วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 06:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2011, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 11:07
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


สอบถามผู้รู้ว่า บทธรรมนี้หมายความว่าอย่างไร

พระไตรปิฎกเล่มที่ 14
[๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นั้นต่อไปอีกอย่างนี้ว่าดูกรนิครนถ์
ผู้มีอายุ พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรม
ใดเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล ในชาติหน้า ด้วยความพยายาม
หรือด้วยความเพียรเถิด พวกนิครนถ์นั้นกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลในชาติหน้า
ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบันด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึง
ปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้น จงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์
ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอ
กรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นสุข ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึง
ปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล
อย่าเพ่อเสร็จสิ้น ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลยังไม่เสร็จสิ้น
ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึง
ปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลมาก ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลน้อย ด้วย
ความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลน้อย ขอกรรม
นั้นจงเป็นของให้ผลมาก ด้วยความพยายามหรือด้วยความ เพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึง
ปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของอย่าให้ผล ด้วยความ
พยายามหรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ
พ. และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของไม่ให้ผลขอกรรม
นั้นจงเป็นของให้ผล ด้วยความพยายาม หรือด้วยความเพียรเถิด ฯ
นิ. ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้อนี้หามิได้เลย ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2011, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ธ.ค. 2010, 14:56
โพสต์: 122

โฮมเพจ: chanachai20102553@gmail.com
แนวปฏิบัติ: ค้นหาธรรมของพุทธเจ้า
งานอดิเรก: มองธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่ม
ชื่อเล่น: แค่นามสมมุติ
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ดูก่อนท่านทั้งหลาย....................

หมายถึง........................
กรรมที่ให้ผล ไม่มีผู้ใดจะสามารถบังคับได้ ว่าจะ สุข ทุกข์ ในเวลาใด เมื่อใด ตอนใหน ที่ใด.

ขอให้ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาเทอญฯ....

.....................................................
เราจักขออำนาจบุญกุศลที่ตัวเราได้กระทำไว้ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
จงแผ่อำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายไปสู่ทั่วทั้งสากลโลก ทั้ง16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน วิญญาณที่มีรูป และ ไม่มีรูป ทั่วทั้งทุกอณูใน 3 โลกจงได้รับแห่งบุญกุศลที่เราได้จักกระทำไว้ด้วยเทอญ สาธุ.................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2011, 03:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจของผมอยู่ที่ หากความความเพียร กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถลบล้าง เปลี่ยนแปลง ปราถนากรรมดีให้ผลในชาตินี้ หรือกรรมชั่วให้ห่างออกไปเป็นชาติหน้านั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ การทำความเพียรนั้นเพื่อพัฒนาจิตใจให้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติ โดยความละเอียดของจิตจะเกิดขึ้น แต่ความเพียรก็ต้องใช้หลักอริยมรรคในพุทธศาสนาเป็นแนวทางจนกิจลุล่วง บรรลุเป็นพระอรหันต์ชาตินี้ก็จะเป็นชาติสุดท้าย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2011, 03:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เทวทหสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์มีข้อ [๑] - [๒๗] ข้อ [๑๐]ข้อเดียวมันสั้นไปนะครับโยม ขออธิบายสั้น ๆ ย่อ ๆ และขยายความเป็นบางข้อที่จำเป็น พลาดผิดประการใดผู้รู้โปรดให้อภัยให้พุทธฏีกาด้วยนะครับ

เกริ่นนำดังนี้นะครับ พระองค์ทรงตรัสแสดง แก่พระภิกษุ เกี่ยวกับพวกนิครนถ์ ที่ได้ยินได้ฟัง คุรุเอกผู้ร่วมสมัยกับพระองค์ ผู้มีชื่อว่า นิครนถนฎบุตร หรือพระมหาวีระ ศาสดาของ ศาสนาเชน (Jainism)

โดยหลักธรรมคำสั่งสอน ในสมัยพุทธกาล เน้นการทรมานตน ลัทธินี้ถือว่า “การทรมานกายเป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ” เรียกว่า “อัตตกิลมถานุโยค” และประเด็นสำคัญที่สุดคือการ ยึดถือเรื่องกรรมเก่า เชื่อว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกายนี้ ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ วัตถุสิ่งของและปัจจัยเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ภายนอกเป็นกิเลสเป็นกรรม เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญตบะ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ จึงเป็นที่มาของพระสูตรนี้

ที่พระองค์ตรัสแสดงแก่พระภิกษุทั้งหลาย และมีเกร็ดเรืองเล่าทั้งข้อมูลเท็จจริงเกี่ยวกับการ นุ่งลมห่มฟ้าของศาสนาเชน นิกายทิคัมพร ความยึดถืออุปาทานขันธ์ ๕ ว่าเป็นสัตว์ตัวตนบุคคล อัตตาเที่ยง สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ link http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%99-jainism-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98-buddhism-224343.html

[1] นักบวชเชน
รูปภาพ


อธิบาย ข้อ [1] - [14] ที่เหลื่อ [15] - [27]นั้นง่าย

[๑]
อ้างคำพูด:
[๑]ครั้งพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ เทวทหะ (รามคาม) เป็นเมืองที่ประสูติของพระนางสิริมหามายา ผู้เป็นพระราชมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเป็นเมืองพี่เมืองน้องในฐานะพระประยูรญาติของศากยวงศ์และโกลิยวงศ์แห่งแคว้นสักกะ กรุงกบิลพัสดุ์ (kapilavastu) และโกลิยะ กรุงเทวทหะ (Devadaha) เมืองแห่งนี้ พระสูตรนี้ระบุไว้ว่าประทับอยู่ที่ สักยนิคม เทวทหะ ชุมชนของชาว ศากยวงศ์และโกลิยะ อยู่ในเขตชนบทของแคว้นสักกะ ใกล้สถานที่ที่พระองค์ประสูตร เขตลุมพินี ซึ่งในสมัยอดีตมีเมืองหลวงชื่อ กบิลพัสดุ์ ปัจจุบันมีเมืองหลวงชื่อ กาฐมาณฑุ (ภาษาเนปาล: काठमाडौं, อังกฤษ: Kathmandu)อยู่ในประเทศเนปาล ติดชายแดนทางเหนือของประเทศอินเดีย

[2.]kapilavastu กบิลพัสดุ์

รูปภาพ

[3.] (8)]=Lumbini ลุมพินีวัน

รูปภาพ

เทวทหะปัจจุบันตั้งอยู่ห่างจากกบิลพัสดุ์ไปทางทิศตะวันออก 22 กิโลเมตร ห่างจากกับแม่น้ำโรหิณีไปทางทิศตะวันออกประมาณ 100 เมตร ปรากฏคันคูเมืองกำแพงเมืองโบราณก่อด้วยหิน ภายในซากเมืองเก่าปรากฏเนินดินโบราณที่ยังไม่ได้ขุดค้นจำนวนมาก เช่น รามคามเจดีย์ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กรุงเทวทหะได้รับจากโฑณพราหมณ์ นักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมากในบริเวณโบราณสถานเมืองเก่าเทวทหะนี้ ปัจจุบันมีเทวาลัยฮินดูหลังหนึ่งที่ชาวบ้านสร้างไว้ ภายในประดิษฐานมูรติสิริมหามายา ประติมากรรมภาพแกะสลักหินทราย ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นรูปของพระนางสิริมหามายาด้วย[1]

สภาพของเมืองเก่าเทวทหะในปัจจุบันยังไม่เคยมีนักโบราณคดีสำรวจขุดค้นอย่างจริงจัง คงปล่อยให้เป็นเนินดินฝังซากโบราณสถานจำนวนมากไว้ ทำให้นักจาริกแสวงบุญส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมมาเมืองเทวทหะนี้

[พุทธฏีกาได้มีโอกาสไปมาด้วยครับ :b1: ]

[4.] Devadaha เทวทหะ

รูปภาพ





[๒] พระองค์ตรัสบอกกับพระภิกษุว่า พวกสมณพราหมณ์ หรือพวกนิครนถ์ ผู้รู้ในสมัยนั้น รวมถึงในสมัยนี้ มีคำพูด มีความเห็น ว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทั้งหมดเป็นเพราะกรรมเก่า ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญ(ตบะ) จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์
อ้างคำพูด:
[5.ตบะ]
1. ความเพียรเครื่องเผาผลาญกิเลส, การบำเพ็ญเพียรเพื่อกำจัดกิเลส
2. พิธีข่มกิเลสโดยการทรมานตัวของนักบวชบางพวกในสมัยพุทธกาล





[๓]พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า จริงหรือ ? พวกท่าน(นิครนถ์) มีความเห็นอย่างนั้นจริงหรือ ว่าสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกายนี้ ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ วัตถุสิ่งของปัจจัยภายนอกเป็นกิเลสเป็นกรรม เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญตบะ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้

พระองค์จึงตรัสว่า เราเลยถามพวกนิครนถ์ ว่า
๑.พวกท่านทราบหรือรู้เหรอว่า เรา ๆ ท่าน ๆ มีแล้ว(เกิด) ไม่ใช่ไม่เคยมี
๒.พวกท่านทราบหรือรู้เหรอว่า เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ทำบาปกรรมไว้มาก่อน ไม่ใช่ไม่เคยทำ
๓.พวกท่านทราบหรือรู้เหรอว่า เรา ๆ ท่าน ๆ ทำบาปกรรมอย่างนี้ ไม่ใช่ไม่เคยทำ
๔.พวกท่านทราบหรือรู้เหรอว่า เรา ๆ ท่าน ๆ มีทุกข์เท่านี้สลัดได้แล้ว ทุกข์เท่านี้ต้องสลัด หรือทุกข์เท่านี้สลัดแล้วทุกข์อื่นเป็นอันสลัดได้หมด
๕.พวกท่านทราบหรือรู้เหรอว่า การละอกุศล บำเพ็ญกุศลในปัจจุบันเป็นอย่างไร
พระองค์ตรัสว่า

พวกนิครนถ์ ตอบ หามิได้เลย ไม่รู้เลยสักข้อ !




[๔] พระองค์จึงตรัสว่า สรุปเป็นอันว่าที่ถามไปพวกท่านไม่รู้ ก็ไม่ควรพยากรณ์(เชื่อ ชอบ ตาม ตรึก ปักดิ่ง)ว่าสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกายนี้ ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ วัตถุสิ่งของและปัจจัยเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ภายนอกเป็นกิเลสเป็นกรรม เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญตบะ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์

ก็ถ้าพวกท่านรู้ ทั้ง ๕ ข้อที่ทรงตรัสถามข้างต้น พระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าพวกท่านรู้ก็ ก็ควรจะพยากรณ์ได้ ว่าสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกาย...จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ฯลฯ




[๕]เปรียบเหมือนคนบาดเจ็บจากบาดแผลสาหัสทรมานเจ็บปวดอยู่นาน ต้องนอนรักษา ขณะรักษาก็เจ็บปวดจากการรักษาการผ่าเย็บ การใส่ยา กว่าจะหายเมื่อหายแล้วก็มีอิสระ ไม่ต้องนอนรักษาตัว ก็อย่างนั้นแหละ ถ้าพวกท่าน พึ่งรู้พึ่งทราบว่า พวกเราทั้งหลาย ๑.มีแล้ว(เกิด) ไม่ใช่ไม่เคยมี ๒.ได้ทำบาปกรรมไว้มาก่อน ไม่ใช่ไม่เคยทำ ๓.ทำบาปกรรมอย่างนี้ ไม่ใช่ไม่เคยทำ ๔.มีทุกข์เท่านี้สลัดได้แล้ว ทุกข์เท่านี้ต้องสลัด หรือทุกข์เท่านี้สลัดแล้วทุกข์อื่นเป็นอันสลัดได้หมด ๕. การละอกุศล บำเพ็ญกุศลในปัจจุบันเป็นอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกท่านก็ควรพยากรณ์

ว่าคนเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกาย...จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ฯลฯ

ก็เพราะเหตุที่พวกท่านไม่ทราบ จึงไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า คนเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่า สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกาย...จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ฯลฯ




[๖]พวกนิครนถ์ อ้างถึงครูบาอาจารย์ ว่าท่านนิครนถ์นาฏบุตร เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง เป็นผู้เห็นธรรมทั้งปวง ยืนยันญาณทัสสนะตลอดทุกส่วนว่า เมื่อเราเดินก็ดี ยืนก็ดีหลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะได้ปรากฏติดต่อเสมอไป ท่านบอกว่า

อ้างคำพูด:
พวกท่านทำกรรมเก่าเอาไว้ พวกท่านจงสลัดบาปกรรมนั้นเสีย ด้วยปฏิปทาประกอบด้วยการกระทำ ที่ทำได้ยากอันเผ็ดร้อนนี้ข้อที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ ในบัดนี้นั้น เป็นการไม่ทำบาปกรรมต่อไป ทั้งนี้เพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ ไม่ทำกรรมใหม่ จักมีความไม่ถูกบังคับต่อไป เพราะไม่ถูกบังคับต่อไป จักมีความสิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม จักมีความสิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ จักมีความสิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา จักเป็นอันพวกท่านสลัดทุกข์ได้ทั้งหมด ก็แหละคำนั้นถูกใจและควรแก่พวกข้าพเจ้า และเพราะเหตุนั้น พวกข้าพเจ้าจึงได้ชื่นชม


พวกเราเลยชื่นชม ชอบมาก




[๗] พระองค์จึงตรัสว่าไม่รู้จะบอกแนะนำอย่างไร จะสนทนาโต้ตอบอย่างไรดี ไม่มีประโยชน์

อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกนิครนถ์กล่าวแล้วอย่างนี้ เราได้กล่าว
กะพวกนิครนถ์นั้น ดังนี้ว่า ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ ธรรม ๕ ประการนี้แล มีวิบาก
๒ ทางในปัจจุบัน ๕ ประการเป็นไฉน คือความเชื่อ ความชอบใจ การฟัง
ตามเขาว่า ความตรึกตามอาการ ความปักใจดิ่งด้วยทิฐิ
ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ
เหล่านี้แล ธรรม ๕ ประการ มีวิบาก ๒ ทางในปัจจุบัน บรรดาธรรม ๕ ประการนั้น
พวกนิครนถ์ผู้มีอายุ มีความเชื่ออย่างไร ชอบใจอย่างไร ร่ำเรียนมาอย่างไร
ได้ยินมาอย่างไร ตรึกตามอาการอย่างไร ปักใจดิ่งด้วยทิฐิอย่างไร ในศาสดาผู้มี
วาทะเป็นส่วนอดีต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะอย่างนี้แล จึงไม่เล็งเห็นการ
โต้ตอบวาทะอันชอบด้วยเหตุอะไรๆ ในพวกนิครนถ์ ฯ





[๘]พระองค์ยังทรงมีพระมหากรุณา ทรงยังโปรดต่อ โดยตรัสว่า ลองพิจารณาฟังดู จะสำคัญความข้อนี้อย่างไร

ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกท่านมีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น

ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกท่านไม่มีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมไม่เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น

นิครนถ์เห็นด้วยและกล่าวตามว่า

ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกข้าพเจ้ามีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกข้าพเจ้าย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น

ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกข้าพเจ้าไม่มีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกข้าพเจ้าย่อมไม่เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น




[๙] พระองค์ตรัสกับพวกนิครนถ์ ว่าเท่าที่พูดกันมานี้เป็นอันว่า ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกท่านมีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น

ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกท่านไม่มีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมไม่เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่าน ไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า คนเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกายนี้ ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ วัตถุสิ่งของและปัจจัยเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ภายนอกเป็นกิเลสเป็นกรรม เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญตบะ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์

ท่านนิครนถ์ทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ ถ้าสมัย(คราวใด)ใด พวกท่านมีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมเสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้น

แต่สมัย(คราวใด)ใด พวกท่านไม่มีความพยายาม ความเพียร แรงกล้า สมัย(คราวนั้น)นั้น พวกท่านย่อมไม่เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ ก็เพราะความพยายามอันแรงกล้านั้นเองทีเดียว พวกท่าน ย่อมเชื่อผิดไปเพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ เพราะความหลงว่า คนเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดจากกรรมเก่า ต้องทรมานกายนี้ ไม่สร้างแสวงหาวัตถุปัจจัยต่าง ๆ ไม่ทำกรรมใหม่ วัตถุสิ่งของและปัจจัยเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ภายนอกเป็นกิเลสเป็นกรรม เพราะเป็นกรรมจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จึงเป็นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สลัดไม่ได้ เพราะวัตถุสิ่งของและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความสบายทางกาย ยินดีพอใจทำให้เป็นทุกข์ ต้องสละออก บำเพ็ญตบะ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์

นี่แหละภิกษุทั้งหลายเราเลย ไม่คิดจะพูดหรือโต้ตอบวาทะให้มีประโยชน์อะไรได้กับพวกนิครนถ์




[๑๐]พระองค์ทรงตรัสต่อไปอีกว่า พวกท่านลองพิจารณา จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

พวกท่านจะพึงปรารถนา หวังเอาได้เหรอ บังคับเอาได้เหรอว่า !

๑.กรรมใดจะให้ผลในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในชาติหน้า ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด
๒. กรรมใดจะให้ผลในชาติหน้า ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน
๓. กรรมใดให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงให้ผลเป็นทุกข์
๔. กรรมใดให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงให้ผลเป็นสุข
๕. กรรมใดเป็นของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลอย่าเพ่อ(พึ่ง)เสร็จสิ้น
๖. กรรมใดเป็นของให้ผลยังไม่เสร็จสิ้น ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น
๗. กรรมใดเป็นของให้ผลมาก ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลน้อย
๘. กรรมใดเป็นของให้ผลน้อย ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลมาก
๙.กรรมใดเป็นของให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของอย่าให้ผล
๑๐. กรรมใดเป็นของไม่ให้ผลขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล

นิครนถ์ตอบทุกข้อว่า หามิได้ หรือ ไม่ใช่อย่างนั้น




[๑๑]พระองค์ตรัสว่า เท่าที่พูดกันมานี้เป็นอันว่า พวกท่านจะพึงปรารถนาไม่ได้ดังนี้ว่า ไล่เรียงทั้งสิบข้อว่า หวังไม่ได้ บังคับไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ผล ฯ ทรงชี้แนะขนาบหรือตำหนิว่า ป่วยการ พยายาม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี้ การกล่าวก่อนและการ
กล่าวตาม (๑) ๑๐ ประการอันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์ ผู้มีวาทะอย่างนี้ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ ฯ
[@๑. คือวาทะของพวกครู และอนุวาทะของศิษย์ที่ว่าตามกัน]

พระองค์ตรัสว่า
๑)ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องทำชั่วมาแน่
๒)ถ้า...ฯ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้ถูกอิศวรชั้นเลวเนรมิตมาแน่
๓) ถ้า...ฯ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความบังเอิญชั่วแน่
๔) ถ้า...ฯ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่
๕) ถ้า...ฯ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความพยายามในปัจจุบันเลวแน่

๖) ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
๖.๑) ถ้าหมู่สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ

๗) ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
๗.๑) ถ้าหมู่สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ

๘) ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
๘.๑) ถ้าหมู่สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ

๙) ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
๙.๑) ถ้าหมู่สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ

๑๐) ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
๑๐.๑) ถ้าหมู่สัตว์ไม่ใช่เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ

การกล่าวก่อนและการกล่าวตาม ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความพยายามไร้ผล ความเพียรไร้ผล อย่างนี้แล ฯ




[๑๒]พระองค์ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ความพยายาม ความเพียรอย่างไรจึงมีผล

๑) ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม
๒) ไม่สละความสุขที่เกิดโดยธรรม
๓) ไม่เป็นผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น

เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า

อ้างคำพูด:
ถึงยังมีเหตุแห่งทุกข์ ก็ตั้งความเพียร(เผากิเลส) วิราคะ (ความจางคลาย)ย่อมมีได้ เพราะตั้งความเพียร
ถึงยังมีเหตุแห่งทุกข์ ปล่อยวาง วิราคะ (ความจางคลาย)ย่อมมีได้
เธอควรตั้งความเพียร(เผากิเลส) ในทำนองที่ยังมีเหตุแห่งทุกข์ ตั้งความเพียร ย่อมมีวิราคะเพราะตั้งความเพียร
และบำเพ็ญอุเบกขา ปล่อยวาง ในทำนองที่ยังมีเหตุแห่งทุกข์ บำเพ็ญอุเบกขาวางเฉย ย่อมมีวิราคะ
เมื่อยังมีเหตุแหงทุกข์ ตั้งความเพียร ความจางคลายวิราคะมีได้เพราะตั้งความเพียร
แม้อย่างนี้ ทุกข์เป็นอันสลัดได้
เมื่อยังมีเหตุแห่งทุกข์ ปล่อยวาง วางเฉยอยู่ วิราคะย่อมมีได้
แม้อย่างนี้ ทุกข์เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว





[๑๓]ตรัสเปรียบเหมือนชายรักและหลงยึดถือผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หญิงคนรักไปมีชู้ พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความโศก ความรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้นใจ จะพึงเกิดขึ้นแก่ชายนั้น ใช่ไม่ใช่

นิครนถ์ตอบใช่ พระองค์ถามต่อ เป็นเพราะอะไร

อ้างคำพูด:
เพราะชายคนโน้นกำหนัดนักแล้ว มีจิตปฏิพัทธ์
พอใจอย่างแรงกล้า มุ่งหมายอย่างแรงกล้าในหญิงคนโน้น ฉะนั้น ความโศก
ความรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้นใจ จึงเกิดขึ้นได้แก่
เขา เพราะเห็นหญิงนั้นยืนพูดจากระซิกกระซี้ร่าเริงอยู่กับชายอื่น ฯ


พระองค์ตรัสว่า ต่อมาชายคนนั้นคิดว่า ที่เราต้องโศก เกิดความรำพัน ทุกข์กาย ทุกข์ใจ คับแค้นใจ เพราะมีจิตผูกพันมีจิตปฏิพัทธ์ อย่างนั้นไม่เอาแล้ว เราพึงละความกำหนัดพอใจในหญิงคนโน้นที่เรามีนั้นเสียเถิด เขาจึงละความกำหนัดพอใจในหญิงคนโน้นนั้นเสีย พระองค์ตรัสถาม เหล่าภิกษุว่า

อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความโศก ความรำพัน ความทุกข์กาย
ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ จะพึงเกิดขึ้นแก่ชายนั้น เพราะเห็นหญิงคน
โน้นยืนพูดจากระซิกกระซี้ร่าเริงอยู่กับชายอื่นบ้างหรือไม่ ฯ


พระภิกษุตอบว่า ไม่แล้วไม่ทุกข์แล้ว เพราะละความกำหนัด พอใจในหญิงคนนั้นแล้ว ดังนั้นความโศก ความรำพัน ความทุกข์กายความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ จึงไม่เกิดขึ้นแก่เขาอีก




[๑๔]ฉันนั้นแหละ พระองค์ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
๑) ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม
๒) ไม่สละความสุขที่เกิดโดยธรรม
๓) ไม่เป็นผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น

เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า

อ้างคำพูด:
ถึงยังมีเหตุแห่งทุกข์ ก็ตั้งความเพียร(เผากิเลส) วิราคะ (ความจางคลาย)ย่อมมีได้ เพราะตั้งความเพียร
ถึงยังมีเหตุแห่งทุกข์ ปล่อยวาง วิราคะ (ความจางคลาย)ย่อมมีได้
เธอควรตั้งความเพียร(เผากิเลส) ในทำนองที่ยังมีเหตุแห่งทุกข์ ตั้งความเพียร ย่อมมีวิราคะเพราะตั้งความเพียร
และบำเพ็ญอุเบกขา ปล่อยวาง ในทำนองที่ยังมีเหตุแห่งทุกข์ บำเพ็ญอุเบกขาวางเฉย ย่อมมีวิราคะ
เมื่อยังมีเหตุแหงทุกข์ ตั้งความเพียร ความจางคลายวิราคะมีได้เพราะตั้งความเพียร
แม้อย่างนี้ ทุกข์เป็นอันสลัดได้
เมื่อยังมีเหตุแห่งทุกข์ ปล่อยวาง วางเฉยอยู่ วิราคะย่อมมีได้
แม้อย่างนี้ ทุกข์เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความพยายามมีผล ความเพียรมีผล แม้อย่างนี้ ฯ





ข้อ [15-27] ที่เหลือไม่ยาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทหสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=1&Z=511

[6] นักบวชเชน
รูปภาพ




อ้างอิง :
Credit image by:
[1]http://khunchild.multiply.com/photos/photo/124/52 image by : สุเชฎฐ์ site
[2]http://newsimg.bbc.co.uk
[3]http://upload.wikimedia.org
[4]http://www.payer.de/mahavamsa/chronik02.htm
[6]http://khunchild.multiply.com/photos/photo/124/48 image by : สุเชฎฐ์ site

Credit by:
สารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย
[5]http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%B5%BA%D0

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2011, 15:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 11:07
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร