วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 04:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากตอน 2 ครับ
บทที่สาม
ผู้รู้จริง


การวิเคราะห์ในสองบทแรกทั้งเรื่องพระไตรปิฎกและกาลามสูตรนั้นได้นำมาสู่บทสรุปเรื่องต้องเชื่อ “ผู้รู้จริง” ฉะนั้น จึงต้องมาวิเคราะห์กันต่อว่า “ผู้รู้จริง” คือใคร คนเดินถนนทั่วไปที่ส่วนมากยังมีอวิชชาจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครรู้จริงหรือรู้ไม่จริง และหมายถึงใครอย่างแท้จริง ซึ่งตามหลักตรรกะแล้ว จำเป็นต้องพูดว่า คนที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้ ก็คือ “ผู้รู้จริง” เท่านั้น คนไม่รู้จริงจะมาตอบได้อย่างไรว่า “ผู้รู้จริง” คือใคร ก็เหลือแต่ “ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่จะตอบได้ จริงหรือไม่ หลังจากนั้น แต่ละคนย่อมต้องใช้วิจารณญาณและปัญญาของตัวเองคิดเทียบเคียงอย่างมีเหตุผลเอาเองว่าควรเชื่อได้แค่ไหนหรือไม่

ในเมื่อดิฉันเป็นผู้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ดิฉันจึงต้องรับผิดชอบการตีความ มิเช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแน่นอน คำว่า “ผู้รู้จริง” เป็นคำควบที่มีคำตอบ ลึกซึ้งอยู่ในตัวมันเองแล้ว แต่คนที่ยังไม่เห็นสัจธรรมอันสูงสุด จะมองไม่ออก

“ผู้รู้จริง” คือ บุคคลที่รู้ความจริงหรือรู้สัจธรรม และต้องเป็นความจริงหรือสัจธรรมอันสูงสุดด้วย จึงจะเป็น “ผู้รู้จริง” ในความหมายที่พระพุทธเจ้าอ้างถึงในกาลามสูตร ซึ่งต่อจากนี้ดิฉันจะเขียนคำควบนี้โดยให้มันอยู่ในเครื่องหมายคำพูดเสมอ จำเป็นอย่างยิ่งที่ดิฉันต้องกำหนดเฉพาะเจาะจงลงไปว่า “ผู้รู้จริง” คือ ผู้ที่รู้สัจธรรมอันสูงสุดเท่านั้น เพราะในสังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยผู้รู้จริงเยอะแยะ แต่ล้วนเป็นผู้ที่รู้ความจริงรองลงมาทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์แต่ละสาขาล้วนเป็นผู้รู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งสิ้น แต่ความรู้เหล่านั้นล้วนเป็นสมมุติสัจจะ คือ เป็นความจริงที่ถูกสมมุติหรือถูกอุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้น ฉะนั้น ใครเป็นผู้รู้จริงในความรู้ที่ถูกสมมุติว่าเป็นจริงแล้วละก็ ไม่นับว่าเป็น “ผู้รู้จริง” ที่กำลังพูดถึงแต่อย่างใด เพราะเมื่อมีการไล่เลียงกันอันเกิดจากปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ในที่สุดแล้ว ย่อมต้องสาวไปสู่เรื่องที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงอันสูงสุดเสมอ หลายปีมาแล้ว (ราวปี ๒๕๔๖) ดิฉันได้เขียน ข้อความที่อยู่บนหน้าโฮมเพจในเว็บไซต์ของดิฉันว่า

“จุดประสงค์ของเว็บไซต์นี้เพื่อต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หยิบมือหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกนี้ให้ได้รับสิ่งดีที่สุดของชีวิต ซึ่งในความเห็นของดิฉันคือ สัจธรรมอันสูงสุด The ultimate truth ดิฉันเชื่อว่าไม่ว่าจะพูดถึงปัญหาเรื่องอะไรก็ตาม หากย้อนถามถึงสาเหตุ อันเป็นต้นตอของปัญหาแล้วไซร้ ในที่สุด จะต้องมาลงที่มนุษย์กับการไม่รู้สัจธรรมอันสูงสุดทั้งสิ้น เว็บไซต์นี้จึงเป็นเรื่องการช่วยเหลือปัจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ให้มีโอกาสได้รู้จักและสัมผัสกับสัจธรรมอันสูงสุดนั้นด้วยตนเอง”

ฉะนั้น “ผู้รู้จริง” จึงมีประเภทเดียวเท่านั้นคือ ผู้ที่รู้ความจริงหรือสัจธรรมอันสูงสุด the ultimate truth เท่านั้น

“ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่า สัจธรรมอันสูงสุดกับสภาวะพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในคืนวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะเป็นสภาวะเดียวกัน ในพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่า สัจธรรมอันสูงสุด เพราะดิฉันเดาว่าคำนี้เป็นคำที่ค่อนข้างใหม่ เป็นคำร่วมสมัยของยุคนี้มากกว่า แต่ในยุคนั้น นอกจากคำว่า นิพพาน แล้ว พระพุทธเจ้าใช้คำว่า อสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง) อพยากฤต (สภาวธรรมที่เป็นกลางๆ) หรือไม่ก็ อายตนะนั้น มากกว่า ฉะนั้น จึงต้องอาศัยความสามารถของ “ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงคำเหล่านั้นกับสัจธรรมอันสูงสุด และบอกว่ามันเป็นคำศัพท์ที่ชี้ไปสู่สภาวะหรือธาตุเดียวกันทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องใหม่ที่พุทธสาวกรุ่นหลังๆที่ได้เห็นนิพพานแล้วพึงทำได้เพื่อช่วยให้คนร่วมยุคสมัยเข้าใจได้ง่ายขึ้น

สัจธรรมสูงสุดมีหนึ่งเดียว

เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจมากขึ้น คุณต้องยอมรับก่อนว่าในธรรมชาติอันประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟนี้ ยังมีธรรมชาติหรือธาตุที่เป็นกลางๆอีกอันหนึ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้าน เป็นธรรมชาติที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน พระพุทธเจ้าของเราจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม สภาวะอันเป็นธรรมชาติกลางๆ มีของเขาอยู่อย่างนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าของเราเพียงเข้าไปพบเท่านั้น ไม่ได้ไปสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ พระบรมศาสดาตรัสว่า

“ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม สภาวะที่เป็นอสังขตธรรม (สิ่งที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง) เป็นโลกุตรธรรม (เหนือโลก) เป็นนิจจัง (ไม่เปลี่ยนแปลง) เป็นอพยากฤต (กลางๆ) นี้มีอยู่ เป็นอยู่ ของมันเองแล้ว ตถาคตเพียงเข้าไปค้นพบเท่านั้น”

คำพูดหรือคำอุทานของพระพุทธเจ้าที่ดิฉันคัดลอกมาให้ดูทั้งสองแห่งนี้ล้วนย้ำให้เห็นว่า ท่านได้เข้าไปพบสภาวะหนึ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้านจริงๆ เป็นสภาวะที่แม้ความคิดหรือคำพูดของมนุษย์แม้ของพระพุทธเจ้าเองก็ยังเข้าไปแตะต้องไม่ได้เลย คำอุทานข้างล่างนี้หากท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจนั้น ถูกต้องแล้ว เพราะนั่นเป็นการชี้ให้เห็นว่าแม้พระบรมศาสดา ท่านก็ยังจนมุมต่อสภาวธรรมที่เป็นอันติมะที่พูดไม่ออก บอกไม่ได้ อธิบายด้วยคำพูดของมนุษย์ไม่ได้ เป็นสภาวะที่เป็นที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรไปเหนือกว่านั้นได้อีกแล้ว ท่านตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ในอายตนะนั้น ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การจุติ ไม่ใช่การเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ความเป็นไป ไม่ใช่อารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นคือ ที่สุดแห่งทุกข์”

อีกข้อความหนึ่งคัดลอกจากพระไตรปิฎกฉบับประชาชนของสุชีพ ปุญญานุภาพ ซึ่งครั้งนี้ท่านใช้คำกลางๆว่า “ธรรมชาติ” แต่ก็ยังมีความหมายที่คล้ายคลึงกับคำอุทานข้างบน นั่นคือ ท่านกำลังพูดถึงสภาวะหนึ่งที่ไม่เหมือนอะไร และไม่มีอะไรเหมือน นั่นคือ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้” อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗

โครงสร้างใหญ่ต้องถูก รายละเอียดผิดไม่เป็นไร

การรู้และยอมรับว่าในธรรมชาติมีธาตุๆหนึ่งที่สามารถเรียกว่าเป็นสัจธรรมสูงสุดซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่าพระนิพพานนั้นมีความสำคัญมาก เพราะสภาวะนี้เปรียบเหมือนไม้บรรทัดที่ตรงจริงๆ จึงสามารถใช้เป็นมาตรฐานในการวัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะถ้าใช้ไม้บรรทัดที่บูดเบี้ยวแล้ว ผลของการวัดย่อมไม่ได้มาตรฐานแน่นอน นี่จึงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ว่าทำไมมนุษย์จึงต้องรู้สัจธรรมสูงสุด เพราะจำเป็นต้องมีไม้บรรทัดที่ตรงจริงๆเพื่อนำมาเป็นมาตรฐานของการวัดสิ่งต่างๆได้ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สภาวะนี้ซึ่งท่านเรียกว่าพระนิพพานจึงเป็นเป้าหมายปลายทางของชีวิตมนุษย์ทุกคน เพราะท่านได้เข้าไปพบ จึงรู้ว่ามันมีคุณสมบัติช่วยให้คนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้ด้วย

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นสัจธรรมสูงสุด

คนมีปัญญาและใช้เหตุผลเป็นมักถามต่อว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสภาวะนั้นๆเป็นสัจธรรมสูงสุด เป็นนิพพาน แน่ใจหรือว่าไม่ถูกความคิดของตัวเองหลอกเอาก็ได้ คำตอบง่ายๆคือ ถ้าใครเข้าถึงตัวสัจธรรมสูงสุดแล้ว สัจธรรมตัวนั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่รัดกุม เบ็ดเสร็จอยู่ในตัว ที่สามารถทำให้ผู้เข้าถึงแล้วรู้ว่า “ใช่แล้ว” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ลงตัว เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ใช่การ “วิ่งหาคนให้เขามารับประกันตัวเอง” เพราะย่อมเกิดคำถามว่าแล้วใครเป็นคนรับประกันคนที่มารับประกันเราล่ะ ซึ่งจะต้องไล่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากมีพระพุทธเจ้าอยู่ ก็คงวิ่งไปหาท่านได้ แต่ยุคนี้ไม่มีแล้ว การวิ่งหาคนที่เชื่อถือได้ไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่มีใครในโลกนี้สักคนเดียวที่สามารถอยู่เหนือการวิจารณ์ของคนอื่นได้แม้คนนั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม

ฉะนั้น จึงเหลือทางออกเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ จำเป็นต้องพึ่งตัวสภาวธรรมที่เป็นไม้บรรทัดตรงๆนั่นเอง ใครที่เข้าถึงตัวสัจธรรมสูงสุดแล้วละก็ ตัวสภาวะสัจธรรมจะเป็นผู้ค้ำประกันให้เอง ถ้ายังสงสัยอยู่ ก็ต้องกลับไปหาและปรึกษาสภาวะที่เด็ดขาดตัวนั้นบ่อยๆ จนกว่าจะแน่ใจด้วยตนเองว่าใช่แล้ว นี่จึงเป็นขั้นตอนที่ท้าทายมาก จะพูดว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะหากเป็นความรู้ที่รองลงมาจากเรื่องนิพพานแล้ว แม้จะยากอย่างไร ก็มักวิ่งหาคนถามได้เสมอว่าใช่หรือไม่ ถูกหรือไม่ ไม่ผิดนะ แต่เรื่องนิพพานนี่ ไม่มีใครให้เราถามได้อีกแล้ว จึงอยู่ที่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะต้องรับประกันตัวเองให้ได้โดยปรึกษาสภาวธรรมที่เด็ดขาดไม่เหมือนชาวบ้านนี้

ที่จริง เมื่อมองอีกแง่หนึ่งแล้ว จะเห็นว่าแม้เป็นเรื่องยากที่สุดในโลกก็ตาม นั่นเป็นขั้นตอนของตัวสัจธรรมที่จะคัดเลือก “ผู้รู้จริง” ให้มนุษยชาติ คิดมาถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งเห็นความลึกซึ้งอย่างมหาศาลของ “ธรรมะจัดสรร” นี่เป็นกลยุทธ strategy ของธรรมชาติที่ชาญฉลาดมาก โกงกันก็ไม่ได้ ใครที่ได้เดินมาถึงจุดนี้ หากไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการสอนมนุษยชาติแล้วละก็ ก็คงไม่ต้องทำข้อสอบที่ยากที่สุดนี้เลย ก็อยู่ไปอย่างคนทุกข์ไม่เป็น และก็ตายไปอย่างสุขสงบโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่หากใครที่ต้องการรับผิดชอบต่อการช่วยกวาดต้อนเพื่อนมนุษย์ออกจากสังสารวัฏเพื่อถึงนิพพานแล้วไซร้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำข้อสอบที่ยากที่สุดในโลกนี้ให้ผ่าน จะได้สมศักดิ์ศรีของความเป็น “ผู้รู้จริง” เพื่อออกมาเป็นผู้นำมนุษย์ออกจากคุกชีวิต ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า สภาวะที่ตนได้เข้าถึงแล้วนั้นเป็นสัจธรรมสูงสุดจริงหรือไม่ หากได้เจอสภาวะที่ไม่เหมือนชาวบ้านนั้นจริงๆ แม้จะถูกพระยามารทดสอบอย่างถึงพริกถึงขิงอย่างไร ถูกพระยามารตบหน้าด้วยคำด่าว่า “เธอกำลังหลงตัวเอง” “น้ำหน้าอย่างเธอหรือจะถึงนิพพานได้” อย่างนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม คนที่เข้าถึงสัจธรรมสูงสุดจริงเท่านั้นจึงจะทำข้อสอบที่ยากๆของมารผ่านได้ทุกครั้งไป เพราะพลังสนามแม่เหล็กระหว่างจิตกับใจหลุดร่อนออกจากกันนั่นเอง ความคิดของมารจึงไม่ติดตัวใจ เมื่อความคิดหลุด ตัวสภาวะสัจธรรมที่เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งธรรมก็จะให้คำตอบเดิมๆในแง่ที่เป็นพรมแดนสุดท้ายของจักรวาลเสมอ ถ้าจิตกับใจยังไม่หลุดร่อน ก็อ่านข้อสอบของมารไม่ออก ถูกมารหลอก คนบ้าและคนหลงตัวเองจึงทำข้อสอบเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน ในที่สุด ก็เหลือแต่ “ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่ทำข้อสอบที่ยากที่สุดในจักรวาลผ่าน

ถ้าโครงสร้างผิด ทุกอย่างล้มหมด

การรู้พระนิพพานในฐานะเป็นสัจธรรมสูงสุดและรู้ว่ามันเป็นเป้าหมายปลายทางสุดท้ายของชีวิตด้วย มีความสำคัญมากในแง่ที่ทำให้เรารู้โครงสร้างใหญ่ของชีวิตว่า เกิดมาทำไม เพื่ออะไร ทำไมจึงต้องมาตะเกียกตะกายต่อสู้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหาไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเรารู้เรื่องโครงสร้างของชีวิต (รู้เป้าหมายสูงสุด) แล้ว ที่เหลือทั้งหมดเป็นส่วนรายละเอียดแล้ว หากผิดนิดผิดหน่อยไม่เป็นไร คนมักเข้าใจผิดว่าเรื่องอภิญญา อ่านใจคนได้ ทำนายอนาคตได้ แก้กรรมให้เขาได้ ฯลฯ เป็นเรื่องสำคัญของพุทธศาสนา ทำให้ชาวพุทธไทยตื่นเต้นหวือหวาไปกับสิ่งเหล่านี้ เห็นพระองค์ไหนอ่านใจคนอื่นได้ ก็บอกว่านั่นไม่ธรรมดาแล้ว ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นรายละเอียดทั้งสิ้น ไม่ใช่เป้าหมาย มีพระอรหันต์มากมายที่ไม่มีอภิญญาอะไรเลย พ้นทุกข์อย่างเดียว พอแล้ว อย่างอื่นเป็นรายละเอียด มีก็ได้ ไม่มีก็ได้

ฉะนั้น คำสอนของพระบรมศาสดาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นล้วนเป็นรายละเอียดของการบอกทางเพื่อช่วยให้คนถึงพระนิพพาน ซึ่งพระคัมภีร์ส่วนนี้แม้จะตกหล่นหายไปบ้างจากการแปลไปแปลมาและส่งทอดต่อๆกันมาตลอดจนอาจจะมีการตีความผิดๆ เข้าใจผิดกันบ้าง ดิฉันก็ยังเห็นว่าไม่สำคัญเท่ากับการเข้าใจโครงสร้างใหญ่หรือเป้าหมายสูงสุดผิด ถ้าเข้าใจเรื่องสัจธรรมสูงสุดหรือพระนิพพานผิดแล้วละก็ แม้จะเข้าใจในรายละเอียดถูกต้องอย่างไร แม้จะมีอภิญญา อ่านใจคนได้ ทำนายอนาคตได้ ก็ยังผิดอยู่วันยังค่ำ จะไม่มีทางไปถึงเป้าหมายได้เลย จะพาคนเข้ารกเข้าพงอีกต่างหาก ฉะนั้น การตีความสัจธรรมสูงสุดอันเป็นเป้าหมายใหญ่จะผิดไม่ได้ ถ้าผิดตรงนี้ ทุกอย่างล้มหมดเลย

ความสามารถพิเศษของ “ผู้รู้จริง”

ฉะนั้น “ผู้รู้จริง” จึงเปรียบเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างผู้ที่ยังมีอวิชชากับสภาวะความจริงอันสูงสุด(พระนิพพาน) หรือจะพูดว่า “ผู้รู้จริง” กำลังถือไม้บรรทัดที่ตรงจริงๆอยู่ในมือ จึงมีมาตรฐานในการวัดสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆได้ดีกว่าผู้ที่ยังไม่มีไม้บรรทัดตรงในมือ (จุดนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่ไอน์สไตน์ต้องการหาจุดนิ่งของจักรวาลเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสากลวัดสิ่งต่างๆในด้านฟิสิกส์ได้) ฉะนั้น “ผู้รู้จริง” จะมีความสามารถพิเศษที่คนอื่นไม่มี คือ สามารถโยงเรื่องราวต่างๆได้ดีกว่าคนที่ยังไม่รู้จริง เพราะเขาเห็นโครงสร้างใหญ่ของชีวิตแล้ว เปรียบเหมือนยืนบนยอดเขา ทำให้สามารถเห็นวิวของหุบเขาได้ชัดเจน รู้ว่าถนนเส้นไหนเชื่อมโยงกับถนนเส้นไหนบ้าง จึงมีวลีที่บรรยายสรรพคุณในแง่นี้ว่า “รู้แจ้งเห็นจริง” บ้าง “รู้แจ้งแทงตลอด” บ้างเพราะได้เห็นภาพวิวจากยอดเขานั่นเอง ฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรอันเป็นรายละเอียดของชีวิตหรือความรู้อะไรก็แล้วแต่ซึ่งพระบรมศาสดาบอกว่ามีมากมายเหมือกับใบไม้ทั้งป่า “ผู้รู้จริง” ก็จะสามารถโยงไปถึงสัจธรรมสูงสุดได้เสมอโดยไม่หลงทาง

สามป่าใหญ่ในหุบเขา

“ผู้รู้จริง” สามารถเห็นป่าใหญ่ๆ ๓ ป่าในหุบเขาที่คนส่วนมากเข้าไปติด คือ
1. ความรู้ทางโลกของมนุษย์ที่เรียนเพื่อเอาปริญญาออกมาหากินนั้นเป็นป่าใหญ่มากที่คนมักเข้าไปหลงทาง ออกไม่ได้ เกิดสภาวะ “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”
2. ป่าอีกประเภทหนึ่งคือ ป่าของตัวพระคัมภีร์เองที่คนใฝ่ธรรมแล้วก็ยังเข้าไปหลงทางได้เช่นกัน ยิ่งศึกษาพระคัมภีร์มากเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากประตูพระนิพพานมากเท่านั้น จนไปติดอยู่ในพรหมโลกนานนับแสนกัป พลาดการมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นหลายพุทธันดร
3. ป่าดงดิบที่ทำจากความคิด ความจำ ความรู้สึกของมนุษย์เอง เป็นป่าที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเชื้อชาติอะไร ศาสนาอะไร ล้วนติดเหมือนกันหมด เป็นป่าดงดิบที่น่ากลัวมาก เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายที่รุมกัดคนหลงทางจนพรุนไปหมด

ป่าทั้งสามประเภทนี้เมื่อใครเข้าไปติดและหลงทางแล้วละก็ หาทางออกเองไม่ได้หรอก เพราะเป็น “ป่านามธรรม” ที่ใหญ่มาก มองไม่เห็น จำเป็นต้องพึ่งพา “ผู้รู้จริง” ที่นั่งบนยอดเขา เห็นวิวหุบเขาชัดแล้ว มาเป็นไกด์นำทางให้ออกจากป่าเหล่านี้ จึงจะออกได้ มิเช่นนั้นแล้ว แม้หลังตาย ก็ยังเอาความหลงนี้ติดตัวไปด้วย น่าเสียดาย

คุกชีวิต

เพราะดิฉันรู้โครงสร้างของชีวิตทั้งหมด รู้ว่าพระนิพพานคืออะไร จึงสามารถเห็นภาพใหญ่ของชีวิต ดิฉันจึงสามารถแปลงความคิดที่เป็นนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมและกลายมาเป็นภาพ “คุกชีวิต” ที่ดิฉันให้ลูกศิษย์วาดให้จนพอใจ ภาพนี้ได้ช่วยให้ลูกศิษย์ของดิฉันเข้าใจจุดยืนของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งดิฉันได้โยงให้ลูกศิษย์เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง สัจธรรมสูงสุด (พระนิพพาน) ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องสังสารวัฏ (ภพภูมิต่างๆ) และกฏแห่งกรรมอย่างไร ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ นั่นคือ เป็นคืนที่ท่านเดินทางออกจากคุกชีวิตและพบอิสรภาพอย่างแท้จริง การถึงนิพพานคือ การใช้ชีวิตอย่างอิสระนอกคุกชีวิตนั่นเอง

ภาพนี้ยังเชื่อมโยงให้เห็นถึงสาเหตุแห่งทุกข์อันเป็นผลของการติดคุกชีวิต และหากใครต้องการอิสรภาพอย่างแท้จริงแล้วละก็ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์โดยการฝึกสติปัฏฐานสี่อันเป็นวิธีการแหกคุกชีวิตเพื่ออิสรภาพอย่างแท้จริง โครงสร้างหรือภาพใหญ่ของชีวิตสามารถสรุปลงมาให้เหลือเพียงภาพนี้ภาพเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นรายละเอียดหมด จะผิดบ้างไม่เป็นไร แต่ภาพใหญ่ของชีวิตจะผิดไม่ได้ ซึ่งถ้าดิฉันไม่รู้สัจธรรมสูงสุดแล้วละก็ ดิฉันจะไม่สามารถคิดภาพ(ที่ดูเหมือนง่ายๆ)นี้ออกเลย


เอาภาพคุกชีวิต สังสารวัฏไว้ตรงนี้

สัจธรรมสูงสุดมีหนึ่งเดียว


โดยหลักตรรกะแล้ว สัจธรรมสูงสุดต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จะมีสองไม่ได้ โดยสภาวะแล้ว “ผู้รู้จริง” ทั้งหลายย่อมเห็นตามนี้แน่นอน การรู้ข้อเท็จจริงเรื่องสัจธรรมสูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียวนี้ได้กลายเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้ดิฉันสามารถรวบรวมอุดมคติต่างศาสนามาไว้ที่จุดเดียวกันได้อย่างลงตัว ดิฉันจึงกล้าที่จะนำคำใหญ่ๆของศาสนาอื่น เช่น พระเจ้า ต้นไม้แห่งชีวิต เต๋า มารวมกันไว้ในระนาบเดียวกันหมดเคียงข้างคำว่า พระนิพพานในฐานะที่เป็นสัจธรรมอันสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึง ซึ่งดิฉันมักย้ำเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า อุดมคติสูงสุดของทุกศาสนาต้องชี้มาที่สัจธรรมสูงสุดอันเดียวกันเท่านั้น การพูดเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก เป็นเรื่องใหญ่มาก คนนับถือพระเจ้ากว่าค่อนโลกคงไม่อ้าแขนรับง่ายๆหรอก ถ้าไม่รู้จริง จะไม่กล้าทำเด็ดขาด แต่ที่กล้าทำเพราะเห็นว่านี่เป็นการเกื้อกูลชาวโลกหรือมนุษยชาติอย่างแท้จริง ถ้าคนนับถือพระเจ้ายอมรับความคิดนี้เท่านั้น การฝึกทักษะเรื่องเอาสติมาตรึงไว้ที่ฐาน หรือ พาตัวใจกลับบ้าน จะกลายเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานของชาวโลกได้ทันที เท่ากับเป็นการทั้งกวาดทั้งต้อนเพื่อนมนุษย์ออกจากคุกชีวิตได้ทีละมากๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ดิฉันยังเชื่อว่าแม้นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์รางวัลโนเบลเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาก็กำลังหาสัจธรรมสูงสุดเช่นกัน แต่เขาไปใช้คำพูดอื่น เช่น จุดนิ่งของจักรวาล The absolute ruling point in nature บ้าง ทฤษฎีทุกอย่าง The theory of everything บ้าง ซึ่งไอน์สไตน์หาไม่พบจนก่อให้เกิดทฤษฎีสัมพัทธภาพขึ้นมา ทฤษฎีสัมพัทธภาพจึงไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการให้ยอมรับไม้บรรทัดที่บูดเบี้ยวนั่นเอง แต่มาสมมุติให้เป็นไม้บรรทัดที่ตรง ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า สมมุติสัจจะ คือ ความจริงที่ถูกสมมุติ ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นจริงนั่นเอง

ดิฉันจึงบอกว่า จุดนิ่งในจักรวาลที่ไอน์สไตน์บอกว่าไม่มีนั้น ที่จริงมีอยู่ และจุดนิ่งนั้นก็คือสภาวะเดียวกับพระนิพพานหรือพระเจ้านั่นเอง ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ดิฉันเขียนไว้ในหนังสือเรื่องไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ ซึ่งถ้าคนอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว จะรู้ว่าดิฉันกำลังท้าทายนักฟิสิกส์ระดับโลก รับอาสาตอบคำถามที่เขาตอบไม่ได้และหาไม่พบ ถ้าคุณไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ และหากได้พบกัน คงได้คุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนานแน่นอน

ปัญหาที่เกิดในสังคมโลกตั้งแต่อดีตถึงบัดนี้ล้วนเป็นผลจากการเอาไม้บรรทัดที่บูดเบี้ยวนี้มาเป็นมาตรฐานการวัดและตัดสินเรื่องราวต่างๆทั้งสิ้น จึงไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง การแก้ปัญหามีทางเดียว คือ ต้องกลับไปสู่ไม้บรรทัดที่ตรงจริงๆ คือ ต้องพึ่งสัจธรรมสูงสุดเท่านั้น และ “ผู้รู้จริง” เท่านั้นจึงจะให้คำตอบเรื่องนี้แก่มนุษย์ได้

เพื่อช่วยให้คนหมู่มากที่กำลังแสวงหาสิ่งอันเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ในหนังสือเรื่อง A Handful of Leaves ที่พิมพ์ใหม่ในปี ๒๕๕๑ นั้น ดิฉันได้ให้ชื่อคำว่าสัจธรรมอันสูงสุดไว้ถึง ๒๘ ชื่อ ซึ่งล้วนเป็นคำที่คนส่วนมากใช้ๆกันอยู่ แต่ไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัด ดิฉันจึงนำคำเหล่านั้นมา เชื่อมโยงกับสัจธรรมสูงสุดให้หมดเหมือนการเลาะเงื่อนปมของเส้นเชือกเพื่อยืดให้มันเป็นเส้นตรง จะได้ไม่สับสน

อายตนะที่หก

การเกื้อกูลมนุษยชาติอย่างแท้จริงของดิฉันอีกเรื่องหนึ่ง คือ ความพยายามที่จะให้องค์กรโลกเช่นองค์การสหประชาชาติออกมายอมรับเรื่องอายตนะที่หกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังคงเป็นมนุษย์ท่านแรกของโลกที่ได้พูดเรื่องนี้อย่างจริงจังว่ามนุษย์มีการรับรู้หกทาง ไม่ใช่ห้าทาง อายตนะที่หก คือ วิญญาณขันธ์ หรือ ธาตุที่ทำหน้าที่รับรู้ของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับคำว่า สติ บางครั้งดิฉันจะใช้คำว่า ก้อนแห่งความรู้สึกตัว consciousness หรือ ตัวใจ เพื่อให้สอดคล้องกับ ตัวกาย ของมนุษย์

เรื่องอายตนะที่หกเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่พุทธสาวกที่รู้จริงสามารถทำเพื่อพระบรมศาสดาได้ เพราะแม้ท่านได้พูดเรื่องนี้มาเกือบ ๓๐๐๐ ปีแล้วก็ตาม ทุกวันนี้ชาวโลกยังไม่ได้ยอมรับข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับองค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ เมื่อเข้าใจผิดว่ามนุษย์มีการรับรู้เพียงห้าทาง จึงไม่มีการพัฒนาหรือฝึกให้มีสติอยู่กับฐาน หรือจะพูดว่าตาใจของตัวใจยังคงมืดบอดอยู่ เมื่อไม่มีตาใจแล้ว ก็เท่ากับไม่มีเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คนคลายทุกข์อันเป็นการแก้ปัญหาชีวิตและสังคมที่ต้นตออย่างแท้จริง เหมือนยืนยันที่จะใช้ไม้บรรทัดที่เบี้ยวๆนี้เป็นมาตรฐานในการวัดสิ่งต่างๆต่อไป การไม่ยอมรับข้อมูลที่สำคัญนี้เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้สังคมโลกเข้าสู่มิคสัญญีเร็วกว่ากำหนด ซึ่งเป็นสภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้ว

ฉะนั้น ดิฉันจึงเห็นเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องออกมานำ เห็นความจำเป็นที่ต้องพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในหนังสือเรื่อง A New Hope for Humankind นั้น ดิฉันได้ยืนขึ้นมาพูดกับชาวตะวันตกเลยว่า เรื่องอายตนะที่หก the 6th sense จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ ถ้าองค์กรโลกยอมรับได้ วัฒนธรรมสติปัฏฐานจะค่อยๆถูกสร้างขึ้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติในที่สุด ปรากฏการณ์การทักทายกันเช่นชาวเมืองปาฏลีบุตรจะกลับคืนมาได้อีกแน่นอน

ผัสสะบริสุทธิ์

เพราะดิฉันรู้สภาวะพระนิพพานในฐานะที่เป็นสัจธรรมอันสูงสุด ดิฉันจึงสามารถสร้างคำศัพท์ใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจและเข้าถึง โดยเรียกสภาวะนี้ว่า ผัสสะบริสุทธิ์

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆและเจริญวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์นั้น ท่านมีแต่สภาวะนิพพาน อยู่กับนิพพาน เหมือนมาถึงภูกระดึงแล้ว เดินดูวิวอยู่บนภูกระดึงที่สวยงามแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้สอน และไม่ต้องพูดกับใคร ท่านจึงไม่จำเป็นต้องให้ชื่อสภาวะหมดทุกข์ที่ท่านเพิ่งเข้าถึงใหม่ๆ จึงไม่มีการนิยามสภาวธรรม (ธาตุ) นั้นๆ เหมือนไม่ต้องให้ชื่อสถานที่สวยงามนั้น จนกระทั่งมาสอนปัญจวัคคีที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ท่านจึงต้องพูดถึงสภาวะที่ท่านได้เข้าถึงที่พุทธคยา ธรรมนิยามของสภาวะพ้นทุกข์จึงค่อยเกิดตามมา ซึ่งท่านเลือกใช้คำว่า นิพพาน ฉะนั้น คำศัพท์ที่เรียกชื่อสภาวะหมดทุกข์กับตัวสภาวะจริงๆจึงเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง

ดิฉันเห็นว่า เนื่องจากคำว่านิพพานได้ถูกเข้าใจผิดมากแล้ว เหตุผลหนึ่งเนื่องจากการแปลและส่งทอดลงมากว่าสองพันปีจนเปลือกและกะพี้ปกคลุมแก่นศาสนาเสียหมด พร้อมการสอนตามประเพณีที่ไม่ชัดเจน และขาดแคลน “ผู้รู้จริง” ที่มาย้ำเรื่องนิพพานว่ายังเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้อยู่ ทำให้นิพพานกลายเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม คนส่วนมากเมื่อได้ยินคำว่านิพพาน ก็มักสร้างจินตนาการอันหลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องของเจอรี่พูดในหัวทั้งสิ้น ดิฉันจึง เห็นว่าควรแนะนำคำศัพท์ที่ลดการจินตนาการและการคิดอย่างเพ้อฝันออกไป จึงมาได้คำว่า “ผัสสะบริสุทธิ์” โดยที่ดิฉันอ่านตรงๆจากสภาวะ (ประสบการณ์) ที่ดิฉันเห็น ไอน์สไตน์บอกว่า ประสบการณ์เป็นแหล่งต้นตอของความรู้ทั้งหลาย Experience is the source of knowledge เพราะดิฉันมีประสบการณ์ ดิฉันจึงมีความรู้ จึงสร้างคำศัพท์และให้คำนิยามอันชี้ไปยังประสบการณ์นั้นๆได้

คุณจะเห็นได้ว่า ผัสสะบริสุทธิ์ นอกจากไม่ทำให้คน “คิดเกิน” แล้ว ยังเป็นคำที่บังคับให้คนต้องปฏิบัติตามแนวทางแห่งสติปัฏฐานสี่ด้วย อันเป็นการสร้างทักษะเพื่อให้คนปฏิบัติสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้ ส่วนนี้เป็นเนื้อหาของฐานที่สี่ (ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ฉะนั้น เมื่อมีคนถามดิฉันว่า พระนิพพานคือ อะไร ดิฉันจะตอบตรงๆว่า พระนิพพานคือ ผัสสะบริสุทธิ์ ซึ่งหากคนถามจะถามต่อว่าผัสสะบริสุทธิ์คืออะไร เขาก็ต้องมาเรียนรู้ทักษะการรับผัสสะบริสุทธิ์ในงานอบรมธรรมของดิฉัน ซึ่งดิฉันเรียก คอร์สอบรมนี้ว่า คู่มือชีวิตภาควิปัสสนา ผู้เข้าอบรมจะเรียนรู้เรื่องการพาตัวใจกลับบ้านทั้ง ๔ หลัง เมื่อมาถึงบ้านหลังที่สี่ ก็คือการฝึกรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์นั่นเอง ซึ่งเป็นการบังคับให้ผู้ถามต้องฝึกสติปัฏฐานสี่อันเป็นทางสายตรงไปนิพพาน ดิฉันเห็นว่า “ผัสสะบริสุทธิ์” จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องจินตนาการพระนิพพานอย่างเกินเลยได้ และเป็นคำที่เหมาะสมกับยุคสมัยมากกว่าคำว่า “พระนิพพาน”

เอาสติมาตรึงไว้ที่ฐาน

ยังมีวลีหลักๆที่ดิฉันเห็นว่าได้สูญหายไปในขณะที่อยู่ในขบวนการแปลไปแปลมาและส่งทอดคำสอนของพระบรมศาสดาต่อกันเป็นทอดๆกว่าสองพันปี ซึ่ง “ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่มองเห็นปัญหาได้ชัดเจน เช่น คำว่า สติปัฏฐานสี่ ต้องมีความสำคัญมาก มากถึงขนาดที่คำว่า “สติ” ได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมของภาษาไทยที่ถูกใช้กันจนติดปากในทุกวันนี้ วันๆหนึ่งคนไทยพูดคำนี้ รวมแล้วนับล้านๆครั้งเห็นจะได้ แต่จะมีคนสักกี่คนที่เข้าใจและทำได้อย่างแท้จริงเมื่อมีคนมาทักว่า “เธอขาดสตินะ” “เธอต้องมีสตินะ” เมื่อจี้เข้าไปจริงๆแล้ว ดิฉันแน่ใจว่ากว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนว่า “การมีสติ” ต้องทำอะไร อย่างไร

ตรงนี้เราจะจัดเข้าเป็นเรื่อง Lost in translation ก็ได้ ประจวบกับการสอนตามประเพณี ถ้ามี “ผู้รู้จริง” มาชี้แจงขมวดให้เท่านั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นทันที คำว่า สติปัฏฐานสี่ หมายถึง การเอาสติมาตรึงไว้ที่ฐานทั้งสี่ ฉะนั้น หากเราพูดให้เต็มปากเต็มคำหน่อยว่า “นี่...สติของเธอไม่ได้อยู่กับฐานนะ” แทนประโยคว่า “เธอขาดสติ” หรือ “เอาสติมาไว้กับฐานสิ” แทนประโยคว่า “เธอต้องมีสติ” ถ้ามีการพูดให้เต็มๆเช่นนี้ คนจะเข้าใจและทำได้ทันที นั่นคือ ต้องมีการกำหนดรู้ลมหายใจ (ฐาน๑) รู้การเคลื่อนไหว (ฐาน๑) และรู้ความรู้สึก (ฐาน๒) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นฐานของสติทั้งสิ้น

ทำไมคำว่าสติจึงถูกใช้อย่างแพร่หลายผ่านวัฒนธรรมพุทธศาสนา เพราะการเอาสติมาตรึงไว้ที่ฐานเป็นเรื่องสำคัญมาก มากถึงขนาดสามารถพาคนไปนิพพานได้นั่นเอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวเมืองปาฏลีบุตรในยุคพระเจ้าอโศกมหาราชจึงทักทายกันว่า “ขณะนี้เธอกำลังอยู่ฐานไหนหรือ” ฟังแล้ว เขาพูดเต็มประโยคมากกว่าของเราในยุคนี้ซึ่งเหลือแต่คำว่า “สติ” ตัวเดียว ฉะนั้น ดิฉันจึงอยากชักชวนชาวพุทธไทยให้เริ่มใช้วลีนี้อย่างเต็มๆกันหน่อย โดยพูดว่า “เอาสติมาตรึงไว้ที่ฐานสิ จะได้หายกลัว หายกลุ้มใจ...” อะไรก็ว่าไป หากพูดคุยกันได้เช่นนี้แล้ว คนจะเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่ได้ดีขึ้น และปฏิบัติได้ด้วย

พาตัวใจกลับบ้าน

ดิฉันจึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการส่งทอดคำสอนนี้โดยนำมาแปลงให้มันง่ายขึ้นอีกเพื่อให้คนทำสามารถปฏิบัติได้อย่างชัดเจน ฉะนั้น จากสติปัฏฐานสี่ วิปัสสนา จึงกลายมาเป็น “พาตัวใจกลับบ้าน” เพราะดิฉันต้องการให้คนรู้แน่ชัดว่า สติหมายถึงอะไร “สติ”เป็นคำที่มีความหมายเป็นนามธรรม เข้าใจได้ยากมาก พูดให้เป็นรูปธรรมแทบจะไม่ได้เลย ฉะนั้น ดิฉันจึงพยายามหาคำที่เป็นรูปธรรมมาใช้ โดยแทนคำว่า “สติ” ด้วย “ตาใจ” เมื่อใช้คำว่า “ตา” แล้ว คนฟังก็จะเข้าใจง่ายขึ้นว่า หากมีตา ย่อมต้องมีการมอง การดู การเห็น ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่า “ตรึง”

และแล้ว “ฐานของสติ” ก็กลายมาเป็น “บ้านของใจ” การเอาสติมาตรึงที่ฐาน จึงเป็นการพาตัวใจกลับบ้าน ซึ่งตาใจต้องมีอาการมองลมหายใจ การเคลื่อนไหว ความรู้สึก ตรงนี้ถ้าใครเข้าอบรมภาควิปัสสนากับดิฉันแล้ว จะเข้าใจดี เพราะชินกับศัพท์แสงที่ดิฉันได้ใช้อยู่ คนยังไม่เคยอ่านงานเขียนหรือเข้าอบรมกับดิฉัน จะงงหน่อย

“การขาดสติ” ภาษาที่เป็นรูปธรรมก็คือ การที่ตัวใจหลงทางในป่าดงดิบของความคิด ความรู้สึกของเรา เป็นต้น เมื่อมีการชี้แนะนิดหน่อยจากการเข้าอบรมภาควิปัสสนาแล้ว ผู้ทำก็จะรู้แน่ชัดว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า มีสติอยู่กับฐาน หรือ ทำอย่างไรจึงจะให้ตัวใจอยู่ติดบ้านได้

อวดอุตริ

คำว่า “อวดอุตริ” ซึ่งถูกนำมาใช้กันบ่อยๆ ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่ถูกเข้าใจผิดเพราะ Lost in translation อีกเช่นกัน ยุคนี้ ใครไม่เห็นด้วยอะไรกับใครในเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า เอะอะก็ไปหาว่าคนนั้นคนนี้อวดอุตริ หลงตัวเอง ที่จริงแล้ว คำว่า “อวดอุตริ” มาจากวลีเต็มๆสองวลีคือ “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” กับ “อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน” “มนุสธรรม” หมายถึงธรรมที่อยู่เหนือโลก ซึ่งหมายถึง พระนิพพาน

พระบรมศาสดาจึงปรับโทษถึงขั้นปาราชิกต่อภิกษุสงฆ์ที่ “อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน” คือ ไม่มีสภาวธรรมที่อยู่เหนือโลกในตนเองจริง แต่มาอ้างว่ามีนี่ อันตรายมาก ต้องจับสึก
(เช่น พาหิยะ ไปเที่ยวหลอกชาวบ้านว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์เพื่อต้องการลาภ สักการะ ถึงจุดหนึ่ง สำนึกผิด จึงตามหาพระพุทธเจ้าเพื่อต้องการเรียนรู้จากท่านและต้องการเป็นพระอรหันต์จริงๆ เรื่องของพาหิยะก็เป็นต้นตอให้เกิดคำสอนเรื่อง สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ หรือ “มองทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง” ซึ่งวลีเหล่านี้ ดิฉันสามารถสอนให้คนทำเป็นรูปธรรมได้อย่างแท้จริง อันเป็นเนื้อหาของการฝึกเข้าบ้านที่สี่ หรือ รับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ )

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครมีมนุสธรรมที่มีในตนแล้ว จำเป็นต้อง “อวดอุตริ” เพราะถ้าไม่ทำแล้ว จะช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้อยู่รอดได้อย่างไรเล่า พระอรหันต์เปรียบเหมือนไกด์นำทางคนไปนิพพาน ถ้าไกด์ไม่บอกลูกทัวร์ว่าจะพาพวกเขาไปไหน ทำไมจึงต้องไป ไม่บอกสรรพคุณว่าตัวเองได้ไปมาแล้ว เป็นสถานที่ที่มีวิวสวยมากนะ เห็นมาแล้วกับตา คุณคิดว่าลูกทัวร์จะยอมเดินตามไกด์หรือไม่ มัวแต่มามุบมิบๆ พูดไม่ได้ แล้วจะมาพาคนไปนิพพานได้อย่างไร

ถ้าคุณไปอ่านประวัติของพระไตรปิฎก หลังพุทธกาลแล้ว ก็ยังมีการบันทึกลงไปว่า คนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์อยู่ และพระอรหันต์เหล่านี้ก็เป็นผู้มีบทบาทในการทำสังคยนาพระไตรปิฎกทั้งสิ้น พระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ. ๒๐๐ กว่าๆ ต้องพึ่งพาพุทธสาวกที่เป็นพระอรหันต์เพื่อช่วยประกาศพระศาสนาออกนอกประเทศอินเดียแน่นอน ถ้าพระอรหันต์ไม่เปิดเผยตัวเองเพราะไม่อยากให้คนตราหน้าว่า “หลงตัวเอง” แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่ได้อยู่รอดจนถึง ๒๕๕๓ ปีแน่นอน หมดไปนานแล้ว แต่เพราะมีการ “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” จึงยังมีคนรู้แก่นธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาในเรื่องพระนิพพานอยู่ แม้ทุกวันนี้ก็ตาม เพราะมี “ผู้รู้จริง” คำสอนเรื่องการหลุดพ้นจากความทุกข์ หรือไปให้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานจึงกลับมีชีวิตขึ้นมาอีก ไม่งั้น ก็ถูกเปลือกกะพี้ กาฝากของศาสนาฝังไปแล้ว

ฉะนั้น เรื่อง “อวดอุตริ” นี่ ขออย่าไปพูดตามขี้ปากของคนอื่นเลย หรือพูดเพราะความหมั่นไส้ ขอให้ใช้ปัญญาคิดตามอย่างมีเหตุผล และเชื่อตัวเองเสียบ้าง คนที่กล้าออกมา “อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้นั้นเป็นฆราวาสด้วย และอาจจะเป็นเพศหญิงที่อยู่ในสถานะแม่บ้านที่มีครอบครัวแล้วด้วย คุณต้องรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะพลังแห่งความเมตตาแล้ว ไม่มีใครอยากเอาหัวตัวเองออกมาให้คนสับเล่นหรอก แค่สู้รบปรบมือกับปัญหาในครอบครัวตัวเอง คนรอบข้างและทำมาหารับประทานก็แทบกระอักเลือดแล้ว อยู่เงียบๆอย่างสงบ ตายอย่างสงบ แม้หลังตายก็รู้ว่าจะสงบไม่ดีกว่าหรือ ใครอยากหาเหามาใส่หัวตัวเองอีก แต่ที่เขากล้าทำก็เพราะเขาเห็นว่า หาก “ผู้รู้จริง” ไม่พูดอะไรเสียเลย คนหมู่มากจะขาดประโยชน์ เปิดโอกาสให้คนตาบอดจูงคนตาบอดไปตกเหวกันหมด

สรุป

สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการโยงรายละเอียดอันเป็นความรู้ที่กระจัดกระจายที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจเพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นความสามารถของ “ผู้รู้จริง” เท่านั้นที่จะทำได้ ดิฉันเห็นว่าสิ่งที่ดิฉันทำในเรื่องนี้เป็นการเกื้อกูลมนุษยชาติอย่างแท้จริง แม้มนุษย์จะแตกต่างกันที่สีผิว ต่างเชื้อชาติ มีความเชื่อทางศาสนาแตกต่างกันก็ตาม แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มนุษย์ล้วนมีส่วนประกอบที่เป็นขันธ์ ๕ เหมือนกันหมด ย่อมสามารถเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดได้เท่าเทียมกันหมดเช่นกัน

มาถึงจุดนี้ คุณต้องเริ่มใช้ภูมิปัญญา วิจารณญาณ รวมทั้งเหตุผลเพื่อสรุปให้ตนเองว่า สิ่งที่ดิฉันพูดในบทนี้เป็นคำพูดและการวิเคราะห์ของ “ผู้รู้จริง” หรือไม่ ซึ่งคุณเท่านั้นที่จะตอบตัวเองได้ ฉะนั้น คุณต้องวางใจเป็นกลางมาก ต้องอย่ามีอคติแม้เพียงนิดเดียวอยู่ในใจ และพยายามเคารพต่อเหตุผลที่ดิฉันค่อยๆนำเสนอ ถึงจุดนี้ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเอง อย่าวิ่งไปถามคนอื่น เพราะดิฉันพยายามช่วยให้คุณเป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างแท้จริงตามคำสอนของพระบรมศาสดาในเรื่อง ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18: :b25: :b26: :b28:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2010, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 04:16
โพสต์: 40

แนวปฏิบัติ: แนวนั่ง แนวนอน แนวดิ่ง แนวๆๆๆ
งานอดิเรก: อยู่ไม่เฉย
สิ่งที่ชื่นชอบ: การ์ตูน เรื่องจะเอาอะไรกับผม
ชื่อเล่น: อาร์ต
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากบอกเธอเหลือเกินว่า กรุณาอย่าใช้ตรรกะ มาพิจารณาธรรม
โอ๊...เย โอ๊เย โอ๊ๆ เย....
:b21: :b21: :b21:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร