วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 23:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำบทความของคุณศุภวรรณ กรีนมาให้ทุกท่านอ่านกันครับ
เธอเป็นผู้รู้ผู้หนึ่งที่ใช้เวลากว่า 30 ปี ในการหาวิธีการสื่อสารแนวคิดแนวปฏิบัติ
ให้บุคคลทั่วไปได้รู้ได้เห็นในสัจธรรมสูงสุดแห่งธรรมชาติทั้งปวง
โดยเธอใช้การสื่อสารที่เรียบง่ายผ่านหลักที่ว่า พาตัวใจกลับบ้าน(หลักสติปัฏฐาน๔)

ผมไม่ได้โน้มเอียงไปในทางใดทั้งสิ้นครับ
เพราะผมอ่านอย่างมีสัมมาทิฏฐิ พิจารณาตามความเป็นจริง
ตัวผมหรือทุกท่านจะคิดอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่ย่อมจะเกิดความต่างได้

ขอย้ำว่า แนะนำให้อ่านโดยไร้อคติและพิจารณาตามความเป็นจริง
อาจจะเกิดประโยชน์กับหลายๆท่านได้อย่างมากทีเดียว
ขอแนะนำให้อ่านครบทั้ง 3 ตอนครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์คุณศุภวรรณนี้ครับ http://www.supawangreen.in.th/


พระไตรปิฎกกับการสอนถูกสอนผิด

จากประสบการณ์ของดิฉันที่ได้กลับมาอบรมธรรมในเมืองไทยติดต่อกันเป็นเวลา ๕ ปีแล้ว ได้ตอบคำถามทางธรรมของลูกศิษย์ทั้งในห้องอบรมและจากเมล์ ดิฉันเห็นปัญหาชัดเจนมากขึ้นว่า ความสับสนของผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้ที่มีครูบาอาจารย์ทางธรรมมากมาย ซึ่งแต่ละสำนักก็มักสอนด้วยวิธีการและการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ถึงแม้วิธีการที่ต่างกันนั้นจะ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีทุกข์น้อยลงจนถึงพ้นทุกข์ก็ตาม แต่คนไม่น้อยก็สับสนต่อภาษาทางธรรมที่ตนไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า

นอกจากนั้น ในวงการพุทธศาสนาของเมืองไทยมักมีความขัดแย้งในเรื่องการ “สอนผิดสอนถูก” โดยเฉพาะที่เนื่องกับหัวข้อสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนาอันเป็นทางสายเอกที่พาคนไปนิพพาน ซึ่งสักวันหนึ่ง ก็สามารถกลายมาเป็นข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉันผู้กำลังสอนวิปัสสนาเช่นกัน ดิฉันสังเกตว่า ทุกครั้งที่มีการกล่าวหาเรื่องการสอนนั้น ผู้กล่าวหามักจะต้องอ้างพระคัมภีร์สูงสุดอันคือ พระไตรปิฎกเสมอว่า ผู้สอนที่ถูกกล่าวหาไม่ได้สอนตามพระคัมภีร์ ได้บิดเบือนการสอนของพระพุทธเจ้า หรือรองลงมาคือ เอาครูบาอาจารย์ในอดีตที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นมาตรฐานของการสอนที่ถูกต้อง

ดิฉันจึงอยากพูดว่า ครูบาอาจารย์ที่สอนเหมือนพระไตรปิฎกทุกตัวอักษรคือ พระบรมศาสดาของเราชาวพุทธเท่านั้นเอง เหมือนข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีมนุษย์สองคนที่จะมียีนเหมือนกันหมด จึงไม่มีมนุษย์สองคนที่จะมีระดับสติปัญญาเท่าเทียมกันหมดทุกอย่าง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์สองคนจะใช้คำพูดและสร้างวิธีการสอนที่เหมือนกันได้หมดทุกอย่าง ดิฉันต้องการย้ำว่า พระไตรปิฎกเป็นเพียงแผนที่แนะแนวทางการสอนให้แก่สาวกเพื่อนำพาคนรุ่นหลังพุทธกาลไปนิพพานเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าให้สอนตามหลักการสามอย่าง คือ ละชั่ว ทำดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งข้อหลังสุดนี้คือ เนื้อหาของการฝึกสติปัฏฐานสี่หรือวิปัสสนานั่นเอง ฉะนั้น ตราบใดที่สาวกรุ่นหลังของพระบรมศาสดาสามารถสอนคนที่ไม่รู้แผนที่ให้อยู่ในร่องแห่งธรรมในเรื่องละชั่ว ทำดี และพาตนเองไปนิพพานแล้วไซร้ ก็ต้องเรียกว่า เป็นการสอนที่ใกล้ความถูกต้องมากที่สุดแล้ว

เนื่องจากดิฉันสามารถเห็นฤทธิ์เดชของความคิดในหัวของมนุษย์อันเกิดจากกฎธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลงและคุณสมบัติที่เป็นมายาของมัน ซึ่งดิฉันได้พูดไว้แล้วในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ ดิฉันจึงกล้าพูดว่า มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถสอนตามพระไตรปิฎกได้ทุกตัวอักษร หากมาไล่ประวัติความเป็นมาของพระไตรปิฎกแล้ว เราจะเห็นถึงช่องทางการเปลี่ยนแปลง การใส่เครื่องปรุงถึงขั้นบิดเบือนได้ไม่น้อยทีเดียว เริ่มตั้งแต่การสังคยนาพระไตรปิฎก ซึ่งถ้านับตามแบบเถรวาทของไทยก็มีถึง ๙ ครั้ง ก่อนที่จะมาเป็นพระไตรปิฎกภาษาไทยได้นั้น ก็ต้องแปลจากภาษาบาลีมาก่อน และเนื่องจากภาษาในพระไตรปิฎกไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ จึงมีโบราณจารย์ที่อาสาอธิบายข้อความยากๆในพระไตรปิฎกเพื่อให้คนรุ่นหลังเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรียกว่า อรรถกถา ผู้อธิบายก็เรียกว่า อรรถกถาจารย์ ซึ่งมีหลายท่าน อรรถกถาจารย์จะยกศัพท์ออกมาอธิบายเป็นศัพท์ๆ บ้าง ยกข้อความหรือประโยคยาวๆ มาขยายความให้ชัดเจนขึ้นบ้าง แสดงทัศนะและวินิจฉัยของผู้แต่งสอดแทรกเข้าไว้บ้าง มาถึงรุ่นเรา นอกจากมีพระไตรปิฎก ๔๕ เล่มแล้ว ยังมีอรรถกถาเพิ่มขึ้นมาอีกถึง ๒๓ เล่ม

พระคัมภีร์อรรถกถาก็ยังมีประวัติที่แปลกลับไปกลับมาอีก นั่นคือ อรรถกถาฉบับบาลีดั้งเดิมซึ่งแปลในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชในปี พ.ศ.๒๓๖ นั้น ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้สูญหายไปจากอินเดียในกาลต่อมา ในปีพ.ศ. ๙๔๕ พระพุทธโฆษาจารย์ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชาวอินเดียต้องเดินทางไปประเทศลังกา เพื่อไปนำอรรถกถาภาษาสิงหล (ซึ่งแปลจากบาลีในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) กลับสู่อินเดียและแปลกลับเป็นภาษาบาลีอีก ที่อยากเน้นก็เพราะอรรถกถาที่แปลกลับไปกลับมาเล่มนี้แหละที่ได้รับการแปลมาเป็นภาษาไทยและถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในเมืองไทยทุกวันนี้

ยังไม่จบแค่นั้น เนื่องจากยังมีคนรุ่นหลังที่เห็นว่าแม้อรรถกถาที่อธิบายคำศัพท์ วลี และข้อความยากๆในพระไตรปิฎกแล้ว ก็ยังยากต่อการเข้าใจ จึงมีอาจารย์รุ่นหลังที่รับอาสาแปลข้อความในอรรถกถาให้ง่ายขึ้นอีก โดยใช้ความเห็นของตนแน่นอน ซึ่งเรียกว่า ฎีกา ผู้เขียนก็จะถูกเรียกว่า ฎีกาจารย์ ซึ่งมีมากมาย ยุคที่มีฎีกาเกิดขึ้นมากที่สุดคือ ระหว่าง พ.ศ. ๑๔๐๐ – ๑๘๐๐ ยุคหนึ่งในประเทศพม่าพบว่ามีการเขียนฎีกาออกมามากจนเรียกว่า “ฝนฎีกา” ซึ่งฎีกาจารย์บางท่านก็ค้านมติของฎีกาจารย์ในรุ่นก่อนๆ คงต้องพูดกันแบบ “เธอตีความอย่างนี้ไม่ถูก ต้องตีความอย่างนี้ต่างหาก” อะไรทำนองนั้น
ดังนั้น จึงมีคำเรียกพระไตรปิฎกว่าเป็นพระคัมภีร์ชั้นต้นหรือชั้นหนึ่งอรรถกถาเป็นคัมภีร์ชั้นสอง และฎีกาเป็นคัมภีร์ชั้นสาม

เมื่อมาถึงฎีกาคัมภีร์แล้ว คำพูดของพระบรมศาสดาที่พูดกับชาวบ้านแบบธรรมดาๆเริ่มกลายเป็น “วรรณกรรมบาลี” ไปเสียแล้ว เพราะผู้แต่งฎีกาจะต้องมีความชำนาญในไวยากรณ์ทั้งบาลีและสันสกฤต เพื่อจะได้แต่งคัมภีร์ให้สละสลวย ไพเราะ อลังการ ตรงตามหลักฉันท์อินเดียซึ่งมีอยู่นับร้อยแบบ ซึ่งส่วนนี้เป็นความสามารถของนักเขียนหรือนักแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนโดยเฉพาะ และการจะหานักเขียนที่มีความสามารถในเรื่องกรรมฐานจนถึงระดับพระอริยเจ้าชั้นสูงเช่นพระอรหันต์ด้วยมาเขียนพระคัมภีร์ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

การส่งทอดคำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้จบแค่นั้น ยังมีคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทและมหายานซึ่งการแตกแยกสืบเนื่องมาจากการทำสังคยนาครั้งที่สอง ใน พ.ศ. ๑๐๐ พระยสะ กากัณฑบุตรได้ชักชวนพระสงฆ์ ๗๐๐ รูป ประชุมสงฆ์กันที่เมืองเวสาลี แค้ว้นวัชชี แต่ในขณะเดียวกันนั้น มีพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าประชุมมารวมตัวกันถึงหมื่นรูป ทำสังคยนาของตนเองที่เมืองกุสุมปุระ (ปาตลีบุตร) ชื่อว่า มหาสังคีติ หรือ มหาสังคยนา ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดลัทธิมหายานในภายหลัง การสังคยนาครั้งนี้ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของเดิมไปไม่น้อย จนมาถึงบัดนี้ ทั้งคัมภีร์และการปฏิบัติของฝ่ายเถรวาทกับมหายานมีความแตกต่างไปมากทีเดียวทั้งๆที่มาจากพระบรมศาสดาองค์เดียวกันแท้ๆ

เอาเป็นว่าเมื่อพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกาได้เดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว ก็ต้องแปลจากบาลีเป็นไทยอีก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอ่านพระไตรปิฎก แม้คนอ่าน ก็ยังไม่เข้าใจภาษาในพระไตรปิฎก จึงต้องมีการแปลภาษาไทยในพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยที่คนทั่วไปฟังรู้เรื่อง ซึ่งศาสนาพุทธเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระสงฆ์ออกนอกอินเดียประกาศพระศาสนา ๙ สาย พระโสนะและพระอุตระเป็นพระสองรูปที่มาดินแดนสุวรรณภูมิ เอาเป็นว่าตั้งแต่พุทธศาสนาเข้ามาในเมืองไทยนี้ ก็ได้เกิดวัฒนธรรมแห่งการสอนพุทธศาสนาที่สืบทอดกันลงมา การถ่ายทอดคำสอนที่ต้องแปลไทยเป็นไทยเพื่อให้เหมาะกับความเข้าใจของคนในแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทุกครั้งที่มีการถ่ายทอดเพื่อให้คนร่วมสมัยเข้าใจ ผู้ถ่ายทอด ย่อมต้องใส่คำพูด การวิเคราะห์ ความเห็นของตัวเองและวิธีการสอนของตนเองเข้าไปเสมอ มีวลีอังกฤษที่เป็นชื่อหนังด้วยใช้ได้กับปรากฏการณ์นี้คือ Lost in translation

นี่เป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้แก่นของพุทธศาสนาถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกและกะพี้อย่างหนาเขรอะ เอาเปลือกกะพี้มาเป็นแก่นของพุทธศาสนา ก่อให้เกิดการขายใบบุญถ่ายบาปให้คนพอใจกับสวรรค์สมบัติเท่านั้น แต่เรื่องนิพพานกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องสูงเกินเอื้อม ไม่ใช่วิสัยของมนุษย์จะทำได้ ใครมา “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” ก็จะถูกประณามหาว่าหลงตัวเอง

ฉะนั้น ดิฉันจึงต้องการขมวดประเด็นก่อนว่า ในยุคนี้จะมาบอกว่า ใครสอนพุทธศาสนาถูกหรือผิดโดยเอามาตรฐานของพระไตรปิฎกมาอ้างเพียงอย่างเดียวนั้นย่อมหละหลวมเสียแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าดิฉันจาบจ้วงของสูงเช่นพระไตรปิฎก ดิฉันไม่กล้าอาจเอื้อมแน่นอน เพียงต้องการให้คุณวิเคราะห์ดูด้วยเหตุผลเท่านั้น พระไตรปิฎกยังคงครองแชมป์ของการเป็นแผนที่บอกทางพาคนไปนิพพานวันยังค่ำ แต่จุดที่ดิฉันต้องการเน้นคือ จะให้ครูบาอาจารย์ของยุคนี้สอนตามพระไตรปิฎกทุกตัวอักษรนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว ป่วยการที่จะอ้างพระไตรปิฎก
ดิฉันกลับมองว่า ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงนั่นแหละที่จะเป็นผู้ทำให้พระไตรปิฎกกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้

ครูบาอาจารย์ในอดีตของไทยเราที่ประสบความสำเร็จในการสอนพุทธศาสนานั้น บางท่าน อย่าว่าแต่อ่านพระไตรปิฎกเลย แม้หนังสือธรรมะทั่วไปก็ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ เพราะอ่านหนังสือไม่ออก เช่น หลวงพ่อเทียน แต่อาศัยการฟังธรรมะของการสอนตามประเพณีที่ให้รักษาศีล เจริญภาวนา (นั่งสมาธิวิปัสสนา) เมื่อผสมกับองค์ประกอบในเรื่องบุญบารมีที่สั่งสมมาในอดีตดังที่ดิฉันวิเคราะห์ในบทที่หนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งหากใครเป็นครูบาอาจารย์ของยุคนี้แล้ว มักต้องข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว การเกิดมาชาตินี้จึงเป็นการมาต่อยอดทางธรรม บางท่านอายุเพียง ๒๐ เศษก็ถูกคนเรียกว่า “หลวงปู่” แล้ว ฉะนั้น ใครที่ได้สร้างบารมีมามากแล้ว เพียงฟังธรรมและเจริญภาวนาตามประเพณีนี้แหละ ก็สามารถ “ปิ๊งธรรม” เกิดปัญญาได้อย่างรวดเร็ว เพราะเห็นสภาวธรรมที่เกิดในใจของตนเอง ซึ่งส่วนนี้ต่างหากที่เป็นความรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นความรู้ที่เกิดจากการอ่านหนังสือ ยิ่งถ้าสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้แล้ว สภาวะที่เด็ดขาดอยู่ในตัวนี้แหละจะเป็นมาตรฐานในตัวมันเอง ซึ่งผู้รู้จริงจะรู้ว่า “ใช่แล้ว” โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งไปหามนุษย์อีกคนหนึ่งมารับรองตนเอง

ครูบาอาจารย์ประเภทนี้แหละจะสามารถพาคนไปนิพพานได้โดยสอนจากประสบการณ์การปฏิบัติของตนเอง ซึ่งคำพูด คำศัพท์ที่ใช้อาจไม่เหมือนกับที่ใช้ในพระไตรปิฎกก็ตาม แต่ท่านก็พาคนไปนิพพานได้ เหมือนที่ดิฉันเปรียบว่า เมื่อได้กลายเป็นคนท้องถิ่นของภูกระดึงแล้ว รู้เส้นทางเข้าออกภูกระดึงเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถนำทางคนที่ยังไม่เคยไปภูกระดึงได้โดยไม่หลงทาง ซึ่งแตกต่างจากคนที่รู้แต่แผนที่ อ่านแต่ตัวหนังสือ แต่ไม่รู้ว่าภูกระดึงอยู่ที่ไหน แม้รู้ตัวหนังสือมากมาย ก็ไม่สามารถพาคนไปภูกระดึงหรือพระนิพพานได้

ตรงนี้แหละที่ตัวหนังสือในพระคัมภีร์จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะมีสาวกที่เป็นผู้รู้จริงได้ปฏิบัติตามแนวทางแห่งสติปัฏฐานสี่จนรู้แจ้งเห็นจริง เห็นพระนิพพานในฐานะที่เป็นสัจธรรมอันสูงสุดด้วยญาณปัญญาของตนเอง ผู้รู้เหล่านี้หากมีความสามารถในการสอนแล้ว ล้วนต้องสอนชี้นำให้คนปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์หรือถึงนิพพานทั้งสิ้น เพราะเห็นภัยของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (คุกชีวิต) จะไม่สอนน้อยกว่าเรื่องการพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด การสอนของผู้รู้จริงนี้แหละที่ควรจะเป็นมาตรฐานวัดการสอนถูกสอนผิด การยืดอายุของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงจะต้องเกิดจากการสอนของผู้รู้พระนิพพานจริงเท่านั้น

ถ้าพระอรหันตสาวกหลังพุทธกาลไม่ “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” แล้วไซร้ พุทธศาสนาจะไม่ได้อยู่รอดมาถึงยุคนี้แน่นอน แต่เพราะมีสาวกที่รู้จริง จึงมีการ“อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” คือ ป่าวประกาศว่ามีพระนิพพานอันเป็นสภาวะหมดทุกข์จริงๆ จึงยังมีคนรู้เรื่องพระนิพพานในยุค ๒๕๕๓ ปีหลังพุทธกาล คำว่า “อวดอุตริ” ซึ่งถูกนำมาใช้กันบ่อยๆ ก็ถูกเข้าใจผิดอีก เอะอะก็ไปหาว่าคนนั้นคนนี้อวดอุตริ หลงตัวเอง แต่ไม่มีการพูดถึงว่า คนนั้นเขาอวดอุตริแบบมีหรือไม่มี “ธรรมที่อยู่เหนือโลก” ในตนเอง ซึ่งเหตุผลก็ผูกมัดในตัวว่าคนที่จะตัดสินได้ต้องเป็นผู้รู้จริงเท่านั้นอีก คนไม่รู้จริงจะมาตัดสินได้อย่างไรเล่า พระบรมศาสดาจึงปรับโทษถึงขั้นปาราชิกต่อภิกษุสงฆ์ที่ “อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน” คือ ไม่มีสภาวธรรมที่อยู่เหนือโลกในตนเองจริง แต่มาอ้างว่ามีนี่ อันตรายมาก ต้องจับสึก แต่ถ้ามีแล้ว ก็ต้องช่วยกันประกาศพระศาสนา มิเช่นนั้นแล้ว คนรุ่นหลังจะมารู้เรื่องพระนิพพานได้อย่างไรกันเล่า นี่เป็นเหตุผลง่ายๆที่ปัญญาชนคิดตามได้ ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องเชื่อตามเหตุผลนี้ไปก่อน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร