วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 17:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเมื่อมี "ปัจจัยปรุงแต่ง" เท่านั้น

ซึ่งภาษาบาลีเรียก (ปัจจัยปรุงแต่ง) ว่า

"สังขารธรรม"


.


เช่น "การเห็น" ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

ถ้าไม่มี "จักขุปสาทรูป" และ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" (รูปารมณ์)


.


เช่น "เสียง"

เกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป

สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ย่อมดับไป เมื่อเหตุปัจจัยดับไป.


บางครั้ง เราเข้าใจว่า เสียงยังดังอยู่

แต่ที่คิดว่าเสียงยังดังอยู่นานนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว

เป็นรูป (เสียง-สัททรูป) ที่เกิด-ดับ-สืบต่อกันหลายขณะ.


.


ปรมัตถธรรมที่ ๔ คือ "นิพพาน"

นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส

นิพพาน เป็นอารมณ์ที่รู้แจ้งได้ทางมโนทวาร (เท่านั้น)


.


เมื่อประพฤติปฏิบัติตาม "หนทางที่ถูกต้อง"

ก็จะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ นิพพาน

หนทางที่ถูกต้อง หมายถึง การอบรมเจริญปัญญา

เพื่อรู้แจ้ง "ลักษณะของสภาพธรรม"

ตามปกติ ตามความเป็นจริง.


.


นิพพาน เป็น นามธรรม

แต่ นิพพาน ไม่ใช่ จิต และ เจตสิก

เพราะสภาพธรรมที่เป็น นิพพาน ไม่เกิดและไม่ดับ

นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มี "ปัจจัยปรุงแต่ง"

ซึ่งภาษาบาลี เรียกว่า "วิสังขารธรรม"


นิพพาน ไม่เกิด เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง

เพราะฉะนั้น นิพพานจึงไม่ดับ.


จิต และ เจตสิก เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์

นิพพาน เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์

แต่ นิพพาน เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกได้.!.


นิพพาน เป็น อนัตตา

คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน.


.


เพราะฉะนั้น

ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง มี ๔ ประเภท

คือ

รูปปรมัตถ์ จิตปรมัตถ เจตสิกปรมัตถ์ นิพพานปรมัตถ์


จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ เป็น "สังขารธรรม"

(หมายถึง สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีการเกิดขึ้น และดับไป

และ เป็น อนัตตา เพราะว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน)


แต่ นิพพาน เป็น "วิสังขารธรรม"

(หมายถึง สภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เกิด จึงไม่ดับ

และ เป็น อนัตตา เพราะว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน)


.


เมื่อศึกษาพระธรรม

จำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า

สภาพธรรมใด เป็นปรมัตถธรรมประเภทใด

มิฉะนั้นแล้ว "คำสมมติ-บัญญัติ" ต่าง ๆ

อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดได้

ตัวอย่างเช่น

เราควรเข้าใจว่า สภาพธรรมที่เรียกว่า "ร่างกาย" เป็นต้นนั้น

เป็น รูปปรมัตถ์


.


นิพพาน เป็น "สภาพธรรมที่ดับสังขารธรรมทั้งปวง"

เพราะฉะนั้น

พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพาน จึงไม่มีการเกิดอีกเลย.


.

"สังขารธรรม"

คือ

จิต เจตสิก รูป

เป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง (อนิจจัง)

และเป็นสภาพธรรมเป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง (เกิด-ดับ)


.


ธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา

หมายความว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

(สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา)

เพราะฉะนั้น

"สังขารธรรม" ทั้งหลาย ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์.


.


แต่ ธรรมทั้งหลาย

คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน (วิสังขารธรรม)

เป็น อนัตตา


เรื่องการฟังพระธรรมนั้นสำคัญมากเพราะการฟังธรรมนั้น
จะเกิดปัญญาให้สะสมไปในภพหน้าได้ เหมือนเมื่อได้ยินเสียงกลองแล้ว
ไม่ว่านานเท่าไหร่ถ้าได้ยินขึ้นมาอีกก็สามารถจำได้
และการเจริญวิปัสสนา และสมถะก็สะสมเช่นเดียวกับ เห็นไหมว่า
การฟังธรรม เจริญวิปัสสนา เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้นควรฟังธรรม กันเถอะ

เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
ตื่นแต่ดึกสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย
เจริญอนุสติ 6 อย่าง และได้อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง
ได้กรวดน้ำ ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ และเมื่อวานนี้ คุณป้าได้
ทำข้าวต้มมัดเยอะมากไปแจกเด็กเป็นหลายพันคน และที่ผ่านมาได้ไปบอกบุญกับเพื่อน ประมาณ 40 กว่าคนได้ช่วยกันบอกบุญ ได้ มาประมาณ 10000 กว่าบาท
เสร็จแล้วก็เอาไปซื้อของเล่นขนม อุปกรณืการศึกษา และเสณ็จแล้วก็
ไปที่ศูนญื เลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมีประมาณ หลายร้อยชีวิต ได้ดูแลเด็ก ให้เด็กเพลิดเพลิน สนุก และได้เลี้ยงอาหารเด็กด้วย และที่ผ่านมานั้นได้มีรถวิ่งมาชน
ในขณะที่ขับรถซึ่งรถที่วิ่งมาชนนั้นวิ่งมาผิดเลน รถก็พังยับเยินแต่ดีนะที่ตัวเองไม่เป็นอะไรมากแค่มีแผลตามตัว ในขณะนั้นก็ให้อภัยแก่คนขับรถและไม่เอาค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นเราบาดเจ็บแค่นี้ดีกว่าเสียชีวิตไม่เป็นอะไรหรอกเราไม่เอาผิดกับคุณหรอก และเมื่อวานนี้ได้เดินจงกรมหลายชั่วโมง และนั่งสมาธิ เสร็จแล้วก็เจริญอนุสติ 8 อย่าง และฟังธรรมจนหลับอบ่างมีสติ และวันนี้ตั้งใจว่าจะเดินจงกรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ กำหนดอิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2009, 12:55
โพสต์: 36

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุๆ :b8: :b8: อนุโมทนาด้วยครับ
นิพพาน ๆ นิพานไม่เกิดจึงไม่ต้องดับ :b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b5:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขออนุญาตให้ความเห็นเป็นประเด็นๆค่ะ

จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเมื่อมี "ปัจจัยปรุงแต่ง" เท่านั้น ซึ่งภาษาบาลีเรียก (ปัจจัยปรุงแต่ง) ว่า "สังขารธรรม"

เช่น "การเห็น" ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มี "จักขุปสาทรูป" และ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" (รูปารมณ์)

เช่น "เสียง" เกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัย เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป

สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ย่อมดับไป เมื่อเหตุปัจจัยดับไป.

บางครั้ง เราเข้าใจว่า เสียงยังดังอยู่ แต่ที่คิดว่าเสียงยังดังอยู่นานนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นรูป (เสียง-สัททรูป) ที่เกิด-ดับ-สืบต่อกันหลายขณะ.


เห็นด้วยค่ะ


อ้างคำพูด:
ปรมัตถธรรมที่ ๔ คือ "นิพพาน" นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส นิพพาน เป็นอารมณ์ที่รู้แจ้งได้ทางมโนทวาร (เท่านั้น)


นิพพานรู้แจ้งในทุกสิ่งที่เหนือทุกสิ่งค่ะ


อ้างคำพูด:
เมื่อประพฤติปฏิบัติตาม "หนทางที่ถูกต้อง" ก็จะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ นิพพาน
หนทางที่ถูกต้อง หมายถึง การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้ง "ลักษณะของสภาพธรรม" ตามปกติ ตามความเป็นจริง.


หนทางที่ถูกต้องคือทางสายกลางที่แท้ค่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ใช่มีศีล มีสมาธิ แล้วมีปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าพระนิพพาน แต่ต้องกระทำกรรมในขณะเป็นเราด้วยค่ะ กรรมเพื่อเป็นการตัดกรรมและตัดกิเลส กรรมเพื่อเป็นการเพิ่มบุญ และกรรมเพื่อใช้วิบากค่ะ


อ้างคำพูด:
นิพพาน เป็น นามธรรม แต่ นิพพาน ไม่ใช่ จิต และ เจตสิก เพราะสภาพธรรมที่เป็น นิพพาน ไม่เกิดและไม่ดับ นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มี "ปัจจัยปรุงแต่ง" ซึ่งภาษาบาลี เรียกว่า "วิสังขารธรรม" นิพพาน ไม่เกิด เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น นิพพานจึงไม่ดับ


นิพพานคือนิพพานค่ะ ไม่ใช่นามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม สภาวะของพระนิพพานอยู่สูงกว่านั้นค่ะ

พระนิพพานเป็นจิตค่ะ จิตมหาศาลเกินจินตนาการเชียวล่ะค่ะ อจินไตยน่ะค่ะ เป็นสภาพเหนือปัจจัยปรุงแต่งค่ะ

นิพพานเหนือสภาวะเกิดดับค่ะ มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี ว่างก็เหมือนไม่ว่าง ไม่ว่างก็เหมือนว่าง


อ้างคำพูด:
จิต และ เจตสิก เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์ นิพพาน เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ แต่ นิพพาน เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกได้.!. นิพพาน เป็น อนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน.


พระนิพพานรู้ทุกอารมณ์และความรู้สึกค่ะ อย่างที่บอก พระนิพพานไม่ใช่นามธรรม เพราะอยู่เหนือกว่านั้นค่ะ พระนิพพานยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นอารมณ์ของจิตค่ะ

พระนิพพาน เป็น อัตตา ค่ะ อัตตาคือการมีอยู่จริงที่เปบี่ยนแปลงไม่ได้

อัตตามีสองนัยค่ะ คือ truth ที่ยังไงก็จริงก็มีอยู่ และ ความเป็นตัวตน ค่ะ


อ้างคำพูด:
เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง มี ๔ ประเภท คือ รูปปรมัตถ์ จิตปรมัตถ เจตสิกปรมัตถ์ นิพพานปรมัตถ์


รูปปรมัตถ์ คือ (พระ)อรหันต์ - รู้แจ้งและได้รับสิ่งที่สุดในรูป

จิตปรมัตถ์ คือ พระโพธิสัตว์ - รู้แจ้งและได้รับสิ่งที่สุดในจิต

เจตสิกปรมัตถ์ คือ พระมหาโพธิสัตว์ - รู้แจ้งและได้รับสิ่งที่สุดในทุกปัจจัย

นิพพานปรมัตถ์ คือ พระนิพพาน - รู้แจ้งและได้รับสิ่งที่สุดของทุกที่สุด อจินไตยค่ะ


อ้างคำพูด:
จิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ เป็น "สังขารธรรม" (หมายถึง สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีการเกิดขึ้น และดับไป และ เป็น อนัตตา เพราะว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน)

แต่ นิพพาน เป็น "วิสังขารธรรม" (หมายถึง สภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เกิด จึงไม่ดับ และ เป็น อนัตตา เพราะว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน)


ทั้งสามปรมัตถ์นั้น เป็นสังขารธรรมค่ะ แต่เป็นอัตตาค่ะ สภาวะของทั้งสามปรมัตถ์ เป็น อัตตา ค่ะ

พระนิพพาน เป็น วิสังขารธรรม แต่เป็นอัตตาค่ะ สภาวะที่เป็นจริงตลอดกาล เป็นอัตตาค่ะ อัตตามีสองนัยค่ะ

อ้างคำพูด:
เมื่อศึกษาพระธรรม จำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า สภาพธรรมใด เป็นปรมัตถธรรมประเภทใด มิฉะนั้นแล้ว "คำสมมติ-บัญญัติ" ต่าง ๆ อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดได้

ตัวอย่างเช่น
เราควรเข้าใจว่า สภาพธรรมที่เรียกว่า "ร่างกาย" เป็นต้นนั้น เป็น รูปปรมัตถ์


ถ้าศึกษาธรรม ก็ควรเข้าใจสภาวะธรรมค่ะ แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วเข้าถึงธรรม เราจะเข้าใจได้เองค่ะ ถือศีล ทำสมาธิ ค่ะ ทำใจให้เบิกบานโดยเติมพรหมวิหารสี่


อ้างคำพูด:
นิพพาน เป็น "สภาพธรรมที่ดับสังขารธรรมทั้งปวง" เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพาน จึงไม่มีการเกิดอีกเลย.


พระนิพพานมีสองชั้นค่ะ ชั้นแรกไม่ดับขั้น ก็พระมหาโพธิสัตว์ อีกชั้นก็ดับขั้น เกิดไม่เกิด แล้วแต่พระนิพพานกำหนดค่ะ

อ้างคำพูด:
"สังขารธรรม" คือ จิต เจตสิก รูป เป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง (อนิจจัง) และเป็นสภาพธรรมเป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง (เกิด-ดับ)


เห็นด้วยค่ะ

อ้างคำพูด:
ธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา) เพราะฉะนั้น "สังขารธรรม" ทั้งหลาย ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ แต่ ธรรมทั้งหลาย คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน (วิสังขารธรรม) เป็น อนัตตา


ธรรมทั้งหลายเป็นอัตตาค่ะ คือมีอยู่ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลงการมีอยู่ แต่สภาพของแต่ละสภาวะธรรม ไม่เที่ยง ก็เป็นอนัตตา


อ้างคำพูด:
เรื่องการฟังพระธรรมนั้นสำคัญมากเพราะการฟังธรรมนั้น
จะเกิดปัญญาให้สะสมไปในภพหน้าได้ เหมือนเมื่อได้ยินเสียงกลองแล้ว
ไม่ว่านานเท่าไหร่ถ้าได้ยินขึ้นมาอีกก็สามารถจำได้
และการเจริญวิปัสสนา และสมถะก็สะสมเช่นเดียวกับ เห็นไหมว่า
การฟังธรรม เจริญวิปัสสนา เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้นควรฟังธรรม กันเถอะ


จิตจะรับและจดจำแต่ facts ค่ะ ไมเกี่ยวกับปัญญา ปัญญาเกิดได้จากการปฏิบัติธรรมอย่างเดียว คือ ถือศีล ทำสมาธิ ค่ะ

อ้างคำพูด:
เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
ตื่นแต่ดึกสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย
เจริญอนุสติ 6 อย่าง และได้อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง
ได้กรวดน้ำ ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ และเมื่อวานนี้ คุณป้าได้
ทำ ข้าวต้มมัดเยอะมากไปแจกเด็กเป็นหลายพันคน และที่ผ่านมาได้ไปบอกบุญกับเพื่อน ประมาณ 40 กว่าคนได้ช่วยกันบอกบุญ ได้ มาประมาณ 10000 กว่าบาท
เสร็จแล้วก็เอาไปซื้อของเล่นขนม อุปกรณืการศึกษา และเสณ็จแล้วก็
ไป ที่ศูนญื เลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมีประมาณ หลายร้อยชีวิต ได้ดูแลเด็ก ให้เด็กเพลิดเพลิน สนุก และได้เลี้ยงอาหารเด็กด้วย และที่ผ่านมานั้นได้มีรถวิ่งมาชน
ในขณะที่ขับรถซึ่งรถที่วิ่งมาชนนั้น วิ่งมาผิดเลน รถก็พังยับเยินแต่ดีนะที่ตัวเองไม่เป็นอะไรมากแค่มีแผลตามตัว ในขณะนั้นก็ให้อภัยแก่คนขับรถและไม่เอาค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นเราบาดเจ็บแค่ นี้ดีกว่าเสียชีวิตไม่เป็นอะไรหรอกเราไม่เอาผิดกับคุณหรอก และเมื่อวานนี้ได้เดินจงกรมหลายชั่วโมง และนั่งสมาธิ เสร็จแล้วก็เจริญอนุสติ 8 อย่าง และฟังธรรมจนหลับอบ่างมีสติ และวันนี้ตั้งใจว่าจะเดินจงกรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ กำหนดอิริยาบทย่อย ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


อนุโมทนาค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร