้งอยู่ในภพ
อันมีในที่สุดตั้งอยู่ในอัตภาพอันมีในที่สุด เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด.

ภพและอัตภาพ คือ ความเกิด ความตายและสงสารนี้
ของพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นมีเป็นครั้งสุดท้าย ท่านไม่มี
การเกิดในภพใหม่อีก.


ขยายความ (เพราะความดับไปแห่งวิญญาณดวงก่อน)ใน อัฏฐกถา อชิตมาณวกปัญหานิทเทส ความว่า

อ้างคำพูด:
บทว่า อรหโต ได้แก่ พระขีณาสพได้ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งหลาย.
บทว่า อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ด้วยนิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสส คือนิพพานธาตุมี ๒ อย่างเป็นอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน.

ในบทนั้นชื่อว่าอุปาทิ เพราะยึดมั่น คือยึดถือมั่นว่า เรา ของเรา. บทนี้เป็นชื่อของขันธ์ ๕. อุปาทิอันเหลือชื่อว่าอุปาทิเสสะ. ชื่อว่าสอุปาทิเสสะ เพราะเป็นไปกับด้วยเบญจขันธ์ที่เหลืออยู่. ชื่อว่าอนุปาทิเสสะ เพราะไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่. อนุปาทิเสสะนี้ด้วยนิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสสะนั้น.

บทว่า นิพฺพายนฺตสฺส ได้แก่ ดับ คือเป็นไปไม่ได้ เหมือนไฟหมดเชื้อฉะนั้น.

บทว่า จริมวิญฺญาณสฺส นิโรเธน เพราะดับวิญญาณดวงสุดท้าย คือเพราะดับลมหายใจเข้าออกในเบญจขันธ์นี้.

จริมะ (สุดท้าย) มี ๓ คือ ภวจริมะ, ฌานจริมะ, จุติจริมะ.

ในบรรดาภพทั้งหลาย ลมหายใจเข้าออกย่อมเป็นไปในกามภพ ไม่เป็นไปในรูปภพและอรูปภพ ฉะนั้น ลมอัสสาสปัสสาสะนั้น จึงชื่อว่าภวจริมะ. ในฌานทั้งหลาย ลมหายใจเข้าออกย่อมเป็นไปใน ๓ ฌานต้นไม่เป็นไปในฌานที่ ๔ เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสปัสสาสะจึงชื่อว่าฌานจริมะ.

อนึ่ง ธรรมเหล่าใดเกิดพร้อมกับจิตที่ ๑๖ ก่อนหน้าจุติจิต ธรรมเหล่านั้นย่อมดับไปพร้อมกับจุติจิต นี้ชื่อว่าจุติจริมะ. จุติจริมะนี้ประสงค์เอาว่า จริมะ ในที่นี้.


จากพระสูตรและอัฏฐกถาของอชิตมาณวกปัญหานิทเทสนี้ พุทธฏีกาจำเป็นต้องยกมาแสดง เพื่อให้เห็นถึง ธรรมเหล่าใดเกิดพร้อมกับจิตที่ ๑๖ ก่อนหน้าจุติจิต ในที่นี้กล่าวหมายถึง จิตตุปปาท หรือจิต ๑๗ ขณะก่อนถึงภวังคจิตนั่นเอง (พุทธฏีกา) เพื่อรวบรวมหลักฐาน ก่อนสรุปตอบคำถาม เสียยืดยาวเลยทีเดียว ^^

อ้างคำพูด:
บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วจิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป

ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ หมายถึงอะไรครับ


ดูอัฏฐกถา ของภาษิตของพระอนุรุทธะโดยตรงนะครับ ซึ่งยกมาแสดงเป็นลำดับสุดท้าย

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมดับไป
เหมือนดวงประทีปนี้ดับไปฉะนั้น และมีอาทิว่าเหมือนเปลวไฟถูกกำลังลมเป่าฉะนั้น.

บทว่า เอเต นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นไปในพระสันดานของพระศาสดา ในขณะเวลาจะปรินิพพาน ได้ประจักษ์แก่ตน.
ชื่อว่ามีครั้งสุดท้าย เพราะเบื้องหน้าแต่นั้นไม่มีการเกิดขึ้นแห่งจิต.

บทว่า ทานิ แปลว่า บัดนี้.

บทว่า ผสฺสปญฺจมา นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นที่ ๕ ปรากฏขึ้น.
จริงอย่างนั้น แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น.
---------------------------------------------------------------------
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต
๙. อนุรุทธเถรคาถา


เพื่อสรุปความทั้งหมด จากปาราสริยคาถาในพระสูตรที่ ๒ เรื่อง ทวาร ๕
และอนุรุทธคาถาในพระสูตรที่ ๙ เรื่อง ผัสสะเป็นที่ ๕
(อัฏฐกถาจารย์ หรือสังคีติกาจารย์ ท่านให้อัฏฐาธิบายแสดงไว้ คือจิตตุปปาทะ)
ลำดับแห่งจิตตุปปาท ๑๗ ขณะ หรือจิตดวงที่ ๑๗ นี้หมายถึงขณะจิต ในปัญจทวาร
หรืออายุของรูปารมณ์ เพราะว่าทวาร ๕ ในสูตรที่ ๒ และ ผัสสะเป็นที่ ๕ ในสูตรที่ ๙
จะแสดงด้วยจิตตุปปาทะดังต่อไปนี้

ปฏิสนธิจิต
1. อตีตภวังค์
2. ภวังคจลนะ
3. ภวังคุปัจเฉทะ
4. ปัญจทวาราวัชชนจิต
5. ทวิปัญจวิญญาณจิต(ทวาร ๕ ,ผัสสะเป็นที่ ๕ [แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น.]---------อัฏฐาธิบายในอนุรุทธเถรคาถา
6. สัมปฏิจฉันนจิต
7. สันตีรณจิต
8. โวฏฐัพพนจิต
9. ชวนะ
10. ชวนะ
11. ชวนะ
12. ชวนะ
13. ชวนะ
14. ชวนะ
15. ชวนะ
16. ตทาลัมพณจิต
17. ตทาลัมพณจิต
จุติจิต

แต่พุทธฏีกาไม่ได้ลืมนะครับ ว่าในมรณสันวิถีมีชวนะเพียง ๕ ขณะ
เพียงแต่ยกมาแสดงให้เห็นว่า ทวาร ๕ และ ผัสสะเป็นที่ ๕ อัฏฐาธิบายแสดงว่า

ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นที่ ๕ ปรากฏขึ้น.

จริงอย่างนั้น แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น. ทวิปัญจวิญญาณ
คือธรรมทั้งหลาย หรือจิตตุปปาทที่มีผัสสะเจตสิก ที่สัมปะยุตประกอบเกิดร่วมกันดับพร้อมกันในทวิปัญญาวิญญาณ----พุทธฏีกา
ธรรมเหล่านั้นได้แก่จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป คือ
ไม่ถึงความสัมปยุตในธรรมทั้งหลายของรูปนามไม่เป็นไปอีกแล้ว
สมดังพุทธสุภาษิตที่มาในอชิตมาณวกปัญหานิทเทสและอัฏฐกถา ความว่า

อ้างคำพูด:
เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยปรินิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสส
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญา สติ และนามรูป ย่อมดับ คือ ย่อมสงบ
ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมระงับไป ณ ที่นั้น เพราะความ
ดับแห่งวิญญาณดวงก่อน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นามรูปนั้นย่อมดับ
ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณ.

ชื่อว่าอนุปาทิเสสะ เพราะไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่.


สรุปว่า ผัสสะเป็นที่ ๕ นี้หมายถึง อเหตุกจิต หรือทวิปัญจวิญญาณจิต
ที่มีัสัพพจิตตสาธารณเจตสิก หรือผัสสะเจตสิกเกิดร่วมด้วย
เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน จิตและเจตสิกธรรมเหล่านี้ไม่มีอีก


ความดับไปแห่งจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและอรหันต์นั้น ไม่มีปฏิสนธิอีก หลังจาก
ถึงจิตดวงสุดท้าย คือ จุติจิตดับ ก็ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นอีกต่อไป ส่วนการเข้าออกและดับจุติจิต
ในลำดับฌานนั้นพระสูตรนอกนั้นทั้งปวงล้วนง่ายแล้วครับ ขอเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา ครับสำหรับธรรมทาน จากท่านพุทธฎีกา
เช่นนั้น จะพยายามทำความเข้าใจ ตามกำลังสติปัญญาครับ สาธุ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
...ท่านพุทธฏีกา...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2011, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณครับท่านพุทธฎีกาครับ

บาลี ใช้คำว่า ผสฺสปญฺจมา
ปรากฎมีใช้คำนี้อีกแห่งหนึ่งในพระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์

๗. สัมปยุตเตนวิปปยุตตปทนิทเทส

[๓๐๒] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์ มนายตนะ ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น
ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ เท่าไร?ธรรมเหล่านั้น ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ ๔
อายตนะ ๑ ธาตุ ๗ ประกอบไม่ได้ด้วยอายตนะ ๑ ธาตุ ๑ ธรรมบางอย่าง

[๓๐๓] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย จักขุวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้นธรรมเหล่านั้นไม่มีขันธ์
อายตนะ อะไรๆ ที่ประกอบไม่ได้ ประกอบไม่ได้ด้วยธาตุ ๑

[๓๐๔] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย มนินทรีย์ ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วย
ธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ ๔ อายตนะ ๑ ธาตุ ๗ ประกอบไม่ได้
ด้วยอายตนะ ๑ ธาตุ ๑ ธรรมบางอย่าง

[๓๐๕] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย อุเปกขินทรีย์ ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้
ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์ อายตนะ อะไรๆที่ประกอบไม่ได้ ประกอบ
ไม่ได้ด้วยธาตุ ๕

[๓๐๖] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วยวิญญาณเพราะสังขารเป็นปัจจัย ผัสสะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย เวทนาเพราะผัสสะเป็นปัจจัยธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต มนสิการธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น
ธรรมเหล่านั้น ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ ๔ อายตนะ ๑ ธาตุ ๗ ประกอบไม่ได้ด้วยอายตนะ ๑
ธาตุ ๑ ธรรมบางอย่าง

[๓๐๗] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย อธิโมกข์ ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วย
ธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์ อายตนะ อะไรๆที่ประกอบไม่ได้ ประกอบไม่ได้
ด้วยธาตุ ๑

[๓๐๘] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย อทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตตธรรม อุเปกขา
สหคตธรรม ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้นธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์
อายตนะ อะไรๆ ที่ประกอบไม่ได้ ประกอบไม่ได้ด้วยธาตุ ๕

[๓๐๙] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย สวิตักกสวิจารธรรม ธรรมเหล่าใด
ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์ อายตนะอะไรๆ ที่ประกอบไม่ได้
ประกอบไม่ได้ด้วยธาตุ ๑

[๓๑๐] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วย จิตตธรรม เจตสิกธรรมจิตตสัมปยุตตธรรม
จิตตสังสัฏฐธรรม จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานธรรม จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูธรรม จิตตสังสัฏฐ
สมุฏฐานานุปริวัตติธรรม ธรรมเหล่าใด ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น
ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ ๔ อายตนะ ๑ ธาตุ ๗ ประกอบไม่ได้ด้วยอายตนะ ๑ ธาตุ ๑
ธรรมบางอย่าง

[๓๑๑] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วยสวิตักกธรรม สวิจารธรรมธรรมเหล่าใด
ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์ อายตนะอะไรๆ ที่ประกอบไม่ได้
ประกอบไม่ได้ด้วยธาตุ ๑

[๓๑๒] ธรรมเหล่าใด ประกอบได้ด้วยอุเปกขาสหคตธรรม ธรรมเหล่าใด
ประกอบไม่ได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ประกอบไม่ได้ด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ
เท่าไร? ธรรมเหล่านั้น ไม่มีขันธ์ อายตนะ อะไรๆ ที่ประกอบไม่ได้ ประกอบไม่ได้ด้วย
ธาตุ ๕

สรุปข้อธรรม
ขันธ์ ๔ อายตนะ ๑ ธาตุ ๗ อินทรีย์ ๒ ปฏิจจสมุปบาท ๓ ธรรมมีผัสสะ
เป็นที่ ๕
อธิโมกขเจตสิก มนสิการเจตสิก ธรรม ๓ บทในติกะ ธรรม ๗ บทใน
มหันตรทุกะ ธรรมที่สัมปยุตด้วยมนายตนะอีก ๒ คือที่สัมปยุตด้วยวิตก วิจาร และที่
สัมปยุตด้วยอุเบกขา

สัมปยุตเตนวิปปยุตตปทนิทเทส จบ

ผมไม่เก่งบาลี ทั้งอ่อนพระอภิธรรม เลยไม่ทราบจริงๆ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2011, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค
สติปัฏฐานสูตร ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน

รูปกัมมัฏฐาน-อรูปกัมมัฏฐาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสบอกรูปกัมมัฏฐานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบอกอรูปกัมมัฏฐาน จึงได้ตรัสบอกด้วยอำนาจแห่งเวทนา. เพราะว่า กัมมัฏฐานมี ๒ อย่าง คือ รูปกัมมัฏฐาน ๑ อรูปกัมมัฏฐาน ๑. รูปกัมมัฏฐานและอรูปกัมมัฏฐานนี้นั้นแหละ ตรัสเรียกว่า รูปปริคคหะ (การกำหนดรูป) อรูปปริคคหะ (การกำหนดอรูป) ก็มี.

บรรดารูปกัมมัฏฐานและอรูปกัมมัฏฐานนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกรูปกัมมัฏฐาน จึงตรัสจตุธาตุววัตถาน (การกำหนดธาตุ ๔) ไว้ด้วยอำนาจแห่งมนสิการโดยสังเขปบ้าง ด้วยอำนาจการมนสิการโดยพิสดารบ้าง.

กัมมัฏฐานแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้นได้แสดงไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค โดยอาการทั้งปวงนั่นแหละ.

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกอรูปกัมมัฏฐาน โดยมากก็จะตรัสบอกด้วยอำนาจแห่งเวทนา. เพราะว่า ความฝังใจในอรูปกัมมัฏฐาน มี ๓ อย่าง คือ (ฝัง) ด้วยอำนาจแห่งผัสสะ ๑ ด้วยอำนาจแห่งเวทนา ๑ ด้วยอำนาจแห่งจิต ๑.

ฝังอย่างไร? (ฝังอย่างนี้ คือ) จริงอยู่ ผัสสะ เมื่อถูกต้องอารมณ์นั้นเกิดขึ้นในขณะที่จิตและเจตสิกตกไปเฉพาะครั้งแรกในอารมณ์นั้น จะปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูปในรูปกัมมัฏฐานที่ท่านกำหนดแล้วโดยย่อหรือโดยพิสดาร. เวทนาเมื่อเสวยอารมณ์นั้นเกิดขึ้นจะปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป. วิญญาณเมื่อกำหนดอารมณ์นั้นรู้อยู่เกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรบางรูป.

บรรดาผัสสะ เวทนา วิญญาณเหล่านั้น ผัสสะปรากฏแก่พระโยคาวจรใด ไม่เฉพาะผัสสะนั้นอย่างเดียวจะเกิดขึ้น ถึงเวทนาที่เสวยอารมณ์นั้นนั่นแหละอยู่ก็จะเกิดขึ้นกับผัสสะนั้น ถึงสัญญาที่จำได้หมายรู้ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ถึงวิญญาณที่รู้แจ้งอารมณ์นั้นอยู่ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับผัสสะนั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นย่อมกำหนดเจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

เวทนาใดปรากฏแก่พระโยคาวจร ไม่เฉพาะเวทนาอย่างเดียวเท่านั้นจะเกิดขึ้น ผัสสะที่ถูกต้องอยู่ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น ถึงสัญญาที่หมายอยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ถึงวิญญาณที่รู้แจ้งอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นก็ย่อมกำหนดเจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

ถึงวิญญาณจะปรากฏแก่พระโยคาวจรใด ไม่เฉพาะแต่วิญญาณนั้นอย่างเดียวจะเกิดขึ้นถึง ผัสสะที่ถูกต้องอารมณ์นั้นนั่นแหละอยู่ก็จะเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น ถึงเวทนาที่เสวยอยู่ ถึงสัญญาที่จำได้หมายรู้อยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ซึ่งอารมณ์นั้น ก็จะเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นย่อมกำหนดเจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิจารณาว่า ธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ เหล่านี้อาศัยอยู่.
จะทราบชัดว่า อาศัยวัตถุอยู่.
กรชกายชื่อว่า วัตถุ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาว่า ก็แลวิญญาณของเรานี้อาศัยอยู่ในกรชกายนี้ ผูกพันอยู่ในกรชกายนี้.

โดยเนื้อความ พระโยคาวจรนั้นย่อมเห็นทั้ง (มหา) ภูตรูปทั้งอุปาทายรูป เมื่อเป็นเช่นนี้ในเวทนาบรรพนี้ พระโยคาวจรจะเห็นเพียงนามรูปเท่านั้นว่าวัตถุเป็นรูป เจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ เป็นนาม. และในข้อนี้ รูปได้แก่รูปขันธ์ นามได้แก่อรูปขันธ์ทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น จึงมีเพียงเบญจขันธ์เท่านั้น. เพราะว่า เบญจขันธ์ที่จะพ้นจากนามรูป หรือนามรูปที่จะพ้นไปจากเบญจขันธ์ไม่มี.

พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิเคราะห์ดูว่า เบญจขันธ์เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ ก็จะเห็นว่า มีอวิชชาเป็นต้นเป็นเหตุ. แต่นั้นพระโยคาวจรจะยก (เบญจขันธ์) ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ด้วยอำนาจนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยว่า นี้เป็น (เพียง) ปัจจัย และสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่มีอย่างอื่นที่เป็นสัตว์หรือบุคคล มีเพียงกองสังขารล้วนๆ เท่านั้น แล้วพิจารณาตรวจตราไปว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามลำดับแห่งวิปัสสนา.

เธอหมายมั่นปฏิเวธว่า (จะได้บรรลุ) วันนี้ วันนี้ ได้อุตุสัปปายะ (อากาศสบาย) ปุคคลสัปปายะ (บุคคลสบาย) โภชนสัปปายะ (โภชนะสบาย) ธัมมัสสวนะสัปปายะ (การฟังธรรมสบาย) นั่งขัดสมาธิท่าเดียว ยังวิปัสสนาให้ถึงที่สุด แล้วตั้งอยู่ในพระอรหัตตมรรค ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เป็นอันตรัสบอกพระกัมมัฏฐานแก่ชนทั้ง ๓ แม้เหล่านี้ จนถึงพระอรหัต.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=131&p=5


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2011, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


จาก มิลินทปัญหา วรรคที่ ๓ (ต่อ)
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องผู้ถึงเวทย์

“ ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย ตา กับ รูป แล้วจึงมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อันเกี่ยวข้องกับจักขุวิญญาณนั้น เกิดขึ้นตามปัจจัยถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็เกิดขึ้นได้เพราะอาศัย หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์แล้วจึงเกิด เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เหมือนกัน เป็นอันว่าผู้ชื่อว่า “ เวทคู ” ไม่มีในข้อนี้ ขอถวายพระพร”
พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ ได้ฟังชัดก็โสมนัสปรีดา มีพระราชดำรัสตรัสสรรเสริญว่า
“ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้ สมควรแล้ว ”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2011, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว
บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุด

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2011, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เจริญพรโยมพี่เช่นนั้น โยมพี่กบ ^^

อนุโมทนาสาธุคุณโยมเจ้าของกระทู้ สำหรับการศึกษาพระไตรปิฏก ^^

อ้างคำพูด:
บทว่า ผสฺสปญฺจมา นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นที่ ๕ ปรากฏขึ้น.
จริงอย่างนั้น แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น.
---------------------------------------------------------------------
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต
๙. อนุรุทธเถรคาถา


ก็ไม่ใช่ว่ารู้ดีอะไรหรอกนะครับ ไม่ถึงกับเป็นธรรมทาน แค่แสดงความเห็นเท่านั้นครับโยมพี่เช่นนั้น ^^ อัฏฐกถา ท่านว่า จิตตุปบาท ก็ทราบแล้วว่า ["บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วจิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป"] นั่นก็หมายถึง อเหตุกจิต(ทวิปัญจวิญญาณจิต) กลุ่มจิต ที่มีสัพพจิตตสาธารณะเจตสิก ๗ ดวง กลุ่มเจตสิกธรรม ประกอบ สัมปยุตร่วมด้วย ได้แก่ ผัสสะเจตสิก ๑ เวทนาเจตสิก ๑ สัญญาเจตสิก ๑ เจตนาเจตสิก ๑ (เอกัคคตาเจตสิก ชีวิตินทรีย์เจตสิก)มนสิการเจตสิก ๑ อันนี้แสดงโดยอภิธัมมนัย

ต้องขออภัยครับที่ยก แสดงจิตตุปบาท แสดงปฏิสนธิจุติจิตวุ่นวายเลย ตรงเน้นสีแดง ทวิปัญจวิญญาณจิต อเหตุกจิตนี้ คำว่าผัสสะเป็นที่ ๕ นั่นหมายถึง จิตและเจตสิกธรรม โดยพระสุตตันตะนัย ในอนุรุทธเถรคาถา(แสดงเพียง ๕)เหล่านั้นก็คือ สัพพจิตตสาธาราณะเจตสิก ๗ จะกลับข้างสลับที่เรียงอย่างไร เจตสิก ๗ ดวงนี้ก็เิกิดประกอบ สัมปยุตร่วมด้วยเสมอเกิดขึ้นกับจิตทุกดวง แม้ในวาระมหาปรินิพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนในอนุรุทธเถรคาถานั้น ที่แสดงไว้เพียง ๕ ก็เพื่อสะดวกแก่การแสดง แต่บัณฑิตพึ่งทราบไว้ว่า หมายถึง จิตและเจตสิกธรรมที่สัมปยุตกัน หรือผัสสะเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลง นั่นหมายถึง จิตและเจตสิกธรรม เท่าที่ได้ยกมา รวมแสดงความเห็นครับ^^


คำถามมีประโยชน์ดี จาก สัมปยุตเตนวิปปยุตตปทนิทเทสก็ดี และมูลปริยายวรรค สติปัฏฐานสูตร ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน และมิลินทปัญหาที่ คุณโยม FLAME นำมาแสดงในภายหลัง ก็ชัดเจนเพียงพอดีแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องรู้จัก จิตตุปบาทในแต่ละขณะ ในทางอภิธรรมก็ได้ ที่ยกจิตตุปบาทมา ก็เพียงแต่หา ข้อมูลตามอัฏฐกถาที่มีกล่าวไว้ เท่าที่จะพอเป็นประโยชน์ในการเทียบเคียงประกอบความเห็นที่รวมแสดง และประกอบความรู้ควมเข้าใจส่วนตนเท่านั้นครับ อนุโมทนาสาธุกับทุกๆ ท่านด้วยนะครับ ขอเจริญพร^^

อ้างคำพูด:
เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ


เว้นเอกัคคตาเจตสิก ชีวิตินทรีย์เจตสิก


อ้างคำพูด:
[355] เจตสิก 52 (ธรรมที่ประกอบกับจิต, สภาวธรรมที่เกิดดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุที่อาศัยเดียวกันกับจิต, อาการและคุณสมบัติต่างๆ ของจิต - mental factors; mental concomitants)
ก. อัญญาสมานาเจตสิก 13 (เจตสิกที่มีเสมอกันแก่จิตพวกอื่น คือ ประกอบเข้าได้กับจิตทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มิใช่เข้าได้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพวกเดียว - the Common-to-Each-Other; general mental factors)
1) สัพพจิตตสาธารณเจตสิก 7 (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง - universal mental factors; the Primary)
1. ผัสสะ (ความกระทบอารมณ์ - contact; sense-impression)
2. เวทนา (ความเสวยอารมณ์ - feeling)
3. สัญญา (ความหมายรู้อารมณ์ - perception)
4. เจตนา (ความจงใจต่ออารมณ์ - volition)
5. เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว - one-pointedness; concentration)
6. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง - vitality; life-faculty)
7. มนสิการ (ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ - attention)


2) ปกิณณกเจตสิก 6 (เจตสิกที่เรี่ยรายแพร่กระจายทั่วไป คือ เกิดกับจิตได้ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุกดวง - particular mental factors; the Secondary)
8. วิตก (ความตรึกอารมณ์ - initial application; thought conception; applied thought)
9. วิจาร (ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์ - sustained application; discursive thinking; sustained thought)
10. อธิโมกข์ (ความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์ - determination; resolution)
11. วิริยะ (ความเพียร - effort; energy)
12. ปีติ (ความปลาบปลื้มในอารมณ์, อิ่มใจ - joy; interest)
13. ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ์ - conation; zeal)
----------------------------------------------------------------------------
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 27 ส.ค. 2011, 01:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2011, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขออนุญาติเพิ่มเติม ตรงนี้น่าสนใจ

อ้างคำพูด:
เวทนาใดปรากฏแก่พระโยคาวจร ไม่เฉพาะเวทนาอย่างเดียวเท่านั้นจะเกิดขึ้น ผัสสะที่ถูกต้องอยู่ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น ถึงสัญญาที่หมายอยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ถึงวิญญาณที่รู้แจ้งอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นก็ย่อมกำหนดเจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

ถึงวิญญาณจะปรากฏแก่พระโยคาวจรใด ไม่เฉพาะแต่วิญญาณนั้นอย่างเดียวจะเกิดขึ้นถึง ผัสสะที่ถูกต้องอารมณ์นั้นนั่นแหละอยู่ก็จะเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น ถึงเวทนาที่เสวยอยู่ ถึงสัญญาที่จำได้หมายรู้อยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ซึ่งอารมณ์นั้น ก็จะเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นย่อมกำหนดเจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.


ท่านกล่าวว่า นักภาวนาที่กำหนดรู้ในเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ผัสสะ สัญญา เจตนา มนสิการะตัวน้อมเข้าไปในอารมณ์ท่านไม่ใช้ ท่านใช้คำว่าวิญญาณที่รู้แจ้งแทน ก็เกิดขึ้นกับเวทนานั้น (สุข ทุกข์ เฉยๆ) ท่านกล่าวว่า ถึงผัสสะเป็นที่ ๕ หรือกลุ่มเจตสิกธรรมนี่ก็เป็นอันเกิดขึ้นในการระลึกรู้ รู้แจ้งทางอารมณ์ด้วย^^

(หมายเหตุข้างต้นนี้เป็นส่วนการอบรมเจริญภาวนานะครับ ไม่ใช่คำถามตอบในกระทู้นี้ถึง ผัสสะเป็นที่ ๕ ในวาระปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)


อ้างคำพูด:
โดยเนื้อความ พระโยคาวจรนั้นย่อมเห็นทั้ง (มหา) ภูตรูปทั้งอุปาทายรูป เมื่อเป็นเช่นนี้ในเวทนาบรรพนี้ พระโยคาวจรจะเห็นเพียงนามรูปเท่านั้นว่าวัตถุเป็นรูป เจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ เป็นนาม. และในข้อนี้ รูปได้แก่รูปขันธ์ นามได้แก่อรูปขันธ์ทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น จึงมีเพียงเบญจขันธ์เท่านั้น. เพราะว่า เบญจขันธ์ที่จะพ้นจากนามรูป หรือนามรูปที่จะพ้นไปจากเบญจขันธ์ไม่มี.

พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิเคราะห์ดูว่า เบญจขันธ์เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ ก็จะเห็นว่า มีอวิชชาเป็นต้นเป็นเหตุ. แต่นั้นพระโยคาวจรจะยก (เบญจขันธ์) ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ด้วยอำนาจนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยว่า นี้เป็น (เพียง) ปัจจัย และสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่มีอย่างอื่นที่เป็นสัตว์หรือบุคคล มีเพียงกองสังขารล้วนๆ เท่านั้น แล้วพิจารณาตรวจตราไปว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามลำดับแห่งวิปัสสนา.


ท่านกล่าวถึงการพิจารณารูปธรรม อุปาทายรูป (๒๔) เว้น ๔ คือ ปถวี เตโช วาโย อาโป และพิจารณา นามธรรมจำพวก เวทนา สัญญา ผัสสะ เจตนา มสิการะ (อาการที่ถูกรู้) หรือผัสสะเป็นที่ ๕ คือนาม หรืออรูปขันธ์ ๔ ก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ หรือ เวทนาเจตสิก ๑ ดวง ที่ประกอบอยู่แล้ว สัญญาเจตสิก ๑ ดวงที่ประกอบอยู่แล้ว สังขารหรือ(ผัสสะเจตสิก เจตนาเจตสิก เอกัคคตาเจตสิก ชีวิตินทรีย์เจตสิก มนสิการเจตสิก) เจตสิกที่เหลือทั้ง หมด ๕๐ ดวง รวม ๕๒ ดวงทั้ง เวนทนา และสัญญา ท่านให้ยกพิจารณาขึ้นสู่ไตรลักษณ์

นามรูปพร้อมทั้งปัจจัย ว่านี้เป็นเพียง นามธรรม(จิตและเจตสิก) ที่อาศัยรูปธรรม (ตา หู จมูก ลิ้น กาย [ทวิปัญจวิญญาณ]) ประชุมรวมกันเกิดขึ้น เป็นไป ไม่มีอย่างอื่นที่เป็นสัตว์ตัวตนบุคคล มีเพียงกองสังขารล้วนๆ (จริงไม่จริง ^^) เท่านั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามลำดับแห่งวิปัสสนาญาณ พุทธฏีกาเข้าใจว่า อันนี้เป็น นามรูปปริทเฉจญาณเบื้องต้น ขั้นทิฏฐิวิสุทธิ์ หลังชำระสีลวิสุทธิ์ จิตวิสุทธิ์มาแล้วเพื่ออบรมวิปัสสนา อนุโมทนาคุณโยม FLAME ที่ยกอรรถกถา สติปัฏฐานสูตรมาแสดงครับ เจริญพร ^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2011, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร