วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 20:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากตอนที่ 1 ครับ
บทที่สอง กาลามสูตร

ในบทที่หนึ่ง ดิฉันได้วิเคราะห์เรื่องพระไตรปิฎกกับการสอนผิดสอนถูก ซึ่งดิฉันสรุปว่า ครูบาอาจารย์ที่เป็น “ผู้รู้จริง” จะสามารถทำให้ตัวอักษรในพระไตรปิฎกกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก

แต่ปัญหาเริ่มเกิด เพราะคนเดินถนนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า ครูบาอาจารย์ท่านไหนเป็นผู้รู้จริง เพราะผู้รู้จริงไม่มีป้ายเขียนติดไว้ที่หน้าผากบอกสรรพคุณหรือมีรัศมีส่องสว่างรอบศีรษะเหมือนที่จิตกรมักจินตนาการภาพของนักบุญทั้งหลาย ตรงนี้เป็นเรื่องที่ชวนสับสนและน่าปวดหัวมากสำหรับชาวพุทธที่ยังไม่มีหลักเกาะอย่างมั่นคงและยังหวั่นไหว เคว้งคว้างทุกครั้งที่เกิดกรณีพิพาทระหว่างพระสงฆ์กันเองอันเนื่องกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

สิ่งที่ทำกันเป็นประเพณีสืบต่อๆกันมาตั้งแต่หลังพุทธกาลคือ เมื่อมีปัญหาขัดแย้งกัน ก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญพระสูตรทั้งหลายออกมาพูดเรื่องกาลามสูตร ๑๐ ข้อเสมอ บอกคนที่กำลังสับสนว่าอย่าเชื่อโน่นเชื่อนี่ โดยเฉพาะอย่าเชื่อข่าวลือ อย่าเชื่อสิ่งที่พูดตามๆกันมา ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ไม่ได้ช่วยให้คนหายสับสนเลย กลับทำให้งงและสับสนมากยิ่งขึ้นมากกว่า เพราะสังคมโลกกำลังเดินมาถึงยุค “ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น” overload information หูและตาของมนุษย์ถูกกระหน่ำด้วยคลื่นยักษ์ของข้อมูลและข่าวสารอยู่ตลอดเวลา คุณจะไม่ให้เขาเชื่อข่าวลือ และที่คนเขาพูดตามๆกันมานั้น ทำไม่ได้หรอก ถ้าทำได้แล้ว คุณคิดว่าสังคมไทยจะเกิดปรากฏการณ์ของเหลืองแดงดังเช่นที่เกิดขึ้นหรือ คนที่จะไม่เชื่อข่าวลือและที่พูดตามๆกันมาได้นั้น ต้องรู้เรื่อง “ผัสสะบริสุทธิ์” คือ ฟัง เห็น แล้วจบตรงนั้นเลย ไม่เอามาคิดอะไรต่อ ซึ่งใครจะรับผัสสะบริสุทธิ์ได้โดยไม่คิดต่อนั้น ต้องข้ามมาสู่อริยโคตรแล้ว เป็นพระอริยเจ้าระดับหนึ่งแล้ว จึงทำได้ ฉะนั้น อย่าว่าแต่ตาสีตาสาเลย แม้ปัญญาชนไทยที่ใช้เหตุผลเป็น ก็ยังทำไม่ได้ นักการเมืองไทยจึงเอาจุดอ่อนเรื่องนี้มาซื้อเสียงของประชาชน และหากพ่อค้าคนไหนมีเงินมากหน่อย มีสถานีวิทยุ โทรทัศน์ของตนเองแล้ว เขาก็สามารถเอาเรื่องไม่จริงมาทำให้เป็นเรื่องจริงได้ และถ้าไม่ได้รับรู้ข้อมูลอื่นที่ค้านกัน คนฟังคนดูทุกวัน จะไม่ให้เขาเชื่อสิ่งที่ถูกป้อนให้ทุกวันได้อย่างไร ดิฉันยังเชื่อว่า ๙๙ เปอร์เซ็นต์ทำตามกาลามสูตร ๓ ข้อแรกไม่ได้แน่นอน ซึ่งรวมถึงคนที่นำกาลามสูตรมาอ้างด้วย

กาลามสูตร

สาเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องสอนเรื่องกาลามสูตรนั้น ต้นตอไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้เลย นี่คือข้อความที่อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ อังคุตรนิกาย

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าพร้อมสาวกกลุ่มใหญ่กำลังเสด็จผ่านไปยังแคว้นโกศล ผ่านไปยังนิคมของชาวกาลามะที่อยู่เมืองเกสปุตตะ ชาวเมืองกาลามะได้ยินกิตติศัพท์ของพระสมณโคดมมาก่อน (สมัยนั้น พระพุทธเจ้าของเราเป็นเพียงครูคนหนึ่งในจำนวน ๖ คนที่มีชื่อเสียงของยุคนั้น คนที่ยังไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นครู จึงเรียกท่านตามชื่อครอบครัวคือ สมณโคดม) ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว สามารถจำแนกธรรมสั่งสอนทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม และคำสอนของท่านก็ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ชาวกาลามะจึงเห็นสมควรที่จะเข้าไปกราบคารวะพระพุทธเจ้า นั่งอันที่ควรและตั้งคำถามต่อพระบรมศาสดาว่า

“พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ”

คุณเห็นหรือไม่ว่า สิ่งที่ชาวกาลามะพูดนั้นเหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดในทุกวันนี้ อย่างไรก็อย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่า

“ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
2. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
3. อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้
4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
5. อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
6. อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
7. อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย”

ที่จริงแล้ว คำสอนในกาลามสูตรมีความยาวพอสมควรทีเดียว เนื้อหาเป็นบทที่เหมือนกับการถามตอบระหว่างชาวกาลามะกับพระบรมศาสดา แต่ยุคนี้มักยกตัดตอนแต่เรื่องอย่าปลงใจเชื่อโน่นนี่ ๑๐ ข้อเท่านั้น และไม่ได้วิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่าคำสอนนี้ยังเหมาะกับยุคสมัยหรือไม่ แต่ก่อนที่จะวิเคราะห์เรื่องเข้ากับยุคสมัยหรือไม่ ขอให้มามองแค่เรื่อง ๑๐ ข้อและบทสรุปส่วนท้ายนิดหน่อยก่อน เพราะตรงนี้ก็เริ่มมีปัญหาแล้วอันเป็นผลจากการแปลกันไปแปลกันมาจากภาษาไทยที่เข้าใจยากจนเป็นไทยที่เข้าใจง่าย ต่างคนต่างแปล และผู้แปลก็ต้องสอดแทรกความเห็นของตัวเองทั้งนั้นว่า “น่าจะใช้คำนี้” ดิฉันเขียนหนังสือมากี่เล่มแล้ว ทำไมดิฉันจะไม่รู้ความรู้สึกของนักเขียนเมื่อมาถึงเรื่องการ “ตีความ” คำพูด คำเขียนของคนอื่น ซึ่งเมื่อดิฉันมาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว นอกจากเห็นความคลาดเคลื่อน เห็นความหายไปในระหว่างการแปล lost in translation แล้ว ดิฉันยังเห็นว่า คำพูดอันเป็นกุญแจสำคัญของพระสูตรนี้ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจเลย นี่เป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีใครพูดเน้นมาก่อนอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ล้วนทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้ทำในกาลามสูตรข้อที่สองทั้งนั้น นั่นคือ “อย่าได้ยึดถือในถ้อยคำที่สืบๆกันมา”

ที่ดิฉันยกมาเบื้องต้นนั้น ดิฉันคัดลอกมาจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐที่ค้นได้ในอินเทอร์เน็ต ใครต้องการค้นพระไตรปิฎกจากอินเทอร์เน็ต ก็ต้องพบฉบับนี้แน่นอน ทีนี้มาดูการแปลของท่าน ป.อ. ปยุตโตในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรมกันดูบ้าง ท่านผู้เขียนแปล

เรื่องการอย่าปลงใจเชื่อ ๑๐ ข้อและบทสรุปดังนี้คือ
1. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบๆกันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ
6. อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะที่น่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละและปฏิบัติตามนั้น

เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้ว จะเห็นว่าข้อ ๑, ๒, ๓, ๔, ๑๐ มีความคล้องจองกัน ผู้อ่านเข้าใจได้ คือ พูดสรุปว่าไม่ให้เชื่อข่าวลือ ตำราและครูของเรา แต่คุณลองพิจารณาข้อ ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ดูสิว่าสองตำราเริ่มไม่เหมือนกันแล้ว เช่น
ข้อ ๕ คำว่า “เดาเอาเอง” กลายเป็นคำว่า “ตรรกะ”
ข้อ ๖ คำว่า “คาดคะเน” กลายเป็นคำว่า “อนุมาน”
ข้อ ๗ คำว่า “ความตรึกตามอาการ” กลายเป็น “คิดตรองตามแนวเหตุผล” ซึ่งแตกต่างกันมาก
ข้อ ๘ วลีว่า “ต้องกับทิฏฐิของตัว” กลายเป็น “เข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว” ซึ่งแตกต่างกันมาก
ข้อ ๙ วลีว่า “ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้” กลายเป็น “มองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้” ซึ่งแตกต่างกันมาก

ดิฉันเชื่อว่า หากไปค้นในอรรถกถาหรือการแปลของผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆที่คนยุคนี้แปลจากไทยยากๆเป็นไทยง่ายๆกัน ก็อาจจะต่างออกไปอีก ตรงนี้จะมีผลกระทบต่อดิฉันที่อยู่หางเครื่องมากๆว่า ดิฉันจะวิเคราะห์จากคัมภีร์ไหนดี เพราะถ้าไปเอาคัมภีร์ที่เขาแปลผิดมาแล้ว ดิฉันก็ต้องวิเคราะห์อย่างผิดๆไปด้วยเพราะเราอยู่หางเครื่อง คุณเห็นความสับสนและหละหลวมของการพึ่งพระคัมภีร์แล้วหรือยัง

ซึ่งถ้าเอาตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ของท่าน ป. อ. ปยุตโตแล้ว การไม่ให้เชื่อตรรกะ เหตุผล และทฤษฎีที่พินิจแล้ว ซึ่งข้อ ๘ นี้ดิฉันต้องแปลไทยเป็นไทยต่ออีกว่าหมายถึง ทฤษฎีอันเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่ได้รับการรับรองเพราะพิสูจน์มาแล้ว เช่น โลกไม่แบน แต่มีทรงกลม จักรวาลไม่ได้อยู่นิ่ง แต่เคลื่อนตลอดเวลา เชื้อโรคมีอยู่จริงแม้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นต้น

กระดูกสันหลัง

คุณจะเห็นได้ว่า สามข้อนี้ที่พระพุทธเจ้า (หรือผู้แปล?) บอกไม่ให้ปลงใจเชื่อนั้น ที่จริงเป็นกระดูกสันหลังของความรู้ทางโลกที่เรียนๆกันในทุกวันนี้ ซึ่งหากทำตามคำสอนในกาลามสูตรแล้ว ก็เท่ากับปฏิเสธความรู้ทางโลกทุกอย่างที่จะช่วยให้ทำมาหารับประทานและอยู่รอดได้ ดิฉันอยากให้คุณมองทะลุว่า การวิเคราะห์ของดิฉันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ทั้งนั้น เพราะคนที่อยู่หางเครื่องอย่างดิฉันและชาวพุทธทั่วไปที่ไม่รู้บาลี และไม่รู้ว่าคำบาลีเหล่านั้นที่พระพุทธเจ้าใช้หมายถึงอะไรอย่างแน่นอน จำเป็นต้องพึ่งคนรู้บาลีและการแปลเป็นทอดๆอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเหมาะกับยุคสมัยหรือไม่ ถ้าหากว่าเราเอาตามคำแปลของท่านป.อ.ปยุตโตในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ที่ได้พิมพ์ออกมาหลายแสนเล่มแล้ว ดิฉันกล้าพูดได้เลยว่าไม่มีใครทำตามกาลามสูตรทั้ง ๓ ข้อนี้ได้แน่นอน และดีแล้วที่ไม่ได้ทำตาม เพราะในยุคนี้หากคนไม่ยอมเชื่อเหตุผลและความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้วละก็ สังคมโลกต้องใช้ระบบอนาธิปไตยแน่นอน และคนฆ่ากันตายไปนานแล้ว การใช้เหตุผลเป็นศาสตร์โบราณที่ชาวกรีกค้นพบและได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการหาความรู้ต่างๆ โลกนี้ยังพออยู่ได้ก็เพราะยังมีคนที่รู้จักใช้เหตุผลเป็น ถ้ามนุษย์ไม่ใช้เหตุผลต่อกันแล้ว ย่อมใช้อารมณ์ความรู้สึกของตนเองแน่นอน ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องการตามใจกิเลส นี่ขนาดมีการใช้เหตุผลเป็นหลักเกณฑ์ มีการสอนเรื่องให้ละชั่ว ทำดี คนก็ยังคงทำตามใจกิเลสอยู่ จึงทำให้สังคมโลกยุ่งมาก

บทสนทนา

การสนทนาระหว่างชาวกาลามะกับพระบรมศาสดานั้น พระพุทธเจ้าอ้างถึง “ผู้รู้” ตลอดเวลา ดังเช่นการสนทนาท่อนหนึ่งที่คัดลอกออกมานี้
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ
มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่ หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ฯ
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ฯ
กา. เป็นกุศล พระเจ้าข้า ฯ
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ ฯ
กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ ฯ
กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า ฯ
“ต่อเมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้มีคุณ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งเป็นประโยชน์ เพื่อความสุขเมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเจริญธรรมเหล่านั้น”

Lost in translation

จริงอยู่ พระพุทธเจ้าสอนชาวกาลามะว่าอย่าเชื่อโน่นเชื่อนี่ ท่านพูดแรงถึงขนาดบอกให้อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา แต่พอท่านมาถึงการขมวดคำสอนแล้ว ท่านกลับบอกให้เชื่อ “ผู้รู้” ว่าธรรมเหล่านี้ “ผู้รู้ติเตียน” หรือ “ผู้รู้สรรเสริญ” ซึ่งเนื้อความส่วนนี้ของกาลามสูตร คนไม่ค่อยอ้างถึง แม้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ก็ไม่ได้เขียนคำว่า “ผู้รู้ติเตียน” หรือ “ผู้รู้สรรเสริญ” เอาไว้ ตรงนี้เป็นกุญแจสำคัญที่สุด มีความสำคัญมากกว่ารายละเอียด ๑๐ ข้อนั้นเสียอีก

เรายังเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้หลักตรรกะมาวิเคราะห์ เพราะถ้าไม่มีผู้รู้มาพูดมาสอนแล้วละก็ คนเดินถนนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่า ธรรมอันใดเป็นกุศลหรืออกุศล แม้ศีล ๕ ข้อง่ายๆที่คนมีปัญญาพูดสอนมาตั้งแต่โบราณกาลว่า อย่าฆ่า อย่าลักทรัพย์ อย่าผิดลูกเมียชาวบ้าน อย่าโกหก อย่าดื่มน้ำเมา คนก็ยังทำไม่ได้เลย นี่ขนาดมีคนสอนแล้วนะว่ามันไม่ดี เป็นบาป ทำแล้วตกนรก คนยุคนี้ (จะว่าทุกยุคของประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็ได้) ก็ยังฆ่ากันโครมๆ แถมยังคิดเพี้ยนออกไปอีกว่า ฆ่าคนแล้วได้ไปสวรรค์เสียอีก แล้วอย่างนี้จะให้มารู้ได้ด้วยตนเองว่าธรรมใดเป็นกุศลและอกุศลได้อย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังมีอวิชชาซึ่งเป็นคนหมู่มากของโลกจะไปรู้เองได้อย่างไรว่า เพียงการรู้ลมหายใจ รู้การเคลื่อนไหวและความรู้สึก จะมีบุญกุศลแรงถึงขนาดทำให้พ้นทุกข์ ถึงนิพพานได้

ดิฉันอยากมองว่าพระพุทธเจ้ากำลังใช้หลักจิตวิทยากับชาวกาลามะมากกว่า เพราะชาวกาลามะกำลังสับสนเรื่องที่มีแต่คนมาโฆษณาว่าสินค้าของตัวเองดี ของคนอื่นไม่ดี อย่าไปเชื่อเขา พระพุทธเจ้าจึงต้องบอกไปก่อนว่าอย่าเชื่อโน่นนี่ถึง ๑๐ ข้อ ซึ่งเป็นหลักจิตวิทยาที่จะทำให้ชาวกาลามะกลับมาเชื่อท่านในที่สุด ดังเช่นข้อความท้ายสุดของสูตรนี้ ชาวกาลามะพูดว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป”

เชื่อผู้รู้จริง


คุณเห็นหรือยังว่าเมื่อมาวิเคราะห์เรื่องกาลามสูตรอย่างลึกซึ้งแล้ว กุญแจสำคัญกลับไม่ได้อยู่ที่คำสอนที่ไม่ให้ปลงใจเชื่อโน่นนี่ ๑๐ ข้อเสียแล้ว แต่กลับกลายเป็นการให้เชื่อ “ผู้รู้” อีก และต้องเป็น “ผู้รู้จริง” ด้วย ปัญหาเกิดอีกว่าแล้วคนทั่วไปที่ยังมีอวิชชาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็น “ผู้รู้จริง” ของยุคนี้ ดิฉันจะวิเคราะห์ในบทต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร