วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 23:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2010, 22:20
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทราบว่าในที่นี่มีท่านใดใช้วิธีไหนหรือว่าหลักธรรมใด นอกว่านี้เคยได้รับกำลังใจหรือว่าแรงบัลดาลใจจากใครหรือสิ่งใด้บ้างไหมเพื่อให้ตนเองประสบผลสำเร็จในการเรียนการศึกษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การจะเรียนอะไรให้ประสบความสำเร็จ
ต้องเรียนในสิ่งที่ชอบครับ


ถ้าเรียนโดยคาดคะเนไปเองว่า
อาชีพนี้คงจะดี อาชีพนั้นคงจะได้เงินดี อาชีพโน้นกำลังเป็นที่นิยม อะไรทำนองนี้
อันนี้บอกได้เลยว่าจะประสบปัญญาในการเรียน
และจะเสียเวลามีค่าที่สุดของชีวิตไปอย่างหวลคืนไม่ได้


ในโลกนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นักปราชญ์ทั่วโลก พยามคิดค้นหาสุตรสำเร็จของความสำเร็จ
ว่าอะไร คือหัวใจของความสำเร็จ ที่เอาไปใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์

พวกเขาต่างก็พากันคิดค้นหาวิธีได้มากมาย
แต่วิธีเหล่านั้น ที่เขาค้นพบนั้น
แม้จะจะประสบความสำเร็จ แต่มันก้ใช้ได้ในบางเงื่อนไขเท่านั้น
เช่น บางวีธีก็ใช้กับฝรั่งได้ แต่พอมาใช้กับไทย ก็ไม่ได้ผล
บางวิธีใช้กับไทยได้ผล ใช้กับฝรั่งก็ไม่ได้ผล เป็นต้น


เร็วๆนี้ มีหนังสือที่ขายดีมาก ชื่อ the secret
ซึ่งเป็นหนังสือที่พยามจะค้นหาสูตรสำเร็จ
ของการประสบความสำเร็จ ที่สามารถเอาไปใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์
แต่ก็ล้มเหลว เพราะหนังสือนี้ก็เพียงแต่สอนให้เราคิดบวก
และสอนให้คิดเอา ว่าอยากได้อะไรให้คิดบ่อยๆ ปารถนาบ่อยๆ
แล้วมันจะมีพลังอำนาจพิเศษที่จะดึงสิ่งเหล่านั้นเข้ามาหาตัว
เช่นคิดว่าอยากเรียนได้เกรดดีๆ ก็ให้คิดว่าเราต้องได้เกรดดีๆอย่างแน่นอน
(ซึ่งตลกมาก)

ไม่มีใครสามารถค้นหาสูตรสำเร็จอันนั้นได้เลยจริงๆเลย
มันได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง เคยได้ผลบ้าง ปัจจุบันไม่ได้ผลบ้าง

พระพุทธเจ้าท่านก็คิดเรื่องนี้ และท่านพบกุญแจสู่ความสำเร็จ

ท่านว่า การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จนั้น
เราต้องเริ่มด้วยความพอใจที่จะทำในสิ่งนั้นๆ

กล่าวคือ รักในสิ่งที่จะทำ
ภาษาอังกฤษที่พอเทียบใกล้เคียงคือคำว่า passion
คือต้องทำในสิ่งที่เรามีความรักความชอบความหลงไหล

พอเราได้ทำในสิ่งที่เรารักนะ มันจะเกิดความรู้สึกบางอย่าง
ที่ขับดันให้เราอยากจะลอง อยากจะทำ อยากจะลงมือเข้าไปคลุกคลีกับสิ่งนั้นๆ

เมื่อเราได้ลงมือทำแล้ว(ถ้าชอบจริงๆ) มันจะยิ่งชอบมากขึ้น ถูกอกถูกใจ
อยากจะคลุคลีตีโมงอยู่กับสิ่งนั้นๆ ไม่อยากออกห่างเลย มันมีความสุข
พอมีความสุขแล้วใจมันก้อยากจะคิดนึกอยู่แต่กับสิ่งที่ชอบ อยากจะทำแต่สิ่งที่ชอบ

พอเราได้ทำในสิ่งที่รักแล้ว เรามีความสุข
เราก้อยากจะทำ อยากจะทำ อยู่อย่างนั้น

เราทำมากๆ ทำบ่อยๆ
เราก็จะกระบวนการเรียนรู้ไปโดยลำดับ โดยอัตโนมัติ
คือเกิดคำถาม เกิดกระบวนการอยากค้นหาคำตอบ เกิดการทดลอง
เพราะเราอยากเอาชนะมัน อยากจะควบคุมมัน อยากจะทำให้มันดีๆยิ่งๆขึ้นไป

คนที่มาถึงจุดนี้นะ มันจะประหลาดมาก
คือยิ่งยากยิ่งชอบ วิ่งเข้าใส่เลย คำว่ายากนี่ไม่ใส่อุปสรรค
ถ้าจะมีอุปสรรค ก็คงจะเป็นเรื่องทุนรอน หรือทรัพยากรมากกว่า
แต่สำหรับใจแล้วนี่ คำว่ายากนี่หอมเหมือนผึ้งเจอน้ำหวาน


หลักการที่อธิบายไปตอนต้นนั้น พูดสรุปลงได้ความว่า
การรักในสิ่งที่จะทำ พระพุทธเจ้าเรียกว่า
ฉันทะ คือมีความพอใจในสิ่งนั้น

พอใจแล้วเกิดความพยามที่จะลงมือทำ คือวิริยะ
วิริยะ คือความพยายาม ทำในสิ่งนั้น

พอพยามทำในสิ่งที่ชอบแล้ว เกิดความสุข
ความสุขเป็นสาเหตุของสมาธิ คือคนเรามันชอบความสุข
อะไรทำให้มีความสุข ใจมันก้จะไหลไปหาทางนั้น
การมีจิตใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่รัก ท่านเรียกว่า จิตตะ
จิตตะ คือความเอาใจใส่ จดจ่อสนใจอยู่ในสิ่งนั้น

พอเราชอบ เราก้อยากทำบ่อยๆ
ทำบ่อยๆ เราก็เกิดความชำนิชำนาญ
เกิดความอยากจะพัฒนา up level ไปเรื่อยๆ
หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า R&D Research & Development
ซึ่งก็คือการพัฒนาความรู้ความคิดความเห็นของตนได้ถูกต้อง ให้ตรงตามหลักวิชา
การกระทำเช่นนี้ ท่านเรียกว่า วิมังสา
วิมังสา คือความหมั่นทำความรู้ความเห้นของตนให้ตรง

คำว่า "ตรง" ในที่นี้ มี 2 ความหมาย
ความหมายแรก คือตรงตามหลักวิชาความรู้ที่ตนสนใจ เช่นชอบร้องเพลง ก็หมั่นพัฒนาให้ต้องให้ตรงตามหลักวิชาร้องเพลง

ทางที่ 2 คือตรงตามศีลธรรม ไม่เบี้ยวนอกคอกแหวกมนุษย์
เช่นไม่ร้องเพลงให้คนรบราฆ่าฟันกัน ไม่ร้องเพลงส่อเสียดหยาบคายส่งเสริมความชั่วร้าย เป็นต้น


หลัก 4 ประการนี้ ท่านเรียกว่า อิทธิบาท 4
มันจะหมุนเวียนส่งเสริมกันเป็นวัฏจักร
ยิ่งหมุนไปก็ยิ่งทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอัจริยะคนหนึ่งในวิชานั้น
นี่คือสุตรสำเร็จในญานทรรรศนะของพระพุทธเจ้าเรา


สำหรับคุณ ผมคิดว่า อาจจะต้องย้อนไปถามก่อนเลยว่าชอบทางนี้จริงๆหรือ
หรือเรียนเอาวุฒิ เรียนไปตามที่คนอื่นเขาทำกัน

ถ้าตกอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "กลับ..ตัว..ก็ไม่ได้ ให้ไปต่อไปก็ไม่ถึง"
อะไรทำนองนี้ ก็คงจะต้องเลือกเอาว่าจะกลับไปตั้งลำใหม่
หรือทำตรงนี้ให้สุดไปก่อน ให้มันปลอดภัยก่อน แล้วค่อยไปตั้งลำใหม่
มันก็มีดีมีเสียทั้งสองทาง ต้องไปพิจารณา และเลือกเอาเองครับ


-------------------------------

เด็กไทยเรา ถูกปลูกฝังมาว่า ต้องเรียนตามตลาดแรงงาน
คือต้องเรียนในสิ่งที่มีอนาคต(ที่รัฐบาลวางไว้)... ว่างั้นนัน

รัฐบาลก๋สร้างความเชื่อขึ้นมาก่อน ว่ารัฐบาลจะพาประเทศไปทางนั้นทางโน้น
แล้วรัฐบาลก็ลงมือขับดัน

แต่เจ้ากรรม โลกนี้มีแต่ความไม่แน่นอน
เดี๋ยวมีสงคราม เด๊่ยวมีภัยทางเศรฐกิจ เดี๋ยวมีจ๊อส โซรอส
เด๊่ยวมีโรคซาร์ เดี๋ยวมีสงครามอีกรัก สารพัดที่โลกจะเกิดสถานการณ์รุนแรง
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเศรฐกิจ เช่นจีนเปิดประเทศ โรงงานก้พากันย้านไปจีนหมด
เพราะค่าแรงถูก แรงงานไทยแพงกว่า
อย่างห้างคาร์ฟูก็กำลังจะเลิก เพราะประเทศไทยเหมือนปลาบ่อเล็ก เล็กไม่พอยังปัญหามาก
เขาเลยคิดจะไปลงทุนที่จีน ซึ่งขยายไม่ทัน

นอกจากโลกจะไม่แน่นอนแล้ว
รัฐบาลเอง ก็เด๊่ยวปฏิวัติ เด๊่ยวยุบสภา เดี๋ยวเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนขั้วอำนาจ
มันทำให้สิ่งที่รัฐบาลเคยคิดว่าทำแล้วจะดี มันกลับไม่แน่ขึ้นมา
เคยคิดว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอเวลาผ่านไป เงื่อนไขมันเปลี่ยน

นี่เพราะรัฐบาลและผู้ปกครองประเทศได้คิดให้เสร็จสรรพเลย ว่าเราต้องเรียนอะไร
แต่หลักที่พระพุทธเจ้าท่าวางไว้ ท่านบอกว่า ตัวเราต่างหาก ตังเราเอง กำหนดชีวิตตัวเอง
คือให้ทำในสิ่งที่ชอบ

แต่ปัญหาของเด็กไทยเรา คือ"ทางเลือก" มันน้อย
อย่างโรงเรียนหนึ่งๆ ถ้ามีนักเรียนสนใจดนตรี
เรามีกีต้าร์ให้เขาไหม เรามีครุให้เขาไหม
เรามีเวลาให้เด็กไหม ... นอกจากจะไม่มีให้แล้ว
ยังถูกบังคับด้วยว่า ต้องเรียนดนตรีไทย

คือดนตรีไทย มันไม่มีปัญหา แต่รัฐบาลเชื่อว่า ระนาดคือดนตรีไทย
ไม่มองว่าโปงลางคือดนตรีไทย ไม่มองว่าพิณคือดนตรีไทย ไม่มองว่าหมอลำคือดนตรีไทย
ไม่มองว่ากลองสะบัดชัยคือดนตรีไทย ไม่มองว่ามโนราคือดนตรีไทย

ดนตรีไทยมีแต่โขน มีแต่ระนาด
นี่คือรัฐบาลก็คิดให้เสร็จอีกว่า ดนตรีไทยคืออะไร
โดยไม่สนใจว่า เราชอบอะไร เรามีปูมหลังทางวัฒนะธรรมอย่างไร

ทางเลือกน้อยเพราะรัฐบาลคิดแบบ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
รัฐบาลก็ส่งเสริมแต่เฉพาะสิ่งที่ตนเชื่อคนคิด

ไม่คิดว่า "คนคือศูนย์กลาง"
คนเป็นศูนย์กลางหมายความว่า เอาตัวเราเป็นหลัก ว่าเราสนใจอะไร เราชอบอะไร
แล้วรัฐบาลมีหน้าที่จัดหาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องให้เรา

ถ้าโลกทรรศน์เราน้อย ก็ควรจะพัฒนาสื่อเพื่อเปิดโลกทรรศน์ให้เรา
ครูไม่มี...ต้องเอาเข้ามา อุปกรณ์ไม่มี....ต้องหามาให้เรา

แต่ประเทศเรามันอับจน
เราจะได้เรียนอะไรก้ตาม ก็ต่อเมื่อรัฐบาลเปิดให้เรียน
และการเรียนด้วยตนเอง มันไม่มีวุฒิ เมื่อไม่มีวุฒิก็ต้องเป็นพลเมืองชั้นสอง
ไม่มีวุฒิแล้วอะไรก้ยาก ก็ลำบาก

แล้วพอเปิดเสรีทางการศึกษา ให้สถาบันการศึกษาไปจัดหลักสูตรเอง
ก็ปรากฏว่าถีบมหาลัยออกนอกระบบ ให้ไปหาเงินเอง
ดังนั้นการเรียนเสรี จึงไม่เสรีสำหรับคนไม่มีเงิน

ไม่มีเงิน กู้เงินได้?...มันก็เป็นโครงการที่สร้างไว้เอาคะแนนเสียงเท่านั้น
ลูบหน้าปะจมูก เพราะให้เงินเด็กมหาลัยเดือนละไม่กี่พัน มันจะเรียนได้ยังไง
ค่ารถเมล์ก็หมดแล้ว
แต่พอเรียนหมอ เรียนสิศวะ กลับสนับสนุนเงินกู้เต้มที่
นี่ไม่ใช่รังเกียจหมอนะ รังเกียจวิศวะนะ ขอให้เยอะเถอะ ยิ่งดี
แต่ว่ามันก็ตอกย้ำว่า รัฐบาลสนับสนุนเฉพาะสิง่ที่รัฐบาลคิดว่าดี
อุดหนุนเฉพาะสิ่งที่รัฐาลวางแผนเอาไว้
รัฐบาลเอาตนเองเป็นศูนย์กลางอีกแล้ว คิดว่าตนเองทำหน้าที่เลือกว่าประเทศควรจะมีอาชีพไหนมาก อาชีพไหนน้อย

การบริหารประเทศก็เหมือนการบริหารธุรกิจ คือมีความเสี่ยงเหมือนกัน
ไม่ใช้ว่าคิดไว้ 10 แล้วเวลาทำมันจะได้ 10
มันไม่ได้หรอก บางทีมันผ่าเหล่าผ่ากอ คิดจะทำให้ได้ 10 กลับได้เป็น ACB ก็มี
เพราะโลกมันไม่แน่นอนอย่างที่กล่าวไว้ตอนนั้น

ดังนั้น ผมจะพูดทำไมเนียะเยอะแยะ
แค่ถามว่ามีเทคนิคการเรียนอย่างไร
นี่ก็คือความไม่แน่นอนของคน เหมือนกัน


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 18 ส.ค. 2010, 20:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 19:31
โพสต์: 169

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: ทำดี
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มที่ชอบ
ชื่อเล่น: เก็บเกี่ยว
อายุ: 0
ที่อยู่: ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยประถมลอกการบ้านเพื่อน มัธยมเพื่อนลอกการบ้านเรา ปริญาตรีเรียนคนเดียว ๕ จบ มสธ
พัฒนาการเรียนรู้โดยการเข้าไปแก้จุดที่เราอ่อน มั่นสังเกตุดูไปขยันไว้ก่อนคบคนที่ตั้งใจเรียนไว้เป็นทีมสำคัญมากที่สุด tongue

.....................................................
รักษาที่ดีไว้ ก่อความดีใหม่ๆ ละๆๆชั่วต่อๆไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ยืม lecture เพื่อนที่เก่งๆมาดู
ขยันทำข้อสอบเก่า ทำแบบฝึกหัดอย่างต่อเนื่อง ไม่มาลุยทำตอนใกล้สอบ
ตรงไหนไม่เข้าใจอย่าปล่อยไว้ ถ้าถามอาจารย์แล้วยังไม่เข้าใจก็ถามเพื่อนที่เก่งๆ
จับกลุ่มติวกับเพื่อนที่เรียนดี เพราะสิ่งที่เราเข้าใจอาจไม่ถูกต้องก็ได้

เพิ่มนิดนึง คนที่เรียนได้เกรดดีไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จในการทำงานไปทุกคน
ดังนั้น นอกจากเรื่องเรียนแล้ว กิจกรรมนอกหลักสูตรก็สำคัญ
เพราะตอนทำงานก็ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับคนด้วย

ป.ล.แรงบันดาลใจ เพราะอยากให้พ่อกับแม่ดีใจ (ญาติมีแต่เก่งๆ)
แล้วตอนนั้นคิดว่าถ้าเข้ามหา'ลัยที่มีชื่อเสียง และได้เกรดดีๆ
profile ตอนสมัครงานก็ดี ทำงานในบริษัทที่ชอบได้
(แต่ถึงวันนี้คิดว่า หากเลือกได้คงทำงานที่เราสบายใจ เพราะเป็นอาจิณณกรรมของเรา สำคัญมาก)

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 18 ส.ค. 2010, 22:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


อาสยาม เขียน:
เด็กไทยเรา ถูกปลูกฝังมาว่า ต้องเรียนตามตลาดแรงงาน
คือต้องเรียนในสิ่งที่มีอนาคต(ที่รัฐบาลวางไว้)... ว่างั้นนัน

รัฐบาลก๋สร้างความเชื่อขึ้นมาก่อน ว่ารัฐบาลจะพาประเทศไปทางนั้นทางโน้น
แล้วรัฐบาลก็ลงมือขับดัน

แต่เจ้ากรรม โลกนี้มีแต่ความไม่แน่นอน
เดี๋ยวมีสงคราม เด๊่ยวมีภัยทางเศรฐกิจ เดี๋ยวมีจ๊อส โซรอส
เด๊่ยวมีโรคซาร์ เดี๋ยวมีสงครามอีกรัก สารพัดที่โลกจะเกิดสถานการณ์รุนแรง
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเศรฐกิจ เช่นจีนเปิดประเทศ โรงงานก้พากันย้านไปจีนหมด
เพราะค่าแรงถูก แรงงานไทยแพงกว่า
อย่างห้างคาร์ฟูก็กำลังจะเลิก เพราะประเทศไทยเหมือนปลาบ่อเล็ก เล็กไม่พอยังปัญหามาก
เขาเลยคิดจะไปลงทุนที่จีน ซึ่งขยายไม่ทัน

นอกจากโลกจะไม่แน่นอนแล้ว
รัฐบาลเอง ก็เด๊่ยวปฏิวัติ เด๊่ยวยุบสภา เดี๋ยวเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนขั้วอำนาจ
มันทำให้สิ่งที่รัฐบาลเคยคิดว่าทำแล้วจะดี มันกลับไม่แน่ขึ้นมา
เคยคิดว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอเวลาผ่านไป เงื่อนไขมันเปลี่ยน

นี่เพราะรัฐบาลและผู้ปกครองประเทศได้คิดให้เสร็จสรรพเลย ว่าเราต้องเรียนอะไร
แต่หลักที่พระพุทธเจ้าท่าวางไว้ ท่านบอกว่า ตัวเราต่างหาก ตังเราเอง กำหนดชีวิตตัวเอง
คือให้ทำในสิ่งที่ชอบ

แต่ปัญหาของเด็กไทยเรา คือ"ทางเลือก" มันน้อย
อย่างโรงเรียนหนึ่งๆ ถ้ามีนักเรียนสนใจดนตรี
เรามีกีต้าร์ให้เขาไหม เรามีครุให้เขาไหม
เรามีเวลาให้เด็กไหม ... นอกจากจะไม่มีให้แล้ว
ยังถูกบังคับด้วยว่า ต้องเรียนดนตรีไทย

คือดนตรีไทย มันไม่มีปัญหา แต่รัฐบาลเชื่อว่า ระนาดคือดนตรีไทย
ไม่มองว่าโปงลางคือดนตรีไทย ไม่มองว่าพิณคือดนตรีไทย ไม่มองว่าหมอลำคือดนตรีไทย
ไม่มองว่ากลองสะบัดชัยคือดนตรีไทย ไม่มองว่ามโนราคือดนตรีไทย

เขามองว่ามันคือดนตรีพื้นเมือง (Folk Music)
บ่ใช่ Thai Classical Music อ่ะค่ะ
:b12:

ดนตรีไทยมีแต่โขน มีแต่ระนาด
นี่คือรัฐบาลก็คิดให้เสร็จอีกว่า ดนตรีไทยคืออะไร
โดยไม่สนใจว่า เราชอบอะไร เรามีปูมหลังทางวัฒนะธรรมอย่างไร

ทางเลือกน้อยเพราะรัฐบาลคิดแบบ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
รัฐบาลก็ส่งเสริมแต่เฉพาะสิ่งที่ตนเชื่อคนคิด

ไม่คิดว่า "คนคือศูนย์กลาง"
คนเป็นศูนย์กลางหมายความว่า เอาตัวเราเป็นหลัก ว่าเราสนใจอะไร เราชอบอะไร
แล้วรัฐบาลมีหน้าที่จัดหาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องให้เรา

ถ้าโลกทรรศน์เราน้อย ก็ควรจะพัฒนาสื่อเพื่อเปิดโลกทรรศน์ให้เรา
ครูไม่มี...ต้องเอาเข้ามา อุปกรณ์ไม่มี....ต้องหามาให้เรา

จริงๆ เห็นด้วยที่ซู๊ด :b4:

แต่ประเทศเรามันอับจน
เราจะได้เรียนอะไรก้ตาม ก็ต่อเมื่อรัฐบาลเปิดให้เรียน
และการเรียนด้วยตนเอง มันไม่มีวุฒิ เมื่อไม่มีวุฒิก็ต้องเป็นพลเมืองชั้นสอง
ไม่มีวุฒิแล้วอะไรก้ยาก ก็ลำบาก

แล้วพอเปิดเสรีทางการศึกษา ให้สถาบันการศึกษาไปจัดหลักสูตรเอง
ก็ปรากฏว่าถีบมหาลัยออกนอกระบบ ให้ไปหาเงินเอง
ดังนั้นการเรียนเสรี จึงไม่เสรีสำหรับคนไม่มีเงิน

ไม่มีเงิน กู้เงินได้?...มันก็เป็นโครงการที่สร้างไว้เอาคะแนนเสียงเท่านั้น
ลูบหน้าปะจมูก เพราะให้เงินเด็กมหาลัยเดือนละไม่กี่พัน มันจะเรียนได้ยังไง
ค่ารถเมล์ก็หมดแล้ว
แต่พอเรียนหมอ เรียนสิศวะ กลับสนับสนุนเงินกู้เต้มที่
นี่ไม่ใช่รังเกียจหมอนะ รังเกียจวิศวะนะ ขอให้เยอะเถอะ ยิ่งดี
แต่ว่ามันก็ตอกย้ำว่า รัฐบาลสนับสนุนเฉพาะสิง่ที่รัฐบาลคิดว่าดี
อุดหนุนเฉพาะสิ่งที่รัฐาลวางแผนเอาไว้
รัฐบาลเอาตนเองเป็นศูนย์กลางอีกแล้ว คิดว่าตนเองทำหน้าที่เลือกว่าประเทศควรจะมีอาชีพไหนมาก อาชีพไหนน้อย

การบริหารประเทศก็เหมือนการบริหารธุรกิจ คือมีความเสี่ยงเหมือนกัน
ไม่ใช้ว่าคิดไว้ 10 แล้วเวลาทำมันจะได้ 10
มันไม่ได้หรอก บางทีมันผ่าเหล่าผ่ากอ คิดจะทำให้ได้ 10 กลับได้เป็น ACB ก็มี
เพราะโลกมันไม่แน่นอนอย่างที่กล่าวไว้ตอนนั้น

ดังนั้น ผมจะพูดทำไมเนียะเยอะแยะ
แค่ถามว่ามีเทคนิคการเรียนอย่างไร
นี่ก็คือความไม่แน่นอนของคน เหมือนกัน



:b6: :b5: สงสัย...สงสัย
อาหยามถ้าจะเก็บไว้ในอกมานาน
ชวนฉงนว่า...

แล้วอาหยามได้ "เรียนในสิ่งที่รัก"
และ "รักในสิ่งที่เรียน" อะเปล่าล่ะคะ!?!
:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2010, 22:20
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:

:b6: :b5: สงสัย...สงสัย
อาหยามถ้าจะเก็บไว้ในอกมานาน
ชวนฉงนว่า...

แล้วอาหยามได้ "เรียนในสิ่งที่รัก"
และ "รักในสิ่งที่เรียน" อะเปล่าล่ะคะ!?!
:b10:



ตอบเป็นปริศนา
แต่ว่าคุณยายเข้าใจคนเดียว

ตอบว่า กิจหลัก ก็เป็นผลจากการขวนขวายด้วยตนเอง ไม่มีใครสอน
(เพราะเพิ่งจะมีสอนกันไม่กี่ปีนี่เอง)
กิจหลักนี่ เป็นอาชีพได้ เพราะผลงานประจักษ์ และมีบุญได้พบคนใจกว้าง

ส่วนกิจรอง อันนี้ชอบยิ่งกว่ากิจหลัก แต่หากินไม่ได้
และกล่าวได้ว่า เรียนด้วยตนเองแทบทั้งหมดเหมือนกัน
เพราะค่าเรียนมันแพง ต้องเรียนต่อเนื่องยาวนาน
เลยอาศัยเก็บเล็กผสมน้อยแล้ว อาศัยฟังมากๆ แล้วทดลองเอา
ก็โอปนยิโกว่า แหล่งกำเนิดผลงาน มันต้องมาจากตรงนี้แหละ
ก็เลยทดลองเอาแบบทุกอย่างเลย ตั้งแต่บ้าๆบอๆ
ปรากกว่าเราเลยทะลุปรุโปร่งเลย ว่าอะไรมันเกิดยังไง
คือให้สอนใครสอนไม่ได้ แต่ให้ทำ ทำได้
ดูคนอื่นแล้วสามารถพูดได้เลยว่า กำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้น ถึงได้ผลอย่างนั้น บกพร่องอะไร ติดอะไร
"ข้าพเจ้ารู้เลยว่า ข้าพเจ้าบ้าในกิจรองนี้มาก" เข้าขั้นบ้านะ

ข้าพเจ้าถึงได้เชิดชูอิทธิบาท 4 หนักหนา เพราะข้าพเข้าประสบผลด้วยตนเอง

แล้วข้าพเจ้าก็เฝ้าัสังเกตุดูคนที่ประสบความสำเร้จในโลก
ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่าอิทธิบาท 4 นี้ จะเป้นอกาลิโกธรรม จริงหรือไม่
จะมีใครไหมน๊า ที่ประสบความสำเร็จโดยปราศจากอิทธิบาท 4

จนบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห้นแม้คนหนึ่ง
ที่ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุขโดยขาดอิทธิบาท 4

เขาจะพูดเป้นเสียงเดียวกันว่า "ฉันรักในสิ่งที่ทำ มันเริ่มมาจากตรงนั้น"

อันนี้ไม่่รวมประเภทกินบุญเก่าพ่อแม่นะ
อันนี้มันไม่ใช่ความสำเร็จของตน มันเป็นแค่ตกกระไดพลอยโจน
จะเรียกว่าเป็นความสำเร็จในกรอบด้วยตนของตนไม่ได้หรอก
มันเป้นความสำเร้จเมื่อเอาเม็ดเงินเป้นเกณฑ์
คนละรสชาดกัน

ไม่เชื่อลองถามหลวงพ่ออำนาจเรื่องวาดรูปแล้วให้ท่านเล่าเรื่องอิทธิบาทสิ
ข้าพเจ้าไม่เคยฟังท่านนะ แต่ข้าพเจ้าซื้อหวยรอได้เลย
ข้าพเจ้าถูกแน่นอน


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 18 ส.ค. 2010, 22:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


อาสยาม เขียน:
ตอบเป็นปริศนา
แต่ว่าคุณยายเข้าใจคนเดียว

ตอบว่า กิจหลัก ก็เป็นผลจากการขวนขวายด้วยตนเอง ไม่มีใครสอน
(เพราะเพิ่งจะมีสอนกันไม่กี่ปีนี่เอง)
กิจหลักนี่ เป็นอาชีพได้ เพราะผลงานประจักษ์ และมีบุญได้พบคนใจกว้าง

ส่วนกิจรอง อันนี้ชอบยิ่งกว่ากิจหลัก แต่หากินไม่ได้
และกล่าวได้ว่า เรียนด้วยตนเองแทบทั้งหมดเหมือนกัน
เพราะค่าเรียนมันแพง ต้องเรียนต่อเนื่องยาวนาน
เลยอาศัยเก็บเล็กผสมน้อยแล้ว อาศัยฟังมากๆ แล้วทดลองเอา
ก็โอปนยิโกว่า แหล่งกำเนิดผลงาน มันต้องมาจากตรงนี้แหละ
ก็เลยทดลองเอาแบบทุกอย่างเลย ตั้งแต่บ้าๆบอๆ
ปรากกว่าเราเลยทะลุปรุโปร่งเลย ว่าอะไรมันเกิดยังไง
คือให้สอนใครสอนไม่ได้ แต่ให้ทำ ทำได้
ดูคนอื่นแล้วสามารถพูดได้เลยว่า กำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้น ถึงได้ผลอย่างนั้น บกพร่องอะไร ติดอะไร
"ข้าพเจ้ารู้เลยว่า ข้าพเจ้าบ้าในกิจรองนี้มาก" เข้าขั้นบ้านะ

ข้าพเจ้าถึงได้เชิดชูอิทธิบาท 4 หนักหนา เพราะข้าพเข้าประสบผลด้วยตนเอง

จนบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห้นแม้คนหนึ่ง
ที่ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุขโดยขาดอิทธิบาท 4

เขาจะพูดเป้นเสียงเดียวกันว่า "ฉันรักในสิ่งที่ทำ มันเริ่มมาจากตรงนั้น"


ข้าพเจ้าเข้าใจในปริศนาธรรมของอาหยาม
และเชื่อเลยล่ะว่าท่านรักกิจรองของท่านเข้าเส้นเลือด
และทำได้ดีมากๆเช่นกัน :b13: :b4:

คงเป็นเหมือนคำที่เขาว่า "พรสวรรค์" หรือจะเท่า "พรแสวง"

แต่ข้าพเจ้าว่าท่านก็มีพรสวรรค์ในกิจรองของท่านอยู่มากทีเดียวนะ
(จริงๆแล้วกิจรองของท่านก็สร้างรายได้อยู่นา..
เผลอๆอาจมากกว่ากว่ากิจหลักเสียอีก
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ.ข้าพเจ้าพูดจริงๆ)
:b16: :b4:

ข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าอิทธิบาท ๔ เป็นหลักธรรมสำคัญมาก
ที่ทำให้ทุกสิ่งที่เรากระทำนั้นบรรลุผลได้โดยง่าย


ต้องรักในสิ่งที่ทำเป็นเบื้องต้นเสียก่อน
แล้วมีความพากเพียร ที่จะทำสิ่งนั้น
รวมทั้งต้องใส่ใจ หมั่นตรวจสอบทบทวน
อย่างสม่ำเสมอจึงจะเกิดความเชี่ยวชาญ


ในวัยเรียนข้าพเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเรียน
มีโลกส่วนตัวคือ การอ่านหนังสือ
(แต่ก็ทำกิจกรรม แนวกิจรองของท่านนั่นแหละ)
คือว่าจำเป็นต้องตั้งใจเรียนในห้องเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะความเป็นคนตัวเล็กเลยต้องถูกจับให้นั่งหน้า
จึงต้องนั่งหน้าฟังคุณครูตลอดมา
( :b7: แอบกินหนมก็ไม่ได้
จริงๆ แล้วอยากนั่งหลัง แต่กลัวเพื่อนบัง
ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นคุณครู)


:b28: :b34: :b13:

กลับมาบ้านแล้วก็ทบทวนนิดหน่อย...แต่สม่ำเสมอ
เดินสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน จนเกินไป
ถ้ารู้สึกเครียดเมื่อไหร่ก็ไปประกอบกิจรอง ตอนนั้น

มีอีกปัจจัยนึงที่ถือเป็นอานิสงส์สำหรับการเรียนของข้าพเจ้าก็คือ
ตอนประถมข้าพเจ้ามีโอกาสได้เรียน
ในโรงเรียนที่เขามีนโยบายเชิดชูพระพุทธศาสนา
บังคับให้เราต้องนั่งสมาธิตอนบ่ายทุกวัน

พอเปลี่ยนรร. มาอยู่ม.ปลาย
ก็ได้สวดมนต์ทุกบ่ายวันศุกร์อีก

ข้าพเจ้าเชื่อว่าอานิสงส์
แห่งการสวดมนต์และนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
นั้นช่วยส่งผลต่อการเรียนของข้าพเจ้าให้ดีจริงๆ
:b4:

:b43: :b43: :b43:

ปัจจุบันข้าพเจ้าก็กะลังตระหนัก
และประสบผลในอิทธิบาทสี่ที่มีต่อกิจรอง
(ที่กะลังจะกลายเป็นกิจหลักแทน) ของข้าพเจ้าเช่นกัน


สำหรับกิจหลักนั้น....ทุกวันนี้ just for surviving :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b1: อิทธิบาทสี่ ช่วยให้ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุขได้ค่ะ
ปรับใช้ได้กับทุกเหตุการณ์ไม่ว่าการใช้ชีวิต
การงาน การเรียน หรือเรื่องอื่นๆ
รักในสิ่งที่ทำ ทำในสื่งที่รัก
สนใจทำ ตั้งใจทำ ศรัทธาทำ พยายามทำ
ทำสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย


:b48: ธรรมสวัสดีค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกโป่ง เขียน:
:b1: อิทธิบาทสี่ ช่วยให้ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุขได้ค่ะ
ปรับใช้ได้กับทุกเหตุการณ์ไม่ว่าการใช้ชีวิต
การงาน การเรียน หรือเรื่องอื่นๆ
รักในสิ่งที่ทำ ทำในสื่งที่รัก
สนใจทำ ตั้งใจทำ ศรัทธาทำ พยายามทำ
ทำสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย


:b48: ธรรมสวัสดีค่ะ :b48:


ขออนุญาติเสริมความเห็นของ "ท่านลูกโป่ง" ซักหน่อยนะครับ :b13: :b13:

การเรียน...หรือการงานใดๆก็ตามแต่ หากต้องการประสบความสำเร็จในการงานนั้นๆ ควรจะต้องมีอินทรีย์ 5 ด้วยครับ มีศรัทธาเป็นต้น

ลองหาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่นี่แหละครับ...หรือจะศึกษากับท่าน "กรัชกาย" ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากครับ

:b8: :b8: :b8: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร