วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 23:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 18:45
โพสต์: 35

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากขอถามว่าในเวลาที่พระโพธิสัตว์สร้างบารมีอยู่นั้นเช่น บริจาคลูกเมีย บริจาคอวัยวะในร่างกายเช่น ดวงตา เลือดเนื้อและบริจาคชีวิตร่างกายให้เป็นทาน อยากขอถามว่าคนอื่นฯ ที่มาพบเห็นมารับรู้เรื่องราวของท่าน คนเหล่านั้นจะคิดว่าท่านบ้าหรือไม่? หรือคิดอย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


คนอื่นที่ไม่เคยศึกษาหรืออ่านชาดกมาก่อนอาจจะหาว่าบ้าหรือให้ทานแบบสุดโต่ง แต่ในความคิดของผมมันเป็นเรื่องของกำลังใจ กำลังใจของท่านมากเสียจนไม่อยากจะเชื่อ การถวายชีวิตเป็นการให้ของรักมากที่สุดการให้สิ่งอื่นๆมากกว่านั้นไม่มีอีกแล้ว เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่าน ผมเชื่อว่าในโลกนี้ก็อาจจะมีถ้าเห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงตัดคอถวายเป็นพุทธบูชาก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทานมันมีขั้นมีตอนนะท่าน
ก่อนจะทำทานชีวิต ท่านทำทานมาตลอดและทำทานมาพอสมควรแล้ว แล้วจึงตั้งการทำทานชีวิตเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะทานได้แล้ว

การทำทานอวัยวะก็เช่นเดียวกันข้อข้างต้น

การทำทานลูกเมีย ต้องทำสองข้อข้างต้นมาแล้ว ในชาติที่ต้องทำทานลูกเมียนี้แม้นมีเหตุให้ต้องทำทานอวัยวะหรือชีวิตก็ไม่คิดเสียดาย หากไม่ทำทานนี้มันไม่ได้เพราะเหตุและปัจจัยมันหนุนมาแล้ว ท่านต้องทำ บารมีท่านจึงจะได้เต็มเพื่อการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ดังว่าน้ำที่ค่อยหยดทำให้มหาสมุทรเต็มฉันใด ทานที่ทำเรื่อยๆก็ย่อมช่วยทำให้บารมีทานเต็มได้ฉันนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 04:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดอกอุบล เขียน:
อยากขอถามว่าในเวลาที่พระโพธิสัตว์สร้างบารมีอยู่นั้นเช่น บริจาคลูกเมีย บริจาคอวัยวะในร่างกายเช่น ดวงตา เลือดเนื้อและบริจาคชีวิตร่างกายให้เป็นทาน อยากขอถามว่าคนอื่นฯ ที่มาพบเห็นมารับรู้เรื่องราวของท่าน คนเหล่านั้นจะคิดว่าท่านบ้าหรือไม่? หรือคิดอย่างไร?

ผมว่าท่านไม่ได้บ้าหรอกครับ มีแต่พวกเราครับที่บ้า ถ้าขืนไปทำอย่างนั้น
การศึกษาธรรม การอ่านพระไตรปิฎก เราต้องใช้การพิจารณาธรรมนั้นๆด้วยครับ
ถ้าเราดูให้ดีแล้วธรรมในพระไตรปิฎก มันเป็นการเชื่อมโยงธรรมกันหมด
ความหมายก็คือ ธรรมบทหนึ่งไปอธิบายธรรมอีกบทหนึ่งครับ

ดังนั้นการอ่านธรรมในพระไตรปิฎก ความหมายของมันอาจไม่ใช่ตามตัวหนังสือ
มันเป็นธรรมเปรียบเทียบ อย่างเช่นความเห็นที่คุณถามเรื่องการให้ทานลูกเมีย
ในความเป็นจริง เราดูแล้วมันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว มันจะเป็นทานไปได้อย่างไร
เพราะลูกเมียก็มีชีวิตจิตใจ มีสิทธิ์ในตัวของตัวเอง
แท้จริงแล้วท่านจะสอนเราในเรื่องความรัก ความเป็นห่วงลูกเมีย
ท่านจะเน้นว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันเป็นทุกข์ มันเป็นกุศโลบาย
เปรียบเทียบ ความเป็นจริงคงไม่อะไรนอกลู่นอกทางแบบนั้นหรอก


เรื่องร่างกายก็เหมือนกัน ท่านจะสอนเรื่องสักกายทิฐิ
ร่างกายนี้สักวันก็ต้องเน่าเปื่อย อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
คิดดูให้ดีครับ ท่านสอนห้ามทำร้ายตัวเองหรือห้ามฆ่าตัวตาย
แล้วเรายังมีชีวิต เอาอวัยวะไปให้คนอื่น มันก็ฆ่าตัวตายชัดๆ
ดังนั้นเราจะเข้าใจไปตามตัวอักษรไม่ได้ เราต้องพิจารณาว่า
ท่านกำลังสอนเราในเรื่องของจิตว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกายจนเกิดเป็นตัวกูของกู
มันไม่ใช่การเอาอวัยวะไปบริจาคทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่


ทุกวันนี้ชาวพุทธเถียงกันไม่รู้จบ ก็เพราะไม่รู้จักการเอาธรรมอื่นๆ
มาพิจารณาร่วมด้วย อ่านธรรมบทไหนก็จะยึดเอาบทนั้นเอาตามทุกตัวอักษร

การศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านทรงมีธรรมบทหนึ่งไว้ให้เราเอาเป็นหลัก
ในการศึกษา นั้นคือโพชฌงค์ ธรรมแห่งการตรัสรู้ ในโพชฌงค์นี้
มีธรรมอยู่ข้อหนึ่งนั้นก็คือ ธัมมวิจยะ การเลือกเฟ้นธรรมหรือการพิจารณาธรรมนั้นเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยให้พ่ออ่านหนังสือเรื่องเกี่ยวกับพระศรีอาริยเมตตรัย เกี่ยวกับการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นในอนาคตกาลอีก 10 พระองค์
พ่อผมท่านก็ไม่ได้ว่าบ้าอะไรนะครับ ท่านเพียงแต่บอกว่ามันออกแนวปาฏิหาริย์เกินไป พ่อผมท่านเป็นครูวิทย์ เรียนวิทยาศาสตร์ ก็เลยคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ และเคยมีครูประจำหอ ขอหนังสือไปอ่านด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ

การบริจาคชีวิตไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล การเสียสละชีวิตก็เพื่อช่วยเหลือผู้อืนก็เพราะด้วยความเมตตาสงสาร หรือการถวายชีวิตหรือถวายศีรษะอันถือว่าเป็นของสูงสุดเพื่อเป็นพุทธบูชา เพราะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้สูงสุด ธรรมที่พระพุทธองค์แสดงก็เป็นสิ่งที่สูงสุด ก็ควรบูชาด้วยสิ่งที่สูงสุด

ตอนแรกพอได้ศึกษาเรื่องพระเวสสันดร อยู่ในบทเรียนพระพุทธศาสนาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องบริจาคลูกเมีย ดูโหดร้ายจัง แต่พอโตขึ้นมาก็เข้าใจเลยว่า อ่อ มันเป็นสิ่งที่ต้องทำนะ เพื่อพระโพธิญาณก็ต้องทำ ลูกเมียนี้ไม่ใช่ไม่รัก รักมาก แต่พระโพธิญาณเป็นสิ่งที่รักยิ่งกว่า


ทุกอย่างที่ทำมีเหตุมีผล ไม่ใช่ทำอย่างไร้เป้าหมาย แต่คนบ้าทำโดยขาดสติ ขาดปัญญา ไม่มีเหตุผล เลื่อนลอย เพ้อฝันอยู่ในจินตนาการ ต่างกันลิบลับเลย

cool


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 03 พ.ค. 2011, 19:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2011, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บริจาคอวัยวะในร่างกายเช่น ดวงตา เลือดเนื้อและบริจาคชีวิตร่างกายให้เป็นทาน

ผมอายุ 32 แต่ได้ไปทำเรื่องบริจาคตา ตับ หัวใจและอวัยวะทุกส่วนทั้งภายในและภายนอกหมดทุกส่วนไปตั้งแต่อายุ 29 แล้วเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเวลาผมตาย...^^ ส่วนเลือดผมหยุดบริจาคไปหลังจากบริจาคจนได้ถ้วยของพระเทพเพราะผมร่วงจากการให้เลือดถี่เกินไปก็เลยต้องหยุดไปจะมีก็แต่แฟนนี่แหละผมบริจาคไม่ได้ส่วนลูกยังไม่มีก็เลยมายืนยันว่าพระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้บ้าหรอกครับ...^^

ขนาดปุถุชนคนเดินเท้าอย่างผมและอีกหลายๆท่านยังบริจาคอวัยวะกันหมดแล้วเลย...^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2011, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ชายสบายๆ เขียน:
บริจาคอวัยวะในร่างกายเช่น ดวงตา เลือดเนื้อและบริจาคชีวิตร่างกายให้เป็นทาน
ผมอายุ 32 แต่ได้ไปทำเรื่องบริจาคตา ตับ หัวใจและอวัยวะทุกส่วนทั้งภายในและภายนอกหมดทุกส่วนไปตั้งแต่อายุ 29 แล้วเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเวลาผมตาย...^^ ส่วนเลือดผมหยุดบริจาคไปหลังจากบริจาคจนได้ถ้วยของพระเทพเพราะผมร่วงจากการให้เลือดถี่เกินไปก็เลยต้องหยุดไปจะมีก็แต่แฟนนี่แหละผมบริจาคไม่ได้ส่วนลูกยังไม่มีก็เลยมายืนยันว่าพระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้บ้าหรอกครับ...^^

ขนาดปุถุชนคนเดินเท้าอย่างผมและอีกหลายๆท่านยังบริจาคอวัยวะกันหมดแล้วเลย...^^

การทำบุญเราต้องมีความเข้าใจกับสิ่งที่เรากระทำก่อน เราจะได้รู้ถึงแก่นในสิ่งที่เรากระทำ
ไม่เข้าใจอะไรผิดไปจากความเป็นจริง ไม่หลงสร้างวิมานในอากาศ ไม่หลงไปว่าเรานี่ดีหนักหนา

คุณครับคุณต้องเข้าใจนะครับ คนเราถ้าหาชีวิตไม่แล้ว เขาไม่เรียกว่า บริจาคชีวิตร่างกาย
ถ้าร่างกายปราศจากจิตแล้ว เขาเรียกศพหรือซาก มันหาประโยชน์อะไรไม่ได้แล้วกับเจ้าของเดิม
และเรื่องการบริจาคในลักษณะนี้มันเป็นเรื่องของทางโลกและกฎหมาย

ส่วนเรื่องของทางธรรมผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริจาคที่จริงแท้ก็คือ ทายาทของเราครับ
จะบอกให้ครับ ถึงเราจะเซ็นบริจาคตอนเรายังมีชีวิต แต่ผู้ที่มีสิทธิจริงๆแล้วก็คือทายาทครับ
ถึงคุณจะอนุญาติแล้ว เมื่อคุณตายการจะเอาซากคุณไปได้ ต้องได้รับอนุญาติจากทายาทก่อนครับ

และที่สำคัญการที่จะบริจาคอะไร เราไม่ต้องรอให้เขามาโฆษณาวานล้อมหรอกครับ
รู้ว่าบริจาคแล้วไม่ตายและมันเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นก็พอครับ

การกระทำอะไรสักอย่างถ้าเห็นว่าดี ก็ควรเก็บความภูมิใจเอาไว้ภายในใจ
ไม่ต้องเอาออกมาอวดชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เรากระทำไปชาวบ้านจะมองไปในทางอกุศล
ประเภททำดีแล้วไม่ต้องอวด ถ้าไม่ได้ถามก็ไม่ต้องบอก

มันน่าขำนะครับ คุณบอกคุณบริจาคโน้นบริจาคนี่ ดูเหมือนกับว่า
คุณกล้าเสียสละทุกอย่างแม้กระทั้งชีวิต แต่มันตลกตรงที่คุณบอกว่า...
คุณบริจากเลือดถี่ไปทำให้ผมร่วง เลยเลิกบริจาค
แบบนี้เขาว่าไม่เสียดายชีวิต ไม่เสียดายอวัยวะ แต่เสียดายผม
ถามหน่อยถ้าเขาจะเอาหัวคุณไปใช้ จะต้องทำงัยครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2011, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


5555+...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2011, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ผู้ชายสบายๆ เขียน:
บริจาคอวัยวะในร่างกายเช่น ดวงตา เลือดเนื้อและบริจาคชีวิตร่างกายให้เป็นทาน
ผมอายุ 32 แต่ได้ไปทำเรื่องบริจาคตา ตับ หัวใจและอวัยวะทุกส่วนทั้งภายในและภายนอกหมดทุกส่วนไปตั้งแต่อายุ 29 แล้วเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเวลาผมตาย...^^ ส่วนเลือดผมหยุดบริจาคไปหลังจากบริจาคจนได้ถ้วยของพระเทพเพราะผมร่วงจากการให้เลือดถี่เกินไปก็เลยต้องหยุดไปจะมีก็แต่แฟนนี่แหละผมบริจาคไม่ได้ส่วนลูกยังไม่มีก็เลยมายืนยันว่าพระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้บ้าหรอกครับ...^^

ขนาดปุถุชนคนเดินเท้าอย่างผมและอีกหลายๆท่านยังบริจาคอวัยวะกันหมดแล้วเลย...^^

การทำบุญเราต้องมีความเข้าใจกับสิ่งที่เรากระทำก่อน เราจะได้รู้ถึงแก่นในสิ่งที่เรากระทำ
ไม่เข้าใจอะไรผิดไปจากความเป็นจริง ไม่หลงสร้างวิมานในอากาศ ไม่หลงไปว่าเรานี่ดีหนักหนา

คุณครับคุณต้องเข้าใจนะครับ คนเราถ้าหาชีวิตไม่แล้ว เขาไม่เรียกว่า บริจาคชีวิตร่างกาย
ถ้าร่างกายปราศจากจิตแล้ว เขาเรียกศพหรือซาก มันหาประโยชน์อะไรไม่ได้แล้วกับเจ้าของเดิม
และเรื่องการบริจาคในลักษณะนี้มันเป็นเรื่องของทางโลกและกฎหมาย

ส่วนเรื่องของทางธรรมผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริจาคที่จริงแท้ก็คือ ทายาทของเราครับ
จะบอกให้ครับ ถึงเราจะเซ็นบริจาคตอนเรายังมีชีวิต แต่ผู้ที่มีสิทธิจริงๆแล้วก็คือทายาทครับ
ถึงคุณจะอนุญาติแล้ว เมื่อคุณตายการจะเอาซากคุณไปได้ ต้องได้รับอนุญาติจากทายาทก่อนครับ

และที่สำคัญการที่จะบริจาคอะไร เราไม่ต้องรอให้เขามาโฆษณาวานล้อมหรอกครับ
รู้ว่าบริจาคแล้วไม่ตายและมันเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นก็พอครับ

การกระทำอะไรสักอย่างถ้าเห็นว่าดี ก็ควรเก็บความภูมิใจเอาไว้ภายในใจ
ไม่ต้องเอาออกมาอวดชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เรากระทำไปชาวบ้านจะมองไปในทางอกุศล
ประเภททำดีแล้วไม่ต้องอวด ถ้าไม่ได้ถามก็ไม่ต้องบอก

มันน่าขำนะครับ คุณบอกคุณบริจาคโน้นบริจาคนี่ ดูเหมือนกับว่า
คุณกล้าเสียสละทุกอย่างแม้กระทั้งชีวิต แต่มันตลกตรงที่คุณบอกว่า...
คุณบริจากเลือดถี่ไปทำให้ผมร่วง เลยเลิกบริจาค
แบบนี้เขาว่าไม่เสียดายชีวิต ไม่เสียดายอวัยวะ แต่เสียดายผม
ถามหน่อยถ้าเขาจะเอาหัวคุณไปใช้ จะต้องทำงัยครับ :b13:


ละครโรงเล็ก ในโรงใหญ่
นักแสดงนำ โฮฮับ :b17:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2011, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าพระโพธิสัตต์ท่านไม่ได้บ้านะครับ...555+..^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2011, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2009, 18:45
โพสต์: 35

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสดงว่าท่านบารมีแก่กล้ามากๆไม่กลัวแม้แต่ความเจ็บปวดทรมานและความตาย สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2011, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ว่าด้วยเรื่องของการทำทานล้วนๆเลยนะนี่

ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องทานลูก-เมียด้วย? ผิดหรือถูกอย่างไร?

เรามาเริ่มต้นกันก่อน ทำอย่างไรถึงจะเป็นทานบารมีทั้งสาม?
--- ทำต่อเนื่องตั้งแต่ท่านเสวยชาตินั่นเอง
.. ยกตัวอย่างพระโพธิสัตว์กระต่าย ท่านทำทานมาตลอดแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าท่านทำทานมาตลอดแล้ว วันนี้ไม่มีสิ่งใดอื่นที่จะทำ จะมีก็แต่ตัวและชีวิต วันนี้ถ้ามีใครมาขอท่านก็จะให้ และแล้วก็มีผู้มาขออาหารท่านแต่ท่านไม่มี ท่านก็เลยสละชีวิตท่านเป็นอาหารเสียเอง
.. ตัวอย่างพระโพธิสัตว์ผู้ให้ทานดวงตา ก็เช่นเดียวกับโพธิสัตว์กระต่าย เพียงแต่ท่านอยากทานทรัพย์ใดก็ได้และสิ่งที่ถูกขอเป็นดวงตาของท่าน
.. สุดท้ายพระโพธิสัตว์พระเวสสันดร ก่อนที่ท่านจะให้ลูกเมียเป็นทาน ท่านต้องให้ทานชีวิตและอวัยวะในชาติก่อนๆมาแล้ว ท่านต้องทำทานมาตั้งแต่เกิด หากมีผู้ใดมาขอเอาอวัยวะหรือชีวิตท่านก็ยอมให้

ทำไมต้องให้ลูก-เมียเป็นทาน?
ลูก-เมียก็เปรียบเสมือนโลก ท่านให้ลูกเมียเป็นทานก็หมายถึงว่าท่านยอมสละโลก ยอมก้าวพ้นโลกแล้ว

แล้วคนอื่นให้ลูกเมียเป็นทานหละ?
---ต้องมีคุณสมบัติครับ ไม่มี มีไม่เต็มปาบ
.. ทำทานทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตด้วยจิตที่มุ่งให้ทานในชาติก่อนๆมาหรือยัง
.. ได้ทานมาตั้งแต่เกิดหรือไม่
.. พร้อมที่จะทานทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเองหรือไม่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร