วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 13:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 17:38
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนเป็นคนไม่สนใจพุทธศาสนา
ยินดีพอใจเวลามีคนอื่นมาให้ค่าตัวเอง แต่ไม่เคยชอบใครจริง
อาจิณณกรรมคือการบริหารเสน่ห์ สนุกกับการล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น
ต่อมาเมื่อมีทุกข์ ได้รู้จักกัลยาณมิตรที่ช่วยแนะหนทางไปสู่ความพ้นทุกข์
จึงหันมาทำทาน ศีล ภาวนา
อกุศลที่เคยมี ลดลง กุศลก็มีมากขึ้น

ตั้งใจจะเจริญในธรรมไปคนเดียว
ไม่สนใจว่าใครจะมองว่าแปลกจากหน้าตาและอายุ
แต่เมื่อขาดกัลยาณมิตร กิเลสคอยแต่จะผลักดันให้กลับไปทำกรรมในเส้นทางเดิมๆ
ทั้งที่รู้ว่าเราทำเหตุอะไรไป ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นในที่สุด
กระแสโลกช่างหอมหวาน กิเลสช่างร้ายกาจ..

กลัวความคิดร้ายๆ จะแสดงออกไปทางกายและวาจาเหลือเกิน
ไม่อยากก่ออกุศลกรรมเพิ่มให้จิตใจอีกแล้ว
ทุกวันนี้สวดมนต์และนั่งสมาธิแทบทุกวัน คอยเจริญสติในชีวิตประจำวัน
รักษาศีล 5 และเป็นศีล 8 ในวันหยุด
ยิ่งตอนนี้มีบททดสอบยากๆเข้ามาหลายบท
มีอุบายวิธีใดอีกบ้างคะ เพราะเวลาขาดสติ ก็มักจะคิดอยากกลับไปทำกรรมแย่ๆแบบเดิมอีก -_-


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




m209364.jpg
m209364.jpg [ 85.48 KiB | เปิดดู 6489 ครั้ง ]
กำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาว + สภาพแวดล้อมทางสังคมปัจจุบัน

ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุก
เป็นหนุ่มสาวก็หลงสุข ค่ำเช้า
กลางคนเริ่มเห็นทุกข์ สุขคู่กันนอ
ตกแก่จึงรู้เค้า ว่าล้วนอนิจจัง

-ดำรงราชานุภาพ-

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีคะ เผอิญไม่ใช่คนมีเสน่ห์ให้บริหารคะ และไม่ใช่ผู้รู้ด้วยคะ แต่เห็นวิธีคิดและปฏิบัติแล้ว
คิดว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมากกว่าตัวดิฉันเองอีกคะ ยังเห็นจิตอิจฉาคุณเลย

วิธีที่ตัวเองทำก็ตามดูตามรู้ให้มันตายไปข้างคะ ไม่เราก็กิเลสตัวเนียะคะ รู้ทันเวลามันเกิด ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ มันเกิดก็อย่าไปกดข่มคะ ดูจิตเราคะ จิตจะคิดดี คิดอกุศลก็ตามรู้ แล้วซักวันจิตจะระเอียดมากขึ้น เมื่อนั้นเราจะเห็นแค่ว่าเรากำลังจะหลง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลงอะไรคะ พอรู้ทันมันก็จะคลาย หรือดับไป ดูความไม่ทนไม่เที่ยงคะ ดูให้เห็นไตรลักษณ์ ซักวันมันก็จะลด ละ เลิก ไปได้เองคะ

ถ้าหาเพื่อนให้ฉุดตัวเองไม่ให้ไปข้องแวะกับกิเลส คงหาได้เยอะในลานธรรมแห่งนี้คะ

แต่ถ้าจะหาคนที่ถอนกิเลสให้นั้นไม่มีคะ นอกจากตัวคุณเองคะ

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน :b8:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2010, 14:47
โพสต์: 8

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณต้องหมั่งเจริญสติ เพราะเมื่อคุณเผลอกิเลศจะเล่นงาน
ฉนั้น เมื่อ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น ทางอินทรีย์ต่างๆ
เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็กำหนดรู้ตามสภาวะธรรม นั้น ๆ
อีกอย่างควรมีความหนักแน่นและตั้งใจ

การกระทำใดก็หาสำเร็จได้ไม่หากไม่ประกอบด้วยความเพียร

สงสัยสามารถสอบถามได้ 085-0953503


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ขอกล่าวคำเดิมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
......กิ่งไม่สดถูกแช่อยู่ในน้ำ ย่อมไม่สามรถจุดไฟให้ติดได้
......กิ่งไม้สดแม้นำขึ้นจากน้ำแล้ว ก็ยังไม่สามารถจุดไฟติดได้เช่นกัน
.......กิ่งไม้สดเมื่อถูกนำขึ้นจากน้ำ ถูกทำให้แห้งจากยางไม้ น้ำ และความชื้นใดๆแล้ว เท่านั้นจึงสามารถจุดไฟติดได้
.......อันนี้พระพุทธองค์ทรงอุปมัยเพื่อที่จะบอกเราว่า ถ้าเรายังเอาตัวเองไปคลุกคลีอยู่กับสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่กอรปไปด้วย ความเปียกชุ่ม ของกิเลส ตัณหา และอบายมุกต่างๆ อย่างโลกๆอยู่อย่างเป็นปกติแล้ว กิเลส ตัณหามันต้องอาบชุ่มอยู่ที่ตัวเราทั้งกายและใจ(จิต) เราก็จะไม่สามารถเป็นคนดีมีศีลธรรมได้เลย(เหมือนกิ่งไม้สดแช่น้ำ)
........แม้เราเอาแยกตัวออกมาจากสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแล้ว(ปลีกวิเวก) แต่ใช่ว่าใจ(จิต)ของเราจะกลับมาเป็นคนดีมีศีลธรรมได้เอง(เปรียบกิ่งไม้สดถูกแยกจากน้ำ)
........การที่เราจะเป็นคนดีมีศีลธรรมนั้นเปรียบได้กับ กิ่งไม่สดต้องแยกจากน้ำก่อน และถูกทำให้แห้ง จากน้ำและยางไม้แล้วจึงเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ น้ำและยางไม้ เปรียบได้กับอกุศลมูลทั้งหมด การทำให้แห้งหมายถึงการทำให้อกุศลมูลนั้นดับไป และสร้างกุศลมูลให้เกิดขึ้นในลำดับถัดมา การทำอกุศลมูลให้ดับนั้นมีอยู่ทางเดียว ก็คือทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา สามคำสั้นๆนี่แหละ แล้วแต่จะเอาแค่ไหน
.........ในสมัยพุทธกาลพุทธองค์ทรงตรัสกับสมมุติสงฆ์และพระเสขะว่า นั่นถ้ำ นั่นโคนไม้ โน่นเรือนว่าง ภิกษุ จงแยกย้ายกันไป นั่งตัวตรง ดำรงค์สติมั่น กำหนดรู้หายใจเข้า กำหนดรู้หายใจออก ก็เพื่อแยกกิ่งไม้ออกจากน้ำเหมือนกัน การคลุกคลีในหมู่สงฆ์ก็ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม เพราะข้อเท็จจริงคือกายต้องวิเวกเสียก่อน จึงสามารถฝึกจิตให้วิเวกได้
.......คุณแยกตัวออกออกจากน้ำแล้ว ไม่ต้องทำอะไรกายภายนอกก็แห้งจากน้ำ แต่กายภายใน(จิต)นั้นจำเป็นต้องผ่านการฝึก เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถ ต่อสู้กับความเปียกแฉะแห่งบาปและอกุศลต่างๆได้ จิตที่ฝึกดีแล้วนี้จึงเหมือนใบบอนที่แม้มีน้ำมากลิ้งอยู่ข้างบน แต่ก็ได้แค่กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่สามรถทำความเปียกชื้นให้ใบบอนได้อีกเลย.....เจริญในธรรม/เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รอยทราย เขียน:
ทุกวันนี้สวดมนต์และนั่งสมาธิแทบทุกวัน คอยเจริญสติในชีวิตประจำวัน
รักษาศีล 5 และเป็นศีล 8 ในวันหยุด
ยิ่งตอนนี้มีบททดสอบยากๆเข้ามาหลายบท

การรักษาศีลก็นับว่าเป็นคนดีอยู่แล้วนี่ เพราะ ศีล คือ อาภรณ์ของคนดี เครื่องวัดของคนดีและเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
รอยทราย เขียน:
มีอุบายวิธีใดอีกบ้างคะ เพราะเวลาขาดสติ ก็มักจะคิดอยากกลับไปทำกรรมแย่ๆแบบเดิมอีก -_-

เมื่อรู้ว่าขาดสติ ก็ต้องรัษาสติไว้ให้สุดความสามารถ รักษาอย่างไร?
ก็ด้วยการผูกสติไว้กับหลัก หลักก็คือ ลมหายใจเข้า-ออก หรือ อาศัยคำบริกรรมภาวนาเป็นหลัก เช่น
พุทโธ สัมมาอรหันต์ ยุบหนอ-พองหนอ เป็นต้น หรือให้พิจารณาหัวข้อธรรม หมวดหิริโอตตัปปะ

- หิริ ความละอายต่อบาป
- โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป

พิจารณาบ่อย ๆ พิจารณาทุกวัน การที่จะกลับไปทำกรรมไมดีอีกก็เป็นอันหมดห่วง

เอามะพร้าวมาขายสวนหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ..ขอรับ :b4: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ


อ่านความเห็นทุกท่านแล้วพลอยได้ข้อคิด พลอยรู้สึกยินดีในการปฏิบัติธรรมไปด้วย :b39: :b39:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...คนดีจริงๆ...ที่หนึ่งเลย...คนแรกของโลก...
...ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...
:b8:
...อยากเป็นคนดีจริงๆ...ก็ต้องศึกษาว่า...
...เอกบุรุษของโลกเป็นบุคคลเช่นไร...
:b10:
...เข้าใจคำสอนพระองค์ได้จริงๆหรือไม่...
...และต้องขยันเอาใจใส่สิ่งที่พระองค์บอกให้ทำ...
:b20:
...ธรรมะเป็น...อนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา...
...เพียงท่องจำได้...ก็ยังเป็นคนดีไม่ได้...
:b1:
...เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดยิ่ง...
...ต้องดูกาย-เวทนา-จิต-ธรรม-สติ-กิเลสอย่างแยกส่วน...
...ถ้าเหมารวมว่าเป็นกายเรา...ของเรา...ก็เห็นเป็นอัตตา...
...ก็คือไม่เข้าใจธรรมะคือยังไม่เกิดปัญญาดับอวิชชาได้เลย...
:b12:
...เพราะทุกขณะที่เห็นทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ...
...พระพุทธองค์แสดงธรรมว่าไม่มีอะไรเกิดพร้อมกันได้เลย...
...ถ้ายังคิดว่าเห็น/ได้ยิน/ได้กลิ่น/ลิ้มรส/รับสัมผัสเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็งได้พร้อมกัน...
...ก็เห็นไม่ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงว่าจิตเกิดได้ทีละ 1 ขณะ...
...เห็นเกิดขึ้นและดับไปไม่เหลือแล้ว...ถึงจะเกิดได้ยินได้...ทุกอย่างเกิด-ดับ
...แม้กระพริบตาก็มีการเกิดดับนับไม่ถ้วนทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ...แต่จิตก็รู้ไม่ทัน...
...เพราะสิ่งที่เกิดดับเป็นเพียงความคิดที่หมดไปทุกวินาทีและเป็นกรรมสืบต่อให้เกิดใหม่แล้ว...
:b16:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...เพราะมีโมหะความหลงเข้าใจผิดเป็นเบื้องหน้า...ทำให้เกิดโลภะและโทสะ...
...ตามสภาพภพภูมิมนุษย์...ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ฝรั่ง แขก อินเดีย จีน ญี่ปุ่น หรือสัตว์...
...ก็คือเห็นสภาพธรรมะที่ปรากฎทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ...เป็นมิจฉาทิฐิอยู่...
...คือหลงผิดเหมือนๆกันว่ามีคน-สัตว์-สิ่งของมารองรับอารมณืชอบใจ-ไม่ชอบใจ...
...เมื่อเกิดโลภะก็อยากได้สิ่งของนั้นมาป็นของตน...หรือเห็นว่ามีคนมาด่าก็เกิดโทสะ...
...โกรธตาดำ-ตาแดงถึงฆ่าแกงกัน...เพราะไม่เข้าใจสภาพธรรมะที่ปรากฎให้เห็นได้เท่านั้น...
...จิตทุกดวงอยู่ในโลกของความคิดตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไป...หลับสนิทก็ไม่เหลือสภาพจำ...
...ไม่รู้ว่าตัวตนอยู่ที่ไหน-ทำอะไร-มีอะไรอยู่รอบตัวบ้างก็ไม่รู้...
...เพราะจิตทุกดวงอยู่ในโลกของความคิดคนเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย...
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
เอามะพร้าวมาขายสวนหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ..ขอรับ :b4: :b13:


:b17: :b17: ชอบรูปนี้จังเยยย...ขอหน่อย ๆ ... :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...สภาพธรรมะ...เป็นสภาพธรรมชาติที่มีอยู่จริง...แต่มีอยู่ 2 แบบตามความเข้าใจของข้าพเจ้าที่ศึกษาธรรม...
...แบบแรกเป็นโลกียธรรมเป็นสภาพธรรมะคือธรรมชาติของปุถุชนที่ยังมีกิเลสคือรู้-เห็นโลกเหมือนๆกัน...
...คือเห็นว่าเป็นตัวบุคคล สัตว์ สิ่งของมีการเคลื่อนที่เดินทางไปทั่วสารทิศอยู่ตลอดเวลา...โลกไม่หยุดนิ่ง...
...แบบที่สองเป็นโลกุตรธรรมที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตรัสรู้ธรรมคือเข้าสู่สภาพเป็นอนัตตาธรรม...
:b48:
...เป็นสภาพจิตเที่ยวที่เกิดขึ้นและหมดไปทีละ 1 ขณะทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ(6ทาง)...ซึ่งมีความไม่เที่ยง...
...เป็นความรู้ของจิตที่เห็นว่าไม่มีคน สัตว์ สิ่งของเดินทางไปไหน...มีแต่สภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่ไม่นานก็หมดไป...
...ซึ่งแบบที่สองเป็นสภาพที่เข้าใจทั้งโลกียธรรม(จิตเห็นเป็นอัตตา)และโลกุตรธรรม(จิตเห็นเป็นอนัตตา)...
...สภาพจิตท่องเที่ยวสะสมทุกอย่าง..ที่คิดเอาเองตามความต้องการของจิตดวงนั้นๆเองไม่เกี่ยวกับจิตดวงอื่นๆ...
...จิตสะสมทุกขณะด้วยจิตดวงนั้นเองและเกิดแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้...บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ด้วย...
...และสะสมเป็นกรรมแล้ว...เพราะเกิดขึ้นและหมดไปทุกขณะจึงไม่เที่ยง...เมื่อยึดถือสิ่งไม่เที่ยงจึงทุกขัง...
:b48:
...และเพราะเหตุที่ธรรมะที่ปรากฎให้เห็นได้ 6 ทางบังคับไม่ได้คือเป็นอนัตตานั่นเอง ยกตัวอย่าง เช่น...
...เมื่อโกรธแล้วก็เปลี่ยนแปลงโกรธไม่ได้...ซึ่งเป็นการคิดไม่ดีของจิตดวงนั้นเองที่สะสมเป็นอกุศลกรรม...
...หรือแม้แต่ความพอใจ-ชอบใจที่เพลินทางตาเห็นแล้วชอบใจทันทีก็เป็นกรรมสะสมแล้วก็เป็นอกุศล...
...เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จิตแต่ละดวงสะสมตามกิเลสของตนเองคือสะสมเพียงการคิดดีและคิดไม่ดี...
...สมบัติต่างๆที่แต่ละบุคคลกว้านหาซื้อมาแล้วเก็บสะสมก็เป็นเพียงสมบัติผลัดกันชม...พอตายทิ้งไว้ให้โลก...
...และก็เกิดใหม่ในภพภูมิต่อไปทันที...ตามกรรมที่สะสมที่ชอบทำ...ที่นิยมบอกให้ไปสู่ที่ชอบ...ที่ชอบเถอะ...
:b48:
...ปุถุชนยังต้องเวียนว่ายเกิดตายตามสภาพจิตท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้และสะสมทุกสิ่งเป็นบารมี 10 ทัศ...
...ตั้งแต่สะสมขั้นหยาบๆ ไปถึงอย่างกลางและอย่างละเอียด รวมแล้ว 10x3 = 30 ทัศ...
...จนกว่าจิตจะเข้าถึงสภาพธรรมะที่เป็นอนัตตาคือเห็นสภาพเกิด-ดับทีละ 1 ขณะ...
...คือการได้บรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป(คือจิตรวดเร็วเห็นการเกิด-ดับจริงๆไม่ใช่ความคิด)...
:b20:
:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 28 ต.ค. 2010, 09:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Dog&Cat -1.jpg
Dog&Cat -1.jpg [ 11.12 KiB | เปิดดู 6208 ครั้ง ]
Dog&Cat.jpg
Dog&Cat.jpg [ 9.29 KiB | เปิดดู 6208 ครั้ง ]
มีอยู่สองรูปจ้ะ ให้ตุ๊กแก เอ้ย..ตุ๊กกี๊ จอมทะเล้นประจำบอร์ด อิอิ.. :b32:
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ด้วยคร้าบบ.. :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2010, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...ข้อเสนอแนะเพื่อให้เริ่ม.เป็นคนดี...
...1. มีการตั้งใจให้ทาน รักษาศีลศีล และทำสมาธิภาวนา...
...2. ศึกษาหลักพระธรรมคำสอนให้มีความรู้เพราะไม่สามารถเข้าใจเองได้...
...3. ศึกษาธรรมสร้างจิตเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นเรื่องบาป-บุญ...
...4. ทำสติให้รู้ว่าทุกขณะเป็นธรรมะที่ปรากฎให้เห็นได้ถึงจะเป็นกิเลสก็ให้รู้ว่าเป็นอกุศลธรรม...
...5. ทางเดียวปฏิบัติธรรมตลอดเวลาให้ตั้งมั่นอยู่ในหลักสติปัฏฐานสี่...
:b8:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2010, 12:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
มีอยู่สองรูปจ้ะ ให้ตุ๊กแก เอ้ย..ตุ๊กกี๊ จอมทะเล้นประจำบอร์ด อิอิ.. :b32:
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ด้วยคร้าบบ.. :b13:


:b2: :b2: น่ารักที่สุดดดดด
แต่อยากได้ภาพที่ไม่บีบอัด...หง่ะ...

:b20: :b20: :b20:

ตั๊บแจร่.....


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 ต.ค. 2010, 12:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2010, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แต่อยากได้ภาพที่ไม่บีบอัด...หง่ะ...

Sorry !! จ้าา copy มาอีกที ลองใช้ PhotoShop ขยายภาพดูสิ
เค้าทำไม่เป็นอ่ะ.. :b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แก้ไขล่าสุดโดย วิริยะ เมื่อ 28 ต.ค. 2010, 13:20, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร