วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 17:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะภพภูมิต่างกัน จึงไม่สำเร็จเพียงอนุโมทนาฝ่ายเดียว ต้องอาศัยญาติอุทิศ

ส่วนบุญให้ จึงสำเร็จ คือ พ้นจากสภาพทุกข์ทรมาน แต่ในภพมนุษย์และเทพ

สามารถมีกุศลจิตอนุโมทนาได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยผู้ทำบุญอุทิศให้
จาก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 460
ทุกขธรรมสูตร ( อรรถกถา )
บทว่า ทนฺโธ ภิกฺขเว สตุปฺปาโท ความว่า การเกิดขึ้นแห่งสตินั้นแล ช้า
แต่เมื่อสตินั้นพอเกิดขึ้นแล้ว ชวนจิตก็จะแล่นไป
กิเลสทั้งหลายก็จะถูกข่มไว้ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้.
อธิบายว่า ในจักษุทวาร เมื่อกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว
เพราะทราบโดยวาระแห่งชวนจิตที่สองว่า
กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ชวนจิตสหรคตด้วยสังวรก็จะแล่นไปในวาระแห่งชวนจิตที่สาม
ก็ข้อที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา พึงข่มกิเลสทั้งหลายได้
ในวาระแห่งชวนจิตที่สามไม่ใช่เรื่อง น่าอัศจรรย์เลย.

อนึ่งในจักษุทวาร เมื่ออิฏฐารมณ์ ( อารมณ์ที่น่าปรารถนา ) มาสู่คลอง
ภวังคจิตก็จะไหว ครั้นเมื่ออาวัชชนจิตเป็นต้นเกิดขึ้น ก็จะห้าม
วาระแห่งชวนจิตที่มีกิเลสคละเคล้าเสีย ต่อจากโวฏฐัพพนจิตแล้ว
ให้วาระแห่งชวนจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแทนทันที.
ก็นี้เป็นอานิสงส์ของการที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา
ดำรงมั่นอยู่ในการพิจารณาภาวนา.
ท่านอธิบาย สติเกิดขึ้นช้า คือในชวนะทางปัญจทวาร ๗ ขณะ เป็นอกุศล

ชวนะทางมโนทวารวาระแรกก็เป็นอกุศล ชวนะวาระที่ ๓ จึงเป็นกุศล คือ

มีสติเกิดร่วมด้วย ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว..
ชวนะ วาระเดียวกัน ๗ ขณะ ต้องมีอารมณ์เดียวกัน เป็นอกุศลเหมือนกันครับ
วันมาฆบูชา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)

วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มี

เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีการประชุมพร้อม

กันด้วยองค์ ๔ ประการ ได้แก่

๑. เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร

๒. ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันที่พระวิหารเวฬุวัน (อารามแห่งแรกในพระพุทธ

ศาสนา พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ถวาย) โดยเป็นการมาตามธรรมดาของตน ๆ ไม่มีใคร

นัดหมาย

๓. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่เป็นปุถุชน หรือ พระโสดาบัน พระ

สกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ ภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระ

อรหันต์ผู้ได้อภิญญาหกทั้งนั้น

๔. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป มิได้ปลงผมด้วยมีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ทั้งหมดล้วน

เป็นเอหิภิกขุ (คือได้รับการอุปสมบทจากพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระองค์ทรงเปล่ง

พระวาจาว่า เอหิ ภิกขุ = เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจง

ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด)

และในวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระภิกษุทั้งหลาย

มีว่า การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การยังจิตของตนให้ผ่องใส เป็นต้น

สำหรับโอวาทปาติโมกข์นั้น เป็นพระโอวาทคาถา ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรง

แสดงเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน

ในวันมาฆบูชานี้เอง ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่

ภิกษุทั้งหลายนั้น ท่านพระสารีบุตร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อได้ฟังพระธรรม

เทศนาชื่อว่า ทีฆนขสูตร (มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

แสดงแก่ทีฆนขปริพาชก (ผู้เป็นหลานของท่านพระสารีบุตร) ณ ถ้ำสุกรขาตา เขา-

คิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ดังนั้น ในวันมาฆบูชานี้ จึงเป็นวันที่ท่านพระสารีบุตร

ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ด้วย

และอีกประการหนึ่ง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสด็จดับ

ขันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน ๖) เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขาร

ใกล้จะปรินิพพาน ตามข้อความที่ว่า “จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคตจักปรินิพพาน

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาล-

เจดีย์ ”และ ตามข้อความที่ว่า “โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์เดือนมาฆะ (เดือน ๓) พระองค์

ทรงประชุมพระสาวก และ ทรงปลงอายุสังขาร ”

ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้น้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระผู้

มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลกทั้งปวง พร้อมทั้งน้อมประพฤติ

ปฏิบัติตามในคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ด้วยการเป็น

ผู้ไม่กระทำบาป กล่าวคือ อกุศลทุกประเภท ถึงแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรเว้นได้

ก็ควรที่จะเว้น ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ เพราะในขณะที่จิตเป็นกุศล

นั้น ก็ได้ชื่อว่ายังจิตของตนให้ผ่องใสแล้วชั่วขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น พร้อมทั้งจะต้อง

เป็นผู้มีความอดทนต่อทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งจะต้องไม่เบียดเบียนทำ

ร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อนทั้งด้วยกายและวาจา เป็นต้น และประการสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย

นั้น ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตาม

ลำดับ จนกว่าจะมีปัญญาคม เจริญขึ้น กล้าขึ้น ถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวง

ได้ในที่สุด ครับ.

วันมาฆะบูชาเป็นการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓ เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

ในวันนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทุกพระองค์ สำหรับพุทธศาสนิกชนควรศึกษาพระธรรมคำสอน และน้อมประพฤติปฏิบัติ

ตามเป็นประจำ ไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นวันไหน ก็ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำสอน


โอวาทปาฏิโมกข์

" ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึง

พร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอน

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ความอดทนคือความอด

กลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย

ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม, ผู้ทำร้ายผู้อื่น

ไม่ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น

สมณะ. ความไม่กล่าวร้าย ๑ ความไม่ทำร้าย ๑

ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณ

ในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ ความประกอบ

โดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต ๑ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย. "

วันมาฆะบูชา ...

พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร

พระสารีบุตรบรรลุเป็นพระอรหันต์

พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายเป็นเอหิภิกขุ เป็นพระ

อรหันต์ได้อภิญญา

เป็นวันพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์

ทรงแสดงโอวาทปาฎิโมกข์ ทำดี ละชั่ว อบรมจิตให้ผ่องใส

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 485

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ ทรงจบเทศนานี้

แล้วเสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เสด็จไปพระวิหารเวฬุวันได้ทรงประชุมพระสาวก.

ได้มีสันนิบาตประกอบด้วยองค์ ๔. องค์ ๔ เหล่านี้ คือ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ

ขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร ๑ ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันตาม

ธรรมดาของตน ๆ ไม่มีใครนัดหมายมา ๑ ภิกษุเหล่านั้นไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่

เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกกาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

ผู้สุกขวิปัสสก ภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ได้อภิญญาหกทั้งนั้น ๑ มิได้ปลงผมด้วย

มีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ภิกษุทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ๑.
จบอรรถกถาทีฆนขสูตร ที่ ๔


ทรงเปรียบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น แต่ที่ทรงแสดงกับสาวกมี

น้อยเท่ากับใบไม้บนฝ่ามือ เพราะที่ไม่ได้แสดงนั้นไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้น

ของพรหมจรรย์ ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ เป็นหนทางนำไปสู่การดับทุกข์ทั้งหลาย

เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
ให้อภัยทาน เมื่อวานนี้ได้ไปตักบาตร 100 บาตรและตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แล้ว
ไปสนทนาธรรมเป็นชั่วโมง วันนี้ได้อนุโมทนากับผู้ทำบุญที่วัดและมีการเทศนาธรรม
และจะร่วมตั้งผ้าป่าสร้างโรงเรียนได้รวบรวมเงินและอนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมบุญสร้าง
โรงเรียนเป็นพันคน และได้มีงานถวายสังฆทาน ประมาณ 200-300 ชุด
และวันนี้ตั้งใจว่าจะศึกษาการรักษาโรค สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
และวันนี้ได้ร่วมถวายเงินสร้างอาคารเรียนด้วย และอฐิษฐานจิต ขอบอกบุญย้อนหลัง
เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้วได้ร่วมบุญสร้างอาคารเรียนขอสมเด็จพระสังฆราช
มีงานสร้างอาคารเรียนสองงานเลย
กำหนดอิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญร่วมบริจาคตู้พระไตรปิฏก พร้อมตู้ และโต๊ะหมู่บูชา
พระมหาธนภัทร อุตฺตมปญฺโญ
หัวหน้าที่พักสงฆ์วัดป่าอัมพวโนทยาราม (ตลาดสีดา) ต.โพนทอง อ.สีดา จ.นครราชสีมา ๓๐๔๓๐
โทร.๐๘๕-๑๙๘-๒๙๑๑

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุนิพพานด้วยเทอญ :b19:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร