วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 12:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 09:08
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยความเคารพยิ่งครับ

ผมอยากทราบว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราหรือใครๆที่เจริญภาวนาหรือเจริญวิปัสนาแล้วได้เข้าถึง

การเป็นพระโสดาบัน คือมีอะไรเป็นเครื่องชี้วัดว่าได้เข้าถึง หรือบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว

เป็นคำถามที่อยากรู้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนตอบสังโยชน์10ยังอยู่ครบค่ะ จึงขอตอบจากการอ่านและความเข้าใจนะคะ

คำถามที่ถามเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนค่ะ(ปัจจัตตัง)

พระโสดาบันยังมีกิเลสครบทั้ง3ตัวและยังมีความยึดถือในกายใจอยู่
แต่ท่านจะละสังโยชน์(เครื่องผูก)ได้3ข้อ
สักกายทิฏฐิ เห็นว่ากายใจเป็นเรา เป็นของเรา
วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัยในพระรัตนตรัย
สีลัพพตปรามาส ความยึดมั่นในศีลและพรต คือหลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน
ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่าง ๆ ที่ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ
โดยสักว่าปฏิบัติตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย หรือ โดยนิยมว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์
มิได้เป็นไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล

ตอนเกิด มรรคจิต-ผลจิต มีแต่สภาวะล้วนๆ ไม่มีบัญญัติใดๆผุดขึ้นมาบอก
ท่านย่อมรู้ลักษณะอาการของจิตที่ยกจากปุถุชนเป็นอริยะ
แต่ท่านจะทราบว่าอย่างนี้เรียกว่า "โสดาบัน" หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านว่ารู้จักชื่อสมมตินี้หรือเปล่า
ถ้าไม่รู้แต่เมื่อมาอ่านตำรา หรือได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์แล้ว กลับไปนึกเปรียบเทียบดู
ก็จะเข้าใจทันที เพราะผ่านเหตุการณ์นั้นๆมาแล้ว

หากเรายังเป็นปุถุชนคงจะไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน
เพราะผู้ที่ภูมิธรรมสูงกว่าจึงจะรู้จิตของผู้ที่ภูมิธรรมต่ำกว่า

ส่วนใหญ่ ท่านมักไม่บอกกับใครๆ เพราะบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำให้คนที่ได้ฟังเกิดความลังเลสงสัย กลุ่มที่เลื่อมใสก็ดีไป กลุ่มที่เพ่งโทษจับผิด หรือต่อว่าท่านก็จะเป็นบาปเสียเปล่าๆ


การตรวจสอบว่าการบรรลุถึงโสดาปัตติผลนั้น เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า

1.มีธรรมดาที่ล่วงศีล 5 แม้ข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ใจจะสั่นเสียก่อน
เกิดนิสัยใหม่ ล่วงศีล 5 ไม่เป็น
สติเป็นสัมมา ทันปัจจุบันอารมณ์อยู่จนแทบจะเป็นปกติวิสัย
โลภ โกรธ หลง เกิดยากหรือช้า จะเกิดอย่างไรก็จะไม่ล่วงศีล 5

2.ในกาย ใจ รู้สึกกลวงๆ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็น กู เป็นเรา
มีอาการเหมือนเรือนว่าง เปล่า เจ้าของทิ้งไปเสียแล้วโดยไม่ไยดี

3.ความเคารพและเชื่อมั่นในพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เต็มร้อย
เลิกความเชื่อผี เชื่อสาง เชื่อโชค ลาง ของขลัง
มีพระอยู่ในใจ ไม่มีความลังเลในคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีการเจริญวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือ มรรค 8 เป็นหน้าที่และภารกิจประจำใจ

4.อยู่ด้วยเมตตา มีแต่ให้ ไม่เอา

5.มีปกติเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณได้โดยง่ายและรวดเร็ว
(ชำระนิวรณ์ได้ง่าย เข้าถึงสภาวะที่หยุดคิด นึก ปรุงแต่งได้เร็ว)
บางท่านที่ทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาณได้นานๆ อาจผลุบเข้าไปเสวยผลเป็นพักๆ
ไม่หายใจ ลมหายใจหยุดทำงาน นานหลายนาที หรือหลายชั่วโมง
แล้วแต่พื้นฐานด้านสมถะที่เคยอบร่ำมาของแต่ละบุคคล

-----------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 8 : (ดังตฤณ)
การละสังโยชน์ทั้งสามข้อ
ไม่ได้เกิดจากความจงใจจะละแต่ละข้อ
หรือสร้างสมความเชื่อมั่นศรัทธานในพระรัตนตรัยหรอกครับ
แต่ธรรมชาติจิตจะล้างเอง ละได้ขาดเอง
เมื่อเห็นนิพพานเป็นครั้งแรก
ซึ่งนั่นหมายถึงเจริญสติปัฏฐาน 4
จนกระทั่งจิตถอนนิมิตมั่นหมายความเป็นตัวตนในกายนี้ใจนี้
และภาวะอื่นใดทั้งหมด

ส่วนเรื่องที่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวว่าเป็นพระโสดาฯหรือยัง
คงมีความหมายให้พูดถึงรองลงไป
เอาเป็นว่า มรรคผล มีความหมายสำคัญยิ่ง
คือทำให้เห็นนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แตกต่างไปจากรูปนามอย่างสิ้นเชิง
อันทำให้
1) รู้แจ้งว่าสภาวะและอสภาวะนั้น เป็นเพียงรูปรอยในมิติหนึ่ง มิติแห่งความแตกพัง ส่วนสิ่งที่ไร้รูปรอย
ก็ปราศจากความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตัวตน เป็นความว่าง เป็นความต่างระนาบ หมดความทึบ
หมดข้อพันธะ หมดความผูกโยงกับเหตุการณ์และลำดับเวลาใดๆ ปลอดภัยยิ่ง ไร้ตัวตนยิ่ง
ความเห็นนี้จะเป็นสัญญาติดจิต กับทั้งทำให้ความยึดมั่นว่ามีตัวตนใดตัวตนหนึ่งพังทลายลง

2) ในเมื่อเห็นนิพพานแล้ว ก็หายสงสัยว่านิพพานมีจริงหรือไม่ นิพพานเป็นอย่างไร
เหมือนความว่างแบบอากาศไหม เหมือนความว่างแบบ (หมายจำ) ว่าไม่มีอะไรเลยไหม

3) หนทางที่จะทำนิพพานให้แจ้ง มีทางเดียวคือพิจารณารูปนามเป็นไตรลักษณ์
ไม่ใช่ถือศีลกินเพล ไม่ใช่ยึดนิมิตใดๆเป็นตัวเป็นตน

สามข้อนี้โยงถึงกันตลอด เน้นว่าไม่ใช่การพยายามดำเนินการสร้างสมหรือตัดแต่งให้สังโยชน์ขาด
ด้วยวิธีการใดๆครับ ใจมันถึงความปล่อยวางรูปนามจริงๆเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่
ก็เกิดปรากฏการณ์ทำให้ขาดจากสังโยชน์สามข้อนี้ไปเอง
จากคุณ : ดังตฤณ [ 28 ธ.ค. 2542 / 08:37:48 น. ]

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 09:08
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณท่านผู้ตอบกระทู้เป็นอย่างยิ่งครับ

ช่วยไขข้อข้องใจได้มากทีเดียวครับ

เป็นสภาวะที่ตนรู้คนเดียว

แล้วสภาวะที่เกิดแบบว่า รู้ตัวว่ายังไม่หลับ

กำลังนอนหลับตาอยู่ และ กำลังแผ่เมตตาให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

จู่ๆก็เกิดแสงสว่างลอยมา เป็นองค์พระพุทธรูปเปล่งรัศมีลอยมา

แล้วเราก็ลุกขึ้นรับเอาองค์พระนั้นกอดรับเอาเข้ามาไว้กับตัวเรา (ลุกขึ้นครึ่งตัว มาแบบไม่มีร่างกาย )

แล้วก็ลงนอนกลับเข้าร่างคืนดังเดิม

เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจิต แต่รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า ลมหายใจเข้า ออก ช่างโล่งเบา สบาย เป็นสุข

รู้ได้ว่านี่เป็นปาฏิหารอะไรสักอย่างแน่นอน แต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร

ไม่แน่ใจว่าเป็นมรรคผลจิตหรือไม่ครับ

ขอเล่าสู่กันฟังครับ

ส่วนสังโยชน์ 3 ข้อแรก ละได้แบบถวายชีวิตเลยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้บรรลุโสดาบันจะรับรู้ได้จากญานทัสนนะ

แต่ไม่ต้องไปกังวลหรือสนใจ ข้องใจ สงสัย

ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยไม่ได้เจตนาล่วงเกินนะคะ
ต้องลองดูจิตใจตัวเองว่า ยังมีความเห็นว่ามี"เรา"บรรลุ หรือไม่คะ

การพยากรณ์รับรองผลการปฏิบัติเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า
จริงๆ ภูมิจิตที่สูงกว่าจะรู้ถึงภูมิจิตที่ต่ำกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่โดยจริยาของพระอริยเจ้า ท่านจะไม่เปล่งวาจาออกมาให้ดังออกไป
ต่างคนต่างรู้กันอยู่ในที ไม่ก้าวล่วงวิสัยของพระพุทธเจ้า

ปัจจเวกขณวิถีที่เกิดภายหลังโสดาปัตติมัคควิถี มี 5 ประการ
เมื่อโสดาปัตติมัคควิถีสิ้นสุดลง และมีภวังค ตามสมควรแล้ว
ต้องมีปัจจเวกขณวิถี ติดต่อกันไป เพื่อทำหน้าที่พิจารณา

1.มัคค (ให้แจ้งในมัคคจิตที่ตนได้ประสบมาเมื่อกี้นี้)

2.ผล (ให้แจ้งในผลจิตที่ได้แล้ว)

3.นิพพาน (ให้แจ้งในพระนิพพาน)

4.กิเลสที่ละแล้ว

5.กิเลสที่ยังคงเหลืออยู่

การพิจารณา มัคค ผล นิพพาน 3 ข้อแรกนี้ จะต้องมีแน่นอน
ส่วนลำดับแห่งการพิจารณานั้น ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะต้องพิจารณา มัคคก่อน
หรือผลก่อน หรือนิพพานก่อน

จะพิจารณาอะไรก่อนก็ได้ แต่ข้อสำคัญนั้น ต้องพิจารณาครบทั้ง 3 ประการนี้
สำหรับการพิจารณากิเลสที่ละแล้ว และกิเลสที่ยังคงเหลืออยู่รวม 2 ประการนี้
จะพิจารณาได้เฉพาะพระอริยเจ้าที่ได้ศึกษาพระปริยัติ
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ ก็ไม่มีความรู้พอที่จะพิจารณาได้
ดังนั้นการพิจารณา 2 ประการหลังนี้ จึงกล่าวว่าไม่แน่นอน บ้างก็พิจารณา บ้างก็ไม่พิจารณา

ดังที่กล่าวว่า มคฺคํ ผลญฺจ นิพฺพานํ ปจฺจเวกฺขติ ปณฺฑิโต ปหีเน เกฺลส เสเส จ ปจฺจเวกฺขนฺติ วา น วา ฯ
(บัณฑิต(เฉพาะพระอริยเจ้าเท่านั้น)ย่อมพิจารณาซึ่ง มัคคธรรม ผลธรรม นิพพานธรรมแน่นอน
แต่พระอริยบุคคลบ้างก็พิจารณา บ้างก็ไม่พิจารณา ซึ่งกิเลสทั้งหลาย อันตนละแล้ว และที่ยังคงเหลืออยู่)

------------------------------------------------------------------------
ขอยกธรรมของครูบาอาจารย์มาณ ที่นี้นะคะ

ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว
ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด
ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป
จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว
มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง
ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ
เสร็จแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้

ตัวนี้เองที่ว่าเราจะต้องฝึกจิตของเรา จะต้องฝึกจนมันตั้งมั่น มีเอโกทิภาวะอยู่
มีความตั้งมั่น ฉะนั้นพอมันวางอารมณ์รูปนามนี้ปุ๊บ มันจะหนีไปหาอารมณ์บัญญัติแทน
ฉะนั้นใจเราต้องฝึกจนมีเอโกทิภาวะ พอมันรู้จนไม่รู้จะรู้อะไร มันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้อัตโนมัติ เพราะถ้าเจือด้วยความจงใจแม้แต่นิดเดียว มรรคผลจะเกิดไม่ได้ ตรงที่มันดับกระแสของโลกิยะลงไป อนุโลมญาณดับกระแสของโลกิยะลงไปแล้ว มันจะทวนเข้าหาธาตุรู้เอง ไม่จับโลกียะ
แต่ยังไม่เข้าถึงโลกุตตระเป็นโคตรภูญาณ มีจิตทำหน้าที่ตรงนี้อยู่ดวงหนึ่ง

พอทวนเข้าถึงอริยมรรค ตัวมรรคนี้เป็นชาติกุศล แต่ตัวผลเป็นชาติวิบาก
พอมันทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้ อริยมรรคจะแหวกสิ่งที่ห่อหุ้มจิตอยู่ จะแหวกแวบออกไป ขาดวาบออกไปอย่างเนียนๆ จิตที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มจะเป็นอิสระขึ้นมาชั่วคราว สองสามขณะ ความไม่มีอะไร
มีแต่ความสุขล้วนๆ แต่พอเห็นครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้งยังจำไม่ได้ จำไม่แม่น
เห็นสี่ครั้งแล้วมันจะมีปัจจเวกฯทวนไปถึงนิพพาน
ตอนครั้งที่หนึ่งสองสามนี่ปัจจเวกฯมันไม่ไปดูนิพพาน มันจะไปดูกิเลส กิเลสอะไรละแล้ว
กิเลสอะไรยังเหลือ มันยังมีงานต้องทำ ครั้งสุดท้ายไม่มีงานทำ มันจะไปดูนิพพาน

ตอนที่จิตแท้ๆซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมาแบบไร้ร่องรอยให้รู้ เป็นความว่างที่แท้จริง
ถัดจากนั้นแสงสว่างจะปรากฏขึ้น ถัดจากแสงสว่างที่เกิดขึ้น
จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วเขาจะแสดงความมีอยู่ของเขาโดยการแสดงความเบิกบานออกมา
บางคนเห็นสองขณะว่างแล้วก็สว่างขึ้นมา บางคนเห็นสามขณะ แสดงความเบิกบานขึ้นมาได้ด้วย

ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมาสู่โลกภายนอก แล้วมันจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณา
ตรงขณะที่สองหรือขณะที่สามที่ผ่านไปแล้ว อาสวกิเลสจะเข้ามาปกปิดจิตอย่างเดิมอีก
สำหรับผู้ที่ผ่านมรรคครั้งที่หนึ่งสองสาม อาสวะที่แหวกออกไปจะกลับเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมจิต
อย่างฉับพลัน เวลาเข้ามาปิดก็ปิดเนียนๆ จนครั้งที่สี่จิตจึงหลุดจากอาสวะ
ไม่ใช่จิตไปทำลายอาสวะ แต่หลุดเพราะไม่ยึดแล้ว เพราะไม่ยึดถือในขันธ์ห้า ในจิตอีกแล้ว

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 19 มิ.ย. 2010, 19:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ

พี่สวนไผ่อิงธรรม
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น อาการ พฤติ ของจิต เป็นความเกิด อันมีเหตุปัจจัย
เหตุที่ปรากฏในขณะนั้น ย่อมส่งผล ตามที่ท่านกล่าวไว้
เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ ดังนี้แล้ว
ให้ดูลงไปว่าใครเป็นผู้ดู ผู้เห็น ในปรากฏารณ์ อันนั้น เท่านั้น
เมื่อเห็นชัดแล้ว ให้พิจารณา ดูว่าสิ่งที่ถูกเห็น กับ ผู้ที่ดู ที่เห็นอยู่ เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่

เมื่อใด ปรากฏการณ์นั้นมี เขารู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏอันนั้น
เขาย่อมจะไม่แสวงหา ทางที่ผ่านมาแล้ว เพื่อกระทำให้ปรากฏการณ์อันนั้น เกิดขึ้นอีก

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แก้ไขล่าสุดโดย ผงธุลีดิน เมื่อ 19 มิ.ย. 2010, 22:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วให้ค่า สิ่งๆนั้นล้วนเป็นกิเลส
เพราะเป็นการน้อมเอา คิดเอาเอง แล้วนำไปเปรียบเทียบตามที่ได้ยิน ตามที่อ่านๆมา
แม้แต่ญาณ 16 ก็ คือ กิเลส ถ้าไปหลงให้ค่า

อุปกิเลสเกิดเพราะเหตุนี้
วิปัสสนูปกิเลสเกิดเพราะเหตุนี้
" อุปทาน " การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 00:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สวนไผ่อิงธรรม เขียน:
ด้วยความเคารพยิ่งครับ

ผมอยากทราบว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราหรือใครๆที่เจริญภาวนาหรือเจริญวิปัสนาแล้วได้เข้าถึง

การเป็นพระโสดาบัน คือมีอะไรเป็นเครื่องชี้วัดว่าได้เข้าถึง หรือบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว

เป็นคำถามที่อยากรู้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ครับ


:b12: :b12:

อย่าไปอยากรู้เลย..ว่าใครมีอะไร..ได้อะไร..เป็นอะไร..
เพราะ..การได้ไปเห็นสมบัติของใครเขา..ไม่ได้ทำให้..สมบัติของเรา..มากขึ้น..แต่อย่างใด

ให้หันมาดูว่า..สมบัติเหล่านั้นจะได้มาอย่างไร??..ดีกว่า

แล้วก็..เดินตามทางนั้น..ด้วยความมั่นเพียร

หากความเป็นพระโสดาบัน..เป็นสมบัติ

มรรค 8 .....................เป็นหนทางให้ได้สมบัตินั้น

ละสังโยชน์เบื้องต้น 3......เป็นอาการชี้วัดแห่งการได้สมบัตินั้น

ปัจจัตตัง....................เป็นเครื่องรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การบรรลุธรรม บรรลุมรรคผลนี้ ท่านว่าเป็น ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นจะไปตามรู้ตามเห็นเป็นไปไม่ได้ เหมือนกินข้าว "อิ่ม" ก็รู้ ไม่ต้องไปถามใคร ถ้ายังถามนั่นถามนี่ แสดงว่ายังไม่ "อิ่ม" นะค่ะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย นิดหนึ่ง เมื่อ 20 มิ.ย. 2010, 08:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส

ถ้าจะหาเครื่องบ่งชี้ เพื่อดูผู้มีคุณธรรมที่มากกว่าตน ก็ลำบากหน่อยนะ... แต่การดูโสดาบัน ยังง่ายกว่าการดูสกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ เข้าทำนอง สูงสุดคืนสู่สามัญ ยิ่งคุณธรรมสูงมากก็จะยิ่งสามัญมาก...

ถ้าจะหาเครื่องบ่งชี้โสดาบันอย่างง่ายๆ ก็พอจะดูได้... แต่อย่าเพิ่งฟันธงลงไป ควรจะตั้งเป็นข้อสังเกตเท่านั้น

สักกายทิฏฐิ พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ อัตตา ตัวกูของกู... สิ่งที่เราเห็นในสังคมล้วนแต่เป็นสักกายทิฎฐิทั้งนั้น ชื่อเสียง เกียรติยศ อยากเป็นที่รู้จัก อยากเป็นผู้ชนะ ฯลฯ
แต่ไม่ใช่ว่า โสดาบันจะมีชื่อเสียงไม่ได้ มีคนรู้จักมากๆ ไม่ได้... เพียงแต่ไม่ได้ยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น เช่น หวงเก้าอี้หวงตำแหน่ง พยายามเสนอหน้าให้คนเห็น อยากดัง เถียงกันจะเป็นจะตายในบอร์ด เพราะอยากเป็นผู้ชนะ ถือมั่นว่าความคิดของตูนั้นถูกต้องกว่าใคร เป็นต้น

สักกายทิฎฐิ เป็นเรื่องที่ละได้ยาก...
การเที่ยวไปทดสอบผู้อื่น จัดระดับผู้อื่น ก็สะท้อนสักกายทิฎฐิเช่นกัน เพราะการทดสอบหรือจัดระดับผู้อื่น มันมีนัยยะว่า ตัวฉันนี้เหนือกว่า (อันที่จริงนับว่า อัตตาสูงกว่าปกติด้วยซ้ำ)

ขอเพิ่มเติมตรงนี้ : การ "เที่ยว" ทดสอบผู้อื่น มันมีหลายระดับ ในระดับสูงๆ พวกญาณทัศนะ น่าจะเกี่ยวเข้าไปในส่วนของ มานะ ซึ่งเป็นสังโยชน์เบื้องสูง ระดับอนาคามี


วิจิกิจฉา อันนี้ดูจากผู้อื่นไม่ได้ จะรู้ได้ด้วยใจตนเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องของศรัทธา แต่มันเป็นเรื่องของการเข้าใจว่า เส้นทางธรรมที่กำลังเดินไปนั้น เป็นเส้นทางที่ดีแล้ว
ลองดูกับตัวเองสักข้อหนึ่ง ถ้าคิดว่านั่งสมาธิเป็นการเสียเวลา อันนั้นยังมีวิจิกิจฉาแน่ๆ

การไม่มีข้อสงสัยในธรรม น่าจะเป็นเรื่องของโมหะ คือ ไม่มีความหลงผิด หรือเห็นผิด


สีลัพพตปรามาส อันนี้กินความกว้างขวาง เป็นการยึดมั่นในรูปแบบพิธีการ การแก้เคล็ด ไสยศาสตร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และ... รวมถึง ศีล ด้วย โสดาบันจะเป็นผู้มีศีล ไม่ใช่ผู้รักษาศีล... ถ้ายังพยายามรักษาศีลอยู่ ก็ยังไม่ใช่ผู้มีศีล

ถ้ายังเชื่อถือในดวงดาว ตัดกรรม หรือการแก้เคล็ดต่างๆ ด้วยเชื่อว่าจะมีผลจากสิ่งลี้ลับจริงๆ อันนี้ก็ไม่ใช่โสดาบันแน่ๆ แต่ก็ควรพึงระวังระหว่าง ความเป็นผู้รู้กับไม่รู้ อยู่เหมือนกัน...
รวมความแล้วคือ ไม่มีความงมงายในด้านต่างๆ รวมถึงที่อาจจะฟังยากหน่อยก็คือ งมงายในศีล


3 อย่างนี้ ถ้าเห็นอย่างหยาบๆ ชัดๆ มาเลย ก็พอจะชี้ถึงความใช่ไม่ใช่ของโสดาบันได้ ประเภทห่มขาวมา สำรวมอย่างสุดชีวิต พูดจาเนิบนาบ... อันนั้นก็พอจะบอกได้ว่า ไม่ใช่ เพราะยังติดสีลัพพตปรามาส
ประเภทเที่ยวประกาศตัวเป็นศาสดา ก็เห็นจะไม่ใช่ เพราะยังติดอัตตา สักกายทิฎฐิ หรือที่เที่ยวบอกว่า สมาธิไม่จำเป็น ก็เห็นจะยังมีวิจิกิจฉา...

แต่ถ้าเห็นประเภทก้ำกึ่งๆ ดูเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่น่าใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง อันนี้ก็ให้พึงระวัง เพราะอาจเป็นสังโยชน์เบื้องสูง ต้องดูด้วยญาณทัศนะ...

เพิ่มเติมว่า : สังโยชน์ทั้ง 10 นั้น แบ่งออกเป็นเบื้องต่ำ 5 และเบื้องสูง 5 หรือจะใช้อีกคำหนึ่งว่า อย่างหยาบกับอย่างละเอียดก็ได้ โสดาบันและสกิทาคามี จะละอย่างหยาบได้ 3 ที่เหลือแค่เบาบาง ถ้าละอย่างหยาบได้หมด ก็คืออนาคามี


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 22 มิ.ย. 2010, 20:21, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 09:08
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา สาธุการ ด้วยใจจริงครับ

ทุกคำชี้แนะ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ทุกๆคำถามย่อมมีคำตอบ

ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้ สัจนิครน ได้เห็นมาแล้วในครั้งพุทธกาล

เมื่อถาม เพราะอยากรู้

เมื่อได้รู้แล้ว เห็นแล้ว ย่อมหมดความสงสัย

ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐ ที่สละเวลามาตอบข้อสงสัยของผม

ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐ ที่มาแสดงธรรมอันประเสริฐให้ผมได้คลายความสงสัย

และนี้เป็นกิจที่พึงกระทำของท่านผู้มีภูมิธรรมอันสูงกว่า

ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเติมนะคะ พอดีเมื่อเช้าได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้

ครูบาอาจารย์เคยสอนว่าถ้ารู้สึกว่าเกิดมรรคเกิดผล ให้ดูสัก 3 เดือนว่ามันเปลี่ยนแปลงมั้ย
ลองใช้เวลาซัก3 เดือน ถ้าเราไม่ได้ประคองไม่ได้รักษา แล้วไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นค่อยเชื่อ
เช่น ความรู้สึกมีตัวมีตนผุดขึ้นมาอีกมั้ย หรือจิตกลวงอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่เจตนา
หรือถ้าจิตกลวงโดยเจตนาทำ กลวงด้วยสมถะนี่ใช้ไม่ได้ ปล่อยมันแล้วเราก็พยากรณ์ตัวเอง

วันนี้พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครพยากรณ์ให้เราท่านไม่ได้มอบสิทธิบัตรให้ใครพยากรณ์แทนท่าน ธรรมะนี่แหละจะเป็นตัวพยากรณ์เรา ใช่หรือไม่ใช่แขวนไว้ก่อน
เราตามดูไปนานๆสัก 3 เดือน ใครพยากรณ์ก็อย่าเชื่อ กิเลสมันหลอกเราได้
คนที่พยากรณ์ได้เด็ดขาดมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว

เอาธรรมะมาดู พระโสดาบันมีธรรมะอะไร (ละสังโยชน์3)
ใน 3 เดือนนี้จะรู้สึกสักแวบนึงมั้ย ว่ากายเป็นเราใจเป็นเรา
เราต้องดูของเราเอง ตัดสินด้วยธรรมะ ไม่ใช่ตัดสินด้วยคำบอกเล่า
จิตที่เข้าถึงความว่างแล้ว ดูลงมาก็กลวงๆไม่มีตัวมีตน จะทรงอยู่อย่างนี้ได้มั้ย
หรือวันนึงเกิดตัวเกิดตนขึ้นมาอีก

ถ้าเกิดตัวเกิดตนขึ้นมาอีก ก็อย่าเสียใจ รู้แล้วว่าไม่ใช่ให้ดีใจไว้
ถ้าไปสำคัญมั่นหมายว่าใช่ แล้วก็กลบเกลื่อนพยายามไม่ดู เราจะนอนทับกิเลสอยู่ จะอันตรายมาก
:b8:

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: :b48: :b48:
หมั่นเจริญเข้าไว้ มีความเพียร มีศรัทธาเข้าไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา
ลาภ ยศ ต่ำแหน่ง สมบัติ อื่นๆ ไม่ต้องไปคิดอยากมีอยากเป็นมัน
ส่วนมันจะมาเองก็เรื่องของมัน ตามเหตุ ตามปัจจัยนั่นแหละ
รู้แล้วก็เหยียบไว้ รู้ก็รู้อยู่ที่ใจตัวเองนี่แหละ
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 08:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิดหนึ่ง เขียน:
การบรรลุธรรม บรรลุมรรคผลนี้ ท่านว่าเป็น ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นจะไปตามรู้ตามเห็นเป็นไปไม่ได้ เหมือนกินข้าว "อิ่ม" ก็รู้ ไม่ต้องไปถามใคร ถ้ายังถามนั่นถามนี่ แสดงว่ายังไม่ "อิ่ม" นะค่ะ :b8:

เคยอ่านผ่านเหมือนกันคะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวไว้
เรียนถามเพราะติดใจว่า หากมรรคผลนิพพาน เป็นปัจจัตตัง
แล้วพระพุทธเจ้าและพระสาวก ท่านสอนเราให้รู้ให้เข้าใจได้อย่างไรคะ

ขอถามทุกท่านนะคะ ไม่เฉพาะคุณนิดหนึ่ง ขอบคุณคะ :b4:
ขออนุญาติ จขกท ก่อนนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวนไผ่อิงธรรม เขียน:
ผมอยากทราบว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราหรือใครๆที่เจริญภาวนาหรือเจริญวิปัสนาแล้วได้เข้าถึง
การเป็นพระโสดาบัน คือมีอะไรเป็นเครื่องชี้วัดว่าได้เข้าถึง หรือบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว
เป็นคำถามที่อยากรู้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ครับ


สวัสดี ท่านสวนไผ่อิงธรรม

กระทู้นี้ น่าจะแบ่งเป็น
1. พระโสดาบัน คืออะไร
2. คุณธรรม ของพระโสดาบันคืออะไร
3. ทำอย่างไร จึงจะมีคุณธรรมเหล่านั้น
4. อะไรเป็นเครื่องชี้ว่า มีคุณธรรมเหล่านั้นแล้ว.

พระโสดาบัน เป็นบุคคลาบัญญัติขึ้น เพื่อแสดงให้ผู้ปฏิบัติธรรมทราบว่า

"ความเป็นผู้พ้นจากนรก จากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน จากปิตติวิสัย และจากอบาย ทุคติ วินิบาต มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า" คือพระโสดาบัน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร