วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ แล้ว ตอนแรกมีการเปลี่ยนใจกระทันหันว่าจะไม่ลงตอนที่ ๔ นี้ เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาเป็นเรื่องที่ออกจะเหลือเชื่อเกินไป หรือเรียกว่ายากที่จะเชื่อว่าเป็นจริงก็ได้ แต่หลังจากมีเพื่อนๆ ทางธรรมถามถึง และติดตามกัน จึงเห็นว่าคงพอนำมาลงให้อ่านได้ เป็นเหตุให้ตอนนี้มาล่าช้าไปครับ ดังนั้นก่อนที่ทุกท่านจะเริ่มอ่าน ผมต้องขอออกตัวก่อนว่า เรื่องต่อไปนี้เป็นผลการปฏิบัติที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นเรื่องจริง เป็นประสบการณ์ตรงส่วนตัวที่ผ่านมา ไม่ได้ยกเมฆแต่อย่างไร เขียนขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เดิม คือ เป็นหลักฐานยืนยันว่าหากเราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ทำจริงๆ จังๆ ต่อเนื่องแล้ว ย่อมจะเห็นผลจริงๆ จังๆ เช่นเดียวกัน, เป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะผู้เป็นฆราวาสครองเรือนว่าก็สามารถจะทำได้, ใช้เนื้อหาไปเทียบเคียงกับสภาวะการปฏิบัติของตนและปริยัติ ฯ จึงขอเตือนผู้อ่านว่าจะต้องใช้วิจารณญาณ และโยนิโสมนสิการพิจารณา อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจริงหรือเท็จประการใด เพียงเพราะมันต่างหรือเหมือนกับความคิดเห็นของเรา หรือสิ่งที่เราเชื่อถืออยู่เท่านั้น ต่อไปนี้ให้คิดเสียว่าเล่าสู่กันฟัง ก็แล้วกันครับ :)

เหมือนเดิมครับ ผู้อ่านสามารถติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่ ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ๔ : สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... on&group=3)

ท้าวความจากคราวที่แล้ว ที่ผมได้ประสบกับมหันตภัยร้าย คือ อาการปวดท้อง และถ่ายท้องอย่างหนัก จนนั่งถ่ายไม่ไหว ต้องนอนถ่าย และถ่ายมากจนหมดสติไปในที่สุด คิดว่าตายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ตาย พร้อมทั้งยังสามารถรักษาศีล ๘ เอาไว้ได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้น ได้ผ่านไปแล้ว แต่การปฏิบัติธรรมยังคงดำเนินต่อไป....

แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะว่าการปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอาการหิว ไม่มีอาการปวดท้องอีก ผมสามารถเดินจงกรมสลับนั่งสมาธิเช้า-เย็นวันละ ๖ ชั่วโมง รวมทั้งถือศีล ๘ ไปด้วยอย่างเดิมได้อย่างสบาย สมาธิก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไปอย่างนี้เดือนแล้ว เดือนเล่าจนกระทั่งผ่านไปได้ประมาณ ๓ เดือน ก็ได้มีประสบการณ์ที่ทำให้จำไม่ลืมขึ้นเกิดขึ้นหลายๆ อย่าง ดังนี้

>>>>>>>>>>>>>
เทให้หมากิน!!! (เครื่องทดสอบความแน่วแน่ของจิตใจครั้งแรกที่ยากมาก)
>>>>>>>>>>>>>

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้กลับไปหาแม่ที่บ้านในช่วงวันหยุด บ้านแม่ตอนนั้นอยู่ อ.เมือง จ.ราชบุรี เป็นคนละอำเภอกับที่ผมทำงาน เวลาไป ผมจะต้องนั่งรถหกล้อมาลงที่ตรงแยกเสียก่อน จากนั้นจะต่อรถเมล์ที่เป็นรถบัสขนาดกลาง โดยระหว่างที่นั่งรถ ก็จะพยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ด้วยการทำความรู้สึกอยู่ที่หน้าท้องไปด้วยว่า "พองหนอ-ยุบหนอๆๆ" แต่ก็จะรู้สึกได้ไม่ค่อยถนัดเท่าไร เพราะรถมันสะเทือน และเป็นเพราะท่าที่นั่งก็ไม่ใช่ท่านั่งขัดสมาธิ เป็นท่านั่งห้อยขาธรรมดา ผมพยายามทำให้เหมือนเป็นการนั่งหลับตาเฉยๆ ปกติ ไม่เหมือนกับคนนั่งสมาธิอะไร เจตนาคือ ไม่ทำสมาธิอวดใคร แต่ผมจะไม่ทำสมาธิก็ไม่ได้ ผมก็พยายามทำไปอยู่อย่างนี้เนื่องๆ ตลอดทาง

เพราะการปฏิบัติ "สติปัฏฐานสี่แบบพม่า" นี้ มีหลักสำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ การพยายามรักษาสติ รักษาการกำหนดรู้ เอาไว้ให้ได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะทำแต่ตอน "ช่วงการปฏิบัติหลัก" ที่แบ่งเอาไว้สำหรับเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิเท่านั้น การปฏิบัติจะต้องทำแม้แต่ในชีวิตประจำวันด้วย เรียกว่า "ช่วงการปฏิบัติทั่วไป" หากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ส่งจิตออกไปนอกกรรมฐานเลย ถ้ามีการเผลอออกไปต่างๆ ก็จะกำหนดรู้ เช่น หากเผลอคิดฟุ้งซ่านก็จะกำหนดรู้ว่า "ฟุ้งซ่านหนอๆ" จนกระทั่งความฟุ้งซ่านดับไป, หากเผลอไปเห็นคนก็จะกำหนดรู้ว่า "เห็นหนอๆ" เป็นต้น จะทำอิริยาบถต่างๆ อะไร ก็จะกำหนดรู้ด้วยชื่ออิริยาบถนั้นแล้วลงท้ายด้วย "หนอ" ทั้งหมด เป็นการปฏิบัติแบบตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับเลย ตรงนี้ถือเป็นข้อดี จุดเด่น จุดแข็งของการปฏิบัติแบบพม่าเลยก็ว่าได้ ซึ่งหากใครทำอย่างนี้ได้อยู่ตลอดรับรองว่าย่อมก้าวหน้าเห็นน้ำเห็นเนื้อกัน

พอผมกลับถึงบ้านไปหาแม่ แม่พอเห็นลูกชายก็ดีใจ (คิดว่านะ) เพราะผมไม่ได้กลับมาหาตั้งนานพอควรแล้ว ตกเย็นแม่ผมก็ทำหน้าที่ของแม่ผู้แสนดี (แต่ดุ) เตรียมทำอาหารให้กับลูกชายทั้ง ๒ คนกิน คือ ผม กับ น้องชาย เราอยู่บ้านกัน ๓ คน ดูเรื่องมันก็น่าจะช่างเรียบง่ายอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เรียบง่ายเลย...

อย่างที่ได้บอกแล้ว ผมนั้นถือศีล ๘ อยู่ จึงไม่กินข้าวตอนเย็นอะไร แต่แม่ได้ทำอาหารเตรียมเอาไว้ นี่แหละเรื่องมันจึงไม่เรียบง่ายเลย เพราะพอตกค่ำ ผมอยู่ในห้องชั้นบน เสียงแม่ก็เรียกให้ผมลงไปกินข้าว แต่ผมนั้นไม่กิน แต่ก็ไม่รู้จะบอกแม่อย่างไร ไม่กล้าบอกแม่ แม่ก็เรียกซ้ำหลายครั้ง ผมก็เลยบอกไปว่า "ผมไม่กิน" ด้วยเสียงอันดังพอควร แม่แกก็ถามย้ำว่าทำไมไม่กิน ผมก็บอกไปทำนองให้แม่รู้ว่าผมไม่กินอย่างแน่นอนอีก แม่ก็บ่นๆ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่กิน ก็จะเทให้หมามันกิน!!" ทำนองนี้ ผมก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ผมก็ทำการนั่งสมาธิอยู่ในห้องของผมไปอย่างที่ควรจะทำ แต่จิตมันก็ไม่สงบหรอก มันคิดถึงคำแม่ สงสารแม่ขึ้นมา คิดอยู่สองจิตสองใจว่าเราทำถูกหรือเปล่า จะไปกินหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าทำถูกแล้ว ที่ไม่ไปกิน โดยระหว่างนั้นไม่รู้เลยว่า แม่แกไม่ได้พูดเฉยๆ แต่พูดจริงทำจริงด้วย แม่เอาข้าวและกับข้าวที่ทำเอาไว้ไปเทในจานข้าวหมา ที่เป็นหมาของคนข้างบ้านกินจริงๆ ผมมารู้เอาตอนลงมาข้างล่างหลังจากออกมาจากห้องแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น แม่เขาก็ยังร้องไห้ด้วย เรื่องร้องไห้นี่ผมมารู้ทีหลัง...

>>>>>>>>>>>>>>>>>
ทิพพจักขุ ตาทิพย์
>>>>>>>>>>>>>>>>>

เมื่อผ่านพ้นวันหยุดไป เข้าสู่วันทำงานวันแรกของสัปดาห์ ตอนเช้ามืด ผมออกจากบ้านแม่ และก็มานั่งรถเมล์ขนาดกลางเพื่อเดินทางจะมาที่พัก จะได้เอาของไปเก็บแล้วเตรียมตัวไปทำงาน ระหว่างที่นั่งรถมา ผมนั่งอยู่เบาะที่สองนับจากหน้ารถฝั่งประตูขึ้นลง ก็ทำเช่นเดิม คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ทำความรู้สึกระลึกรู้อยู่ที่ท้องน้อย ว่า "พองหนอ-ยุบหนอๆๆ" เช่นเดิม แต่ที่นี้ไม่เหมือนเดิม ผมทำไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ จนกระทั่งว่าจิตสงบลงไปเข้าสู่ภวังค์ แล้วหลังจากนั้นจิตมีความเอะใจขึ้นมาว่า "จะถึงแล้วหรือยัง..." หลังจากนั้น ต่อเนื่องกัน เรียกว่าแทบจะพร้อมกันก็ว่าได้ จิตก็มีความน้อมไปที่อยากจะเห็นว่าตอนนี้รถบัสมาถึงตรงไหน อยู่ที่ไหน เพียงเท่านั้นที่จิตน้อมไปเช่นนั้น ภาพของเส้นทางรถ ที่รถเมล์กำลังแล่นอยู่ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นทันที

ภาพที่เห็นนั้น เป็นภาพชัดเหมือนกับลืมตาเห็น เรียกว่า ยิ่งกว่าตาปัจจุบันผมเห็นเสียด้วย มันชัดเจนมากๆ จนบรรยายได้ยาก แต่มีจุดต่างกันกับการเห็นภาพปกติ ตรงที่ขอบหรือกรอบของภาพที่กำลังเห็นนั้น จะเป็นวงกลมๆ เส้นของวงกลมล้อมรอบไปด้วยสีรุ้ง หรือหากมีคำศัพท์เฉพาะน่าจะเป็นสีประกายพฤษ์ ต่อจากขอบสีรุ้งนั้นก็จะเป็นสีดำ เล่าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับเอากระดาษสีดำมาแผ่นหนึ่ง แล้วในกระดาษนั้นมีวงกลมสีขาวขนาดพอประมาณอยู่ตรงกลาง เส้นขอบของวงกลมจะเป็นสีรุ้ง หรือสีประกายพฤษ์....

ในตอนนั้นผมไม่มีเวลามาสนใจหรอกว่าสิ่งที่เห็น ผมเห็นได้อย่างไร หรือเป็นทิพพจักขุหรือเปล่า เพราะตอนนั้น ภาพที่ปรากฏขึ้นทำให้ไม่มีเวลาไปสนใจนั่นเอง คือ ภาพรถกำลังจะเลี้ยวโค้งตรงสามแยก เลยจุดที่ผมจะต้องลงเสียแล้ว ผมจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องว่าทำไมถึงเห็นได้ มีเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นหลังจากรับรู้ภาพแล้ว คือ การเอะใจขึ้นมาด้วยคำว่า "จะถึงแล้วนี่" ...

หลังจากนั้น ผมจึงได้รีบถอนออกจากสมาธิ แต่ผมไม่สามารถออกจากสมาธิได้ทันทีต้องค่อยๆ ออก แต่การออกเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าทุกครั้ง พอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นภาพของรถเมล์กำลังจะแล่นเลยจุดที่ผมจะต้องลงเสียแล้วจริงๆ เหมือนกับที่ได้เห็นในสมาธิเมื่อครู่นี้ ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้น ว่าทำไมภาพถึงเหมือนกับที่ผมเห็นในสมาธิเมื่อสักครู่นี้เลย แต่ไม่มีเวลาสนใจไปมากกว่านี้ ผมรีบลุกขึ้น แล้วบอกคนขับว่าจะลงแล้ว จากนั้นรถก็ได้เลี้ยวโค้งเลยแยกไปนิดหนึ่งแล้วก็จอด...ผมก็จึงได้ลงจากรถ

ระหว่างที่เดินลงจากรถ ผมต้องเดินย้อนกลับมาไกลพอสมควร เพื่อจะรอรถต่อกลับไปที่ห้องเช่า ระหว่างที่เดินตลอดจนยืนรอรถอยู่ก็พินิจพิเคราะห์ถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น กับความรู้เท่าที่มีและสภาวะที่ปรากฏ ยังจำได้ดี จึงได้รู้คำตอบว่านั้น คือ การเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เป็นทิพพจักขุ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ เนื่องจากตอนนั้นมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก และไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงมาก่อน...

ตอนที่ ๔ นี้ ขอเล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรมแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ เพราะไม่เช่นนั้นจะยาวมากจนเกินไป เดี๋ยวจะเบื่อกันเสียก่อน ตอนต่อไปจะเป็นประสบการณ์การปฏิบัติที่สำคัญมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น หากผู้อ่านสนใจ ขอให้ติดตามอ่านกันต่อไปนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =3&gblog=4


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร