วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 05:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

จริต หรือ จริยะ
จริต เรียกว่า จริยะ ก็ได้นั้น คือความประพฤติจนชินเป็นนิสัย ซึ่งมีต่าง ๆ กัน ๖ อย่าง ดังคาถาที่ ๕ แสดงว่า ๕. ราโค โทโส จ โมโห จ สทฺธา วิตกฺก พุทฺธิโย อิเมสํ ฉนฺนํ ธมฺมานํ วสา จริต สงฺคโห ฯสงเคราะห์จริต ตามอำนาจแห่งธรรมนั้น มี ๖ คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต สัทธาจริต และพุทธิจริต
มีอธิบายว่า ที่มนุษย์มีจริตต่าง ๆ กัน ก็เนื่องมาจากการบำเพ็ญบุญกุสลแต่ชาติปางก่อนนั้น ได้กระทำไปไม่เหมือนกัน จึงได้รับผลไม่เหมือนกัน กล่าวคือ

๑. ในขณะที่กำลังบริจาคทาน รักษาสีล หรือเจริญภาวนาอยู่นั้น จิตใจปรารภไปในการมีหน้ามีตา ได้ชื่อเสียง ได้เสวยมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติเหล่านี้เป็นต้น อันเป็นตัวตัณหาราคะ ครุ่นคิดไปในการถือเนื้อถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ อันเป็นตัวมานะหรือน้อมใจไปในการถือว่าเป็นตัวตน เราเขา อันเป็นตัวทิฏฐิ กุสลที่เจือปนด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้นมีราคจริต

อีกนัยหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่จุติมาจากสวรรค์ หรือ จุติมาจากเปรต จากอสุรกายนั้น โดยมากเป็นผู้ที่มีราคจริตผู้ที่มีราคจริตนั้น ธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ นั้นมีกำลังเสมอทัดเทียมกัน

๒. ถ้าในขณะที่บำเพ็ญบุญกุสลนั้นเกิดมีความขุ่นเคือง เสียใจ เสียดาย อิสสา ริษยา รำคาญ เกิดขึ้นในจิตใจด้วยกุสลที่เจือปนกับ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ เช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้น มีโทสจริต

อีกนัยหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมมากไปด้วยการฆ่า การทำลาย การจองจำมาในชาติก่อน หรือว่า จุติมาจากนรกนั้น โดยมากเป็นผู้ที่มีโทสจริตผู้ที่มีโทสจริตนั้น เตโชธาตุและวาโยธาตุ มีกำลังมาก

๓. ถ้าในขณะที่บำเพ็ญบุญกุสลนั้น ทำไปโดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลในการกระทำ เพียงแต่ทำไปตามธรรมเนียมที่เคยทำกันมา ทำไปตามสมัยนิยม หรือเกิดสงสัยในผลของกุสลนั้นขึ้นมา บางทีก็คิดฟุ้งไปในเรื่องอื่น จิตใจไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ในการกุสลที่กำลังทำนั้นเลย กุสลที่เจือปนด้วยโมหะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ เช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้นมี โมหจริต

อีกนัยหนึ่งแสดงว่า ผู้ที่ชาติก่อนเพลิดเพลินในการดื่มน้ำเมาเป็นนิจ ไม่ชอบศึกษา ไม่ไต่ถามสนทนากับบัณฑิต หรือจุติมาจากสัตว์ดิรัจฉานนั้น โดยมากมักเป็นผู้ที่มี โมหจริตผู้ที่มีโมหจริตนั้น ปฐวีธาตุและอาโปธาตุ มีกำลังมาก

๔. ถ้าในขณะที่บำเพ็ญบุญกุสลนั้น มัวแต่ไปนึกถึงความสนุกสนานเพลิด เพลินในเรื่องกามคุณอารมณ์ อันเป็นกามวิตก, คิดไปในการเกลียดชัง ปองร้ายผู้อื่น อันเป็น พยาบาทวิตก หรือ คิดไปในทางเบียดเบียนทำลายความสุขผู้อื่นให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ อันเป็น วิหิงสาวิตก กุสลที่เจือปนด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้นมี วิตกจริต

๕. ในขณะที่บำเพ็ญบุญกุสลนั้น ยิ่งด้วยความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ตลอดจนความเลื่อมใสที่เกิดจาก เพราะเห็นรูปสมบัติสวยงาม (รูปปมาณ), เพราะเห็นความประพฤติเรียบร้อย เคร่งในธรรมวินัย (ลูขปฺปมาณ), เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ (โฆสปฺปมาณ), เพราะได้สดับตรับฟังธรรมที่ฉลาดในการแสดง (ธมฺมปฺปมาณ) เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสัทธาทั้งนั้น กุสลที่มั่นในสัทธาเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้นมี สัทธาจริต

๖. ถ้าในขณะที่บำเพ็ญบุญกุสลอยู่นั้น ได้ระลึกนึกคิดด้วยว่า การทำดีย่อมได้รับผลดี การทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว จะต้องได้รับผลไปตามกรรมนั้น ๆ อันเป็น กัมมัสสกตาปัญญา, สัตว์ทั้งหลายตลอดจนตัวเราเอง สักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม มีความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับไป ไม่มีตัวมีตนที่จะบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจนั้นได้ อันเป็นวิปัสสนาปัญญา หรือแม้แต่เพียงตั้งใจปรารถนาว่า ด้วยอำนาจแห่งกุสลผลบุญนี้ ขอจงได้เป็นปัจจัยให้ได้เกิดเป็นคนมีปัญญาต่อไป เหล่านี้เป็นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ผู้ที่เกิดมานั้นมี พุทธิจริตพุทธิจริตนี้บ้างก็เรียกว่า ปัญญาจริต

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ขออภัยด้วยครับ ลงค้างไว้ลืมกลับมาต่อ

๗. ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จริตของมนุษย์แต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และแต่ละบุคคลก็อาจมีจริตได้หลายอย่างคลุกเคล้าปะปนกันมา แต่ว่าจริตใดจะมีมากออกหน้า เป็นประธาน เป็นประจำ เป็นตัวนำ เป็นเด่นกว่าจริตอื่น ก็เรียกว่าเป็นผู้มีจริตนั้น

๘. ในจริตทั้ง ๖ อย่างท่านสงเคราะห์ด้วยความเสมอภาคกันได้เป็น ๓ คู่ คือ
ราคจริต กับ สัทธาจริต
โทสจริต กับ ปัญญาจริต
โมหจริต กับ วิตกจริต

๙. ราคจริต กับสัทธาจริต ที่จัดว่ามีความเสมอภาคกันนั้น คือ ราคะ เป็นหัวหน้าในฝ่ายอกุสล สัทธา ก็เป็นหัวหน้าเหมือนกัน แต่เป็นหัวหน้าทางฝ่ายกุสลราคะ ย่อมแสวงหากามในกามคุณ สัทธา ก็แสวงหาเหมือนกัน แต่แสวงหาบุญ คือ กุสลธรรม มีสีล เป็นต้น ราคะ นั้นติดใจในสิ่งที่ไร้สาระไร้ประโยชน์ฉันใด สัทธาก็เลื่อมใสในสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ฉันนั้น

๑๐. โทสจริตกับพุทธิจริต (หรือปัญญาจริต) ที่จัดว่ามีความเสมอภาคกันนั้น คือ
โทสะ มีการเบื่อหน่าย แต่เป็นการเบื่อหน่ายในสิ่งที่ไม่ชอบ ถ้าสิ่งใดยังชอบอยู่ก็ไม่เบื่อหน่ายในสิ่งนั้น ส่วน ปัญญาก็มีการเบื่อหน่ายเหมือนกัน คือเบื่อหน่ายในสังขารธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ว่าเลือกเบื่อหน่ายบ้างไม่เบื่อหน่ายบ้าง เหมือนอย่างโทสะ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า โทสจริตนั้นเบื่อหน่ายด้วยอำนาจแห่งโมหะ ซึ่งเป็นทางให้ถึงอบาย ส่วนพุทธิจริตนั้นก็เบื่อหน่ายเหมือนกัน แต่ว่าเบื่อหน่ายด้วยอำนาจแห่งปัญญา ซึ่งเป็นทางให้ถึงสวรรค์ ตลอดจนถึงพระนิพพานก็ได้ นี่เป็นประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง โทสะเป็นธรรมที่เกิดเร็ว ดุจไฟไหม้ฟางลุกโพลงขึ้นในทันใด ฝ่ายปัญญาก็เป็นธรรมที่เกิดเร็วเหมือนโทสะ คือเกิดสว่างจ้ารู้แจ้งขึ้นมาในทันใดนั้นเหมือนกัน

๑๑. โมหจริต กับ วิตกจริต ที่จัดว่ามีความเสมอภาคกันนั้น คือ โมหะมีอาการสงสัยลังเลใจอยู่ ส่วนวิตกก็คิดแล้วคิดอีก อันเป็นอาการที่คล้ายกับลังเลไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน
อีกประการหนึ่ง โมหะ มีอาการฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ส่วน วิตกก็คิดอย่างนี้ คิดอย่างนั้น แล้วก็คิดอย่างโน้น อันเป็นอาการคิดพล่านไปเช่นเดียวกัน ดังนี้จึงว่า มีความเสมอภาคกัน

๑๒. ผู้ใดมีจริตอย่างใด มีลักษณะที่พอจะอาศัยใช้เป็นเครื่องสังเกตอยู่ ๕ ประการ คือ
อิริยาบถ ได้แก่ การเดิน ยืน นั่ง นอน และอาการที่เคลื่อนไหวทำกิจการงานต่าง ๆ
กิจจะ ได้แก่ การงานที่ทำ
โภชนะ ได้แก่ อาหารที่บริโภค
ทัสสนะ ได้แก่ การดู การฟัง การดม การกิน การลูบไล้แต่งเนื้อแต่งตัว
ธัมมปวัตติ ได้แก่ ความเป็นไปต่าง ๆ เป็นต้นว่า ความประพฤติดีหรือเลว
ได้เขียนเป็นแบบบัญชีดังต่อไปนี้ เป็นการเปรียบเทียบกันไปในตัว เพื่อให้เห็นความแตกต่างกันได้ชัดกว่าเขียนอย่างธรรมดา และได้แสดงกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่จริตนั้น ๆ ไว้ในช่องสุดท้ายด้วย

ราคจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี แดง
โทสจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี ดำ
โมหจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี หม่นเหมือนน้ำล้างเนื้อ
วิตกจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี เหมือนน้ำเยื่อถั่วพู
สัทธาจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี เหลืองอ่อน คล้ายสีดอกกัณณิกา
พุทธิจริต น้ำเลี้ยงหัวใจย่อมมีสี ขาว เหมือนสีแก้วเจียรนัย

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนึ่ง ในวิสุทธิมัคค ได้แสดงลักษณะแห่งจริตต่าง ๆ ดังนี้
ลักษณะของผู้ที่หนักในราคจริต
๑. มายา มายา เจ้าเล่ห์
๒. สาเถยฺยํ โอ้อวด
๓. มาโน ถือตัว
๔. ปาปิจฺฉตา ปรารถนาลามก
๕. มหิจฺฉตา ปรารถนามาก มีความอยากใหญ่
๖. อสนฺตุฏฺฐิตา ไม่สันโดษ
๗. สิงฺคํ แง่งอน ๘. จาปลฺยํ ขี้โอ่

ลักษณะของผู้ที่หนักในโทสจริต
๑. โกโธ มักโกรธ
๒. อุปนาโห ผูกโกรธ
๓. มกฺโข ลบหลู่คุณท่าน
๔. ปลาโส ตีตนเสมอท่าน
๕. อิสฺสา ริษยา
๖. มจฺฉริยํ ตระหนี่

ลักษณะของผู้ที่หนักในโมหจริต
๑. ถีนํ หดหู่
๒. มิทฺธํ เคลิบเคลิ้ม
๓. อุทฺธจฺจํ ฟุ้งซ่าน
๔. กุกฺกุจจํ รำคาญ
๕. วิจิกิจฺฉา เคลือบแคลง
๖. อาทานคฺคาหิตา ถือมั่นในสิ่งที่ยึดถือ ถืองมงาย
๗. ทุปฺปฏินิสฺสคฺคิตา สละ (สิ่งที่ยึดถือ เช่น อุปาทาน) ได้ยาก

ลักษณะของผู้ที่หนักในสัทธาจริต
๑. มตฺตจาคตา บริจาคทรัพย์เป็นนิจ
๒. อริยานํ ทสฺสนกามตา ใคร่เห็นพระอริยะ
๓. สทฺธมฺมํ โสตุกามตา ใคร่ฟังพระสัทธรรม
๔. ปาโมชฺชพหุลตา มากด้วยความปราโมทย์
๕. อสฐตา ไม่โอ้อวด
๖. อมายาวิตา ไม่มีมารยา
๗. ปสาทนีเยสุ ฐาเนสุ ปสาโท เลื่อมใสในสิ่งที่ควรเลื่อมใส
ลักษณะของผู้ที่หนักในพุทธิจริต
๑. โสวจสฺสตา ว่าง่าย
๒. กลฺยาณมิตฺตตา มีมิตรดีงาม
๓. โภชเน มตฺตญฺญุตา รู้ประมาณในโภชนะ
๔. สติสมฺปชญฺญํ ระลึกและรู้สึกตัว
๕. ชาคริยานุโยโค ประกอบความเพียร
๖. สํเวชนีเยสุ ฐาเนสุ สํเวโค สลดใจในสิ่งที่ควรสลด
๗. สํวิคฺคสฺส โยนิโส ปธานํ เริ่มตั้งความที่ใจสลดไว้โดยแยบคาย

ลักษณะของผู้ที่หนักในวิตกจริต
๑. ภสฺสพหุลตา พูดมาก
๒. คณารามตา ยินดีคลุกคลีในหมู่คณะ
๓. กุสลานุโยเค อรติ ไม่ยินดีในการประกอบกุสล
๔. อนวฏฺฐิกิจฺจตา มีกิจไม่มั่นคง จับจด
๕. รตฺติธูมายนา กลางคืนเป็นควัน
๖. ทิวาปชฺชลมา กลางวันเป็นเปลว
๗. หุราหุรํ ธาวนา คิดพล่านไปต่าง ๆ นานา

อัชฌาสัย
นอกจากจริต ๖ ที่กล่าวแล้ว ยังมีคำว่า อัชฌาสัย อีกคำหนึ่ง ี่งมีความคล้ายคลึงกัน คือ จริต หรือ จริยะ เป็นความประพฤติที่เคยชินจนเป็นนิสัย ซึ่งมีทั้งดีและชั่ว, ส่วนอัชฌาสัย เป็นความประสงค์ เป็นความนิยม เป็นความมุ่งหมาย ที่จะให้เป็นไปเช่นนั้น อันหมายความว่าเป็นนิสัย หรือความมุ่งหมายในทางที่ดีงาม ซึ่งเกิดมาจากจิตใจโดยตรง ไม่เกี่ยวไปในทางไม่ดีไม่งามหรือในทางชั่วเลย อัชฌาสัย ก็มี ๖ เหมือนกัน ได้แก่

๑. อโลภชฺฌาสโย มีความไม่โลภเป็นนิสัย มีความพอใจในการจำแนกแจกจ่ายทาน
๒. อโทสชฺฌาสโย มีความไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ายเป็นนิสัย มีความพอใจแผ่เมตตาแก่สัตว์ทั้งปวง
๓. อโมหชฺฌาสโย มีความไม่หลง ไม่มัวเมาเป็นนิสัย มีความพอใจพินิจถึงคุณ โทษ กุสล อกุสล และพอใจเจริญอัปปมาทธรรม
๔. เนกฺขมฺมชฺฌาสโย มีนิสัยไม่ติดในกาม ไม่ติดในความพยาบาท ไม่ติดในความเบียดเบียน มีความพอใจออกบวช
๕. ปวิเวกชฺฌาสโย มีนิสัยชอบสงบ มีความพอใจออกจากหมู่คณะ แล้วและอยู่ในที่สงัด
๖. นิสฺสรณชฺฌาสโย มีความยินดียิ่งในพระนิพพาน อันเป็นธรรมที่หลุดพ้นจากทุกข์เลยมีความพอใจที่จะให้พ้นจากภพทั้ง ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

กัมมัฏฐานที่เหมาะแก่จริต
ผู้เจริญภาวนา จะต้องเลือกกัมมัฏฐานให้ถูกแก่จริตของตน จึงจะเป็นที่สบาย รู้ง่าย ได้ผลเร็ว ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค แสดงไว้ว่า

เริ่มต้นก็กล่าวถึง เสนาสนะที่อยู่อาศัยในการเจริญกัมมัฏฐานของผู้ที่มีราคจริตว่า เตียงตั่งที่นั่งที่นอน ต้องไม่สวย ไม่น่าดู ไม่เป็นที่สบาย ให้รกรุงรังสักหน่อยก็ได้ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ควรใช้ของเก่า ๆ สีซีด ๆ มีขาดมีปะบ้างก็ยิ่งดี อาหารการกินก็จัดให้อย่างชนิดที่สีสรรไม่ชวนดู กลิ่นและรสก็เป็นอย่างที่ไม่นิยมยินดี สักแต่ว่าให้กินพอให้หนักท้องไปเท่านั้นเอง กัมมัฏฐานก็ต้องเป็นชนิดที่ไม่ให้เกิดความเพลิด เพลินยินดี ทั้งนี้เพราะเหตุว่าผู้ที่มีราคจริตย่อมชอบสิ่งที่สวยงามเป็นที่เจริญตาเจริญใจ เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่สวยสิ่งที่งาม อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเพลิดเพลินแล้ว ราคะย่อมไหลไปตามอารมณ์นั้น ๆ ได้โดยง่าย จึงต้องให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม กามฉันทะจะได้ไม่เกิดมาทำให้เป็นเครื่องขัดขวางแก่การเจริญภาวนา

เสนาสนะของผู้เจริญกัมมัฏฐานที่มีโทสจริต ต้องเรียบร้อย สะอาด สวยงาม ประดับด้วยดอกไม้ของหอมด้วยก็ยิ่งดี ทุกสิ่งทุกอย่างต้องล้วนแล้วแต่สิ่งที่น่าดู น่าฟัง น่าสูดดม น่ารับประทาน น่าสัมผัสถูกต้อง จะได้ข่มไม่ให้โทสะเกิดขึ้นมาทำลายสมาธิเสีย

เสนาสนะของผู้ที่มีโมหจริต ควรให้เป็นสถานที่กว้างขวาง มีอากาศโปร่ง ได้รับแสงสว่างมาก ถ้าสถานที่แคบ อากาศทึบ แสงสว่างน้อย ก็จะทำให้ซึมเซา เหงาง่วง ไม่อยากพินิจพิจารณาอะไร ทำให้ขาดวิจารในการประหาณวิจิกิจฉา

เสนาสนะของผู้ที่มีวิตกจริต ไม่ต้องกว้างขวางใหญ่โต แม้จะกระเดียดไปข้างเล็กสักหน่อย ก็ไม่เป็นไร และให้เรียบๆ ไม่ต้องตกแต่งให้มีสิ่งที่ชวนชมชวนพิศ มิฉะนั้นวิตกจะพล่านหนักขึ้น เมื่อไม่พล่านไปอื่น ก็จะวิตกอยู่แต่ในอารมณ์กัมมัฏฐาน

เสนาสนะของผู้ที่มีสัทธาจริต ก็เพียงขนาดกลาง ไม่ต้องกว้างใหญ่นัก แต่ก็อย่าให้เล็กจนเกินไป ทุกอย่างให้เป็นแต่เพียงกลาง ๆ แม้จะไม่น่าดู แต่ก็อย่าให้ถึงกับน่าเกลียด แม้จะไม่น่าฟัง แต่ก็อย่าให้ถึงกับหยาบคายร้ายกาจจนฟังไม่ได้ แม้แต่จะไม่หอม แต่ก็อย่าให้ถึงกับเหม็น เหล่านี้เป็นต้น ก็จะไม่ทำให้ถึงกับฟุ้งซ่านหรือก่อให้เกิดความรำคาญ คงมีสุขสบายพอควรแก่การเจริญภาวนาไปได้
โดยเฉพาะผู้ที่มีพุทธิจริตหรือปัญญาจริตนั้น มิได้เป็นที่ติดใจหรือห่วงใยในเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากป่าและโคนไม้ อันเป็นธรรมดาตามธรรมชาติ

ส่วนกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่จริตนั้น เป็นดังนี้
๑. อสุภะ ๑๐ และโกฏฐาส คืออาการ ๓๒ ที่เรียกว่า กายคตาสติ ๑ รวมกัมมัฏฐาน ๑๑ นี้เหมาะสมแก่บุคคลผู้ที่มี ราคจริต

๒. วัณณกสิณ ๔ และ อัปปมัญญา ๔ รวมกัมมัฏฐาน ๘ นี้ เหมาะสมแก่ผู้มี โทสจริต

๓. อานาปาณสติ ๑ ย่อมเหมาะสมแก่ผู้ที่มี โมหจริต และ วิตกจริต

๔. อนุสติ ๖ มี พุทธานุสติ เป็นต้นจนถึง เทวตานุสติ เหมาะสมแก่ผู้ที่มี สัทธาจริต

๕. มรณานุสสติ ๑ อุปสมานุสสติ ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ และ จตุธาตุ ววัตถาน ๑ รวมกัมมัฏฐาน ๔ นี้ เหมาะสมแก่ผู้ที่มี พุทธิจริต

๖. ส่วนกัมมัฏฐานที่เหลือทั้งหมด ได้แก่ ภูตกสิณ ๔ อากาสกสิณ ๑ อโลก กสิณ ๑ และอรูปกัมมัฏฐาน ๔ รวมกัมมัฏฐาน ๑๐ อย่างนี้ ย่อมเหมาะสมแก่บุคคลทั่วไป และแก่ทุกจริต
ในบรรดาสมถกัมมัฏฐานทั้ง ๔๐ นั้น เฉพาะกสิณ ๑๐ องค์กสิณ คือ ดวงกสิณสำหรับผู้ท่ี่มีโมหจริต ต้องมีขนาดกว้างประมาณเท่าลานข้าว แต่สำหรับผู้ที่มีวิตกจริตมีขนาดเล็กเพียงเท่ากระด้งก็พอ
อนึ่ง ใน อภิธัมมาวตารอรรถกถา แสดงว่า
อสุภานิ ทสาหาร สญฺญา กายคตาสติ เทเวสุ นปวตฺตนฺติ ทฺวาทเสตานิ สพฺพทาฯ
กัมมัฏฐาน ๑๒ คือ อสุภะ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ กายคตาสติ ๑ ย่อมเจริญไม่ได้โดยประการใด ๆ ในเทวภูมิ ๖ ชั้น
หมายความว่า เทวดาทั้ง ๖ ชั้น เจริญกัมมัฏฐานได้เพียง ๒๘ เว้นอสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ และ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ ทั้งนี้เพราะเทวดาเป็นส่วนมาก เมื่อจุติแล้วไม่มีซากศพเหลืออยู่ ร่างกายสูญหายไปเหมือนหนึ่งดับไฟ

เทวดาที่ยังไม่จุติ ส่วนของร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ เป็นต้น ก็สวยสดงดงาม ไม่เป็นปฏิกูล
อาหารก็เป็นทิพย์ เป็นสุทธาโภชน์ บริโภคแล้วก็ไม่มีกาก

กัมมัฏฐาน ๒๘ ที่เทวดาพึงเจริญภาวนาได้นั้น คือ กสิณ ๑๐, อนุสสติ ๙ (เว้นกายคตาสติ), จตุธาตุววัตถานะ ๑, อัปปมัญญา ๔, และอรูปกัมมัฏฐาน ๔
ตานิ ทฺวาทสเจตานิ อานาปาณสฺสติ ปิจ เตรส จ ปเนตานิ พฺรหฺมโลเก นวิชฺชาเร ฯ
กัมมัฏฐาน ๑๓ คือ กัมมัฏฐาน ๑๒ ที่เจริญไม่ได้ในเทวภูมิ และอานาปาณสติ ๑ ย่อมไม่มีในรูปภูมิ
มีความหมายว่า ในรูปพรหม ๑๕ ชั้น (เว้นอสัญญสัตตา) เจริญกัมมัฏฐานได้เพียง ๒๗ เพราะอสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ และ อานาปาณสติ ๑ รวม ๑๓ อย่างนี้ ไม่มีในรูปพรหม ๑๕ ชั้นนั้น ด้วยเหตุว่าส่วนของร่างกายแห่งพรหมทั้งหลายนั้น ไม่เป็นปฏิกูล และเมื่อจุติแล้วก็ไม่มีซากศพเหลืออยู่เช่นเดียวกับเทวดา นอกจากนั้น พรหมก็มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องบริโภคข้าวปลาอาหาร และไม่มีลมหายใจด้วย

ฐเปตฺวา จตุรารุปฺเป นตฺถิ กิญฺจิ อรูปิสุ มนุสฺสโลเก สพฺพานิ ปวตฺตนฺติ น สํสโย ฯ
ในอรูปภูมินั้น นอกจากอรูปกัมมัฏฐาน ๔ แล้ว กัมมัฏฐานอื่น ๆ อย่างหนึ่งอย่างใด ย่อมไม่มีทั้งนั้น
ส่วนในมนุษย์ภูมิ ย่อมเจริญกัมมัฏฐาน ๔๐ ได้ โดยไม่ต้องสงสัยเลย

:b8: :b8: :b8:

จบแล้วครับ

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร