วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 10:39
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรวดน้ำ..อิมินาฯ
แผ่เมตตา ...สัพเพสัตตาฯ
อุทิศส่วนกุศล...
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่...
ขอผู้รู้ ช่วยตอบให้กระจ่างด้วยเถิด อะไรเหมือนกัน อะไรต่างกัน..ต่างกันตรงไหน?
( คนไม่รู้ หรือรู้งูๆ ปลาๆ จะได้กระจ่างเสียที ) ขอบคุณคับ พี่น้องคับ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การแผ่เมตตา
เมตตาเกิดขึ้นจากการให้อภัยเป็นทาน
ผู้ใดให้อภัยคนอื่นสัตว์อื่นได้ ผู้นั้นเป็นผู้มีเมตตาสถิตอยู่ในใจ

การแผ่เมตตาคือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
ผู้ให้ต้องมีเมตตาสั่งสมอยู่ในใจได้ก่อน แล้วจึงสามารถแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่นได้
ถ้ามีความเมตตาแล้วส่งความเมตตาให้ใคร ผู้รับก็ได้รับความเมตตา(ความสุข)จริง


การอุทิศบุญกุศล
ต้องมีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศให้ และมีผู้มาอนุโมทนาบุญ
หากสามปัจจัยลงตัว การอุทิศบุญกุศลจึงจะสัมฤทธิ์ผล
ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้ใครก็ได้ และอุทิศได้ทุกเวลาตามใจปรารถนา

การอุทิศบุญ ด้วยการกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ
เป็นสิ่งที่ทำได้ตามศรัทธาเพราะให้ผลเป็นอย่างเดียวกัน
ในกรณีของพระเจ้าพิมพิสารอุทิศบุญด้วยการหลั่งทักขิโณทก(กรวดน้ำ)ตามศรัทธาที่พระองค์มี

การกรวดน้ำโดยไม่ใช้น้ำ ไม่เรียกว่ากรวดน้ำ
แต่เรียกว่า อุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ตาย (บางคนเรียกว่ากรวดแห้ง)
ส่วนการหยาดน้ำเป็นการใช้น้ำเป็นสื่อให้จิตนิ่งแล้วแผ่ส่วนบุญให้กับผู้ตาย
ถ้าผู้ตายอยู่ในสภาวะมารับได้(อนุโมทนา)ทั้ง 2 วิธีสัมฤทธิ์ผลเหมือนกัน

เจ้าของบุญคิดว่าจะอุทิศบุญให้ แต่ยังไม่ได้บอกให้ผู้ล่วงลับจะยังไม่ได้รับ
ถ้าบอกว่าให้เมื่อใดผู้ล่วงลับจะได้รับทันที ไม่ว่าจะกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำก็ตาม
ทั้งนี้ผู้ล่วงลับ ต้องอยู่ในสถานะที่จะรับบุญกุศลนั้นได้
ได้รับบุญกุศลที่เราอุทิศส่งไปถ้าเขาอยู่ในสถานภาพที่รับได้

แต่หากผู้ที่ต้องการจะอุทิศให้ไปเกิดในภพภูมิที่กันดารห่างไกล
สัตว์นรกทุกขณะจิตเสวยแต่ความทุกข์ เปรตทุกขณะจิตเสวยแต่ความหิวโหย
จะไม่ได้รับบุญที่อุทิศ
ยกเว้นเปรตปรทัตตุปชีวี ที่พอจะมีเวลาว่างคอยรับส่วนบุญจากผู้อุทิศให้


ขออนุญาตอ้างอิงคำสอนของพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโปมา ณ ที่นี้ค่ะ

"ถ้าเราไม่มีน้ำเราก็อุทิศอยู่ที่ใจ เพราะบุญคือความสุขอยู่ที่ใจ
เกิดเราไปหยาดน้ำเฉยหมดตั้งแท็งก์หนึ่ง
แต่ใจเราไม่ให้ ไม่มีหวังสำหรับผู้ที่จะมารับส่วนบุญที่จะได้
ต้องใจของเราให้ด้วย หยาดน้ำด้วย
ทีนี้ถ้าคนไม่มีน้ำ ก็คือใจเป็นคนให้ก็พอแล้ว "

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 11 มิ.ย. 2010, 23:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2010, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การกรวดน้ำ การอุทิศส่วนกุศล คือ

- เป็นการแสดงกิริยาว่า ยกให้ ยินดีจะให้ หรือถวายให้ หากของใหญ่โตไม่สารถหยิบยกให้ได้ เช่น ถวายวัด ถวายกุฏิ สมัยพุทธกาลพระเจ้าพิมพิสาร ก็ใช้การหลั่งน้ำลงแทน เป็นต้น
- ตั้งความปรารถนา ตั้งความอยากเป็น ตั้งใจไว้ว่า เช่น ปรารถนาพุทธภูมิ อยากไปนิพพาน หรือ ปรารถนาตัดขาดจากกัน เหมือนตอนพระนเรศวรตัดขาดไมตรีกับพม่า เป็นต้น
- เป็นการอุทิศกุศลแก่ผู้ตาย ถือว่าการกรวดน้ำเป็นสื่อถึงผู้ตาย ให้มารับรู้ การกรวดน้ำจึงเป็นนิมิตหมายแห่งน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

การแผ่เมตตา

เมตตา หมายถึง ความรัก ความหวังดีปรารถนาดี ความไม่โกรธ ไม่พยาบาท การแผ่เมตตาจึงหมายถึง การให้ความปรารถนาดีกับบุคคลทั่วไป รวมทั้งสัตว์อื่นด้วย การจะแผ่เมตตาได้นั้น เราต้องมีเมตตาเสียก่อน เมตตาไม่ใช่สิ่งของที่จะหาได้ทั่วไป หากไม่มีก็ต้องสร้าง ต้องทำให้มีขึ้นในตน

การสร้างเมตตาทำอย่างไร ?

ให้หมั่นคิด หมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า สัตว์อื่นคนอื่น ต่างก็รักตนของตน เหมือนเรารักตน ต่างก็อยากให้คนอื่นปรารถนาดี ให้ความรักความเมตตากับตนเหมือนกัน เป็นเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในโลกนี้ เช่นกัน การทำร้ายกัน เบียดเบียนกัน ด้วยกาย ด้วยวาจาแม้นด้วยใจก็ไม่ควรทำ เพราะเราทำกับคนอื่นสัตว์อื่นอย่างไร เราก็ได้อย่างนั้น การทำร้ายผู้อื่นชื่อว่าทำร้ายตน เป็นการไม่รักตน

คิดบ่อย ๆ พิจารณาบ่อย ๆ เพื่อให้ใจคุ้นเคยกับเมตตา ห่างไกลความเบียดเบียนผู้อื่น แรก ๆ ก็ยาก เมื่อทำบ่อยๆ ทำไม่หยุด ทุกอย่างก็ง่าย ใจก็สบาย เย็น ไม่ร้อนรุ่ม

เมตตาเป็นของเย็น ใครอยู่ใกล้ก็เย็น เพื่อนฝูงญาติมิตรไม่เว้นคนที่เคยเกลียดชัง คนที่เคยสร้างความไม่สบายใจให้แม้สัตว์อื่นก็ไม่ระแวง

ผู้มีเมตตาจึงเป็นผู้เย็น ผู้สงบ ผู้โกรธยาก เป็นผู้ให้อภัยง่ายแม้ไม่ได้รับการขอโทษ

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...สาธุ..

:b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การมีพรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทำให้มีความสุขครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 10:39
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณ ผู้ให้ความรู้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งหลาย
ขอให้พระคุ้มครอง บุญรักษา นะคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร