วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 18:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ภพ
มี 3 คือ
-กามภพ๑
-รูปภพ๑
-อรูปภพ๑

กามภพแบ่ง ๒ ภูมิใหญ่คือ
๑.อบายภูมิ ๔
๒.สุคติภูมิ

-อบายภูมิ ๔ ภูมิย่อยคือ

๑.อสุรกาย คือภูมิของพวกไม่กล้า ชอบหลบ ชอบแอบ (จัดเป็นเทพชั้นต่ำก็ได้) มี ๒ จำพวก คือ
ก. พวกอยู่ตามถ้ำ
ข. พวกอยู่ตามแหล่งน้ำ

๒. เดรัจฉาน คือภูมิของพวกขวางไป กล่าวคือมีลำตัวขวาง มิได้ตั้งตรง มี ๖ จำพวก คือ
ก. สัตว์ที่มีศพเป็นอาหาร เช่น เสือ สิงโต
ข. สัตว์ที่มีหญ้าเป็นอาหาร เช่น ม้า โค ลา กระบือ
ค. สัตว์ที่มีอุจจาระเป็นอาหาร เช่น ไก่ สุนัข
ง. สัตว์ที่เกิด แก่ ตาย ในที่มืด เช่น ตั๊กแตน มอด ไส้เดือน
จ. สัตว์ที่เกิด แก่ ตาย ในน้ำ เช่น ปลากุ้ง
ฉ. สัตว์พวกเกิด แก่ ตาย ในสิ่งโสโครก เช่น หนอน เชื้อโรค
กรรมที่ทำให้เป็นเดรัจฉานนั้น คือ ความยินดีในการบริโภคอาหารแล้วทำกรรมลามกไว้ ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ณ วิหารเชตวัน เขตพระนครสาวัตถี ว่า ”ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแล เป็นผู้กินอาหารด้วยความคิดติดใจในรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์เหล่านั้น (แยกประเภทตามกรรม)

๓. ปิตติวิสัย (เปรต) คือ ภูมิของพวกหิวกระหายเป็นนิจ มี ๑๒ จำพวก
ก. วันตาสาตเปรต ได้แก่ เปรตที่เที่ยวกินน้ำปัสสาวะและน้ำลายเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ยินดีในการดื่มสุรา และสิ่งเสพติดต่างๆ
ข. กุลามขาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่เที่ยวกินซากศพเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ยินดีในการบริโภคสัตว์และอวัยวะต่างๆของสัตว์ (ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงบัญญัติกำชับไว้ว่าก่อนบริโภคเนื้อสัตว์ ต้องพิจารณาให้เป็นธาตุเสียก่อน หากบริโภคโดยไม่พิจารณาย่อมเปื้อนเศษกรรม และรับกรรมในที่สุด)
ค. คูถขาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่เที่ยวกินอุจจาระเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่คอรัปชั่นหรือยักยอกสมบัติของสาธารณะหรือของส่วนรวมมาบริโภค พวกนี้เมื่อพ้นจากเปรตแล้วต้องไปเป็นสุนัขกินอุจจาระจนกว่าจะหมดกรรม
ง. อัคคิชาลาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่เที่ยวกินเปลวไฟเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ยินดีในการหลอกลวงชาวบ้านกิน
จ. สูจิมุขาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่พูดวาจาลบหลู่ผู้มีพระคุณ เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และญาติผู้ใหญ่ เป็นต้น
ฉ. ตัณฑชิตาเปรต ได้แก่ เปรตที่ต้องทรมานอดอาหารอยู่เป็นนิจ ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกตระหนี่ ไม่เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน
ช. สุนิชาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีสรีรกายเปื้อนด้วยอสุจิ ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ยินดีในการสมสู่สำส่อน
ซ. สัพพปากเปรต ได้แก่ เปรตที่มีปากต่างๆกัน เช่น ปากเป็นหมู ปากเป็นนกบ้าง ปากเป็นสุนัข ปากเป็นกระต่าย ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่พูดจาไม่งาม เช่น การโกหก ส่อเสียด ด่าทอ และเพ้อเจ้อ เป็นอาทิ
ฌ. ปัพพดังคาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีร่างกายทะมึนใหญ่เท่าภูเขา เป็นเศษกรรมของพวกที่ให้ความสำคัญแก่ร่างกายอย่างยิ่ง หรือใช้กำลังกายเข้าทำร้ายข่มเหงกัน เป็นอาทิ
ญ. อัชชตรังคาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีกายลายเหมือนงูเหลือม ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ชอบประดังประดาตกแต่ง ทาสีกาย หรือหน้าตา
ฑ. วิมานิกเปรต ได้แก่ เปรตที่มี วิมานอยู่ ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่มีกรรมเลวอื่นๆ อยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีกรรมดีอยู่บ้าง จึงได้วิมานอยู่
ฎ. มหิทธิกาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีฤทธานุภาพมาก ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ชอบเล่นคาถา อาคม คุณไสย คุณเวท (อนึ่งแม้มนุษย์ที่เล่นอาคมก็ใช้อำนาจของเปรตเหล่านี้เป็นผู้จัดการ อาจารย์ที่ต้องบูชาก็คือเปรตนั่นเอง จึงเรียกว่าไสยศาสตร์ ซึ่งหมายถึงศาสตร์ชั้นต่ำ ไสยศาสตร์ต่างกับฤทธิ์ของพระอริยเจ้าตรงที่ไสยศาสตร์เป็นอำนาจเปรตภายนอกอันมีอาคมเป็นเครื่องกำกับ แต่ฤทธิ์ของพระอริยเจ้าเป็นอำนาจจิตและอำนาจบุญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติวิเศษของตน มิได้พึ่งอำนาจนอก)

๔. นิรยะ คือภูมิของพวกเร่าร้อน เรียกอย่างหนึ่งว่า นรก ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกที่ประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสา พูดส่อเสียด พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ ละโมบ ผูกพยาบาท และเห็นผิดเป็นชอบ เป็นชอบเป็นผิด พวกนี้จะถูกส่งไปสู่นรก

นรก มี ๒ ภูมิใหญ่ๆ คือ มหานรก และยมนรก
ก. มหานรก เป็นนรกสำหรับกรรมหนักมากมี ๘ ขุม คือ
๑. สัญชีพนรก
๒. กาลสุตตนรก
๓. สังฆาฏนรก
๔. โสสุวนรก
๕. มหาโสสุวนรก
๖. ตาปนรก
๗. มหาตาปนรก
๘. อเวจีนรก

ในแต่ละมหานรก จะมีประตูใหญ่อยู่ ๔ ประตู แต่ละประตูที่ออกไปจะพบอุสุททร นรก ๔ ขุม คือ
-คูถนรก นรกเต็มไปด้วยอุจจาระ
-กุกกุลนรก นรกเต็มไปด้วยเถ้ารัดรึง
-อสีปัตตวินนรก นรกเต็มไปด้วยต้นไม้มีใบเป็นหอก เป็นดาบหล่นลงมาทิ่มแทงสัตว์นรก
-เวตตรปีตทีนรก นรกเต็มไปด้วยแม่น้ำร้อน
นรกบริวารนี้จะอยู่ที่ประตูนรกทุกประตู ดังนั้น ในมหานรกหนึ่งๆ จะมี อุสุททรนรก ๔ ขุม นี้ล้อมรอบอยู่ ๔ ชุด รวมทั้งสิ้นเป็น ๑๖ ขุมดังนี้
ข. ยมนรก เป็นนรกสำหรับกรรมหนัก เมื่อสัตว์นรกได้เสวยผลกรรมในมหานรกแล้วหากยังเหลือเศษกรรมอยู่ก็จะมาสู่ยมนรกนี้ ซึ่งมี ๑๐ ขุมคือ
๑. โลหกุมถีนรก เป็นนรกเหล็กร้อนสัตว์นรกต้องเร่าร้อนอยู่บนพื้นเหล็กร้อนที่ห้อมล้อมไว้ด้วยกำแพงเหล็กร้อนด้วยกัน
๒. สีวลีนรก เป็นนรกอันรกร้างไปด้วยต้นงิ้ว ซึ่งมีหนามยืดหยุ่นได้ ( เหมือนมือของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ) หนามงิ้วจะค่อยทิ่มแทงสัตว์นรกอยู่
๓. อสินขนรก เป็นนรกที่มีสัตว์ร้ายคอยกัดกินเนื้อของสัตว์นรกอยู่
๔. ตามโมทนรกเป็นนรกน้ำทองแดงร้อนที่สัตว์นรกต้องแช่อยู่
๕. อโยตุลนรก เป็นนรกก้อนเหล็กแดง ที่สัตว์นรกต้องกิน
๖. ปิสสกปัพพตนรก เป็นนรกภูเขาที่เคลื่อนที่เข้าหากันทำให้สัตว์นรกต้องถูกบีบแบน
๗. อุสนรก เป็นนรกแกลบเพลิงเหมือนสายน้ำ สัตว์นรกคิดว่าเป็นน้ำแล้วดื่มกิน
๘. สีตลนรก เป็นนรกที่หนาวยะเยือกเย็นยิ่งนัก
๙. สุนัขนรก เป็นนรกที่มีสุนัขยักษ์ ( ตัวประมาณช้าง ) คอยเขย่าประสาทและทำร้ายสัตว์นรกอยู่
๑๐. ยันตปาสาณนรก เป็นนรกหินกลิ้ง เป็นหินใหญ่มหึมากลิ้งไปมา บดร่างสัตว์นรกอยู่
ทั้งหมดนั้นคืออบายภูมิ ได้แก่ภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ไป เป็นภพภูมิแห่งทุกข์ใหญ่
-สุคติภูมิ คือภูมิแห่งการเสพกาม ซึ่งมีความสุขอยู่บ้าง มี ๒ ภูมิใหญ่ ๆ คือ
๑. มนุษยภูมิ ได้แก่ ภูมิของมนุษย์ทั้งหลายมี ๔ ภพ คือ
ก. มนุษย์ชมพูทวีป (โลกนี้)
ข. มนุษย์อุตตรกุรุทวีป(พวกอยู่ทางเหนือเขาสิเมรุ)
ค. มนุษย์อมรโคยานทวีป(พวกไปในอากาศ)
ง. มนุษย์ปุพพเทหทวีป (พวกที่เสื่อมมาจากที่สูง พวกผิดอาญาสวรรค์มาอยู่)
๒. เทวภูมิ ได้แก่ ภูมิของเทพที่ยังเสพกามอยู่ มี ๖ ภพ คือ
ก. จาตุมหาราชิกา เป็นแดนที่มีมหาราช ผู้เป็นใหญ่ดูแลอยู่ ๔ องค์
ข. ดาวดึงส์ เป็นแดนที่มีคณะเทพ ๓๓ องค์ เป็นผู้ปกครอง มีท้าวสักกะ(พระอินทร์) เป็นใหญ่สุด
ค. ยามา เป็นแดนของพวกไม่มีเรื่องทุกข์(เฉพาะในระหว่างที่อยู่ในดินแดนนี้) ได้แก่ ที่อยู่ของพวกที่รักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ
ง. ดุสิต เป็นแดนแห่งเทพผู้อิ่มเอิบด้วยสิริสมบัติของตน (บารมี) ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
จ. นิมมานรดี แดนแห่งเทพผู้ยินดีในหารเนรมิตซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกที่ให้ทานไว้มากเพราะประสงค์สิ่งใดก็เนรมิตเอาได้
ฉ. ปรนิมมิตวสวัตตี แดนแห่งเทพที่มีผู้อื่นเนรมิตให้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไว้มาก เมื่อประสงค์สิ่งใดก็จะมีผู้คอยเนรมิตให้เสมอ เหล่านี้ทั้งหมดทั้งอบายภูมิและสุคติภูมิ คือภพของเหล่าสัตว์ที่ยังเสพกามกันอยู่ สัตว์เหล่าหนึ่งเหล่าใด จะอยู่ชั้นใดตลอดก็หามิได้ ในทุกภพมีการเกิดขึ้น การดำรงอยู่และกรมรณะไปตามกาลเวลาดุจกัน
รูปภพ รูปภพ คือ รูปาวจรภูมิ เป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้ยินดีในรูปฌานสมาธิ และพระอริยเจ้าระดับอนาคามี แบ่งเป็น ๕ ภูมิใหญ่คือ
๑. ปฐมฌานภูมิ คือภูมิของสัตว์ ผู้ทรงอยู่ปฐมฌาน มี ๓ พวก คือ
ก. พรหมปราริสัชชา คือพวกบริษัทผู้เป็นบริวารท้าวมหาพรหม
ข. พรหมปุโรหิตา คือพวกปุโรหิตมหาพรหม
ค. มหาพรหม คือพวกท้าวมหาพรหม
๒. ทุติยฌานภูมิ คือภูมิของสัตว์ผู้ทรงอยู่ในทุติยฌาน มี ๓ พวกคือ
ก. ปริตตาภา คือ พวกมีรัศมีน้อย
ข. อัปปมาณาภา คือ พวกมีรัศมีประมาณมิได้
ค. อาภัสสรา คือพวกมีรัศมีสุกปลั่งสร้านไป(เป็นพรหมพวกที่ลงไปเป็นมนุษย์สมัยเกิดโลกใหม่ ๆ)
๓. ตติยฌานภูมิ คือภูมิของสัตว์ผู้ทรงอยู่ในตติยฌาน มี ๓ พวกคือ
ก. ปริตตสุภา คือพวกมีรัศมีงามน้อย
ข. อัปปมาณสุภา คือ พวกมีแสงรัศมีงามประมาณมิได้
ค. สุภกิณหา คือพวกมีรัศมีงามกระจ่างจ้า
๔. จตุตถฌานภูมิ คือภูมิของสัตว์ผู้ทรงอยู่ใน จตุตถฌาน มี ๒ พวกคือ
ก. เวหัปผลา คือพวกมีผลไพบูลย์(บริบูรณ์)
ข. อสัญญีสัตว์ คือพวกที่ไม่มีสัญญา
๕. สุทธาวาส คือภูมิของพวกอริยเจ้าระดับอนาคามี ซึ่งเป็นระดับที่จะไม่ลงไปเกิดเป็นมนุษย์อีก จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธปรินิพพานในภูมินี้ มี ๕ พวกคือ
ก. อวิทาหา คือ เหล่าท่านผู้ไม่ละไปเร็ว
ข. อตัปปา คือ เหล่าท่านผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร
ค. สุทัสสา คือ เหล่าท่านผู้น่าชม
ง. สุทัสสี คือเหล่าท่านผู้เห็นได้ชัด
จ. อกนิฏฐา คือเหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อย,ผู้สูงสุด

ทั้งหมดนี้คือรูปาจรภูมิ หรือรูปภพ ต่อไปคืออรูปภพ
อรูปภพ อรูปภพ หรืออรูปาจรภูมิเป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ผู้ทรงอยู่ในอรูปฌานสมาบัติ ได้แก่ สมาธิที่ไม่ถือนิมิตหมายของรูปใด ๆ เข้าสู่ความไม่มีรูปโดยนัยต่าง ๆ ๔ จำพวก คือ
๑. อากาสานัญจายตนภูมิ คือชั้นที่ทรงภาวะว่างไม่มีที่สิ้นสุด
๒. วิญญาณัยจายตนภูมิ คือชั้นที่ทรงภาวะรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
๓. อากิญจัญญายตนภูมิ คือชั้นที่ทรงภาวะไม่มีอะไรเลย
๔. เนวสัญญานสัญญายตนภูมิ คือชั้นที่ทรงภาวะที่จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่
ทั้ง ๔ ภูมินี้คือ อรูปภพ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ดังพระผู้มีพระภาคกล่าวแล้วดังนี้

ไม่ทราบที่มาครับ

:b8: :b8: :b8:





.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ฎ. มหิทธิกาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีฤทธานุภาพมาก ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกที่ชอบเล่นคาถา อาคม คุณไสย คุณเวท (อนึ่งแม้มนุษย์ที่เล่นอาคมก็ใช้อำนาจของเปรตเหล่านี้เป็นผู้จัดการ อาจารย์ที่ต้องบูชาก็คือเปรตนั่นเอง จึงเรียกว่าไสยศาสตร์ ซึ่งหมายถึงศาสตร์ชั้นต่ำ ไสยศาสตร์ต่างกับฤทธิ์ของพระอริยเจ้าตรงที่ไสยศาสตร์เป็นอำนาจเปรตภายนอกอันมีอาคมเป็นเครื่องกำกับ แต่ฤทธิ์ของพระอริยเจ้าเป็นอำนาจจิตและอำนาจบุญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติวิเศษของตน มิได้พึ่งอำนาจนอก)

อยากรู้เหมือนกันว่า พวก ที่สถิตในเครื่องราง เสือสิงห์ ควายธนู หนุมาน ปลัดขิก ๆลๆ มาจาก มหิทธิกาเปรต หรืออสุกาย หรือเทพ หรือเทวบุตรมาร
หรือผสมผสานกันหลายๆพวก :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..ครับ..ท่านวรานนท์ :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 11:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 10:59
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


มีครายช่วยตอบได้ค่ะ

โดนของ มีอาการคล้ายคนบ้า ได้ยินเสียงคนนั้นคนนี้พูดตลอดเวลา ซึ่งเหมือนคนสั่งให้ได้ยินเสียงทุกคนที่เราคุยด้วย
เหมือน จะทำให้เราสับสน บางครั้งสั่งให้เราหายใจไม่ออก ปวดหัว ตัวร้อน มีอาการเจ็บปวดตามที่ที่มันสั่ง ทั้งที่หาสาเหตุไม่ได้
จนนึกว่าตัวเองเป็นบ้ารึป่าว ถึงกับไปพบจิตแพทย์ ไปหาหมอก้หาสาเหตุไม่เจอบางทีเรานอนหลับแต่เหมือนคนอดหลับอดนนอ หน้าตาจากคนที่ผิวขาวแต่เหมือนหน้าเราหมองคล้ำใครเห็นก้ทัก ว่าไปอดหลับอดหนอนที่ไหนมา บางสั่งให้เราคิดตามที่มเสียงที่เราได้ยิน ใครบอกได้ว่าคุณไสย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าอะไร คืออาการแบบนี้เป็นตั้งแต่ เดือน มกราคม 2554 จนถึงทุกวันนี้ช่วงเแรกที่เป็นงงมาก คือรู้ว่าเราอยู่ไหน ทำอะไร แล้วลงทุนจ้างคนอื่นมาเล่นละครตบตาเรา โทรไปหาญาติพี่น้องเรา แอบบเปลี่ยนรหัสอีเมลล์ เฟสบุค ทั้งที่ปกติแล้วมันทำได้ที่ไหนล่ะแล้วไม่ใช่เจ้าจัวทำเอง รู้ข้อมูลทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าทำอะไร กินอะไร ใส่เสื้อสีไหน อยู่กับคราย แล้วให้คนรู้จักเราโทรหาแกล้วปั่นหัสเรา คนที่อยู่คนล่ะที่แต่รู้เหน เรื่องของเรา สั่งเราได้ อยากรู้ค่ะ ว่าคุณไสย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าอะไร เพราะปกติไม่เชื่อเรื่องแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ยาก
ลองตั้งจิตให้มั่น แล้วสวดมนต์เริ่มจากพุทธคุณก่อน
ตามด้วยพาหุงมหากา และกรณียสุตร ระลึกถึง
คุณของพระรัตนไตร...แล้วแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวร....รักษาศิลห้าให้เคร่งครัดในทุกๆวัน
ถวายสังฆทานบ่อยๆ....ไม่มีอะไรจะปกปักษ์รักษาให้เราพ้น
จากสิ่งอัปมงคล ชั่วร้ายทั้งหลายได้ นอกจากศิล
ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


โดนของ มีอาการคล้ายคนบ้า ได้ยินเสียงคนนั้นคนนี้พูดตลอดเวลา ซึ่งเหมือนคนสั่งให้ได้ยินเสียงทุกคนที่เราคุยด้วย
เหมือน จะทำให้เราสับสน บางครั้งสั่งให้เราหายใจไม่ออก ปวดหัว ตัวร้อน มีอาการเจ็บปวดตามที่ที่มันสั่ง ทั้งที่หาสาเหตุไม่ได้ จนนึกว่าตัวเองเป็นบ้ารึป่าว ถึงกับไปพบจิตแพทย์ ไปหาหมอก้หาสาเหตุไม่เจอบางทีเรานอนหลับแต่เหมือนคนอดหลับอดนนอ หน้าตาจากคนที่ผิวขาวแต่เหมือนหน้าเราหมองคล้ำใครเห็นก้ทัก ว่าไปอดหลับอดหนอนที่ไหนมา บางสั่งให้เราคิดตามที่มเสียงที่เราได้ยิน ใครบอกได้ว่าคุณไสย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าอะไร คืออาการแบบนี้เป็นตั้งแต่ เดือน มกราคม 2554 จนถึงทุกวันนี้ช่วงเแรกที่เป็นงงมาก คือรู้ว่าเราอยู่ไหน ทำอะไร แล้วลงทุนจ้างคนอื่นมาเล่นละครตบตาเรา โทรไปหาญาติพี่น้องเรา แอบบเปลี่ยนรหัสอีเมลล์ เฟสบุค ทั้งที่ปกติแล้วมันทำได้ที่ไหนล่ะแล้วไม่ใช่เจ้าจัวทำเอง รู้ข้อมูลทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าทำอะไร กินอะไร ใส่เสื้อสีไหน อยู่กับคราย แล้วให้คนรู้จักเราโทรหาแกล้วปั่นหัสเรา คนที่อยู่คนล่ะที่แต่รู้เหน เรื่องของเรา สั่งเราได้ อยากรู้ค่ะ ว่าคุณไสย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าอะไร เพราะปกติไม่เชื่อเรื่องแบบนี้
สามัญ
สมาชิกใหม่


โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 10:59
Reputation point: 0

พูดต่อได้มั๊ย รู้สึกจะเล่าน้อยไปนะ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร