วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 21:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:


เพราะทุกข์ มันเกิดแล้ว เกิดอยู่ และจักเกิดต่อไป ก็เลยไม่มีไว้ให้แก้น่ะสิ

ที่แก้ยาก เพราะมัวแต่ไปแก้ทุกข์

แต่แท้ที่จริงแล้ว ความเพลินในทุกข์ คือสิ่งที่เรียกว่า ยางเหนียว มันเหนียวจริงๆ เหนียวมั๊กมาก
เหนียวเป็นตังเมเลย เป็นสิ่งที่ต้องแก้ .....

เจ้าความเพลินนี้ล่ะนะ นำสัตว์มาสู่ภพ นำสัตว์ผูกกับภพ นำความวิปัลลาส และทำให้สัตว์นี้หวงความวิปัลลาสเหมือนแม่ชะโด หวงหวอด....

จะเล่าจะเรียน กว่าจะแกะกว่าจะดึง เจ้ายางเหนียวออก บางคนก็ได้แต่มอง สังเกตุอยู่อย่างนั้นกลัวแต่จะไม่ได้เห็นไม่ได้หยิบมันมาดู ยางเหนียวก็ยังแปะกับกายกับจิตอยู่อย่างนั้นนั่นเอง บางคนดูมั่งแกะมั่ง ก็ยังติดไม้ติดมืออีรุงตุงนังหนักกว่าเก่าก็มี

เหนียวจริงไม้ล่ะ ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ยินเขาว่า ทุกข์มี 108 แล้ว จขกท.มีทุกข์อะไรหรือครับ :b1: :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้ท่านว่า ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ
ไม่ใช่ให้ละทุกข์

ดังนั้นยิ่งหาทางแก้ ก็ยิ่งทุกข์
(เกิดทุกข์ตัวใหม่ที่อยากจะแก้ทุกข์ตัวเดิมให้หายทุกข์ขึ้นมาอีก)

เพียงแค่ รู้ ทุกข์
ก็จะเห็น ทุกข์ก็ไม่เที่ยง

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2010, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:

แก้ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้ามีปัญญาและอยากแก้ทุกข์จริงๆ เพียงแต่คนเรามองเห็นแต่ทุกข์ หาเหตุของทุกข์ไม่ค่อยเจอ เลยแก้ไม่ค่อยถูกจุด ผู้มีปัญญาท่านเห็นเหตุของทุกข์เลยดับเหตุเสีย ทุกข์ท่านก็คลาย เราอยากพ้นทุกข์แต่ปาก ใจไม่ค่อยเอาด้วย เพราะติดใจหลงใหลในกามคุณห้า มานานชั่วนาตาปีหลายกัปป์หลายกัลป์ ยากที่จะถอนตัวไปง่ายๆ เลยกลายเป็นทุกข์นั้นแก้ยากมาก แก้ยากสุดๆ :b16:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 00:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:


ทุกข์ เพราะอยากแก้ทุกข์

ยิ่งแก้ไม่ได้ ยิ่งทุกข์
ยิ่งทุกข์ ก็ยิ่งอยากแก้มากเข้าไปอีก
เป็นวังวนในอารมณ์

เวลามีทุกข์ "ให้มีสติรู้ความทุกข์"
ถ้าเมื่อไหร่พยามแก้ทุกข์ ก็จะผิดหน้าที่ทันที

เพราะอะไรถึงผิด
ก็เพราะว่าใจเรามันหลุดออกจากปัจจุบัน ไปอยู่กับความคาดหวังที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (ความไม่มีทุกข์)
ทั้งๆที่ ณ เวลาปัจจุบันเรามีทุกข์อยู่เต็มกายเต็มใจ
แต่ใจเรามันไปอยู่กับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณเจ้าข้า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2010, 17:05
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...ยังไงซะความทุกมันไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ถึงแม้เราไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้
ก็วางปัญหานั้นไว่ก่อน แล้วดำเนินชีวิตไป เวลามันจะช่วยให้ความทุกข์จากหายไป
แต่ถึงเราจะมีความสุขก็ใช่ว่าความสุขจะอยู่กับเราไปตลอดเช่นกัน เพียงแต่เราต้อง
พยายามเตรียมใจและทำในสิ่งที่จะทำให้ความสุขอยู่กับเรานานที่สุด และความทุกข์
อยู่กับเราน้อยที่สุด.....2.6@hotmail.co.th


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:


เพราะว่ายัง ไม่เข้าใจ

ที่ว่ารู้นั้นเป็นเพียงเข้าใน สัญญา

ทุกข์ที่ท่านกล่าวถึงนั้น เป็นทุกขเวทนา ยังไม่ใช่ทุกข์ในอริยสัจ

เพราะหากเห็นทุกข์ในอริยสัจแล้วก็ต้องเห็น สมุทัย

จะแก้ทุกข์ก็ต้องแก้ที่สมุทัย.... :b13: :b13:

พระศาสดาทรงตรัสสอนไว้ว่า
"ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ เมื่อสิ้นเหตุจึงดับทุกข์ได้"
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์หรือนิพพานนั่นเอง
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) ความทุกข์ย่อมไม่มีกับผู้ที่ไม่เกิดอีก นัตถิทุกขัง อะชาตัสสะ suthee


แก้ไขล่าสุดโดย suthee เมื่อ 11 ก.ย. 2010, 22:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมทุกข์จึงแก้ยากนัก


เพราะเรามองไม่เห็นพระไตรลักษณ์ เพราะสิ่งปิดบังไม่ให้เราเห็นนั่นคือ วิปัลลาส คือ ความเข้าใจผิด

มีความเข้าใจผิด4 ประการ
1 สุภวิปัลลาส การเห็นสิ่งไม่สวยงามว่าสวยงาม
2 นิจจวิปัลลาส การเห็นสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง
3 สุขวิปัลลาส การเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
4 อัตตวิปัลลาส การเห็นสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา

1 ร่างกายเราเต็มไปด้วยของสกปรกเน่าเหม็น แต่คนทั่วไปก็ยังเห็นว่ามันงาม มันสวย มันหล่อ
2 มีใครมีอายุเกิน100ปีในโลกนี้ มีแต่น้อย เพราะร่างกายมีความเสื่อมลงตลอด
3 แท้จริงคนเรามองว่าเป็นสุขมั่ง จริงๆคือทุกข์มันลดน้อยลง โดยปรมัตถ์ คนเราคือกองทุกข์เคลื่อนที่
กินอาหารทุกวัน วันไหนไม่ได้กินอาจถึงเป็นตายได้
4 ร่างกายแท้จริงแล้วไม่ใช่ของเราเลย แต่มองกันผิดว่านี่แหละเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงทำให้เราเกิดการยึดมั่น ไม่ปล่อยวาง แม้แค่วินาทีก็วางไม่ได้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 02:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


จันทร์เจ้าขา เขียน:
เป็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ก็รู้ แต่ทำไมแก้ไม่ได้สักทีนะ หรือว่าไม่รู้จักทุกข์จริงๆ ทุกข์นี้แก้ยากสุดๆ เลยหรือค่ะ :b7: :b10:


มีวิธีแก้ทุกข์ด้วยหรือค่ะ?
มันเกิด...ดับ...อยู่ตลอดเวลา....จะแก้ได้อย่างไร?
แค่รู้ให้เท่าทัน....การเกิด...ดับแห่งทุกข์
ก็น่าจะทำให้สงบได้บ้าง?......ใช่ไหมค่ะ? :b1:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


- อยู่กับทุกข์และเข้าใจในทุกข์ ทุกข์เมื่อเกิดขึ้นเองก็ดับได้เอง
-ถ้าเปรียบทุกข์เป็นกองไฟกองเล็กๆกองหนึ่ง เมื่อไฟนั้นติดเองก็ดับเองได้ เราเพียงแต่นั่งลงพิจารณา ทำความเข้าใจ ไฟกองนั้น
-จะเห็นว่ารอบนอกของไฟนั้นเป็นสีแดง มีความร้อนน้อยที่สุด ถัดไปจะเป็นสีเหลือง และตรงกลางเป็นสีน้ำเงิน จะร้อนมากขึ้นตามลำดับ กองไฟจะขยายตัวใหญ่ขึ้น ค่อยๆลามไปทั่วห้องครัว ห้องรับแขก ห้องนอน ฯลฯ แล้วบ้านทั้งหลังก็จะยุบลงมา แล้วไฟก็จะค่อยๆมอดดับไปเอง
-ทรัพย์สินเป็นสิ่งนอกกายเป็นสิ่งสมมุติ ร่างกายเป็นสิ่งสมมุติ ถ้าจะให้ดับทุกข์ได้สนิทควรนั่งพิจารณาในกองไฟนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกข์ใจ(โทมนัส) เพราะโทสะ
ดับโทสะ เสียได้ ก็หายทุกข์ใจ(โทมนัส)

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แต่ถ้าหากจะดับทุกข์ทั้งปวง ...... จงพิจารณา

ตัณหา ทำให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานทำให้เกิดภพ(ภพในใจ แล้วกระทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ คือกรรมภพ)
ภพ ทำให้เกิด ชาติ (คือความเกิด หรือเรียกว่า อุบัติภพ)
เมื่อมีความเกิด แล้ว ทุกข์ทั้งปวง(ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก) ย่อมตามมา ไม่หลีกเลี่ยงได้

การดับตัณหาเสียได้ ย่อมหยุดความเกิดในชาติใหม่ได้
จึงดับทุกข์ทั้งปวงได้โดยสิ้นเชิง

การดับทุกข์แบบ ไม่มีโทมนัสเลย.................เรียกว่านิพพาน
การดับทุกข์แบบ ไม่มีทุกข์ทั้งปวง................เรียกว่านิพพาน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร