วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 19:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 17:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2011, 15:01
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขามีใว้ให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์

แต่คนกิเลสหนาบางคน เอาเรื่องนี้ไปใช้ผิดๆ มันบอกว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่เรา

งั้นจะปฏิบัติธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่เรา ไม่ต้องทำความดี ทำไปก็เหนี่อยเปล่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่เรา

จะฆ่าคนฆ่าสัตว์ก็ไม่ผิดเพราะโดยปรมัตถ์ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ต่อให้ยึดโดย สมมุติ สัตว์ทุกตนก็ต้องตายอยู่แล้ว


นี่แหละ ว่าง....อันธพาล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 18:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


s002 s002 s002

เห็นเป็นเช่นนั้น ก็เป็นเรื่อง กรรมบันดาล

ปฏิบัติแล้วเดินมาพบบนความ ข้อความ ที่ทำให้เกิดอาการสับสน

อ๊อก กะ โจ๊ก บางครั้งมันก็มีหน้าตาคล้ายกันจน สร้างความสับสนได้
อ๊อก ที่หน้าตาเหมือน โจ๊ก
กะ โจ๊ก ที่หน้าตาเหมือน อ๊อก :b14: :b14:

ถ้าเห็น สับสน ปรากฎ ก็ให้รู้

ก็มีที่เจอในลักษณะนี้นะ
ส่วนใหญ่จะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องราว แต่จะใช้ นิวรณ์ เป็นตัวชี้ไปในสิ่งที่เราควรทำ
คือ ถ้ายังปรากฎนิวรณ์ ต่อให้สิ่งที่ได้รับฟังเป็นสัจจธรรมก็ตาม หรือไม่ใช่สัจจธรรมก็ตาม
...
:b6: :b6: :b6:

โดยเรื่องราวแล้ว ไม่ใช่อกุศล หรือ กุศล มันเป็นเรื่องราว เจ๋ย ๆ
สิ่งที่เป็น อกุศล หรือ กุศล มันคือ สิ่งที่ปรากฎในใจ :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขามีใว้ให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์
แต่คนกิเลสหนาบางคน เอาเรื่องนี้ไปใช้ผิดๆ มันบอกว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่เรา
งั้นจะปฏิบัติธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่เรา ไม่ต้องทำความดี ทำไปก็เหนี่อยเปล่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่เรา จะฆ่าคนฆ่าสัตว์ก็ไม่ผิดเพราะโดยปรมัตถ์ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ต่อให้ยึดโดย สมมุติ สัตว์ทุกตนก็ต้องตายอยู่แล้ว


สุญญตาคือความว่าง ว่างจากอาตมะลักษณะ สัตวะลักษณะ บุคคละลักษณะ ชีวะลักษณะ ธรรมลักษณะ อธรรมลักษณะ เป็นความว่างแห่งนิพพานอันไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง แต่ความว่างนี้ก็มิได้ว่างขาดสูญ เป็นอสังขตะ

พูดอย่างงี้บางท่านอาจเข้าใจผิดไปว่าธรรมนี้ไม่มี อธรรมนี้ไม่มี อันนี้เอียงไปทางความเห็นสุดโต่ง ไปทางขาดสูญ ที่ถูกต้องกล่าวว่าธรรมทั้งปวงว่างจากอัตตา

พระพุทธเจ้าไม่กล่าวลักษณะที่ขาดสูญในธรรม แต่กล่าวหลักปัจจยาการ กล่าวปฏิจจสมุปบาท ธรรมทั้งปวง มีเหตุปัจจัยอิงอาศัยกัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี

กรรมขาวมีวิบากขาว กรรมดำมีวิบากดำ กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาวย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เมื่อมีกรรม ย่อมมีวิบากเสมอ ไม่ใช่มีเจตนาไปฆ่าคนแล้วไม่มีผล อันนี้ขาดสูญเต็มๆ

ให้มองอย่างนี้ ธรรมนี้ปฏิบัติเพื่อความสลัดออก ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความถือมั่น ธรรมนี้อุปมาดั่งแพ เมื่อถึงฝั่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องแบกแพให้หนักอีกต่อไป ถึงฝั่งคือพระนิพพานแล้ว

แต่ถ้าหากไม่มีแพ คือไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วจะอาศัยอะไร ข้ามไปสู่ฝั่งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเป็นที่เกาะแล้วก็จมน้ำเท่านั้นแหละ

อยู่กับสมมุติโดยไม่ติดสมมุติ อยู่กับธรรมโดยไม่ติดธรรม
เมธีอริยะทั้งหลาย ล้วนเนื่องด้วยอสังขตธรรมและเกิดความแตกต่าง

" สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงาดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อัชฌัตติกอนิจจสูตร

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาสิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

หูเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ จมูกเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ลิ้นเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ กายเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ

ใจเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในหู ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจมูก ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในลิ้นย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร