วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 17:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5349


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 1

พระอภิธรรมปิฎก

เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๑

ธรรมสังคณี

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มาติกา

ติกมาติกา ๒๒ ติกะ

[๑] ๑. กุสลติกะ

กุสลา ธมฺมา ธรรมเป็นกุศล

อกุสลา ธมฺมา ธรรมเป็นอกุศล

อพฺยกากตา ธมฺมา ธรรมเป็นอัพยากฤต

๒. เวทนาติกะ

สุขาย เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา

ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา

อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา

ธมฺมา

๓. วิปากติกะ

วิปากา ธมฺมา ธรรมเป็นวิบาก

วิปากธมฺมธมฺมา ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก

เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ธรรมไม่เป็นวิบาก และไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก


๔. อุปาทินนุปาทานิยติกะ

อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วย

ตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครองและเป็นอารมณ์

ของอุปาทาน

อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วย

ตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองแต่เป็น

อารมณ์ของอุปาทาน

อนุปาทินฺนานุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วย

ตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองและไม่เป็น

อารมณ์ของอุปาทาน

๕. สังกิลิฏฐสังกิเลส

สงฺกิลิฏฺฐสงฺกิเลสิกา ธมฺมา ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของ
สังกิเลส
อสงฺกิลิฏฺฐสงฺกิลสิกา ธมฺมา ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของ
สังกิเลส
อสงฺกิลิฏฺฐาสงฺกิเลสิกา ธมฺมา ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์
ของสังกิเลส






คำว่า " สัมภเวสี " อรรถกถาท่านอธิบายไว้ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 567

สัตว์เหล่าใดกำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี

คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิด

ต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้.

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 51

อรรถกถาอาหารสูตรที่ ๑

ชื่อว่า สัมภเวสี เพราะแสวงหาภพที่เกิด.คำนั้น เป็นชื่อของพระเสขะ

และปุถุชนผู้แสวงหาภพต่อไป เพราะยังละภวสังโยชน์ไม่ได้ ด้วยอาการ

อย่างนี้ กิเลสภวสังโยชน์นั้น จึงยึดสรรพสัตว์ไว้

คำว่า " สัมภเวสี " คือ ผู้ที่แสวงหาที่เกิด คำนี้อรรถกถาอธิบายว่า หมายถึง

ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ปุถุชนทั้งหมด พระโสดาบัน

พระสกทาคามี พระอนาคามี เป็นสัมภเวสี



เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน
อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน
และเจริญอาโปกสิน
ศึกษาการรักษาโรค
ฟังธรรมศึกษาธรรม
และคุณแม่กับผมได้ปฏิบัติธรรมทุกวัน

เมื่อวานนี้มีงานทำบุญเลี้ยงพระมีผู้มาร่วมงานบุญเยอะมาก
และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก

082 3921456



ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7823

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: “อนุปุพพิกถา”

คือ พระธรรมเทศนาที่แสดงความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดและประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จากง่ายไปหายาก เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะรับฟังอริยสัจ ๔


อนุปุพพิกถา มี ๕ ประการ คือ

๑. ทานกถา
พรรณนาเรื่องทาน กล่าวถึง การให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกัน

๒. สีลกถา
พรรณนาเรื่องศีล กล่าวถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม

๓. สัคคกถา
พรรณนาเรื่องสวรรค์ กล่าวถึง ความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกามที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น

๔. กามาทีนวกถา
พรรณนาเรื่องโทษแห่งกาม กล่าวถึง ส่วนเสียข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้

๕. เนกขัมมานิสังสกถา
พรรณนาเรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม รวมทั้งอานิสงส์แห่งการออกบวช กล่าวถึง ผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น

ผลการแสดงธรรมโดยอนุปุพพิกถานั้น ทำให้ผู้ฟังมีจิตสงบ มีจิตอ่อนโยน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน และมีจิตผ่องใส อันสมควรที่จะรับฟังพระธรรมเทศนาขั้นสูงขึ้นไป คือ อริยสัจ ๔ (พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค) กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดง “อนุปุพพิกถา” และ “อริยสัจ ๔” จบแล้ว ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดีฉะนั้น ก็จะเกิดแก่ผู้ฟัง คือ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นั่นเอง

ตามปกติ เมื่อพระพุทธองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ “ฆาราวาส” หรือ “คฤหัสถ์” ผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมพิเศษ จะทรงแสดง “อนุปุพพิกถา” นี้ก่อน แล้วจึงตรัสแสดงอริยสัจ ๔ เป็นลำดับต่อมา โดยทรงแสดงอนุปุพพิกถาครั้งสำคัญๆ แก่บุคคลดังต่อไปนี้

๑. พระเจ้ามหากัปปินะ (พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ) และอำมาตย์บริวาร

๒. พระนางอโนชาเทวี (พระราชเทวีของพระเจ้ามหากัปปินะ) และหญิงบริวาร (ภริยาของอำมาตย์)

๓. ยสกุลบุตร (พระยสเถระ)

๔. เศรษฐีผู้เป็นบิดาของยสกุลบุตร (อุบาสกรูปแรกของโลก)

๕. มารดาและภรรยาเก่าของยสกุลบุตร

๖. สหายคฤหัสถ์ ๔ คน ของยสกุลบุตร คือ วิมล ๑, สุพาหุ ๑, ปุณณชิ ๑ และ ควัมปติ ๑
ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระนครพาราณสี

๗. สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของยสกุลบุตร คือ เป็นชาวชนบท ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา

๘. อุคคตคหบดี ชาวหัตถิคาม แคว้นวัชชี เอตทัคคเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้เป็นสังฆอุปัฏฐาก ฯลฯ

ตัวอย่างข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของการแสดงธรรม “อนุปุพพิกถา”
ที่ทำให้มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมากถึงจำนวน ๑๑ นหุต คือ เท่ากับ ๑๑๐,๐๐๐ คน


[๕๘] ลำดับนั้น ท่านพระอุรุเวลกัสสปลุกจากอาสนะ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก,
พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าข้า.

ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธทั้ง ๑๒ นหุตนั้น ได้มีความเข้าใจว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสป
ประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิต
ของพราหมณ์คหบดีชาวมคธทั้ง ๑๒ นหุตนั้น ด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว
ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม.

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์
มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๑ นหุต
ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น. พราหมณ์คหบดีอีก ๑ นหุต แสดงตนเป็นอุบาสก.

[๕๙] ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามคธราช ได้ทรงเห็นธรรมแล้ว
ได้ทรงบรรลุธรรมแล้ว ได้ทรงรู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว ทรงมีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ทรงถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องทรงเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลพระวาจานี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ครั้งก่อน เมื่อหม่อมฉันยังเป็นราชกุมาร ได้มีความปรารถนา ๕ อย่าง
บัดนี้ ความปรารถนา ๕ อย่างนั้นของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว.

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร